เกาะฮาชิมะ: แหล่งมรดกโลกกับการปฏิวัติอุตสาหกรรมญี่ปุ่น

โดย คติพจน์ นนทบุตร

ประเทศญี่ปุ่นมีลักษณะทางภูมิศาสตร์เป็นเกาะที่แยกตัวออกมาจากแผ่นดินใหญ่  วางตัวตั้งแต่เหนือจรดใต้ด้วยความยาวกว่า 3,000 กิโลเมตร  ประกอบไปด้วยเกาะเล็กเกาะน้อยกว่า 6,800 เกาะ  ซึ่งถ้าสังเกตให้ดีก็จะมีรูปร่างหน้าตาคล้าย “ม้าน้ำ”  ซึ่งมีส่วนหัวของม้าน้ำเป็นเกาะฮอกไกโด และส่วนลำตัวยาว ๆ เป็นเกาะฮอนชู   มีส่วนหางและครีบเป็นเกาะชิโกกุและเกาะคิวชู และหนึ่งในนั้นก็มีเรื่องเล่าถึงความลี้ลับความน่ากลัวเกี่ยวกับอาถรรพ์  เหมือนต้องคำสาปแห่งท้องทะเล ให้เป็นเกาะร้างมาจนถึงปัจจุบันและกระทั่งเกาะนี้ ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกแห่งใหม่  เกาะแห่งนั้นมีชื่อว่า “เกาะฮาชิมะ はしま”


เกาะฮาชิมะ

เกาะฮาชิมะเป็นเกาะที่ตั้งอยู่นอกชายฝั่งห่างจากเมืองนางาซากิ ประมาณ 15 กิโลเมตร มีลักษณะทางภูมิศาสตร์เป็นเกาะที่แยกตัวออกมาจากแผ่นดินใหญ่  สมัยที่เกาะฮาชิมะรุ่งเรือง ถูกตั้งชื่อว่า เกาะเรือรบ เกาะแห่งนี้เป็นเกาะที่ไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่ถูกมนุษย์สร้างขึ้นใน ค.ศ.1887 และเสร็จใน ค.ศ.1890 ใช้ระยะเวลาในการสร้างในระยะเวลา 3 ปี โดยบริษัทมิตซูบิชิ เกาะนี้มีคุณสมบัติโดดเด่นในด้านอุตสาหกรรมถ่านหิน และจุดประสงค์ของการสร้างเกาะ ก็เพราะต้องการใช้ทรัพยากรทางธรรมชาติมาใช้ประโยชน์นั่นก็คือ “แร่ถ่านหินธรรมชาติ” เพื่อนำมาใช้งานและส่งออก ดังนั้นการทำแร่ถ่านหินจึงเกิดขึ้น แน่นอนว่าสิ่งสำคัญในการทำงานก็ต้องมีแรงงาน ผู้คนเริ่มเข้ามาอยู่ ตั้งถิ่นฐานอาศัยทำมาหากินเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งครอบครัวของคนงานจนเริ่มหนาแน่น ต่อมาในปี 1890 บริษัท Mitsubishi เห็นว่าเกาะนี้ น่าจะสร้างรายได้มหาศาล จึงตัดสินใจซื้อเกาะแห่งนี้ โดยมีโครงการว่าจะขุดถ่านหินจากทะเลขึ้นมา


ทางขวาของภาพ คือซากสะพานทางเชื่อมสู่ปากทางเข้าอุโมงค์ที่ 2 ของเหมือง 

ในช่วงปลายของสมัยเอโดะ มีการค้นพบถ่านหินคุณภาพดี หลังจากนั้นตั้งแต่ ค.ศ. 1890 เป็นต้นมา ทั่วพื้นที่ของเกาะแห่งนี้ก็กลายเป็นแหล่งวัตถุดิบสำหรับอุตสาหกรรมเหล็ก ในช่วงยุคทองของอุตสาหกรรมถ่านหินนั้นเป็นที่ภาคภูมิใจกันว่าเกาะแห่งนี้มีผู้คนอาศัยอยู่กันอย่างหนาแน่น เพราะว่าพื้นที่ครึ่งหนึ่งของเกาะเป็นเหมือง จึงมีการใช้ประโยชน์จากที่ว่างอันน้อยนิด สำหรับเป็นที่อยู่อาศัย และถือเป็นเกาะที่มีการก่อสร้างอาคารคอนกรีตเสริมเหล็กเป็นแห่งแรกของประเทศญี่ปุ่นเลยทีเดียว พร้อมกับที่เทคโนโลยีการขุดเจาะพัฒนาขึ้นพื้นที่โดยรอบเกาะก็ขยายขึ้นเช่นกัน

เกาะฮาชิมะ มีวัสดุที่ใช้สร้างที่อยู่อาศัย แบบคอนกรีตเสริมเหล็ก และยังเป็นที่แรกในประเทศญี่ปุ่น โดยโครงสร้าง การก่อสร้างในระยะแรกเป็นการสร้างอาคารเพียง 4 ชั้น แต่ต่อมาก็ต่อเติมจนเป็นอาคาร 7 ชั้น ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่มาก ๆ เมื่อเทียบกับตึกในสมัยนั้น และด้วยตัวอาคารที่ยังหลงเหลือซากมาให้พบเห็นจนตอนนี้นี่เองที่เป็นเหมือนตัวจุดประกายให้เห็นถึงภาพชีวิตความเป็นอยู่ของชาวเกาะเมื่อวันวานสำหรับผู้คนที่มองเข้ามา ซึ่งถ้ามองออกมาจากข้างนอกเกาะ จะพบว่า ลักษณะเด่นของเกาะ ฮาชิมะ เป็นเกาะกลางทะเลที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยว ถ้ามองจากด้านบนจะเห็นภาพเกาะ ที่มีการตกแต่ง คล้ายกับเรือรบลำใหญ่ลอยลำอยู่กลางทะเล เล่ากันว่า ในสมัยสงครามโลก ทางสหรัฐฯ ได้ส่งเรือดำนำมาเพื่อจะเข้าโจมตีญี่ปุ่น แต่ทางทหารอเมริกาได้เห็นเกาะฮาชิมะเป็นเรือรบขนาดใหญ่เลยไม่กล้าเข้าโจมตี และล่าถอยกลับไป ปัจจุบัน เกาะฮาชิมะ ได้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของญี่ปุ่นและเป็นสิ่งก่อสร้าง ที่ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมของญี่ปุ่น

เกาะฮาชิมะนี้เป็นเกาะที่มีทั้งเทคโนโลยีล้ำสมัยที่สุดของญี่ปุ่นในยุคนั้นและมีลักษณะเหมือนเมืองหลวง แต่เพราะการสั่งปิดเหมืองใน ค.ศ. 1974 ตามนโยบายจัดระบบเรื่องพลังงานของรัฐบาลทำให้เกาะนี้กลายเป็นเกาะร้าง อาคารบ้านเรือนก็เก่าทรุดโทรมลงและถูกสั่งห้ามเข้าใช้ อย่างไรก็ตามในปัจจุบันส่วนหนึ่งของเกาะกำลังได้รับการฟื้นฟูและมีความเป็นไปได้ที่จะเปิดให้เข้าไปอีกครั้ง จากความสำเร็จในการรณรงค์ให้อนุรักษ์กุนคังจิมะที่ถูกผลักดันมาตลอดจากกลุ่มชาวเกาะที่เคยอาศัยอยู่ในอดีตทำให้ในปี 2015 เกาะร้างแห่งนี้ก็ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลก


มรดกโลกแห่งใหม่ของญี่ปุ่น เกาะเรือรบฮาชิมะ
ที่มา: https://www.marumura.com/

โรงงานและเหมืองต่างๆ ที่ถูกปล่อยร้างมาช้านานในญี่ปุ่น รวมถึงเกาะร้างที่เสมือนป้อมปราการใกล้เมืองนางาซากิ ได้กลายเป็นความภาคภูมิใจของประชาชนทั้งประเทศ เพราะเขตอุตสาหกรรมนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ซึ่งเกาะฮาชิมะหรือเกาะเรือรบ เป็น 1 ใน 23 เขตอุตสาหกรรมเก่าแก่ที่ทาง องค์การยูเนสโกยอมรับและขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ซึ่งมรดกโลกแห่งใหม่นี้ มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า มรดกของการปฏิวัติอุตสาหกรรมในยุคเมจิ

เกาะฮาชิมะ จึงเป็นตัวอย่างของการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในญี่ปุ่นจากสังคมศักดินาเป็นสังคมอุตสาหกรรมสมัยใหม่  และเคยเป็นสถานที่ที่ชาวเกาหลีกับชาวจีนหลายหมื่นคน ถูกบังคับใช้แรงงานอย่างหนัก เพื่อผลประโยชน์ของรัฐบาลญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่ 2  อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการมรดกโลกได้รับรองสถานะของเกาะฮาชิมะเป็นมรดกโลก ด้วยเงื่อนไขที่ว่า ญี่ปุ่นยอมรับในการ กระทำอันโหดร้ายที่เคยก่อไว้กับแรงงานต่างชาตินับหมื่นคนในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2

สำหรับเกณฑ์การจดทะเบียนสิ่งก่อสร้างเพื่อเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมนั้น การที่สิ่งก่อสร้างสักอย่าง จะได้รับการจดทะเบียนนั้น มีหลากหลายเหตุผล มีสิ่งก่อสร้างต่างๆ มากมาย ที่มีคุณค่า ไม่ว่าจะเป็นด้านจิตใจ ด้านสังคมต่อผู้คนในประเทศญี่ปุ่น เป็นสิ่งก่อสร้างมรดกโลกทางวัฒนธรรม อย่างเช่น สะพานทางเชื่อมสู่ปากทางเข้าอุโมงค์ที่ 2 ของเหมือง ตอม่อของสายพานขนส่งถ่านหินที่ได้จากการขุดเจาะ โรงเรียน และโรงพยาบาล หรือแม้กระทั่งร้านค้าขายของ ที่สะท้อนถึงบริบทสังคมในยุคนั้น เกาะฮาชิมะได้รับการจดทะเบียนครั้งนี้ถือว่าเป็นสถานที่ที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ เนื่องจากเป็นหลักฐานอย่างดีที่แสดงให้เห็นถึงความพยายามและความสำเร็จของการปฏิวัติทางอุตสาหกรรมในสมัยเมจิของญี่ปุ่น และสามารถต่อยอดไปถึงเรื่องราวความสัมพันธ์ของญี่ปุ่นกับชาติตะวันตก ที่นำเทคโนโลยีเข้ามาญี่ปุ่นในยุคนั้นได้นั่นเอง

