การจำลองเรือนจำสแตนฟอร์ด

โดย ฌานพิชชา  ลุพรหมมา

การทดลองมักมีจุดประสงค์เพื่อยืนยันสมมุติฐานที่ผู้ทำวิจัยคิดทฤษฎีขึ้นมาหรือยืนยันสมมุติฐานก่อนหน้าขึ้นมา จาก “ความสงสัย” นำมาสู่บทเรียนที่ยิ่งใหญ่แก่คนรุ่นหลังต่อไป แต่การกระทำทุกอย่างจะต้องดำเนินตามควบคู่กับศีลธรรมอันดีงามเสียด้วย ซึ่งเรื่องที่จะกล่าวต่อไปนี้คือการทดลองจิตวิทยาที่ปรากฏในวงการจิตวิทยาว่า ไม่ถูกหลักของมนุษยธรรม นั่นคือ “การทดลองจำลองเรือนจำสแตนฟอร์ด”

“จิตวิทยาเป็นศาสตร์ที่ศึกษาค้นคว้าเพื่อนำข้อมูลต่าง ๆ ความรู้ที่ได้จากแนวคิดทฤษฎี และการทดลองนำมาเสนอเพื่ออธิบายและควบคุมพฤติกรรมทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของมนุษย์”  (สุปราณี สนธิรัตน์ และคณะ, 2537)


ภาพ คณะผู้ร่วมวิจัยกำลังสร้างสถานที่จำลองเรือนจำ

การทดลองจำลองเรือนจำสแตนฟอร์ดนั้นมีจุดประสงค์ของการทดลองเพื่อการศึกษาการตอบสนองของมนุษย์และจะนำผลการทดลองมาเป็นหลักการลดความขัดแย้งระหว่างผู้คุมกับนักโทษ ดำเนินการทดลองนี้โดยนักจิตวิทยา ฟิลิป ซิมบาโด (Philip Zimbardo) และคณะของมหาลัยสแตนฟอร์ด รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา กลุ่มเป้าหมายคือนักศึกษาในมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดเอง ระยะเวลาทำการทดลองในกำหนดการคือ 2 สัปดาห์เริ่มจากวันที่ 14 สิงหาคม ค.ศ. 1971 และขอบเขตการทดลองคือชั้นใต้ดินของคณะจิตวิทยามหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดเป็นที่จำลองเรือนจำ แต่ถึงกระนั้นการทดลองถูกระงับกลางคันเสียก่อนด้วยระยะเวลาเพียง 6 วันในภายหลัง เนื่องจากความรุนแรงของการทดลองกระทบถึงสภาพจิตใจของผู้ทดลองและคณะวิจัยเสียจนถือว่าเป็นการทดลองผิดศีลธรรม ซึ่งรายละเอียดที่ถูกระงับนั้นอยู่ในเนื้อหาของการทดลอง

เริ่มแรกของการทดลองจะต้องมีตัวแปรต้นคือ นักโทษ และตัวแปรตามคือ ผู้คุม เสียก่อนในการสังเกตการณ์เพื่อบันทึกผล จึงได้มีการจัดสรรหาผู้เข้าร่วมการทดลองโดยตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์หางาน พาร์ท-ไทม์ (Part-time job) มีค่าตอบแทนเป็น 15 เหรียญต่อวัน ซึ่งมีผู้สมัครเป็นผู้ร่วมทดลองมีถึง 70 คนแต่คัดสรรเพียง 24 คน โดยหลักการคัดสรรคือการเลือกผู้ร่วมทดลองไม่มีประวัติการเข้าสถานที่คุมขังหรือก่อการกระทำความผิดเข้าเรือนจำมาก่อนพร้อมทั้งมีร่างกายและสุขภาพจิตที่ดี อีกทั้ง 24 คนนั้นแบ่งอีกเป็น 2 ฝ่ายคือ ผู้คุม และนักโทษ โดยเกณฑ์การแบ่งเป็นผู้คุมและนักโทษนั้นใช้หลักการสุ่มเหรียญ(การโยนเหรียญหัวและก้อย) ผลสุดท้ายจำนวนที่ใช้จริงในการทดลองมีเพียง 18 คนอีก 6 คนที่เหลือนั้นเป็นคนสำรองโดยแบ่งนักโทษ 9 คนและผู้คุม 9 คน ซึ่งผู้คุม 9 คนนั้นผลัดเฝ้านักโทษละคน 3 คนต่อ 8 ชั่วโมง

เมื่อมีผู้ร่วมทดลองแล้วสถานที่ทดลองและผู้ที่ให้คำปรึกษาจะต้องมีความพร้อมเช่นกัน การจัดเตรียมนั้นเป็นหน้าที่ของคณะวิจัยและอดีตนักโทษในการจำลองเรือนจำ โดยเตรียมห้องขังทั้งหมด 3 ห้องเอามาจากห้องเเลปและใส่ประตูลูกกรงแทน  มีห้องขังเดี่ยวขนาดเล็กทำมาจากห้องเก็บของ เรียกว่า

“The hole”  สำหรับนักโทษที่ประพฤติไม่ดี  นอกจากนี้ยังมีทางเดินหน้าห้องขังที่เรียกว่า “The Yard” เป็นสถานที่ให้นักโทษเดินเล่น ออกกำลังกายและรับประทานอาหาร  ส่วนห้องน้ำถูกเเยกออกที่หนึ่ง เวลานักโทษจะไปห้องน้ำมีการปิดตาพาไป เพื่อป้องกันการจำทางหลบหนีของนักโทษ ห้องขังและทางเดินมีการติดตั้งกล้องวงจรปิดเเละเครื่องดักฟัง


ภาพ คณะผู้ร่วมวิจัยติดเครื่องดักฟัง

ลักษณะของผู้ร่วมทำทดลองที่เป็นผู้คุมนั้นไม่ได้รับการฝึกสอนมาก่อน แต่เพียงฟังคำสั่งว่าทำอย่างไรให้คุมนักโทษได้และให้นักโทษเชื่อฟัง หัวหน้าผู้คุมเป็นนักศึกษาปริญญาตรีจากมหาลัยสเเตนฟอร์ดชื่อ เดวิด เจฟฟี่ (David Jaffe) ผู้คุมเเต่งกายในชุดกากีเเละสวมเเว่นตาดำ เพื่อป้องกันไม่ให้อ่านอารมณ์จากสายตาผู้คุมได้  ส่วนนักโทษแต่งกายด้วยเสื้อคลุมยาวสีขาว โดยที่ด้านหน้าเเละด้านหลังเป็นเลขไอดีนักโทษ ซึ่งนักโทษทุกคนต้องเรียกด้วยเลขไอดีเเทนชื่อ ไม่สวมท่อนล่าง มีโซ่ตรวนหนามัดไว้ที่ข้อเท้า ใส่หมวกที่ทำมาจากถุงน่องผู้หญิง

วันแรกของการทดลองมีการเข้าจับกุมผู้ร่วมทดลองที่เป็นนักโทษขณะอยู่บ้านทำให้ผู้ร่วมทดลองนั้นไม่รู้ตัวว่าเริ่มการทดลองแล้ว แต่หลังจากนั้นก็ผ่านไปอย่างราบรื่นเพราะนักโทษและผู้คุมไม่กล้าทำอะไรรุนแรงในวันแรก

