ศิลปกรรมบารอคและรอคโคโค

โดย รสสุคนธ์ น้อยพรหม

ศิลปกรรมบาโรค และรอคโคโค เป็นศิลปกรรมที่เกิดขึ้นในยุคสมัยใหม่ เป็นศิลปะที่พัฒนามาจากศิลปะแบบอื่น แต่ศิลปะทั้งสองแบบนี้ก็มีความเด่นเฉพาะของตน และความแตกต่างกันอย่างเป็นเอกลักษณ์

ศิลปกรรมบารอค เกิดขึ้นเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 16 หลังสมัยฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ มีแหล่งกำเนิดอยู่ที่ประเทศอิตาลีและได้ขยายไปทั่วยุโรป มีการปฏิวัติศิลปกรรมในช่วง ค.ศ. 1550 - 1750 แต่ความเจริญสูงสุดอยู่ในช่วง ค.ศ. 1680 - 1730 ซึ่งเรียกว่า High – Baroque และเกิดการเสื่อมความนิยมเมื่อกลางคริสต์ศตวรรษที่ 18 ศิลปะบารอกแตกต่างจากศิลปะสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาตรงที่แสดงอารมณ์สงบนิ่ง แฝงปรัชญา แสดงความเคลื่อนไหว การสร้างรูปทรงที่บิดเบี้ยวเกินไป หรือประณีตจนเกินไป และเน้นความโอ่อ่าหรูหราเป็นพิเศษ ซึ่งรุ่งเรืองมากในประเทศอิตาลี และกลุ่มประเทศคาทอลิก

สถาปัตยกรรม พัฒนามาจากสถาปัตยกรรมเรอเนสซองส์ โดยนำความรู้ทางคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์มาใช้ในงานก่อสร้างมากขึ้น การเพิ่มโครงสร้างส่วนประกอบและรายละเอียดเข้าไป จากความเรียบง่ายมั่นคงกลายเป็นความแพรวพราวและดูมีมิติเคลื่อนไหว มีการใช้โครงสร้างของเส้นโค้งและเส้นคด แสดงความเคลื่อนไหวมากขึ้น ส่วนประกอบต่างๆมีความตื้นลึกและหลายชั้น แสดงออกถึงความใหญ่โตหรูหราและการประดับตกแต่งที่ฟุ่มเฟือย

ประติมากรรม บารอคนั้นจะวางวัตถุให้โดดเด่นเป็นอิสระ มีการใช้หินอ่อน หินสี หินสำริด รวมทั้งการติดกระจกสี การสร้างฉากให้ดูมีมิติและลวงตา เพื่อเป็นการเพิ่มการมองเห็น โดนเฉพาะจิตรกรรม ลักษณะรูปแบบงานเป็นการเน้นย้ำความขัดแย้งระหว่างแสงและเงา เพื่อดึงดูดความสนใจ และเกิดความประทับใจเมื่อมองเห็น ผลงานที่เป็นภาพคนมักจะแสดงอารมณ์ความรู้สึกจนเหมือนคนจริงๆ แสดงลีลาท่าทางมากกว่าความงดงามของรูปร่าง และความกลมกลืนของ     ทัศนธาตุ และลักษณะเด่นอีกอย่างคือ เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายที่หรูหรา มีรอยพับอ่อนช้อยปกคลุมร่างกายส่วนใหญ่ไว้       ส่วนฉากหลังจะแสดงถึงทัศนียภาพอันกว้างไกล

จิตรกรรม  ส่วนใหญ่รับรูปแบบ และเทคนิคจากสมัยเรเนสซองส์ แต่ได้พัฒนาฝีมือและเทคนิคการผสมสีให้สวยงามยิ่งขึ้น นิยมใช้สีสดและฉูดฉาด ภาพวาดมักปรากฏตามวัด วัง แสดงเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับคริสต์ศาสนา   และคฤหาสน์ของชนชั้นกลางที่มั่งคั่ง แสดงถึงชีวิตความเป็นอยู่ที่หรูหราและ

ด้านดนตรี มีการพัฒนามากทั้งการร้องและการบรรเลงเครื่องดนตรี ขนาดของวงดนตรีขยายใหญ่ขึ้น มีการแต่งเพลง ใช้โน้ตเพลง และเปิดการแสดงดนตรีในห้องโถงใหญ่ๆ
งานด้านวรรณกรรม คริสต์ศตวรรษที่ 17 ได้ชื่อว่าเป็นยุคทองแห่งวรรณกรรมยุโรป มีผลงานชิ้นเอกของนักประพันธ์ต่างๆเกิดขึ้นมากมาย