ถึงแม้ว่าเกาะฮาชิมะ จะเป็นเกาะร้าง และถูกทิ้งร้างไว้ จนเกิดความรู้สึกถึงความเฮี้ยน รวมทั้งมีเรื่องเล่าลือถึงอาถรรพ์ต่างๆ มากมาย อย่างไรก็ตามผู้คนหรือนักท่องเที่ยว ก็ยังอยากเข้ามาสัมผัสและเก็บภาพกับสถานที่สุดเฮี้ยนแห่งนี้ ทำให้เกาะฮาชิมะ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวของญี่ปุ่น ที่ต้องมาเยี่ยมชม ด้วยความที่โครงสร้างของเกาะ ถ้ามองจากด้านบนจะเห็นภาพเกาะ ที่มีการตกแต่ง คล้ายกับเรือรบลำใหญ่ลอยลำอยู่กลางทะเล ซึ่งลักษณะเด่นที่สำคัญ ด้วยความที่โครงสร้าง และวัสดุที่ใช้สร้างเป็นคอนกรีต บวกกับการตกแต่ง ที่มีความอลังการ มหึมา โดดเด่นออกมามากกว่า เกาะอื่นๆ ที่อยู่ใจกลางทะเล ทำให้ เกาะฮาชิมะ เป็นสถานที่สำคัญที่น่ามาเยือนอีกแห่งหนึ่งของโลก


อ้างอิง  

รัชวุฒิ www.marumura.com./(2015).มรดกโลกแห่งใหม่ของญี่ปุ่น เกาะเรือรบฮาชิมะ (ออนไลน์).สืบค้นเมื่อ 3 กุมภาพันธ์ 2563 , จาก : https://www.marumura.com/

Anngle.(2020). “กุนคังจิมะ” เกาะแห่งซากปรักหักพัง มรดกโลกของนางาซากิ (ออนไลน์).สืบค้นเมื่อ 5 กุมภาพันธ์ 2563 , จาก : https://anngle.org/th/j-culture/gunkanjimasekaiisan.html

Dailynews.(2558).เกาะฮาชิมะมรดกโลก (ออนไลน์).สืบค้นเมื่อ 3 กุมภาพันธ์ 2563 , จาก : https://www.dailynews.co.th/article/335746

Hashimaisland.เกาะผีสิง เมืองร้างสุดหลอน ฮะชิมะ หรือ กุงกันจิมะ (Ghost Island หรือ Battleship Island) (ออนไลน์).สืบค้นเมื่อ 7 กุมภาพันธ์ 2563 , จาก : https://hashimaisland.blogspot.com/2013/08/blog-post.html?m=1

The 29th Ronin www.marumura.com./(2012).เกาะฮาชิมะ..เกาะเรือรบ อาถรรพ์เมืองบนเกาะร้าง (ออนไลน์).สืบค้นเมื่อ 3 กุมภาพันธ์ 2563 , จาก : https://www.marumura.com/hashima-island

Travel.trueid.net.(2561).เกาะฮาชิมะ ตำนานเกาะร้าง อาถรรพ์ สุดเฮี้ยน ในญี่ปุ่น(ออนไลน์).สืบค้นเมื่อ 6 กุมภาพันธ์ 2563 , จาก : https://travel.trueid.net/detail/34a75nrEBQ6

อ่านเพิ่มเติม »

ดูลาฮาน (Dullahan) ยมทูตแห่งความตาย

โดย    ณัฏฐณิชา ประจวบกลาง

ตำนานต่างๆ มีที่มาที่ไป มาจากเรื่องเล่าบ้าง เรื่องจริงที่ถูกบิดเบือนบ้าง เฉกเช่นตำนานของ ดูลาฮาน (Dullahan) อัศวินไร้หัว หรือยมทูตแห่งความตาย ตามตำนานของชาวไอริส ซึ่งได้กล่าวไว้ว่า ดูลาฮานในชุดสีดำ ไม่มีหัว ใช้มือซ้ายบังคับม้าเทียม โดยมีม้าไม่มีหัวคอยลากรถม้าที่ทำจากกระดูกคนตาย ส่วนหัวนั้นถูกมือข้างขวาหิ้วเอาไว้ หรืออีกลักษณะหนึ่งก็คือ เป็นร่างไร้หัวขี่ม้าสีดำตัวใหญ่ เช่นเดียวกันมือซ้ายจับบังเหียน ส่วนมือขวาก็หิ้วหัวของตัวเอง ว่ากันว่า ดูลาฮาน นั้นเป็นเหมือนลางบอกเหตุของความตาย ซึ่งถ้าดูลาฮานไปที่บ้านใครแล้ว บ้านนั้นจะต้องมีคนตาย แต่คนตายในที่นี้หมายถึง หมดอายุขัยจริงๆ ไม่ได้ไปฆ่าคนแต่อย่างใด ส่วนการเดินทางไปรับวิญญาณนั้น เค้าก็จะควบม้าภายในความมืด โดยมีหัวที่ส่องแสงสีเขียวเป็นเหมือนกับตะเกียงยามค่ำคืน ดวงตาก็กลอกกลับไปมา ราวกับมองหาทุกสิ่งที่อยู่ละแวกนั้น


ภาพ  Dullahan 
ที่มา : https://www.cmxseed.com/

ต้นกำเนิดของดูลาฮาน ปรากฏบนตำนานพื้นเมืองของชาวไอริสหลายเรื่อง แต่เรื่องที่เป็นที่รู้จักกันมากที่สุดมาจากตำนานของเคลติก คือ เรื่อง  Sir Gavain and the Green Knight ซึ่งในเนื้องเรื่องได้กล่าวไว้ว่า อัศวินมรกตได้ทำการท้าเซอร์กาเวน หนึ่งในอัศวินโต๊ะกลมให้ต่อสู้กัน ด้วยเงื่อนไขที่ว่าใครก็ตามที่ตายในครั้งนี้ จะถือว่าเป็นการตายเอง ไม่มีผู้ใดสังหาร ด้วยกฎ “a year andone day” ซึ่งถ้าพ่ายแพ้จะหมายถึงการสูญเกียรติแห่งนักรบ แต่เซอร์กาเวนก็ยังรับคำท้านี้  เซอร์กาเวนรับขวานมาจากอัศวินมรกตและต่อสู้กัน ใช้เวลาไม่นาน เขาก็ฟันหัวอัศวินมรกตขาดในฉับเดียว! ด้วยเหตุนี้ เพื่อเป็นการรักษาสัญญาที่ว่าผู้แพ้ จะต้องตายด้วยกฎ “a year and one day” อัศวินมรกตจึงก้มลง หิ้วหัวตนเอง และควบทยานม้าออกไป เพื่อไม่ให้ใครรู้ว่าตนสิ้นใจด้วยคมดาบแห่งเซอร์กาเวน ทางด้านเซอร์กาเวนก็ถึงกับทึ่งในสัจจะของอัศวินมรกต จึงเล่าเรื่องของอัศวินมรกตให้กษัตริย์อาเธอร์ฟัง พอกษัตริย์อาเธอร์ได้ฟังจึงเล่าเรื่องนี้ต่อๆ ไป เพื่อยกย่องเซอร์กาเวนในความเก่งกาจและความซื่อสัตย์ของอัศวินมรกต


ภาพอัศวินเขียวจากตำนาน Sir Gavain and the Green Knight

อีกเรื่องเล่าหนึ่งของชาวเคลต์ ที่กล่าวถึงต้นกำเนิดของ ดูลาฮาน  เป็นเรื่องเล่าเก่าแก่ที่กล่าวถึง “ครอบ คับห์” (Crom Dubh) เทพแห่งความอุดมสมบูรณ์ การผสมพันธุ์ เทพผู้สร้าง เทพแห่งความมืด และอีกหลายๆ ชื่อที่เรียกขานเทพองค์นี้ ซึ่ง ครอบ ดีับห์ เป็นเทพที่ผู้คนให้การนับถือมากมายในแถบไอร์แลนด์ โดยเฉพาเหล่ากษัตริย์ เช่น คิงไทเคอร์มาส (King Tighermas) ในแต่ละปี คิงไทเคอร์มาสจะทำพิธีบูชายัญเพื่อให้ ครอม ดับห์ พอใจและมอบความอุดมสมบูรณ์แก่บ้านเมือง การบูชายัญนี้ดำเนินมาตลอดจนกระทั่ง ศตวรรษที่ 6 ชาวคริสต์เข้ามาที่ไอร์แลนด์ และยกเลิกการบูชายัญเพราะถือว่าเป็นสิ่งผิดมนุษยธรรม ทุกคนเชื่อและยกเลิกการบูชายัญตั้งแต่ปีนั้นเป็นต้นมา

จากวันนั้นหลายปีต่อมาเหตุการณ์ดูเหมือนจะปกติ ทว่า ครอม ดับห์ กลับเริ่มไม่พอใจที่พวกมนุษย์หยุดการสักการะตน ทั้งยังทำท่าที่ว่าจะหลงลืม ดรอม ดับห์ จึงเนรมิตตนให้อยู่ในร่างมนุษย์ไร้ศีรษะเพื่อเตือนมนุษย์ให้ตระหนักถึงความตาย และพร้อมจะลงไปเยื่ยมให้มนุษย์ได้เห็น ทำให้ ดรอม ดับห์ ตัดสินใจหิ้วศีรษะของตนเอง แล้วควบม้าทะยานไปหาเหล่ามนุษย์ พร้อมกับเรียกขานชื่อของตนใหม่ว่า “ดูลาฮาน ” ซึ่งจะมอบความตายให้ทุกๆ ที่ที่ตนไปเยือน โดยเมื่อดูลาฮาน หยุดพักม้าที่หมู่บ้านใด ดูลาฮานจะเข้าไปในหมู่บ้านนั้นและทำสัญลักษณ์ซึ่งไม่มีวันลบได้ให้แก่บุคคลนั้น และหากในครั้งต่อมา ดูลาฮานหยุดพักม้าที่หมู่บ้านนั้นอีก คนที่ดูลาฮานทำสัญลักษณ์เอาไว้จะต้องสังเวยชีวิตให้แก่ดูลาฮาน