เมื่อถึงวันที่สองของการทดลองเริ่มมีการใช้ความรุนแรงเกิดขึ้นโดยนักโทษนำเตียงนอนขวางประตูไว้ จนสุดท้ายผู้คุมวางแผนกับคณะวิจัยในการคุมสถานการณ์นี้และได้พังประตูเข้าไปพร้อมยึดเตียงนอนในห้องขังอีกทั้งจับกุมนักโทษที่เป็นคนต้นเรื่องไปไว้ในห้องขังเดี่ยว ( The hole)  ต่อมาผู้คุมกำหนดห้องขังพิเศษและห้องขังธรรมดา โดยห้องขังพิเศษจะถูกปฏิบัติจากผู้คุมและเครื่องใช้ดีกว่าห้องขังอื่น และนั่นสร้างความแตกแยกในหมู่นักโทษ พร้อมทั้งการลงโทษที่รุนแรงแสดงให้เห็นถึงความโกรธของผู้คุมเป็นสัญญาณว่าผู้ร่วมทดลองที่รับบทผู้คุมและคณะผู้วิจัยมีความคิดเสมือนว่าเป็นเรือนจำของจริงไม่ใช่การทดลอง จนนับจากวันนี้เหตุการณ์ในการทดลองจะเทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น จนถึงขั้นมีนักโทษคนหนึ่งไม่มีสติที่จะคุมเสียได้แล้วเลยต้องถูกถอนออกจากการทดลองไป ซึ่งนั้นเป็นชนวนการสร้างความรุมแรงของผู้คุมต่อนักโทษยิ่งขึ้นเนื่องจากข่าวลือที่นักโทษที่ถูกถอนจากการทดลองนั้นจะทำการบุกเข้ามาช่วยเหลือนักโทษคนอื่นและบอกความจริงให้คนอื่นนั้นรับรู้ แต่ก็เป็นเพียงข่าวลือนั่นทำให้ผู้คุมและคณะวิจัยมีความโมโหเป็นอย่างมากจนสั่งลงโทษนักโทษรุนแรงมากขึ้นอาทิ การขัดโถส้วมโดยใช้มือเปล่าขัดแทน เป็นต้น

ในช่วงของวันที่ 4 ในการทดลองได้มีการเชิญบาทหลวงเข้ามาพูดคุยกับนักโทษ โดยคณะวิจัยให้บาทหลวงประเมินเรือนจำนี้เหมือนของจริงมากเพียงใด บาทหลวงกล่าวว่า เรือนจำนี้ไม่น่ามีความเป็นไปได้ที่จะสร้างอิทธิพลให้กับนักโทษได้แต่ผลลัพธ์กลับน่าตกใจที่สร้างความกดดันแก่นักโทษและผู้คุมได้อย่างมหาศาลเมื่อบาทหลวงถามชื่อนักโทษ นักโทษตอบกลับเลขไอดีแทนชื่อตนเองไปเสียแล้ว อีกทั้งเมื่อบาทหลวงถามว่าทำอย่างไรนักโทษถึงจะออกจากเรือนจำนี้ได้นักโทษตอบว่าหาทนาย บาทหลวงจึงยื่นข้อเสนอว่าจะติดต่อพ่อแม่ของนักโทษให้หาทนาย มีนักโทษบางส่วนตอบตกลงกับข้อเสนอนั้น

ผลสุดท้ายผู้ปกครองของนักโทษบางคนมาพบคณะวิจัยเเละบอกว่ามีบาทหลวงมาพูดถึงการติดต่อทนายแก่ผู้ร่วมทดลองที่รับบทนักโทษหากจะออกจากเรือนจำ  ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นให้ ฟิลิปมีสติกลับมาคิดว่างานวิจัยควรหยุดได้เสียแล้วเพราะผลลัพธ์ร้ายเเรงเเละผู้คุมใช้อำนาจมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งในวันที่ 6  ได้หยุดงานวิจัยลง เหตุการณ์ต่อจากนั้นคือทุกฝ่ายไม่ว่าจะเป็นทั้ง ผู้ร่วมการทดลอง คณะผู้วิจัย ได้มีการพูดคุยกันระหว่างกันและกันเพื่อปรับทัศนคติต่อกันหลังจบการทดลองผู้ร่วมทดลองทุกคนก็แยกย้ายกันมีบางส่วนได้ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับการทดลองและฟิลิปได้เขียนหนังสือชื่อ “The Lucifer effect”ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับการทดลองนี้อีกด้วย

ซึ่งสุดท้ายนี้ ความรู้สึกของมนุษย์มีอารมณ์หลากหลายและแสดงถึงความรู้สึกดิบของตนเมื่อสิ่งแวดล้อมมีแรงกดดัน นั้นหมายความว่ามนุษย์มีความอ่อนไหวสูงมาก ไม่ว่าจะใครก็ตามย่อมมีความรู้สึกแท้จริงให้เห็นเมื่อยามที่สิ้นหวังที่สุด จะเป็นคนฉลาด ไหวพริบดีหรือเก่งรอบด้าน ก็ล้วนมีความรู้สึกดิบของตนทั้งนั้น จากการทดลองนี้เป็นการแสดงให้เห็นถึงสถานการณ์เลวร้ายต่อความมืดมิดในจิตใจของมนุษย์สามารถมีอิทธิพลเปลี่ยนคนดีเป็นคนที่ร้ายได้เช่นกัน  เพราะฉะนั้นไม่ว่าคนเราจะอยู่ที่ไหนหากมีความยึดมั่นในคุณความดีอย่างแรงกล้าและมีสติกับสถานการณ์หรือสิ่งเลวร้ายเพียงใด ก็จะแปรรูปผลลัทธ์นั้นได้อย่างแน่นอน


อ้างอิง

สุปราณี สนธิรัตน์ และคณะ. จิตวิทยาทัวไป. กรุงเทพฯ : เนติกุลการพิมพ์, 2537.

Stanford University.(1999). Stanford Prison Experiment .Retrieved 27 March 2016, from http://www.prisonexp.org/

นิติจิตวิทยา. stanford prison experiment งานวิจัยจิตวิทยาผิดจรรยาบรรณ.(ออนไลน์).สืบค้นเมื่อ 27 มีนาคม 2559, จาก http://pantip.com/topic/32483707


อ่านเพิ่มเติม »

คังซี จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่แห่งแผ่นดินจีน

โดย พชร แต้พานิช  

ในประวัติศาสตร์ของผู้ยิ่งใหญ่ในอดีตทั่วทุกมุมโลกนั้น ไม่ว่าจะเป็นอเล็กซานเดอร์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักรมาซิโดนีเนีย ออกัสตัส แห่งจักรวรรดิโรมัน หรือแม้กระทั่ง เจงกิสข่านแห่งจักรวรรดิมองโกล บุคคลเหล่านี้ต่างได้รับการยกย่องว่าเป็นมหาบุรุษผู้มากความสามารถและมีความยิ่งใหญ่เกรียงไกร ในบรรดาจักรพรรดิผู้มากความสามารถเหล่านี้ “คังซี” นับเป็นจักรพรรดิอีกพระองค์หนึ่งที่ได้รับบการยกย่องในประวัติศาสตร์จีน