ศิลปะโรโคโค หรือบางครั้งก็เรียกกันว่า "ศิลปะแบบหลุยส์ที่ 14" (Louis XIV Style) พัฒนามาจากศิลปะฝรั่งเศส และการตกแต่งภายในเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 18 คำว่าโรโคโคมาจาก คำว่า rocaille เป็นภาษาฝรั่งเศส ซึงหมายถึงศิลปะการตกแต่งที่ใช้ลวดลายคล้ายหอยหรือใบไม้ และคำว่า barocco จากภาษาอิตาลี หรือที่เรียกว่า ศิลปะบาโรก ศิลปินโรโคโคจะนิยมเล่นเส้นโค้งตัวซีและตัวเอส (S และ C curves) แบบเปลือกหอย หรือการม้วนตัวของใบไม้ เป็นหลัก และจะเน้นการตกแต่งจนทำให้นักวิจารณ์ศิลปะบอกว่าเป็นศิลปะของความฟุ้งเฟ้อ และเป็นเพียงศิลปะสมัยนิยมเท่านั้น

ห้องที่ออกแบบแบบโรโกโกจะเป็นเอกภาพ คือ ทุกสิ่งทุกอย่างในห้องไม่ว่าจะเป็นผนัง เฟอร์นิเจอร์ หรือของตกแต่ง จะออกแบบให้กลมกลืนกัน คือไม่มีอะไรในห้องนั้นที่มีรูปแบบต่างออกมา ภายในห้องจะมีเฟอร์นิเจอร์หรูหราและอลังการ มีรูปปั้นเล็กๆที่ประดิษฐ์อย่างประณีต ภาพเขียนหรือกระจกที่กรอบเป็นลวดลาย และพรมแขวนผนัง (tapestry) ซึ่งถ้าแยกอะไรออกมาก็จะทำให้ห้องนั้นไม่สมบูรณ์แบบ

โรโคโคที่ประเทศอังกฤษจะเรียกว่าศิลปะแบบฝรั่งเศส หรือ "รสนิยมฝรั่งเศส" ("French taste") สถาปัตยกรรมแบบโรโคโคจะไม่เป็นที่นิยม แต่โรโคโคที่นิยมกันก็คือการทำเครื่องเงิน เครื่องกระเบื้อง และไหม วิลเลียม โฮการ์ธ (William Hogarth) เป็นผู้วางรากฐานทฤษฎีของความสวยงามของโรโคโค

ถึงแม้ว่าโฮการ์ธจะไม่ใช้คำว่าโรโคโคโดยตรงแต่ก็ได้พูดถึงความอ่อนช้อยสวยงามของเส้นและรูปโค้งแบบเอส (S-curves) ซึ่งเป็นศิลปะของโรโคโค และเป็นสิ่งที่ทำให้โรโคโคมีความอ่อนช้อยสวยงาม และทำให้แตกต่างจากศิลปะสมัยคลาสสิคซิสม์ (Classicism) ซึ่งเป็นศิลปะที่นิยมเลียนแบบศิลปะแบบกกรีกและโรมัน การใช้เส้นตรงหรือวงกลมเป็นหลักเริ่มวิวัฒนาการขึ้นในช่วงเดียวกันกับการฟื้นตัวกลับมานิยมสถาปัตยกรรมแบบกอธิค ("สมัยฟื้นฟูกอธิค"(GothicRevival) เมื่อต้นคริสต์ศตวรรษที่ 18

จากข้อมูลข้างตนทำให้ทราบถึงเอกลักษณ์ของศิลปกรรมทั้งสองแบบ คือ ศิลปกรรมบารอค จะแสดงอารมณ์สงบนิ่ง แฝงปรัชญา แสดงความเคลื่อนไหว การสร้างรูปทรงที่บิดเบี้ยวเกินไป หรือประณีตจนเกินไป ส่วนศิลปะกรรมรอคโคโค เป็นศิลปะการตกแต่งที่ใช้ลวดลายคล้ายหอยหรือใบไม้ นิยมเล่นเส้นโค้งตัวซีและตัวเอส (S และ C curves) แบบเปลือกหอย หรือการม้วนตัวของใบไม้ เป็นหลัก อย่างไรก็ตามศิลปกรรมทั้งสองนี้ก็ยังมีข้อเหมือนอยู่ คือ มีลักษณะโอ่อ่า หรูหรา เป็นที่นิยมของบุคคลชั้นสูง เน้นลวดลาย เล่นเส้น การออกแบบ และการตกแต่ง

อ้างอิง

ศิลปะแบบบารอค. สืบค้นเมื่อ  27 มกราคม พ.ศ.2557, จาก http://tukkamping.blogspot.com/2012/03/blog-post_12.html.

ศิลปะโรโคโค. สืบค้นเมื่อ  27 มกราคม พ.ศ.2557, จาก http://50010110582inet.blogspot.com/2009/11/blog-post_1962.html.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น