ดูลลาฮานในความเชื่อของชาวไอริสก็คือยมทูตไร้หัวซึ่งถ้าหากโดนทำสัญลักษณ์ หรือได้เห็นดูลาฮานก็จะพบเจอกับความตาย เชื่อกันว่าเขามักจะกลับมาล่าวิญญาณมนุษย์ในช่วงเดือนสิงหาคม หรือ วันฮัลโลวีน (Halloween Day) ซึ่งดูลาฮานจะควบม้าไปตามทางและเมื่อหยุดที่บ้านใคร แล้วนำเลือดสดๆ สาดใส่คนๆ นั้น คนๆ นั้นจะมีอันเป็นไป หรือดูลาฮานจะเข้าไปในบ้านนั้นแล้วทำสัญลักษณ์บนใบหน้าคนๆ นั้นด้วยเลือดสดๆ เพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่า ครั้งต่อไป จะได้มาเอาชีวิตได้ไม่ผิดคน แต่มีวิธีป้องกันตนเองจาก ดูลาฮานก็คือ การพกทองคำบริสุทธิ์ติดตัวไว้ ดูลาฮานผู้เก่งกาจพ่ายแพ้เพียงอยางเดียวคือ ทองคำบริสุทธิ์

โดยในปัจจุบันยังมีการบูชาคลอม ดับห์ในประเทศสวิตเซอร์เเลนด์และไอร์แลนด์อยู่ ในวันฮัลโลวีนชาวไอร์แลนด์และสวิตเซอร์เเลนด์ จะพากันพกเหรียญทองคำติดตัวและวางแจ็คโอเเลนเทิร์ล (Jack O Lantern)ไว้หน้าบ้านเพื่อป้องกันภูติผีปีศาจ


อ้างอิง

BeelzeBufo. ( 2554) .  ดูลาฮาน. Dek-D.สืบค้นเมื่อ 10 กุมภาพันธ์ 2563, จาก : https://my.dek-d.com/0012/writer/viewlongc.php?id=446421&chapter=220

blogspot.com.(2559). ตำนานและเรื่อลึกลับสากล ดูลาฮาน (Dullahan). สืบค้นเมื่อ 10 กุมภาพันธ์ 2563, จาก : http://ghostnamping.blogspot.com/2016/12/blog-post.html

Prayad.  (2557).อิงเรื่องจริงสารคดี. thaipoem. สืบค้นเมื่อ 10 กุมภาพันธ์ 2563, จาก : http://www.thaipoem.com/เรื่องสั้น-นิยาย/อิงเรื่องจริง-สารคดี/44063

Prayad.  2557.  อิงเรื่องจริงสารคดี. thaipoem.สืบค้นเมื่อ 10 กุมภาพันธ์ 2563, จาก :  http://www.thaipoem.com/เรื่องสั้น-นิยาย/อิงเรื่องจริง-สารคดี/44064

อ่านเพิ่มเติม »

ปอมเปอี (Pompeii) สุสานแห่งความเจริญรุ่งเรือง

โดย ฐาปนี รอดคำวงศ์

ก่อนที่เมืองปอมเปอีจะจมหายไปตลอดกาลจากเหตุการณ์ระเบิดของภูเขาไฟวิสุเวียส ในปี ค.ศ. 79 ซึ่งเป็นเวลา 1500 ปี กว่าที่เมืองปอมเปอีจะถูกค้นพบ ในอดีตเมืองนี้เคยเป็นเมืองท่าที่เจริญรุ่งเรืองเมืองหนึ่งของอาณาจักรโรมันและถือเป็นเมืองตากอากาศยอดนิยมของชาวโรมัน ตัวเมืองมีการวางผังเมืองเป็นระเบียบ มีสาธารณูปโภคที่ขึ้นชื่อและวิหารบูชาเทพเจ้ามากมาย อารยธรรมเหล่านี้ล้วนแสดงให้เห็นถึงความเจริญรุ่งเรืองของอาณาจักรโรมันในอดีตได้เป็นอย่างดี


House of the Faun ที่เมือง Pompeii – ที่พักที่ร่ำรวยที่สุดของปอมเปอี

ปอมเปอี (Pompeii) ตั้งอยู่ใกล้กับเมืองเนเปิลส์ ทางตอนใต้ของประเทศอิตาลี ตัวเมืองมีการสร้างกำแพงล้อมรอบและมีการวางผังเมืองอย่างดี ถือว่าเป็นเมืองที่สวยงามคล้ายภาพวาดเพราะตั้งอยู่ริมอ่าวเมเปิ้ลและเป็นเมืองที่มีภูเขาใหญ่ มีต้นไม้ซึ่งก็คือ ภูเขาไฟวิสุเวียส เอกลักษณ์ของเมืองนี้คือ ชาวโรมันที่มีฐานะร่ำรวยมักสร้างบ้านพักตากอากาศตามชายฝั่งทะเลและเชิงเขาวิซูเวียสเพื่อเข้ามาพักผ่อนในฤดูร้อนจนทำให้กลายเป็นเมืองตากอากาศยอดนิยมของชาวโรมัน นอกจากนี้ยังมีการลงทุนทำการค้าขาย ทำไร่องุ่นและผ้าขนสัตว์รวมทั้งสินค้าหัตถกรรมมากมาย ทำให้เมืองปอมเปอีกลายเป็นศูนย์กลางการค้าและเจริญรุ่งเรืองอย่างมาก เห็นได้จากในเมืองมีอาคารสาธารณะต่างๆ สถาปัตยกรรมที่สวยงาม เช่น โรงอาบน้ำ โรงละคร ฟอรัมเมืองปอมเปอี ที่นับว่าเป็นจุดศูนย์กลางของเมือง มีตลาด ที่ทำการของรัฐและเทวสถานหลายแห่ง เช่น เทวสถานจูปีเตอร์ เทวสถานอพอลโล ฟอรัมแห่งนี้นับว่ามีความใหญ่โตมากที่สุดแห่งหนึ่งของอาณาจักรโรมันโบราณ โดยเวลานั้นมีประชากรอาศัยอยู่ราว 20,000 คน


ร่างปูนปลาสเตอร์ที่อยู่ในท่าทางใช้มือปิดปากปิดจมูก

จนเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม ค.ศ.79 ขณะที่ชาวเมืองกำลังจัดงานเฉลิมฉลองเพื่อบูชาเทพเจ้าแห่งไฟอยู่นั้น ภูเขาไฟวิซูเวียสเกิดระเบิดขึ้นเมื่อเวลาประมาณ 13.30 น. เกิดฝุ่นควันและก๊าซพิษจำนวนมหาศาลถูกพ่นออกมาประกอบกับกระแสลมที่พัดพามันไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งอยู่ใกล้เมืองปอมเปอีพอดี เมืองจึงได้รับผลกระทบจากภูเขาไฟระเบิดอย่างมาก ภายในเวลาเพียงไม่กี่นาทีท้องฟ้าทั่วทั้งเมืองถูกปกคลุมด้วยฝุ่นควันและเกิดท้องฟ้ามืดไปทั้งเมือง ไม่นานนักเศษดินและหินที่ลอยออกมากับฝุ่นควันก็เริ่มจับตัวกันแล้วเริ่มร่วงลงมาสู่เมืองปอมเปอี มีชาวเมืองจำนวนมากที่พยายามหนีออกจากเมืองและบางส่วนไปหลบในบ้านหรือในสถานที่ส่วนรวมแต่มีไม่มากนักที่รอดชีวิต ชาวปอมเปอีจำนวนมากหายใจไม่ออกเพราะ สำลักก๊าซพิษที่ภูเขาไฟพ่นออกมาหรือหินพัมมิซตกลงใส่หัวจนล้มลงหมดสติและเสียชีวิตในที่สุด

เช้าของวันที่ 25 วิซูเวียสระเบิดแรงขึ้น แรงสั่นสะเทือนทำให้เกิดคลื่นแรงในทะเลซัดพังสร้างความเสียหายแก่บ้านพักตากอากาศหลายหลัง  วันต่อมาการระเบิดยังคงมีอยู่แต่เบาลงกว่าสองวันแรก แต่ก็เกิดฝนตกลงมาบริเวณลาดเขาซึ่งเต็มไปด้วยเถ้าถ่านที่ร้อนจัดทำให้น้ำฝนผสมกับเถ้าถ่านกลายเป็นโคลนเดือดไหลลงมากลบเมืองเฮอร์คิวเลเนียม ทำให้เมืองนี้ถูกฝังอยู่ใต้หินและมีชาวเมืองหลายร้อยคนเสียชีวิตแต่เป็นเพียงส่วนน้อยเพราะ ส่วนใหญ่ได้อพยพออกไปก่อนแล้ว  การระเบิดของภูเขาไฟวิสุเวียสไม่เหมือนกับการระเบิดของภูเขาไฟทั่วไปแต่เป็นการระเบิดครั้งนี้เป็นแบบพลิเนียนจึงมีหินภูเขาไฟตกลงมาราวกับฝนและก้อนหินที่ค่อยๆทับถมเมืองปอมเปอีกับผู้คนที่อยู่ภายในเมืองนับหมื่นให้จมลงพร้อมกัน