จักรพรรดิคังซีทรงเป็นจักรพรรดิองค์ที่ 4 แห่งราชวงศ์ชิง พระองค์ทรงเป็นพระโอรสของจักรพรรดิซุ่นจื้อและพระองค์ทรงขึ้นครองราชย์ตั้งแต่พระชนมายุเพียง 8 พรรษา ในปี พ.ศ. 2204 และตรงกับ ปี ค.ศ. 1661 โดยภายหลังการสวรรคตของพระราชบิดาพระองค์อยู่ภายใต้การอุปการะดูแลของไท่หวงไทเฮาผู้เป็นพระอัยยิกาของพระองค์


จักรพรรดิคังซี

จักรพรรดิคังซีทรงมีพระปรีชาสามารถตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์โดยทรงโปรดการเรียนรู้ศิลปะและวิทยาการต่าง ๆ ทั้งความรู้ในประเทศและความรู้จากนอกประเทศ ในช่วงที่พระองค์พระชนมายุได้ 19 พรรษา มีขุนนางคนสำคัญผู้หนึ่งชื่อ “อ่าวไป๋” ซึ่งเป็นขุนนางที่รับราชการมาแต่ครั้งจักรพรรดิไท้จงซึ่งคือจักรพรรดิองค์ที่ 2 ของราชวงศ์ชิง โดยที่อ่าวไป๋นั่นเป็นขุนนางที่สำคัญตนว่าเป็นคนสำคัญและมีผู้ให้การยอมรับนับถือจำนานมาก โดยอ่าวไป๋ได้กระทำการอย่างไม่เหมาะสมทั้งต่อหน้าและลับหลังพระองค์หลายครั้ง จนในที่สุดอ่าวไป๋จึงได้ก่อการกบฏขึ้นแต่แผนการทั้งหมดได้ถูกทำลายลงโดยกลุ่มขุนนางที่ซื่อสัตย์จงรักภักดีของจักรพรรดิคังซี

และภายในรัชสมัยของจักรพรรดิคังซีนั่นก็นับเป็นระยะเวลาวิกฤตของราชวงศ์ชิง เพราะมีการต่อสู้ระหว่างชาวฮั่นที่ต้องการกู้ราชวงศ์หมิงรวมถึงชนเผ่าอื่นๆ ที่ต้องการก่อกบฏ จักรพรรดิคังซีทำสงครามภายในประเทศยาวนานถึง 8 ปี และเกือบจะสูญเสียราชบัลลังก์ไป แต่ด้วยพระปรีชาสามารถก็ทำให้พระองค์รอดมาได้และยังพิชิตแคว้นต่าง ๆ ได้ราบคาบ ก่อนที่พระองค์จะมีพระชนมายุ 30 พรรษา ทั้งขยายอาณาเขตถึงมองโกเลียและทิเบต นอกจากนี้พระองค์ยังทรงทำสงครามกับรัสเซียในยุคสมัยของพระเจ้าปีเตอร์มหาราช และได้รับชัยชนะด้วย ซึ่งสงครามได้จบลงที่การสร้างสัมพันธไมตรีต่อกันรวมถึงการยกทัพบุกพม่า ทำให้จีนในยุคนี้เข้มแข็งและยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์


จักพรรดิคังซีขนาดทรงฉลองพระองค์ในเครื่องแบบทหาร

จักรพรรดิคังซีนั้นนับว่าทรงเป็นอัจฉริยะบุคคลคนหนึ่งของโลกเลยทีเดียว พระองค์ทรงศึกษาความผิดพลาดของพวกมองโกลหรือราชวงค์หยวนในช่วงที่ปกครองชาวฮั่น หลังจากนั้นพระองค์จึงทรงเปลี่ยนแผนการที่จะใช้กระชับความสัมพันธ์ระหว่างชาวแมนจูและชาวฮั่นด้วยวิธีการที่เรียกว่า “ใช้ไม้แข็งเป็นไม้อ่อน” โดยเป็นการเกลี้ยกล่อมให้เหล่าปราชญ์ราชบัณฑิตชาวฮั่นที่หนีภัยในช่วงราชวงศ์ราชวงค์หมิงสิ้นอำนาจนั้นให้กลับมารับราชการใหม่ และยังทรงสถาปนากรมจิตรกรรมที่รู้จักในนาม “สถาบันจิตรกรรมหัวหยวน” ซึ่งพระองค์ศึกษาและนำหลักการในอดีตที่เคยเกิดขึ้นในสมัยราชวงค์ซ่งโดยเป็นการฟื้นฟูศิลปะของชาวฮั่น พระองค์ยังทรงมีนโยบายดูแลเหล่านักปราชญ์ชาวฮั่นให้อยู่อย่างสุขสบายเพื่อเป็นการฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างชาวแมนจูกับชาวฮั่น นอกจากนี้พระองค์ยังทรงให้มีการจัดทำพจนานุกรมภาษาจีนขึ้นในสมัยนั้นซึ่งเรียกว่า “พจนานุกรมคังซี” ซึ่งเป็นพจนานุกรมภาษจีนที่ยังคงเป็นที่รู้จักในปัจจุบัน

ในส่วนของชีวิตส่วนพระองค์ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นจักรพรรดินักรักพระองค์หนึ่ง โดยพระองค์ทรงมีพระสนมมากมายราว 35 คน รวมถึงพระโอรสและพระธิดาราว 55 องค์ พระองค์ทรงให้ความรักและความเท่าเทียมต่อพระสนมรวมถึงพระโอรสและพระธิดาทุกคน จนมาถึงปลายรัชสมัยเกิดการชิงบัลลังก์เป็นที่วุ่นวาย ผลสุดท้ายองค์ชาย 4 ได้ขึ้นครองบัลลังก์เป็นจักรพรรดิหย่งเจิ้ง

จักรพรรดิคังซีทรงปกครองแผ่นดินจีนอย่างสงบร่มเย็นและเป็นปึกแผ่น จนจักรพรรดิคังซีสวรรคตในปี พ.ศ. 2265 (ค.ศ. 1722) ซึ่งรวมระยะเวลาครองราชย์ยาวนานถึง 61 ปี นับเป็นจักรพรรดิที่ครองราชย์ยาวนานที่สุดพระองค์หนึ่งในประวัติศาสตร์จีน

จะเห็นได้ว่าจักรพรรดิคังซีนั้นนอกจากจะเป็นจักรพรรดิที่ทรงพระปรีชาสามารถมากแล้ว พระองค์ก็ยังทรงเป็นจักรพรรดิที่อัจฉริยะมาก ทรงครองแผ่นดินจีนที่มีดินแดนกว้างใหญ่และมีความหลากหลายทางเชื้อชาติให้เกิดความสงบร่มเย็นและเป็นปึกแผ่น และพระองค์ยังทรงเป็นมหาบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ที่ชาวจีนนั้นต่างยอมรับเคารพนับถือเป็นอย่างมาก


อ้างอิง

จักรพรรดิคังซี. สืบค้นเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน พ.ศ.2559, จาก :  https://th.wikipedia.org/wiki/จักรพรรดิคังซี.