การขุดซากเมืองปอมเปอี เริ่มขึ้นในปี ค.ศ. 1784 โดยตระกูลบูร์บง จนในปี 1860 กุยเซปเป ฟีโอเรลลี พบวิธีการสำรวจซากเมืองปอมเปอี คือ การเจาะรูเข้าไปในโพรงขี้เถ้าและเทปูนพลาสเตอร์ลงไป รอให้แห้งแล้วขุดขึ้นมาทำให้เห็นท่าทางสุดท้ายของชาวเมืองจำนวนมากที่เสียชีวิตภายใต้เศษเถ้าจากภูเขาไฟท่วมทับ มีบางคนอยู่ในท่าทางคล้ายกับกำลังสวดมนต์และมีหลายรายที่อยู่ในอาการใช้มือปิดปากปิดจมูก  นอกจากนี้ยังพบทรัพย์สินที่อยู่ข้างกายของผู้เสียชีวิตซึ่งบ่งบอกฐานะทางสังคมของแต่ละคน เช่น โครงกระดูกที่มีตุ้มหูหรือสร้อยทองคำ ส่วนทาสสามารถสังเกตได้จากโซ่ที่ล่ามข้อมือไว้ เป็นต้น เนื่องจากมีการขุดค้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปลายปี ค.ศ. 1760 ทำให้เปิดสิ่งที่ทับถมออก ทำให้เห็นสภาพเมืองทั้งถนนและอาคาร บ้านเรือนต่างๆ เช่น คฤหาสน์ วิหารเทพเจ้าจูปิเตอร์และอพอลโล ลานจัตุรัสฟอรัมที่เป็นศูนย์กลางของเมืองซึ่งแสดงให้เห็นถึงความรุ่งเรืองของเมืองปอมเปอี

บางแหล่งก็กล่าวไว้ว่า เหตุที่เมืองปอมเปอีต้องเจอกับเหตุการณ์น่าสลดใจเช่นนี้ นั่นเพราะเป็นเมืองคนบาปที่ถูกพระเจ้าลงโทษ แม้ว่าในเมืองจะเต็มไปด้วยวิหารบูชาเทพเจ้าแต่ก็น่าเศร้าที่เทพเจ้าไม่สามารถที่ช่วยให้พวกเขารอดพ้นจากเหตุการณ์นี้ได้เลยแม้แต่น้อย นี่เป็นที่สิ่งที่เตือนใจทุกคนในเรื่องความไม่เที่ยงแท้ของชีวิต เราไม่มีวันรู้ตัวล่วงหน้าว่าวันพรุ่งนี้จะเกิดเหตุการณ์อะไรกับเรา บางทีอาจประสบชะตากรรมเดียวกันกับเหตุการณ์ปอมเปอีในอดีตก็เป็นได้

ปัจจุบันเมืองปอมเปอีได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมของยูเนสโกตั้งแต่ปี 1997 และเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของอิตาลี นับได้ว่าเป็นเมืองโรมันโบราณแห่งหนึ่งของโลกที่แม้ว่าจะมีอายุเก่าแก่แต่สถาปัตยกรรมต่างๆ กลับคงอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์มาก


อ้างอิง

กระปุกดอทคอม.(2559). ปอมเปอี ประวัติ โศกนาฏกรรมแห่งเมืองภูเขาไฟ อิตาลี (ออนไลน์). สืบค้นเมื่อ 9 กุมภาพันธ์ 2563, จาก : https://hilight.kapook.com/view/

ไทยรัฐออนไลน์.(2557). มหาวิบัติปอมเปอี (ออนไลน์). สืบค้นเมื่อ 10 กุมภาพันธ์ 2563, จาก : https://www.thairath.co.th/content/403745

JINTANA.(2557). สุสานแห่งความเจริญรุ่งเรือง “ปอมเปอี” (Pompeii)1 (ออนไลน์). สืบค้นเมื่อ 9 กุมภาพันธ์   2563, จาก : https://bit.ly/38g4WJ5

Travel.trueid. (2559). ปอมเปอี นครแห่งความตาย เปิดกรุ สุสานใต้ลาวา (ออนไลน์). สืบค้นเมื่อ 9   กุมภาพันธ์ 2563, จาก : https://bit.ly/2tMpRob
     
                                                                   


อ่านเพิ่มเติม »

อพอลโล (Apollo) เทพแห่งดวงอาทิตย์

โดย ชญานิน ลีลาศ

สมัยโบราณมนุษย์ยังไม่ทราบถึงปรากฏการณ์ทางธรรมชาติต่าง ๆ เช่น พายุฝนฟ้าคะนอง น้ำท่วม หรือแผ่นดินไหว เป็นต้น ปรากฏการณ์เหล่านี้ทำให้เกิดความกลัว และสร้างความเดือดร้อนเป็นอย่างมาก จึงมีความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องราวของเหล่าเทพเจ้าเกิดขึ้น เพื่อเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจของตน โดยเชื่อว่าเทพเจ้าควรได้รับการสักการะบูชา และเทพเจ้าจะเฝ้ามอง ปกป้อง และคอยช่วยเหลือพวกตน อีกทั้งยังคอยลงโทษผู้ที่พระพฤติตนไม่ดีอีกด้วย ชาวกรีกโบราณก็คิดเช่นกัน อีกทั้งพวกเขายังมีความเชื่อในของเรื่องเทพเจ้าเป็นอย่างมากเช่น การเกษตร การทำศึกสงคราม การแพทย์ หรือการดนตรี เป็นต้น ไม่ว่าสิ่งใดก็ล้วนเกี่ยวข้องกับเรื่องราวของเหล่าเทพเจ้าทั้งสิ้น


Apollo Belvedere

เทพอพอลโลเป็น 1 ใน 12 มหาเทพแห่งโอลิมปัส บุตรของซุส มหาเทพแห่งท้องฟ้าและนางเลโต
โดยอพอลโลเป็นเทพแห่งดวงอาทิตย์ แสงสว่าง การดนตรี สัจจะ และการแพทย์อีกด้วย อพอลโลถือได้ว่าเป็นเทพเจ้าหนุ่มรูปงาม มีน้องสาวฝาแฝดคือ เทพีอาร์เทมีส (โรมันคือไดอาน่า) ซึ่งเป็นเทพีแห่งดวงจันทร์และการล่าสัตว์อีกด้วย

เดิมสุริยเทพของกรีกคือ ฮีลิออส บุตรของไฮเพอร์เรียน ซึ่งเป็นเทพไทแทน เมื่อเหล่าเทพไทแทนสิ้นอำนาจ และเหล่าเทพเจ้าขึ้นปกครองแทน ชาวกรีกจึงหันมานับถือเทพอพอลโลแทนฮีลิออส

เมื่อนางเลโตมารดาของอพอลโลตั้งครรภ์ นางถูกทำร้ายโดยเทพีเฮร่า เหตุเพราะนางเป็นที่ต้องตาต้องใจของเทพซุส ทำให้นางเลโตต้องอุ้มครรถ์หนีงูไพธอน งูยักษ์ของเทพีเฮร่าที่ส่งมาทำร้ายนางและด้วยคำกล่าวของเทพีเฮร่าที่ว่า ห้ามทุกพื้นที่บนแผ่นดินนี้ให้พี่พักแก่เลโตในการคลอดบุตร ทำให้นางต้องเร่ร่อนไปมาเพื่อหนีงูไพธอน ทั้งยังไม่สามารถหาที่พักพิงในการคลอดบุตรได้ เมื่อนางเลโตได้เดินทางไปถึงเกาะดีลอส เทพโพไซดอนเกิดความสงสารจึงบันดาลให้เกิดเกาะน้องผุดขึ้นในทะเล ซึ่งไม่ได้อยู่ในพื้นที่คำกล่าวของเทพีเฮร่า นางเลโตจึงสามารถให้กำเนิดบุตรได้ เป็นคู่แฝดชายหญิงคือ เทพอพอลโลและเทพีอาร์เทมีสนั่นเอง

เมื่ออพอลโลถือกำเนิดได้ไม่นาน อพอลโลก็ได้ทำการฆ่างูไพธอน เพราะเหตุนี้บางครั้งเทพอพอลโลก็ถูกเรียกว่า ไพธูส แปลว่า ผู้ประหารไพธอน นอกจากนี้อพอลโลยังมีชื่อเรียกอื่น ๆ อีกมากมาย เช่น ชื่อตามสถาณที่เกิดว่า ดีเลียน หรือฟีบัส ที่แปลว่า แสงสว่าง โดยฟีบัสมักใช้รวมกันกับชื่อของเทพอพอลโล รวมเป็น ฟีบัส อพอลโล

อพอลโลเป็นเทพผู้เก่งกาจ และได้ทำการสังหารศัตรูและสัตว์ดุร้ายต่าง ๆ มากมาย เช่น งูยักษ์ไพธอน ,ยักษ์อโลอาดีและอีฟิอัลทิส ผู้สืบเชื้อสายจากราชวงศ์ไทแทน ที่หวังจะฟื้นคืนราชวงศ์ไทแทนกลับมา ก็ล้วนถูกจัดการด้วยฝีมือของเทพอพอลโลทั้งสิ้น

นอกจากสังหารเหล่าศัตรูและสัตว์ดุร้ายแล้ว เทพอพอลโลยังถือเป็นนักขับกล่อมดนตรีให้แก่เหล่าเทพโอลิมปัสอีกด้วย เทพอพอลโลมักจะถือพิณด้วยมือข้างหนึ่ง และอีกข้างหนึ่งถือคันธนู ซึ่งธนูของเทพอพอลโลนั้นสามารถยิงได้ไกลและแม่นยำเป็นอย่างมาก ทำให้ได้รับสมญานามว่า เทพแห่งธนู อีกทั้งอพอลโลยังเป็นเทพผู้ถ่ายทอดวิชาศิลป์ให้แก่เหล่ามนุษย์

เทพอพอลโลชื่นชอบการเล่นเล่นพิณเป็นอย่างมาก โดยอพอลได้รับพิณมาจากเฮอร์เมสเทพแห่งการสื่อสาร การเดินทาง และหัวขโมย สาเหตุมาจากเฮอร์เมสได้ทำการขโมยวัวของเทพอพอลโลไปซ่อน ทำให้อพอลโลโกรธเป็นอย่างมาก แต่เฮอร์เมสไถ่โทษด้วยการประดิษฐ์พิณชิ้นแรกของโลกให้แก่อพอลโล พิณนี้มีเสียงบรรเลงที่ไพเราะและถูกใจอพอลโลเป็นอย่างมาก จึงยอมคืนดีกับเฮอร์เมสเพื่อแลกกับพิณ