จักรพรรดิคังซี มหาจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่. สืบค้นเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน พ.ศ.2559, จาก : http://www.oknation.net/blog/moviehall/2008/04/22/entry-2

พระราชประวัติของฮ่องเต้คังซี. สืบค้นเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน พ.ศ.2559, จาก : http://writer.dek-d.com/kangxiemperor/story/viewlongc.php?id=631866

อ่านเพิ่มเติม »

เดดาลัส (Daedalus) และ อิคารัส (Icarus) ผู้สร้างเขาวงกต และ เทพปีกขี้ผึ้ง

โดย เพ็ญเพชร วรรณดี

เดดาลัส (Daedalus) และ อิคารัส (Icarus) อาจจะเป็นชื่อที่หลายๆคนคุ้นหูบ้าง หรืออาจจะไม่คุ้นบ้าง แต่บุคคลสองท่านนี้ยังถือว่าเป็นหนึ่งในเทพองค์เล็กๆตามตำนานเล่าขานของชาวกรีก โดยที่เดดาลัสนั้นเป็นผู้สร้างเขาวงกต และอิคารัส ได้ถูกเรียกขานว่าเป็นเทพปีกขี้ผึ้ง สำหรับเรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น ต้องติดตามกันต่อไป

เดดาลัสถือว่าเป็นผู้ที่ความเฉลียวฉลาดในการสร้างสรรค์สิ่งประดิษฐ์มากมายในยุคนั้น โดยที่สิ่งประดิษฐ์ชิ้นแรกที่เขาได้สร้างขึ้นมานั้นก็คือ เลื่อย แต่ในบางตำนานเล่าขานก็บอกว่า เลื่อยนั้นถูกสร้างโดย เพอร์ดิกส์ หลานชายของเขา แต่เมื่อเดดาลัสได้เห็นสิ่งประดิษฐ์ของเพอร์ดิกส์จึงเกิดควาามอิจฉาและได้ลงมือฆ่าเพอร์ดิกส์ทิ้ง พร้อมกับนำเอาสิ่งประดิษฐ์นั้นมาเป็นของตนเอง



ต่อมาเป็นเรื่องราวของการสร้างเขาวงกต เรื่องราวก่อนที่จะได้ทำการสร้างเขาวงกตนั้น ก็ถือว่าเป็นเรื่องราวที่แปลกประหลาด โดยที่ปัจจัยหลักๆในการสร้างนั้นเพียงเพราะต้องการกักขัง อมนุษย์ ที่มีลักษณะศรีษะเป็นวัว แต่มีลำตัวเป็นโคมีพละกำลังที่แข็งแรง

โดยการสร้างเขาวงกตนี้เป็นพระประสงค์ของราชาไมนอส เพียงเพราะความอับอายที่ตนมีบุตรครึ่งคนครึ่งมนุษย์ และทำให้ประชาชนได้ติฉินนินทาว่าตนมีลูกอัปลักษณ์ มีบุตรเป็นปีศาจ

เขาวงกตของเดดาลัสนั้น มีความซับซ้อนเป็นอย่างมา จนเกือบที่จะทำให้เดดาลัสเองไม่สามารถออกมาจากเขางวงกตที่ตอนเองสร้างขึ้นมา แต่เมื่อเดดาลัสสร้างเขาวงกตเสร็จ กษัติย์ไมนอส ได้เกรงว่าจะมีการเผยแพร่ตวามคิดในการสร้างเขาวงกตของเดดาลัส จึงได้ทำการจับตัวเดดาลัสและลูกชายไปไว้ที่หอคอยกลางทะเล เพื่อไม่ให้มีใครรู้ถึงโครงสร้างของเขาวงกต



เมื่อวันเวลาผ่านไปเดดาลัสกับลูกชายต่างได้แต่เฝ้ามองออกไปทางช่องหน้าต่างบนยอดหอคอย และได้แต่หวังเพียงว่าสักวันหนึ่งสองพ่อลูกจะได้ออกไปจากที่นี้เสียที แต่ด้วยความชั่งสังเกตุของเดดาลัสกลับทำให้เขาได้เห็นว่า ในทุกๆวันจะมีนกบินมาเกาะที่ยอดหอคอยและทำให้ขนนกมีการร่วงหล่นในทุกๆวัน ด้วยเหตุที่ได้จากการมองดูนก จึงทำให้เขาคิดว่า ถ้าตนมีปีกก็จะสามารถบินไปจากที่นี้ได้

จากนั้นเดดาลัสจึงได้ทำการสร้างปีกจากขนนก โดยการสร้างปีกนั้นจะใช้การเชื่อมปีกเข้าด้วยกันด้วยขี้ผึ้ง และมีเชือกคอยรัดและมัด การสร้างปีกของเดดาลัสนั้นค่อยๆสร้างไปเรื่อยๆ จนในที่สุดความฝันก็สำเร็จ เขาและลูกชายได้มีปีกที่พร้อมจะบินหนีออกไปจากสถานที่แห่งนี้แล้ว

การโบยบินออกจากหอคอยของเดดาลัสและลูกชายของเขาชั่งเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์มาก เมื่อบินไปได้ซักพักหนึ่ง อิคารัสได้เกิดความคึกคนอง บินสูงขึ้นไปใกล้กลับดวงอาทิตย์มาก จึงทำให้ปีกของอิคารัสนั้น ขนนกเริ่มร่วงออกที่ละนิด เพราะ ความร้อนทำให้ขี้ผึ้งที่ใช้ในการยึดติดปีกนั้นเริ่มละลายเช่นกัน การบินขึ้นสูงไปเรื่อยของอิคารัส จึงทำให้อิคารัสเสียการทรงตัวของปีก และทำให้เขาร่วงลงสู่พื้นทะเล เดดาลัสคอยตักเตือนเขาว่าไม่ควรบินให้สูง แต่เขากลับไม่เชื่อฟังคำสอนของบิดา จึงทำให้อิคารัสนั้น เสียชีวิต และทำให้ทะเลที่อิคารัสตกลงไปนั้น มีชื่อว่า ทะเลอิคารัส

เดดาลัส และ อิคารัส อาจจะเป็นชื่อที่หลายๆคนคุ้นหูบ้าง หรืออาจจะไม่คุ้นบ้าง แต่ทั้งสองท่านนี้ก็ถือว่าเป็นหนึ่งในเทพองค์เล็กๆตามตำนานเล่าขานของชาวกรีก โดยที่เดดาลัสนั้นเป็นผู้สร้างเขาวงกต และอิคารัส ได้ถูกเรียกขานว่าเป็นเทพปีกขี้ผึ้ง แม้จะเป็นเพียงเรื่องราวในตำนานของชาวกรีก แต่ก็สืบทอดเล่าขานต่อๆ กันมาจนถึงปัจจุบัน


อ้างอิง


ตำนานเทพนิยายกรีก ตอนที่ 42 เดดาลัสและอิคารอส. สืบค้นเมื่อ วันที่ 3 มิถุนานยน พ.ศ. 2559, จาก: http://my.dek-d.com/Gemeaux/writer/viewlongc.php?id=154645&chapter=42

อมนุษย์ มิโนทอร์. สืบค้นเมื่อ วันที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2559, จาก: https://th.wikipedia.org/wiki/มินะทอร์

เขาวงกต. สืบค้นเมื่อ วันที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2559, จาก: https://th.wikipedia.org/wiki/ลายวงกต


อ่านเพิ่มเติม »