อพอลโลเป็นเทพหนุ่มที่มีรูปโฉมงดงามที่สุด เรียกได้ว่าเป็นตัวแทนของเพศชายชาวกรีกที่งดงามที่สุดเลยก็ว่าได้ โดยอพอลโลได้มีความรักมายมากไม่แพ้ซุสพ่อของตน ไม่ว่าจะทั้งเทพ เทพี มนุษย์ชายหรือหญิง อีกทั้งยังมีบุตรธิดาไม่น้อยกับความสัมพันธ์เหล่านี้

ตำนานของอพอลโลและสนมนางโคโรนิส ธิดาแห่งฟลีจีอัส ราชาแห่งเธสซาลี ในขณะที่นางตั้งครรภ์นางได้เล่นชู้กับชายนามว่าอิสคีส ซึ่งอพอลโลได้ให้อีกา (บางตำนานกล่าวว่าเป็นนกดุเหว่า) เฝ้านางเอาไว้ เมื่ออีกามาบอกข่าว อพอลโลโกรธเป็นอย่างมาก จึงได้ทำการสาปอีกาจากสีขาวเป็นสีดำ และทำการฆ่าโคโรนิส อีกทั้งยังเอาทารกออกมาก่อนเผาศพของนาง นั่นคือเอสคิวเลปิอัส โดยนำเขาไปให้ไครอน ซึ่งเป็นเซนทอร์ที่เชี่ยวชาญในเรื่องวิชาต่าง ๆ เลี้ยงดู

เอสคิวเลปิอัสเป็นคนฉลาด อีกทั้งยังเก่งเรื่องของการเยียวยารักษาโรคต่าง ๆ ไม่มีโรคใดที่เขารักษาไม่ได้ ทั้งยังสามารถทำให้คนตายกลับมามีชีวิตได้อีกครั้ง ชื่อเสียงของเขาแพร่กระจายไปอย่างกว้างใหญ่ไพศาล ฮาเดสเทพเจ้าแห่งความตายและใต้พิภพจึงได้ปรึกษาซุสว่า การฟื้นคืนชีพผู้คนของคิวเลปิอัสจะทำให้โลกรวน และมีผลกระทบกับจัดการเหล่าวิญญาณคนตาย ซุสได้ฟังดังนั้นจึงทำการฆ่าคิวเลปิอัส ด้วยสายฟ้าอาวุธของตน และได้ทำการเปลี่ยนคิวเลปิอัสเป็นกลุ่มดาว เมื่ออพอลโลรู้ถึงการตายของคิวเลปิอัสเขาโกรธเป็นอย่างมาก แต่เพราะไม่สามารถทำอะไรซุส ผู้เป็นพ่อได้ จึงทำการยิงธนูฆ่ายักษ์ไซคลอปส์ที่ประดิษฐ์สายฟ้าของซุสแทน ซุสได้ลงโทษอพอลโลด้วยการเนรเทศให้มาอยู่โลกมนุษย์และเป็นทาสรับใช้มนุษย์เป็นเวลา1ปี



ตำนานความรักของอพอลโลที่เป็นที่น่าจดจำอีกตำนานหนึ่งคือ เรื่องราวความรักของอพอลโลและนิมพ์ดาฟนี (นิมพ์คือสตรีที่เป็นตัวแทนสิ่งต่าง ๆ ในธรรมชาติ) เล่ากันว่าดาฟนีเป็นธิดาของเพอนีอัส เทพแห่งแม่น้ำ อพอลโลเมื่อได้เนนางก็ตกหลุมรักแต่แรกพบ อพอลโลได้เดินไปหาดาฟนีแต่นางหันมาพบเขาก่อน ดาฟนีรู้ทันจึงได้หนีอพอลโลขึ้นไปบนภูเขา อพอลโลได้ไล่ตามนางไปอย่างไม่ลดละ เมื่อเขาจวนจะขว้าตัวนาง ดาฟนีได้องขอให้เพอนีอัสพ่อของนางช่วย เพอนีอัสรับรู้คำขอของนางด้วยญาณ จึงได้ทำการเสกนางให้กลายเป็นต้นลอเรล เปลือกไม้เริ่มงอกปกคลุมผิวกาย แขนและมือกลายเป็นกิ่งและใบ นิ้วเท้ากลายเป็นราก ดวงหน้าอันงดงามของดาฟนีถูกฝังไว้กับยอดไม้ ทันทีที่อพอลโลคว้านาง เขาก็สัมผัสได้ถึงเปลือกไม้ นางกลายเป็นต้นไม้ไปต่อหน้าต่อตา เมื่อความรักของเขาไม่สมหวัง อพอลโลจึงได้ทำการรับต้นลอเรลเป็นต้นไม้ประจำตัวและเป็นสัญลักษณ์ของตน อีกทั้งมงกุฏลอเรลยังเป็นสัญลัษณ์แห่งชัยชนะอีกด้วย

อพอลโลรักไฮยาซินธัส เจ้าชายจากลาเคไดโมเนีย แต่เซฟีรัส เทพแห่งลมตะวันตกเกิดความอิจฉา ในขณะที่อพอลโลและไฮยาซินทัสเล่นขว้างจักรกัน เซฟีรัสจึงให้ให้จักรของอพอลโลไปโดนศรีษะของไฮยาซินทัสจนเสียชีวิต อพอลโลเสียใจมากจึงเปลี่ยนให้ไฮยาซินทัสเป็นดอกไม้ หรือดอกไฮยาซิน

อพอลโลเป็น1ใน 12 เทพแห่งโอลิมปัส โดยเป็นบุตรชายของมหาเทพซุส เทพแห่งท้องฟ้า และนางเลโต อพอลโลเป็นเทพแห่งดวงอาทิตย์ แสงสว่าง การดนตรี สัจจะ และการแพทย์ โดยทั่วไป รูปปั้นอะพอลโล จะถือเครื่องดนตรีคล้ายพิณและมีลูกบอลทองคำ ที่เป็นสัญลักษณ์ของดวงอาทิตย์ ปัจจุบัน อพอลโลเป็นชื่อที่ถูกอ้างอิงบ่อย ๆ ในทางที่เกี่ยวกับแสงสว่างหรือความสำเร็จ เช่น เป็นชื่อปฏิบัติการ ทางอวกาศ ของนาซาที่เรียกว่า โครงการอพอลโล เป็นต้น


อ้างอิง

12 เทวสภาเเห่งยอดเขาโอลิมปัส. (2557). อพอลโล (Apollo). สืบค้นเมื่อ 6 มกราคม 2562. จาก:  https://sites.google.com/site/12thewsphaehengyxdkheaxolimpas/12-the-wsph-aeheng-yxd-khea-xo-limpas/4-x-phxllo-apollo

ตำนานดีๆ. (2558). เทพอพอลโล (Apollo) แทพแห่งดวงอาทิตย์. สืบค้นเมื่อ 6 มกราคม 2562. จาก: https://www.tumnandd.com/

ADMIN. (2553). อพอลโล (Apollo) เทพแห่งแสงสว่าง หรือ เทพแห่งดวงอาทิตย์. สืบค้นเมื่อ 6 มกราคม 2562. จาก: http://variety.phuketindex.com/faith/

สำนักงานบริหาร สภากาชาดไทย. (2563)..เทพเจ้ากรีก. สืบค้นเมื่อ 13 เมษายน 2563. จาก: https://adminis.redcross.or.th/

ADMIN. (2562).ตำนานอพอลโล (Apollo) เทพแห่งแสงอาทิตย์ และดวงอาทิตย์ ตอนที่ 2. สืบค้นเมื่อ 13 เมยายน 2562. จาก: https://trvsdjam.com/2019/10/05/

อ่านเพิ่มเติม »

นครลึกลับใต้พิภพแห่งคัปปาโดเจีย (Cappadocia)

โดย มัลลิกา นาคเล็ก

หากพูดถึงประเทศ ๆ หนึ่งในตะวันออกกลางอย่าง “ตุรกี” ผู้คนส่วนใหญ่ก็อาจจะนึกถึงเทศกาลบอลลูน ซึ่งมีชื่อเสียงอย่างมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมือง คัปปาโดเจีย (Cappadocia) ซึ่งเป็นเมืองที่มีการปล่อยบอลลูนมากที่สุดในตุรกี คัปปาโดเจียมีความสำคัญมาแต่โบราณกาล เป็นบริเวณที่อยู่ระหว่าง ทะเลดำ กับ ภูเขาเทารุส เป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางสายไหม เมืองแห่งนี้ยังเป็นพื้นที่พิเศษที่เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟเมื่อประมาณ 3 ล้านปีมาแล้ว ทำให้ลาวาที่พ่นออกมาและเถ้าถ่านจำนวนมหาศาลกระจายไปทั่วบริเวณ ทับถมเป็นแผ่นดินชั้นใหม่ และสลับกับการถูกปกคลุมด้วยหิมะขึ้นมาอย่างยาวนาน ทำให้ดินแดนแห่งนี้มหัศจรรย์เป็นเอกลักษณ์งดงามดูแปลกตา โดยทั้งหมดถูกรังสรรค์โดยธรรมชาติ


เมืองคัปปาโดเจีย
ที่มา : http://www.pentorexchange.com/

คัปปาโดเจีย  (Cappadocia ) เป็นชื่อเก่าแก่ภาษาฮิตไตต์ (ชนเผ่ารุ่นแรกๆ ที่อาศัยอยู่ในดินแดนแถบนี้) แปลว่าดินแดนแห่งอาชาที่แสนงามสง่า (The Land of Beautiful Horses) ซึ่งเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ในเขตอนาโตเลียตอนกลางของประเทศตุรกี (ระหว่างทะเลดำกับภูเขาเทารุส) มีภูมิประเทศที่แปลกตา เต็มไปด้วยหินรูปแท่งกรวย ปล่อง กระโจม โดม และอีกสารพัดรูปทรง ดูเสมือนดินแดนในเทพนิยาย จนคนพื้นเมืองเรียกหินรูปทรงแปลกประหลาดนี้ว่า “ปล่องไฟนางฟ้า” (Fairy Chimneys)