เปเล่ (Pele) ราชาแห่งวงการลูกหนัง

โดย ธนซินท์ อ่อนประทุม

หากจะให้กล่าวถึงตำนานวงการลูกหนังที่เก่ง ประสบผลสำเร็จมากมายระดับโลก และเป็นที่ชื่นชอบของคนทั่วไปนั้นมีมากมายหลายท่าน แต่บุคคลที่มีบทบาทต่อประเทศและต้องผ่านความอยากลำบากต่อสู้ดิ้นรนจนประสบผลสำเร็จมีชื่อเสียงโด่งดังนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้ เขาคนนั้นก็ต้องยกให้ราชาแห่งฟุตบอลหรือไข่มุกดำบราซิลเลี่ยน “เอดซง อารังชีส ดู นาซีเมงตู” หรือที่ผู้คนทั้งโลกรู้จักกันดี คือ “เปเล่”

เอดิสัน อารังชีส ดู นาซีเมงตู (Edison Arantes do Nascimento) หรือ เปเล่ (Pele) นักฟุตบอลชาวบราซิล เล่นให้ฟุตบอลทีมชาติบราซิลชนะฟุตบอลโลก 3 ครั้ง และได้ชื่อว่าเป็น "ราชาฟุตบอล" หรือ "ไข่มุกดำ" เปเล่ได้ทำประตูทั้งหมด 1,281 ประตูในช่วงที่เล่นฟุตบอลอาชีพ ในฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายทั้งหมด 12 ประตู และได้เกษียณการเล่นฟุตบอลในปี พ.ศ. 2520



เปเล่ได้เล่นให้กับทีมชาติตั้งแต่ปี 1956-1971 โดยในฟุตบอลโลก 1958 ในขณะที่อายุได้ 17 ปี 239 วัน เปเล่ได้เป็นผู้เล่นที่อายุน้อยที่สุดในฟุตบอลโลกที่ทำประตูได้ ในนัดแข่งกับ ทีมชาติเวลส์และนัดชิงชนะเลิศกับทีมชาติสวีเดนที่เมืองโกเตนเบิร์ก

พ่อของเอดิสันเป็นนักฟุตบอลสังกัดทีมเล็กๆ ที่ไม่โด่งดัง เขาไม่เป็นที่รู้จัก และไม่ประสบความสำเร็จ ดังนั้นอาชีพนี้จึงแทบจะทำรายได้เพื่อเลี้ยงครอบครัวไม่ได้เลย แถมในบราซิลในสมัยนั้นการเลี้ยงชีพด้วยการเป็นนักฟุตบอล เป็นอาชีพที่ไม่มั่นคง ส่วนมาเรีย เซเลสเต้ แม่ของเอดิสันก็เป็นหญิงสาวชาวบ้านทำหน้าที่เป็นแม่บ้านเลี้ยงดูลูกๆ ฐานะของครอบครัวนี้จึงเข้าขั้นจนมาก ครอบครัวของเขาก็ต้องย้ายบ้านอยู่เรื่อยๆ ตามแต่ที่พ่อจะได้รับคำเสนอให้ไปเล่นฟุตบอลให้กับทีมนี่ที่อยู่ตามเมืองต่างๆ และพ่อของเขาต้องทำอาชีพทำความสะอาดในโรงพยาบาลเพื่อหาเงินมาจุนเจือครอบครัวอีกด้วย



เปเล่เริ่มเล่นฟุตบอลอย่างจริงๆ จังๆ เมื่อตอนที่มีอายุได้ 11 ปี เขาก่อตั้งทีมฟุตบอลข้างถนนเป็นของตัวเองโดยมีเพื่อนๆ ที่เล่นอยู่ตามถนนอื่นๆ มาร่วมเข้าทีมด้วย ชื่อทีมของเขาแปลเป็นภาษาไทยว่า “ทีมนักเตะไร้รองเท้า” และต่อมาทีมของเขาก็เข้าลงแข่งในรายการเล็กๆ ของเมืองที่จัดแข่งโดยนายกเทศมนตรีของเมืองเบารู และทีมของเขาก็ได้เปลี่ยนชื่อทีมมาเป็น “อเมริควินย่า” (Ameriquinha) และสามารถคว้าแชมป์ มาครอง ชัยชนะในครั้งนี้ทำให้เปเล่ถูกค้นพบโดยวัลเดอมาร์ เดอ บริโต้ นักฟุตบอลในลีกสูงสุดของบราซิล ได้มองเห็นฝีมือของเปเล่และเพื่อนๆ ในปี ค.ศ. 1954 เขาและเพื่อนๆ จึงถูกเชิญให้ไปร่วมทีมเยาวชน “บาควินโย่” (Baquinho) การเล่นให้กับทีมนี้ถือว่าเป็นครั้งแรกที่เปเล่ได้รับค่าจ้างเพื่อเล่นฟุตบอล



เปเล่ถูกเรียกตัวให้ไปรับใช้ชาติเป็นครั้งแรกหลังจากที่เขาเพิ่งลงเล่นในฤดูกาลแรก ภายใต้ทีมชุดใหญ่ของสโมสรซานโตส นัดแรกในฐานะนักเตะทีมชาติบราซิลคือนัดที่ลงแข่งกับทีมชาติอาร์เจนติน่าเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม ปี ค.ศ. 1957 บราซิลเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไป 1 – 2 แต่ถึงแม้ว่าบราซิลจะเป็นฝ่ายแพ้ แต่นัดนั้นก็มีความสำคัญสำหรับเขามาก คือนอกจากเปเล่จะได้ลงเล่นให้กับทีมชาติเป็นครั้งแรกในชีวิตแล้ว เขายังสามารถทำประตูได้เป็นครั้งแรกในฐานะนักเตะทีมชาติ น่าทึ่งมากสำหรับเด็กหนุ่มที่มีอายุเพียง 16 ปี 3 เดือนจะมีอายุได้ 17 ปี ที่สามารถทำผลงานได้ขนาดนี้

การจะเป็นนักฟุตบอลที่เก่งและเป็นที่ชื่นชอบของคนทั่วไปได้ไม่ใช่เรื่องง่าย กว่าจะมาถึงวันนี้เปเล่ต้องผ่านความอยากลำบากมานับไม่ถ้วน แต่เขาไม่เคยย่อท้อต่อความอยากลำบาก กลับต่อสู้มาสารพัดและผันตัวเองกลายมาเป็นนักเตะที่เก่งที่สุดในโลกได้ด้วยความสามารถ แม้ช่วงเวลาที่เปเล่เคยรุ่งโรจน์จะล่วงเลยมาเป็นเวลาหลายสิบปีแล้ว แต่ความยิ่งใหญ่ของเปเล่ยังคงถูกกล่าวขานมาจนปัจจุบัน และยังคงเป็นที่จดจำในหมู่คนที่มีใจรักฟุตบอลไปตลอดกาล


อ้างอิง

วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี .2559. เปเล่. (ออนไลน์) สืบค้นเมื่อ 26 มีนาคม 2559, จาก: https://th.wikipedia.org/

เปเล่ : ประวัติศาสตร์สากล-บุคคลสำคัญ. 2543. สืบค้นเมื่อ 26 มีนาคม 2559, จาก: http://www.baanjomyut.com/library_2/extension-2/pele/index.html

ลานโควท | วาทะ ข้อคิด คำคมคนดัง | เปเล่ – LaanQuote. สืบค้นเมื่อ 26 มีนาคม 2559,  จาก: http://www.laanquote.com/

อ่านเพิ่มเติม »

ลังกาวี เกาะต้องคำสาป

โดย ธวัชชัย ภาระจ่า

เกาะลังกาวี  เกาะแห่งนี้เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่ชาวมาเลย์ ว่ามีตำนานที่เล่าขานกันมา  ถึงเจ้าหญิงชายารัชทายาท ซึ่งมีชีวิตอยู่เมื่อ 200 กว่าปีมาแล้วนามว่ามัสสุหรี ซึ่งเป็นหญิงคนไทย ลูกหลานชาวภูเก็ต

พ่อกับแม่พระนางมัสสุหรี มีอาชีพค้าขายทางเรือระหว่าง ภูเก็ตกับเกาะปีนัง จนกระทั่ง วันหนึ่งได้ตั้งท้อง และซินแซได้ทำนายทายทักว่า เด็กในท้องจะเป็นผู้หญิง ที่มีบุญญาธิการสูง พ่อและแม่ของพระนางมัสสุหรี เชื่อในคำทำนายของซินแซ ประกอบกับการค้าขายที่ผ่านมาที่ไม่สามารถสร้างความร่ำรวยเหมือนคนอื่นๆเขา สาเหตุเพราะไม่มีเรือสำเภาเป็นของตนเองต้องอาศัยเช่าเรือคนอื่น ทำให้มีผลกำไรน้อยจนไม่สามารถทำให้ร่ำรวยขึ้นมาได้  อีกทั้งเด็กหญิงมัสสุหรีที่เกิดมาก็น่ารักน่าชัง  พ่อและแม่ของพระนางมัสสุหรี จึงขายข้าวของทั้งบ้านและที่ดินจนหมดเพื่อลงทุนซื้อเรือ และสินค้าไปขายที่เกาะปีนัง

ขณะที่พระนางมัสสุหรี อายุได้ 7 ขวบ ระหว่างเดินเรือเกิดพายุใหญ่ขึ้น ด้วยความเป็นห่วงลูก พ่อและแม่ได้เข้ามาโอบกอดกลัวลูกตกทะเล ทำให้ทิ้งการควบคุมใบเรือและหางเสือ ทำให้เรือล่มกลางทะเล ทุกคนตกลงสู่ทะเล จึงอธิฐานว่า หากเด็กคนนี้มีบุญญาธิการจริงก็ขอให้รอดพ้นจากภัยอันตราย ทั้งสามแม่ลูกจึงรอดชีวิตอย่างปาฏิหาริย์ ไปติดที่เกาะแห่งหนึ่ง เกาะนั้นคือ ลังกาวี ที่แปลว่า นกอินทรีย์สีน้ำตาล

บนเกาะลังกาวีนั้น มีคนมาเลย์พื้นเมืองเดิม มีสุลต่านปกครองชาวประชาเหมือนรัฐอื่นๆในแถบคาบสมุทรมาลายู สามพ่อแม่ลูกจึงเดินทางเข้าไปก็ไม่ได้รับการต้อนรับจากชนพื้นเมืองนัก จึงเดินทางไปยังใจกลางเกาะซึ่งเป็นป่ารกทึบ (ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของเรือนใกล้สุสานของพระนางมัสสุหรี) พ่อของพระนางมัสสุหรีจึงได้ตัดไม้สร้างกระท่อมเล็กๆ เพื่ออยู่อาศัย จนกระทั้งเกิดวิกฤติ ภัยแล้งอย่างหนัก ทั่วทั้งเกาะ ไม่มีน้ำแม้แต่หยดเดียวบนเกาะแห่งนี้ ผู้คนเดือดร้อนไปทั่ว บ้างก็อพยพหนีไปที่อื่น เทือกสวนไร่นา สัตว์เลี้ยง เสียหายหมด ด้วยความเป็นเด็กฉลาด และได้ยินพ่อแม่เล่าให้ฟังอยู่เสมอว่า ตนเองเป็นเด็กที่มีบุญญาธิการ เด็กหญิงมัสสุรี จึงอธิฐานจากพระเจ้าว่า ได้โปรดเถิดพระเจ้า หากข้าพเจ้ามีบุญญาธิการจริงขอพระเจ้าได้ประธานแหล่งน้ำให้ข้าพเจ้าด้วย เถิดระหว่างอธิฐานก็ไปสะกิดก้อนกรวดหิน ทำให้พบตาน้ำไหลออกมา จึงรีบไปบอกพ่อและแม่ พ่อจึงลงมือขุดเป็นบ่อน้ำ และ เด็กหญิงมัสสุหรี ขอให้พ่อไปแจ้งให้ชาวบ้านทราบและ กล่าวว่าทุกคนในเกาะนี้ สามารถมาตักน้ำไปดื่มกินได้เลย ข่าวแพร่สะพัดไปทั่วเกาะ มีผู้คนมากมายเข้า ดื่มกินน้ำและนำกลับบ้าน โดยคุณสมบัติพิเศษของน้ำในบ่อแห่งนี้ เมื่อคนป่วยนำไปดื่มกินก็จะหายจากโรคร้าย จึงลือกันว่าเป็นบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ



พระนางมัสสุรีนั้น เป็นเด็กที่ขยัน เด็กที่ดีของพ่อแม่ ช่วยเหลืองานบ้านงานเรือน ซื่อสัตย์ เชื่อฟังพ่อแม่ และที่สำคัญไม่เคยพูดโกหก  ทุกวันเมื่อพ่อแม่กลับมาถึงบ้าน มัสสุรีจะถือขันน้ำสำหรับพ่อ และแม่ดื่มเพื่อแก้กระหายในมือข้างขวา ส่วนมือข้างซ้ายมัสสุหรีจะถือไม้เรียวสำหรับค่อยรายงานว่าตนเองทำผิดอะไร หรือพ่อจะลงโทษหากพ่อไปได้ยินใครเขาฟ้องอะไรพ่อ ซึ่งเป็นที่ร่ำลือของชาวบ้าน ยามใดที่มีคนยาก หรือขอทานผ่านมา มักจะชวนเข้าบ้าน พูดคุยด้วยโอภาปราสัยให้ทานเป็นน้ำ ข้าวปลาอาหารสม่ำเสมอ จนกระทั่งโตเป็นสาว ก็มีรูปสวย งามที่สุดบนเกาะลังกาวี  จนในที่สุดความงามและความมีน้ำใจของหญิงไทยผู้นี้ ดังกระฉ่อนไปถึงหูของ "วันดารุส" โอรสของสุลต่านผู้ซึ่งปกครองเกาะลังกาวีแห่งนี้

ด้วยความสนพระทัย วันดารุสจึงปลอมตัวเป็นขอทานมาขอข้าวขอน้ำที่หน้าบ้านของพระนางมัสสุรี พระนางมัสสุหรีก็ต้อนรับ เอาน้ำเอาข้าวปลามาให้สุลต่านในคราบขอทานจึงเป็นที่พอพระทัยอย่างยิ่ง วันดารุสทำอย่างนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า จนทั้งสองเกิดความรักซึ่งกันและกันโดยที่พระนางมัสสุรีไม่ล่วงรู้เลยว่า ผู้ชายที่ตนกำลังหลงรักอยู่นั้นคือรัชทายาทผู้ปกครองเกาะลังกาวี วันดารุสจึงตัดสินใจบอกกับพระมารดา ว่าพบหญิงที่รัก หญิงที่ชอบและคิดว่าเหมาะสมกับตนแล้ว อยากแต่งงานมีครอบครัวเสียทีจึงอ้อนวอนให้พระมารดาช่วยไปสู่ขอ พระมารดาดีใจมาก เพราะอยากให้ลูกเป็นฝั่งเป็นฝาเสียทีและพระมารดาได้ถามว่า "เธอคนนั้นเป็นลูกเต้าหรือเชื้อพระวงศ์ที่ไหน" วันดารุสเล่าความตามที่เตรียมไว้และเมื่อพระมารดาทราบว่า เธอเป็นหญิงสาวลูกชาวบ้าน และยังเป็นคนไทยที่อพยพมาจากภูเก็ตไม่มีหัวนอนปลายเท้า พระมารดาก็ออกปากปฏิเสธทันทีเพราะเธอเป็นคนไทย