และหากพูดถึงเมืองแห่งนี้อีกหนึ่งสถานที่ที่มิอาจมองข้ามได้นั่นคือ “นครลึกลับใต้พิภพ” เนื่องจากเมืองใต้ดินในคัปปาโดเจียและพื้นที่รอบ ๆ ว่ากันว่าอาจจะมีจำนวนมากกว่าห้างในกรุงเทพ ฯ ของเราด้วยซ้ำ เพราะปัจจุบันมีการค้นพบแล้วมากกว่า 30 แห่ง โดยเมืองใต้ดินขนาดใหญ่สามารถบรรจุคนได้หลายหมื่นคน มีการแบ่งสันปันส่วนที่พัก คอกสัตว์ ห้องเก็บไวน์ ห้องอาหาร ห้องครัว ห้องหมักเหล้า ศาสนสถาน รวมถึงพื้นที่ฝังศพ โดยมีระบบระบายอากาศครบครันถึงระดับความลึกกว่า 60 เมตร


ห้องภายในใต้ดิน

สาเหตุของการเกิดถ้ำใต้ดินนั่นเพราะในช่วงราวศตวรรษที่ 1 ก่อนคริสตกาล คัปปาโดเจียตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของอาณาจักรโรมัน ผู้คนแถบนี้ล้วนต่างเคารพบูชาในเทพเจ้าของกรีกและโรมัน กระทั่งประมาณกลางคริสต์ศตวรรษที่ 1 “เซนต์ปอล” ได้เดินทางมาเผยแผ่ศาสนาคริสต์ในแถบนี้ แต่ดูเหมือนว่าชาวโรมันผู้ปกครองในยุคนั้นจะปฏิเสธและไล่กำจัดทำลายล้าง ผู้ที่นับถือคริสต์ต้องหลบซ่อนการรังควานของพวกโรมันด้วยการเจาะถ้ำขุดพื้นดินลงไปเป็นอุโมงค์โถงห้อง เกิดเป็นเมืองใต้ดินขึ้นมา ที่สำคัญคือ พวกเขาได้ขุดเจาะบริเวณเกอเรเม่ทำเป็นโบสถ์ถ้ำขึ้นมาเป็นจำนวนมาก

ทางตอนใต้ของเมืองคัปปาโดเกียมีเมืองใต้พิภพที่มีชื่อเสียงเป็นอย่างมากเรียกว่าเมืองใต้พิภพไคมัคลี  (Kaymakli Underground City) ถือเป็นเมืองใต้ดินโบราณที่ใหญ่ที่สุดในโลกมีอายุราวๆ 4,000-5,000ปี ทั้งหมดของเมืองอยู่ใต้ดิน เมืองใต้ดินแห่งนี้ขุดลึกลงไปมากกว่า 10 ชั้น ห้องที่อยู่ลึกที่สุดมีความลึกประมาณ 85 เมตร และภายในเมืองใต้ดินยังแบ่งซอยเป็นห้องย่อย และยังมีการขุดเชื่อมกันระหว่างแต่ละเมืองอีกด้วย


แผนผังเมืองใต้ดิน

ซึ่งภายในเมืองใต้ดินมีห้องอำนวยความสะดวกครบทุกอย่างไม่ว่าจะเป็น ห้องนอน ห้องน้ำ ห้องอาหาร ห้องประชุม คอกสัตว์ โบสถ์  บ่อน้ำ บางห้องเป็นห้องโถงกว้าง ว่ากันว่าสามารถจุคนได้มากกว่า 30,000 คน รวมถึงมีโพรงระบายอากาศอย่างดี ทำให้ไม่ร้อนไม่หนาวจนเกินไป การขุดเจาะพื้นดินลึกลงไป 10 กว่าชั้น เพื่อใช้เป็นที่หลบภัยจากข้าศึกศัตรู ในยามสงครามซึ่งการลงไปอยู่ใต้ดินไม่ออกมาเห็นแสงตะวันเลยนั้นนานถึง 6 เดือนถึงหนึ่งปี นับเป็นสิ่งไม่ธรรมดาเลยทีเดียว บริเวณนี้มีเมืองใต้ดินอยู่หลายแห่ง บางแห่งมีอุโมงค์ลับเชื่อมถึงกัน หากศัตรูค้นพบเมืองใต้ดินแห่งนึง ผู้คนก็จะหลบหนีไปเมืองใต้ดินอีกเมืองหนึ่งด้วยอุโมงค์ลับนี้เองของชาว คัปปาโดเจียในอดีต โดยทั้งจากชาวอาหรับจากทางตะวันออกที่ต้องการเข้ามายึดครองดินแดนนี้ เพื่อหวังผลประโยชน์ทางการค้า และชาวโรมันจากทางตะวันตกด้วยเหตุผลเดียวกัน รวมทั้งต้องการที่จะหยุดยั้งการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ในดินแดนแถบนี้
       

ห้องภายในใต้ดิน


โบสถ์คริสต์ ณ ห้องใต้ดิน

ผู้คนสมัยก่อนขุดสร้างนครใต้ดินนี้ได้อย่างไร จากข้อมูลพื้นดินรอบ ๆ จะมีสีที่แตกต่างมีทั้งดินที่ดูเหลือง และแดง เหตุเพราะว่ามีภูเขาไฟที่ยังระอุ 3 ลูกล้อมรอบคัปปาโดเจียเป็นพื้นที่สามเหลี่ยม ซึ่งการระอุเกิดขึ้นเมื่อ 3 ล้านปีก่อน ดังนั้นเมื่อเกิดการระเบิด เถ้าภูเขาไฟ (ทูฟา Tufa) จึงปกคลุมเมืองคัปปาโดเจีย เมื่อกาลเวลาผ่านไปเป็นล้านปี เถ้าเหล่านี้ปกคลุมเป็นชั้นที่หนา และแข็ง สถานะเป็นหินตะกอน ที่มีความไม่แข็งมาก ผู้คนจึงสามารถขุดเจาะลงไปสร้างเมืองได้โดยง่าย แต่หินนี้ก็แข็งแรงพอที่จะสร้างบ้านใต้ดิน จึงเห็นบ้านถ้ำเมืองถ้ำ ได้ในบริเวณนี้ เมื่อมีลมพัด ฝนตก หิมะตก ก็ได้เซาะหินเหล่านี้ทุกปีนับร้อย ๆ ปี จนรูปร่างหินเปลี่ยนไปตามกาลเวลา ทำให้บริเวณนี้เป็นดินแดนที่เป็นหนึ่งเดียวในโลกที่เราจะเห็นหินที่มีรูปร่างแตกต่างกันมากมาย


       
ในปัจจุบันเมืองคัปปาโดเจียได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติและวัฒนธรรม จากยูเนสโก (UNESCO) เมื่อปีค.ศ.1985 เนื่องด้วยสาเหตุที่เมืองแห่งนี้มีความสำคัญตั้งแต่โบราณกาล โดยในปัจจุบันยังมีคนอาศัยอยู่ในเมืองใต้ดิน  และทุกวันนี้บ้านหินเกือบทั้งหมดถูกทิ้งร้างเพื่อการอนุรักษ์ เพราะหินทูฟานั้นมีลักษณะเปราะบาง เพียงแค่สายลมพัดผ่านก็ทำให้บ้านเหล่านี้เสื่อมสภาพได้ แต่ถึงอย่างไรก็ยังมีโรงแรม ร้านอาหารที่รัฐบาลอนุญาติให้สร้างในภูเขาบางส่วน และก็ยังมีชุมชนโบราณบางส่วนที่ยังมีคนอาศัยอยู่จริงในหิน

ถือได้ว่าเมืองคัปปาโดเจียเป็นอีกแหล่งท่องเที่ยวหนึ่งที่สำคัญและไม่ควรพลาดที่จะมาเยี่ยมชมหากเดินทางมาเที่ยวที่ตุรกี เพราะเป็นสถานที่ที่น่าสนใจ น่ามาชมและศึกษามากมาย ไม่ว่าจะเป็นเกี่ยวกับความมหัศจรรย์ของธรรมชาติ วัฒนธรรมและวิถีชีวิตของผู้คนเมืองคัปปาโดเจียและที่เมืองใต้ดินแห่งนี้ และมากไปกว่านั้นเมืองใต้ดินแห่งนี้ยังสะท้อนให้เห็นถึงอารธรรมของมนุษย์ที่ย้อนไปหลายพันปี แสดงถึงความรู้และความเชี่ยวชาญในการสร้างผังเมืองและความรู้ทางวิศวกรรมของผู้คนสมัยโบราณว่าไม่ธรรมดา และน่าค้นหาเป็นอย่างยิ่ง


อ้างอิง

Oporshady. (2556). คัปปาโดเจีย อัศจรรย์ นครใต้พิภพ! .ค้นเมื่อ 5 กุมภาพันธ์ 2563,  จาก:
https://travel.mthai.com/world-travel/46251.html

Manasya. (2551). เยือนเมืองคัปปาโดเกีย .ค้นเมื่อ 5 กุมภาพันธ์  2563, จาก:
https://www.angelstartravel.com

Sakulrat Preedaphol. (ม.ป.ป.). CAPPADOCIA ประติมากรรมธรรมชาติโลกตะลึง .ค้นเมื่อ 5 กุมภาพันธ์  2563, จาก:  https://travel.mthai.com/world-travel/46251.html

บริษัท โอเชี่ยนสไมล์ทัวร์ จำกัด. (ม.ป.ป.). เมืองคัปปาโดเจีย มหานครใต้ดิน .ค้นเมื่อ 5 กุมภาพันธ์  2563,  จาก: http://www.oceansmile.com/Turkey/Cappadocia.shtml



อ่านเพิ่มเติม »