ในที่สุดเจ้าชายวันดารุส จึงใช้วิธี ยื่นคำขาดกับพระมารดา โดยหากพระมารดาไม่ดำเนินการไปสู่ขอพระนางมัสสุหรีตามความต้องการของตน (หลักศาสนาอิสลามผู้ปกครองต้องเป็นผู้สู่ขอให้) มิเช่นนั้น ตนจะปลิดชีพตนเอง  พระมารดาด้วยความรักลูกกลัวลูกชายจะฆ่าตัวตายจึงยินยอมไปสู่ขอพระนางมัสสุรีแต่โดยดี แต่ในใจนั้น ผูกพยาบาทโกรธพระนางมัสสุหรียิ่งนักจึงคิดหวังจะกำจัดพระนางมัสสุหรีเมื่อสบโอกาส พิธีอภิเษกสมรสเกิดขึ้นท่ามกลางความชื่นชมของชาวเกาะลังกาวี เพราะมีว่าที่พระมเหสีที่สวยและมีน้ำใจ เป็นที่รักของคนทั่วไป ยกเว้นพระมารดาที่คอยกลั่นแกล้งเสมอ เมื่อวันดารุสไม่อยู่ในวังจะใช้ทำงานสารพัดเพื่อให้สาสมกลับที่แย่งความรักจากวันดารุสไปจากตน

จนกระทั่งพระนางมัสสุรีตั้งครรค์ และคลอดบุตรเป็นชาย วันดารุสดีใจมากที่มีราชทายาทกับพระนางมัสสุหรี พร้อมตั้งชื่อว่า วันฮาเก็ม เมื่อวันฮาเก็มคลอดได้เพียง 3 วัน วันดารุสก็ต้องลาไปออกศึก เพราะขณะนั้นเกิดศึกสงครามจากการขยายอำนาจของสยาม เพราะเกาะลังกาวีส่วนหนึ่งของของไทรบุรีประเทศราชของสยาม วันดารุสจึงต้องจัดทัพไปออกศึกในครั้งนั้น  ก่อนไปด้วยความความรักและห่วงใยภรรยาที่กำลังตั้งท้อง วันดารุสจึงได้มอบหมายให้องค์รักษ์คู่ใจ มีฝีมือและเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็กให้มาช่วยรับใช้ พระนางมัสสุหรีระหว่างที่ตนไม่อยู่ โดยประกาศไว้ว่าหากใครกล้าแตะต้องพระนางมัสสุหรีกับุตรชาย หรือขัดขวางการทำหน้าที่ขององครักษ์ ผู้นั้นมี โทษประหารสถานเดียวไม่มีข้อยกเว้นแล้วจึงออกเรือเดินทัพไปร่วมศึกในครั้งนั้น  

ด้วยความเกลียดชังและอิจฉาริษยาของพระมารดา ทันทีที่วันดารุส ออกเรือ พระมารดาจึงประกาศสั่งให้ข้าทาสบริวารในวังทั้งหมด หยุดทำงานและสั่งให้พระนางมัสสุหรีทำแต่ผู้เดียวทั้งหมด  ทางด้านพระนางมัสสุหรี แทนที่จะต่อต้านเพราะเป็นถึงพระมเหสีด้วยความรักในสามี จึงยอมทำตามคำสั่งของพระมารดาแต่โดยดี แม้องครักษ์จะทัดทานหรือขออาสาทำงานทุกอย่างแทน ด้วยใจหวังไว้ว่าสักวันความดีจะชนะใจแม่สามีได้  จนกระทั่งฝ่ายองครักษ์ทนดูไม่ได้จึงก้มลงกราบแทบเท้าพระนาง จะไม่ยอมลุกขึ้น หากพระนางมัสสุรีไม่ยอมให้ช่วยทำงานแทน และจึงยินยอมในที่สุด   ฝ่ายพระมารดาโกรธมากเมื่อทราบถึงการเข้าช่วยเหลือขององครักษ์ จึงเห็นต้องกำจักทั้งสองคนโดยได้สั่งให้บริวารไปเฝ้าดูเพื่อจับผิด และหาเรื่องใส่ร้ายพระนามมัสสุหรีให้จงได้

จนกระทั่ง วันหนึ่งก็มาถึง พระนางมัสสุหรีเอาผ้าคลุมฮิญาบหรือผ้าคลุมศรีษะ ยื่นให้องครักษ์เช็ดหน้าเช็ดตา ในขณะที่กำลังตรากตรำทำงานหนักและบริวารสายสืบของพระมารดาเห็นเข้า จึงนำเรื่องนี้ไปรายงานพระมารดาซึ่งดีใจมาก พร้อมสั่งให้ทหารไปจับคนทั้งสองและป่าวประกาศไปทั่วเกาะว่า พระนามมัสสุรีมีชู้กับองครักษ์ ทำให้เสื่อมเสียงพระเกียรติแก่ราชวงศ์มีโทษประหารด้วยกริช ห้ามใครพูดเข้าข้างพระนางมัสสุรี มิเช่นนั้นจะประหารทันที ส่วนองครักษ์นั้นได้ถูกสั่งประหารด้วยการขุดหลุม แล้วให้ลงไปนอน เอาก้อนหินกระหน่ำปาลงไปจนตาย พระนางมัสสุหรีถูกนำตัวมามัดไว้กับต้นไม้ต้นหนึ่ง เพชฌฆาตนั้นเมื่อเริ่มลงมือเอากริชแทงพระนางหลายครั้งด้วยน้ำตา แต่กริชไม่สามารถระคายผิว พระนางฯได้เลย พระนางฯจึงกล่าวว่า "กริชประจำตระกูลของเท่านั้นถึงจะฆ่าพระนางได้ และกริชนั่นก็อยู่ที่ บ้านพ่อแม่ของข้าเอง" พระมารดาได้ยินดังนั้นจึงสั่งให้เพชฌฆาตไปเอากริช ประจำตระกูลของพระนางฯ ตามที่พระนางฯบอก ทางด้านพ่อและแม่ของพระนางฯ เมื่อมีคนของพระมารดาไปขอกริชประจำตระกูล ก็ให้แต่โดยดี ด้วยเพราะทราบดีว่า คงเป็นความประสงค์ของพระนางมัสสุรีที่จะกู้ศักดิศรีและแสดงความบริสุทธิ์ แม้จะแลกด้วยชีวิตก็ตาม ก่อนที่เพชฌฆาตจะลงมือประหาร