รัฐในอุดมคติของเพลโต

โดย วชิระ ศรีรัตนพาณิชย์

บนโลกของเราทุกอย่างมีที่มาที่ไปกันทั้งนั้น กฎหมายก็เช่นกัน โดยเฉพาะกฎหมายมหาชนซึ่งถือเป็นกฎหมายที่มีมายาวนาน กว่าจะได้รับอนุญาตให้นำมาใช้ได้ต้องมีการคิดแล้วคิดอีก คิดไตร่ตรองหลายรอบว่าดีแล้วหรือยัง จึงสามารถนำมาประกาศใช้ได้ ดังนั้นกฎหมายจึงยากที่จะเข้าใจ การที่จะเข้าใจถึงความหมายของกฎหมายได้นั้น จึงมีความจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้ถึงความเป็นมา ซึ่งในบทความรัฐในอุดมคติของเพลโตที่จะกล่าวต่อไปนี้ จะเป็นการอธิบายเกี่ยวกับแนวคิดของเขาที่มีต่อรัฐและระบบการปกครอง ซึ่งแนวคิดของเขานั้น ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการนำหลักกฎหมายมาใช้ในยุคอารยธรรมกรีก

กรีกในสมัยโบราณเป็นยุคที่แนวคิดเกี่ยวกับกฎหมายได้ถือกำเนิดขึ้น การปกครองของกรีกนั้นจะเป็นรูปแบบของการปกครองแบบนครรัฐ เช่น นครรัฐเอเธนส์ นครรัฐสปาร์ตา ในแต่ละนครรัฐมีรูปแบบการปกครองที่แตกต่างกันออกไป และเปลี่ยนรูปแบบไปเรื่อยๆ ตามกาลเวลา เริ่มต้นจากการที่ปกครองโดยกษัตริย์องค์เดียว ถัดมาเป็นการปกครองโดยอภิสิทธิ์ชน ต่อมาเป็นการปกครองในรูปของเผด็จการ และไปสู่การปกครองในรูปแบบประชาธิปไตย

การปกครองในรูปแบบที่หลากหลายของกรีก ทำให้เห็นความแตกต่างของแนวคิดทางการปกครอง ซึ่งส่งผลให้นักปราชญ์ในยุคนี้มีหน่อความคิดเกี่ยวกับแนวคิดทางกฎหมาย และหน่อความคิดนั้นก็ได้พัฒนาการจนกลายเป็นรากฐานและต้นกำเนิดของกฎหมาย ยุคอารยธรรมกรีกนั้นกฎหมายจะถูกเขียนในรูปของปรัชญามากกว่าในรูปของกฎหมาย ผู้ก่อตั้งแนวคิดเกี่ยวกับกฎหมายก็คือเหล่านักคิดนักปราชญ์ทั้งหลาย และหนึ่งในนั้นที่วางรากฐานเกี่ยวกับ “หลักนิติรัฐ” มีชื่อว่า เพลโต ลูกศิษย์ของโสเครติส


Plato

เพลโต (Plato) เป็นนักอุดมคติในยุคอารยธรรมกรีก หนังสือที่ได้รับการกล่าวถึงอย่างมากของเขา คือ Republic, Statesman และ Laws ทั้งสามเล่มเป็นแนวคิดทางการเมือง ซึ่งเขาได้ถ่ายทอดแนวคิดผ่านบทสนทนาของตัวละครที่อยู่ในหนังสือ

หนังสือเล่มแรก คือ The Republic เป็นหนังสือเกี่ยวกับแนวคิดของรัฐในอุดมคติ เป็นรัฐที่ผู้ปกครองจะต้องมีปัญญา มีความรู้ รู้จักว่าสิ่งไหนดีสิ่งไหนไม่ดี มีความสามารถในการชักชวนผู้คนให้ทำความดี ดังนั้น ผู้ที่ปกครองรัฐในอุดมคตินั้นจะต้องเป็นคนที่มีคุณธรรม มีศีลธรรมอันดี เพลโตเรียกมันว่า “ราชาปราชญ์” และผู้ปกครองจะต้องไม่มีครอบครัวและทรัพย์สิน เพื่อที่จะได้ตั้งตนในการทำสิ่งต่างๆ ให้แก่รัฐอย่างเต็มที่ ดังนั้นรัฐในอุดมคติของเพลโต จึงเป็นรัฐที่ไม่จำเป็นต้องมีกฎหมายใดๆ ทั้งสิ้น ใช้เพียงแค่ปัญญาและความสามารถของราชาปราชญ์ก็เพียงพอ ในด้านของการปกครองนั้น เขาได้กล่าวว่าการปกครองแบบประชาธิปไตยเป็นระบบการปกครองที่แย่ การปกครองที่ดีที่สุดคือ การปกครองแบบราชาธิปไตย เป็นการปกครองที่มีกษัตริย์ที่เป็นนักปราชญ์และมีคุณธรรมเป็นผู้ครองรัฐ


The Republic

หนังสือเล่มที่สอง คือ The Statesman ในหนังสือเล่มนี้ เพลโตกล่าวว่าระบบการปกครองแบบราชาธิปไตย ในหนังสือเรื่อง The Republic นั้นเป็นไปได้ยากมาก จึงเปลี่ยนแนวคิดจากระบบราชาธิปไตยมาเป็นแบบประชาธิปไตยแทน ในหนังสือเล่มนี้ เขาได้เปลี่ยนความคิดที่ว่าการปกครองแบบประชาธิปไตยที่เขาเคยมองว่ามันแย่นั้น แท้จริงแล้วมันเป็นระบบการปกครองที่เหมาะสมในการปกครองรัฐ


The Statesman
ที่มา: https://www.amazon.com/

หนังสือเล่มที่สาม คือ The Laws ในหนังสือเล่มนี้ แนวคิดของระบบการปกครองแบบราชาธิปไตย และประชาธิปไตย ของเพลโตในหนังสือเล่มแรก และเล่มที่สองนั้น มันเป็นระบบที่แย่ทั้งคู่ กล่าวคือ ระบบการปกครองแบบราชาธิปไตย อำนาจจะอยู่ที่กษัตริย์เพียงคนเดียว ถ้ากษัตริย์ไร้คุณธรรม จรรยา ประชาชนก็จะเดือดร้อน ในขณะที่ระบบการปกครองแบบประชาธิปไตยนั้น เป็นระบบการปกครองที่มอบสิทธิและมอบอำนาจให้แก่ประชาชน ซึ่งประชาชนอาจจะใช้สิทธ์นั้นในทางที่ผิด เนื่องจากมีความรู้น้อย ดังนั้นในหนังสือเล่มที่สาม The Laws เขาจึงเสนอการปกครองรูปแบบใหม่ คือการเอาทั้งระบบการปกครองแบบราชาธิปไตย และประชาธิปไตย มาผสมกัน ดังนั้น จึงมีการสร้างหลักกฎหมายขึ้นมา ทั้งกษัตริย์และประชาชนจะต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย ทุกคนจะต้องเคารพและปฏิบัติตาม หลักกฎหมายที่เขานำมาใช้ เรียกว่า “หลักนิติรัฐ”


The Laws
ที่มา: https://www.amazon.com/

หนังสือทั้งสามเล่มของเพลโต ได้แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการทางแนวคิดของตัวเขาเองเกี่ยวกับรัฐในอุดมคติ ที่มีความแตกต่างกันออกไปในแต่ละช่วงชีวิต ซึ่งแนวคิดเหล่านั้นได้รับมาจากการตกผลึกทางความคิดของเขาเอง ในปัจจุบัน มีหลายประเทศที่นำแนวคิดของเพลโตไปปรับใช้ เช่น ประเทศไทยได้นำหลักนิติรัฐมาปรับใช้ในระบบการปกครอง ดังนั้นแล้ว เพลโตถือว่าเป็นคนที่วางรากฐานหลักนิติรัฐและระบบการปกครองไว้ให้แก่คนรุ่นหลังจนถึงปัจจุบันนี้


อ้างอิง

Teerayaut. (2012). แนวคิดและต้นกำเนินกฎหมายมหาชน. สืบค้นเมื่อวันที่ 9/2/2020. จาก  https://teerayaut.wordpress.com/2012/07/31/

ศาสตราจารย์ ดร.นันทวัฒน์ บรมานันท์. (2551). แนวคิดและปรัชญาของกฎหมายปกครอง. สืบค้นเมื่อวันที่ 9/2/2020. จาก http://public-law.net/publaw/view.aspx?id=1228

พระนิติกร จิตฺตคุตฺโต. (2015). การศึกษาเปรียบเทียบปรัชญาการเมืองของเพลโต กับแนวคิดทางการเมืองของพุทธทาสภิกขุ. สืบค้นเมื่อวันที่ 9/2/2020. จาก http://www.ojs.mcu.ac.th/index.php/jmcukk/article/view/2136

Bubeeja. (2556). เพลโต. สืบค้นเมื่อวันที่ 9/2/2020. จาก http://bubeeja.blogspot.com/2013/01/blog-post_20.html

อ่านเพิ่มเติม »

The Beatles ตำนานวงดนตรีแห่งศตวรรษที่ 20

โดย ชลิตา  สัพโส

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าพลังแห่งเสียงเพลงนั้นเป็นพลังยิ่งใหญ่ที่สามารถสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ในสังคมได้ ไม่ว่าจะเป็นแรงบันดาลให้ผู้คน ให้กำลังใจหรือความเพลิดเพลินในยามที่เรารู้สึกท้อแท้และเหนื่อยล้า และยังเป็นขุมพลังที่ซ่อนความมหัศจรรย์เอาไว้ เวลาที่เราเศร้าก็ฟังเพลง มีความสุขก็ฟังเพลง วง The Beatles เองก็เป็นหนึ่งในความมหัศจรรย์ของโลกดนตรีเช่นกัน ในโลกที่ผู้คนไม่ได้ถูกเชื่อมต่อกันด้วยเครือข่ายออนไลน์อย่างทุกวันนี้ การก้าวขึ้นมาเป็นตำนานแห่งโลกดนตรีในศตวรรษที่ 20 ถือเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย และในวันนี้ที่เราก้าวเข้าสู่ศตวรรษ 21 จึงขอถือโอกาสนี้พาทุกคนมาทำความรู้จักกับวงร็อกแอนด์โรลในตำนานอย่าง The Beatles ที่กำลังจะมีอายุวงครบ 60 ปีในปี 2563 นี้


ภาพวง The Beatles (เดอะ บีทเทิลส์) จากอัลบั้ม Abbey Road

The Beatles (เดอะบีเทิลส์)  เป็นวงร็อกแอนด์โรลจากเมืองลิเวอร์พูล ประเทศอังกฤษ ในปี 1960 ประกอบด้วยสมาชิก จอห์น เลนนอน (John Winston Ono Lennon) นักร้องนำและมือกีตาร์  พอล แม็กคาร์ตนีย์ (Sir James Paul McCartney) ร้องนำและมือเบส  จอร์จ แฮร์ริสัน (George Harrison) มือกีตาร์  และ  ริงโก สตาร์ ( Sir Richard Starkey, Jr) มือกลอง  The Beatles ได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวางให้เป็นวงร็อกที่มีอิทธิพลที่สุดแห่งยุคและเป็นหนึ่งในวงที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด พวกเขาเริ่มต้นวงด้วยแนวดนตรีแบบสกิฟเฟิลและร็อกแอนด์โรล แต่ในเวลาต่อมา The Beatles ก็ได้สรรค์สร้างแนวเพลงอีกมากมาย และด้วยกระแสนิยมอย่างสูงของ The Beatles  เกิดเป็นกระแส "บีเทิลมาเนีย" (Beatlemania) ขึ้นมา โดยเฉพาะในช่วงยุค 60 – 70


กระแสคลั่งสี่เต่าทอง "Beatlemania"

จุดเริ่มต้นของ The Beatles มาจาก จอห์น เลนนอน ในวัย 16 ปี ได้มีการก่อตั้งกลุ่มวงดนตรีแนวสกิฟเฟิลชื่อว่า The Quarrymen ซึ่งตอนนั้นเขามีอายุแค่ 16 ปี โดยเป็นการรวมตัวกับกลุ่มเพื่อนๆ ในเมืองลิเวอร์พูลเมื่อปี 1957 มีพอล แม็กคาร์ตนีย์ ในวัย 15 ปี เข้าร่วมในตำแหน่งกีตาร์ ซึ่งได้ชวน จอร์จ แฮร์ริสัน ที่อายุแค่ 14 ปี มาชมการแสดงกระทั่งจอร์จได้เข้าร่วมวงในตำแหน่งกีตาร์เมื่อปี 1960 ต่อมาเพื่อนๆ คนอื่นได้เริ่มทยอยออกจากวงขณะที่เลนนอนเองก็ต้องเรียนในระดับสูงขึ้นแต่พวกเขาทั้ง 3 ก็ยังคงเล่นดนตรีแนวร็อกแอนด์โรลอยู่และหวังว่าจะได้พบกับมือกลองดีๆ สักคน กระทั่ง สจ๊วต ซัดคลิฟ (อดีตสมาชิก) ที่เล่นเบสได้เสนอให้เปลี่ยนชื่อวงเป็น The Beetles เพื่อเป็นเกียรติให้กับบัดดี้ ฮอลลี่ และวงเดอะ คริกเกตส์ ก่อนจะเปลี่ยนเป็น The Beatles ในเวลาต่อมา จนในที่สุดพวกเขาก็ได้พบกับ ริงโก สตาร์ มือกลองของวงและรวมตัวกันเป็น The Beatles ในที่สุด

The Beatles เริ่มสร้างชื่อเสียงจากเล่นคอนเสิร์ตในคลับที่ลิวเวอร์พูลและฮัมบวร์คในช่วง 3 ปีของ 1960 โดยมีเพลงฮิตที่ประสบความสำเร็จครั้งแรกอย่าง " Love Me Do "  ในช่วงปลายปี 1962 พวกเขาได้ฉายา "เดอะแฟปโฟร์" (the Fab Four) ในขณะที่กระแสบีเทิลมาเนียก็เริ่มเกิดขึ้นมาและในช่วงก่อนปี 1964 ชื่อเสียงของพวกเขาก็กระจายไปไกลจนถึงตลาดเพลงป๊อปของสหรัฐอเมริกา ในปี 1965 The Beatles ได้สร้างงานดนตรีที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นงานชิ้นเอกของนวัตกรรมดนตรีและอิทธิพลทางดนตรีสมัยใหม่ เช่น Rubber Soul (1965), Revolver (1966), Sgt. Pepper's Lonely Hearts Club Band (1967), The Beatles (หรือที่รู้กันในชื่อ White Album, ปี 1968) และ Abbey Road (1969)


The Beatles กับอัลบั้ม Sgt. Pepper's Lonely Hearts Club Band

ภายหลังวง The Beatles ได้แยกวงในปี 1970 ด้วยความขัดแย้งภายในวง และทำให้พวกเขาจบความสัมพันธ์กันได้ไม่ค่อยดีนัก สมาชิกที่ยังคงมีชีวิตและใช้ชีวิตที่เหลือกับงานเดี่ยวทางดนตรีอย่างต่อเนื่องคือ พอล แม็กคาร์ตนีย์ และ ริงโก สตาร์ ส่วนจอห์น เลนนอนได้ถูกยิงในเดือนธันวาคม 1980 ที่หน้าอพาร์ตเม้นท์ของเขาเอง และแฮร์ริสันเสียชีวิตจากมะเร็งปอดในเดือนพฤศจิกายน ปี 2001

อ้างอิงจากสมาคมอุตสาหกรรมบันทึกเสียงแห่งสหรัฐอเมริกา (RIAA) The Beatles ได้รับการยืนยันว่าเป็นศิลปินที่มียอดจำหน่ายสูงที่สุดในสหรัฐอเมริกา ด้วยยอดจำหน่ายราว 178 ล้านก็อปปี้ และยังมีซิงเกิลฮิตอันดับ 1 บนบิลบอร์ดชาร์ทอังกฤษและทำยอดจำหน่ายซิงเกิลที่สูงสุดตลอดกาล ในปี 2008 The Beatles ได้รับการจัดอันดับจากนิตยสารบิลบอร์ดให้เป็นวงที่ประสบความสำเร็จสูงสุดตลอดกาล ต่อเนื่องกันในปี 2015 และได้รับการบันทึกสถิติซิงเกิลฮิตอันดับ 1 บนบิลบอร์ดฮอต 100 กว่า 20 ซิงเกิล พวกเขาได้รับรางวัลแกรมมีถึง 10 รางวัล รางวัลออสการ์สาขา "คะแนนเพลงดั้งเดิมที่ดีที่สุด" (Best Original Song Score) รางวัลอิวอร์โนเวลโลกว่า 15 รางวัล นิตยสารไทม์ยังได้ทำการใส่ชื่อพวกเขาในหัวข้อ "100 บุคคลที่มีอิทธิพลแห่งศตวรรษที่ 20"

ปัจจุบัน The Beatles ถือเป็น "วงที่มียอดจำหน่ายสูงที่สุดในประวัติศาสตร์" ด้วยยอดจำหน่ายกว่า 600 ล้านก็อปปี้ทั่วโลก พวกเขายังได้ถูกบรรจุเข้าสู่หอเกียรติยศร็อกแอนด์โรล ในปี 1988 ร่วมกับสมาชิกทั้ง 4 คน ซึ่งได้รับต่างหาก จากช่วงปี 1994 ถึง 2015 และในปี 1968 พวกเขาได้ก่อตั้งบริษัทแผ่นเสียงของตนเองโดยใช้ชื่อว่า Apple Records

และถึงแม้ปัจจุบันมีมีวงดนตรีน้องใหม่เกิดขึ้นมากมายทั่วทุกพื้นที่ในมุมโลก พร้อมกับก่อเกิดกระแสดนตรีใหม่ๆ แต่ตำนานแห่งโลกดนตรีอย่าง The Beatles ก็ยังคงถูกกล่าวถึงอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน พวกเขาเปรียบเสมือนคลื่นลูกหน้าสุด ที่ไม่ว่าจะมีคลื่นลูกใหม่เกิดขึ้นมากมายเท่าไหร่พวกเขาก็ยืดหยัดอยู่บนจุดสูงสุดของคลื่นตลอดไป และถึงแม้ The Beatles จะแยกวงกันไป แต่บทเพลงของพวกเขายังคงอยู่ เป็นขุมพลังมหัศจรรย์ที่ยังขับกล่อมชาวโลก พวกเขาได้สร้างเพลงที่มีคุณค่าเอาไว้มากมาย นับเป็นมรดกสำคัญในวงการดนตรีเลยทีเดียว เพลงของพวกเขามีเสน่ห์ สามารถสะกดใจทุกคนที่ได้ฟัง มีความลงตัวทั้งในด้าน เนื้อร้อง ทำนอง เสียงประสาน การเล่น และเรียบเรียงดนตรี ดังนั้น บทเพลงของ The Beatles จึงเป็นอมตะเหนือกาลเวลา จนทำให้ The Beatles ถูกจัดว่าเป็นวงดนตรียอดนิยมอันดับ 1 ตลอดกาลของโลก

และก่อนจากกันไปเราเองก็อยากแบ่งปันขุมพลังดีๆ ให้เรากับทุกคน จึงรวบรวมบทเพลงประทับใจของ The Beatles มาแบ่งปันให้ทุกคนฟัง ไม่ว่าตอนนี้คุณจะกำลังเผชิญกับอะไรอยู่ แต่ตอนที่คุณอ่านบทความนี้เราหวังว่าคุณจะยิ้มได้ ‘ May The Beatles Be With You’ ค่ะ https://open.spotify.com/playlist/5


อ้างอิง

มป. (2551).  ความเป็นมาของ The Beatles (สี่เต่าทอง).  ค้นเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2563,  จาก
https://bahbalie.wordpress.com/2012/07/19/

วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี.  (2562).  เดอะบีเทิลส์.  ค้นเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2563,  จาก
https://th.wikipedia.org/wiki

Bim Dudeplace. (2562).  เทปเปลี่ยนประวัติศาสตร์ เมื่อ The Beatles ไม่ได้ตั้งใจให้ ‘Abbey Road’ เป็น
อัลบั้มสุดท้ายและ John Lennon ไม่ได้อยากแยกวง.  ค้นเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2563,  จาก https://dudeplace.co/2019/09/12/

VERAWONG LEWCHALERMWONG. (2562).  9 อย่างที่จะเปลี่ยนไป ถ้าโลกนี้ไม่มี The Beatles.  ค้นเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2563,  จาก https://www.facebook.com/notes/verawong-lewchalermwong/

อ่านเพิ่มเติม »