พระนางมัสสุหรีจึงกล่าวดังไว้ว่า ฟ้าดินเป็นพยานข้านี้ถูกใส่ร้าย ข้ามิเคยคบชู้สู่ชายแต่อย่างใด หากข้าไม่ผิด ของให้โลหิตเป็นสีขาว และอย่าให้หิตข้าหลั่งลงพื้นดิน ฟ้าดินเป็นพยาน สิ้นคำกล่าวของพระนางฯ เพชฌฆาตก็ลงมือปักกริช ลงตรงคอ เสียงร้องของพระนางดังไปทั่วบริเวณ เลือดสีขาวพระนางฯพุ่งขึ้น เหมือนร่ม โดยไม่ตกลงพื้นแม้แต่หยดเดียว หันไปมองบุตรตัวน้อยวัยสามเดือนที่ร้องเสียงดัง เหมือนรับรู้ความเจ็บปวดของแม่ก่อนสิ้นใจพระนางฯได้อ้อนวอนขอกอดลูก และขอให้นมบุตรเป็นครั้งสุดท้ายต่อพระมารดาแม่ผัวผู้ใจดำ แต่พระมารดาไม่ยินยอม  พระนางมัสสุหรีจึงสาปแช่งว่าหากนางเป็นผู้บริสุทธิ์ มันผู้ใดที่อยู่บนเกาะลังกาวีจงประสบทุกข์เข็ญนานตราบ 7 ชั่วอายุคน และบอกพ่อกับแม่ของตนให้เอากล้วยน้ำหว้าป้อนลูกของตนแทนนม แล้วจึงสิ้นใจทาง

วันดารุส ขณะอยู่กลางท้องทะเลก็นิมิตเห็นภาพพระนางมัสสุหรีเหมือนมาลา จึงประกาศ หากใครทำอันตรายพระนางมัสสุหรีจะฆ่าตายให้หมด " พร้อมกับเดินทางกลับทันที   เมื่อมาถึงเกาะสภาพเกาะเหมือนเกาะร้างแทนที่จะมีเสียงประชาชนเข้ามาล้อม โฮ่ร้องต้อนรับเหมือนวีรบุรุษ เช่นทุกครั้ง แต่กลับเงียบเชียบเหมือนเมืองร้างผู้คนไม่รู้หายไปไหนหมด เมื่อกลับไปที่วัง ร้องหาแม่นางมัสสุรีและลูกไม่พบก็ใจหาย จึงไปหาที่บ้านพ่อตาแม่ยาย เมื่อย่างก้าวเข้าบริเวณบ้านความรู้สึกเศร้าระงมไปทั่ว แต่ก็กลับดีใจที่ได้ยินร้องของเด็ก เมื่อขึ้นไปดูจึงเห็นแต่ลูก และทราบข่าวการตายของพระแม่นางมัสสุรีจากพ่อตาและแม่ยาย


หาดทรายสีดำ

วันดารุสเสียใจมาก เพราะคิดไม่ถึงว่า พระมารดาจะฆ่าและทำลายพระนางมัสสุหรี คนที่ตนรักได้อย่างโหดเหี้ยมได้ลงคอ พระองค์จึงตัดสินใจสละสิทธิ์รัชทายาทราชบันลังก์ แล้วหอบลูกและกริชกลับไปยังบ้านเกิดของพระนางมัสสุหรี คือภูเก็ต หาดทรายเปลี่ยนเป็นสีดำ หลังจากนำศพของพระนางมัสสุหรีไปฝัง ส่วนพระมารดาเมื่อสิ้นชีวิต พระศพก็ไม่สามารถฝังที่ใดได้เลย บนเกาะลังกาวี ฝังที่ใดทรายก็จะดันขึ้นมาเสมอ จนกระทั่งต้องไปกลับทำพิธีบนบานที่สุสานพระนางมัสสุหรี จึงสามารถนำพระศพไปฝังไว้ที่บริเวณหาดทราย และสีของหาดทรายกลายเป็นสีดำในทันที

จากเรื่องราวของเด็กหญิงมัสสุหรีและครอบครัว นับเป็นโศกนาฏกรรมสำคัญ ที่ให้แง่คิดโดยเฉพาะในเรื่องการเรียนรู้จักตัวตนของผู้อื่นก่อน อย่าตัดสินคนจากลักษณะภายนอกเท่านั้น เพราะมันอาจก่อให้เกิดจากเกลียดชังและการใส่ร้าย และนำมาซึ่งความเดือนร้อน และจบลงอย่างน่าเศร้า โดยไม่ทำให้ใครมีความสุขจากเรื่องที่เกิดขึันนี้เลย


อ้างอิง

เกาะต้องคำสาป.สืบค้นข้อมูลเมื่อ 2 พฤษภาคม พ.ศ.2559, จาก: https://sites.google.com/site/prawlangkawi/tanan-nang-leuxd-khaw-massu-h-ri
           
เกาะต้องคำสาป. สืบค้นข้อมูลเมื่อ 2 พฤษภาคม พ.ศ.2559, จาก: http://board.postjung.com/461385.html

เกาะต้องคำสาป. สืบค้นข้อมูลเมื่อ 2 พฤษภาคม พ.ศ.2559, จาก: http://www.dekd.com/board/view/1488816/


อ่านเพิ่มเติม »

วอลท์ ดิสนีย์ (Walt Disney)

โดย จิรวัฒน์ ดวงชาทม

วอลท์ ดิสนีย์ กลายเป็นที่รู้จักของคนทั่วโลกเพราะได้สร้างตัวการ์ตูนที่ชื่อ มิกกี้ เมาส์ ให้คนทั่วโลกได้รู้จักและเป็นที่ชื่อชอบของเด็กๆและผู้ใหญ่หลายท่าน และในช่วงก่อตั้งบริษัทนั้นตัวการ์ตูนยังไม่เป็นที่รู้จักของผู้คนมากนัก แต่ วอลท์ ดิสนีย์ ได้พิสูจน์ตัวเองจนเป็นที่รู้จักของคนทั่วโลกผ่านตัวการ์ตูนที่เขาสร้างขึ้น ไม่ว่าจะเป็น มิกกี้ เมาส์  , พิน็อคคิโอ้ , สโนไวท์

วอล์ท ดิสนีย์ (Walt Disney) หรือ วอลเตอร์ เอเลียส ดิสนี่ย์  ผู้ให้กำเนิด มิคกี้ เมาส์ และเป็นผู้ก่อตั้งสวนสนุกดังระดับโลกอย่าง ดิสนี่ย์ เวิร์ลด์ เกิดเมื่อ 5 ธันวาคม 1901 ที่ชิคาโก้ รัฐอิลลินอยส์ เติบโตในครอบครัวชาวนาในมิสซูรี่ ดิสนี่ย์เริ่มสนใจในการวาดรูปเมื่ออายุ 7 ปี และสนใจในการเรียนวาดรูปและถ่ายรูปเมื่ออยู่ที่แม็คคินเลย์ ไฮสคูล



ใน ปี1918 ดิสนี่ย์ก็ได้ เข้าร่วมกับหน่วยกาชาติ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 พอหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 สงบ ดิสนี่ย์ก็กลับไปยังแคนซัสซิตี้ ที่ๆ เขาเริ่มทำงานด้านการเขียนการ์ตูนประกอบโฆษณาที่นี่ ดิสนี่ย์ได้ออกแบบ ตัวการ์ตูนที่เป็นแบบฉบับของตัวเองและเรียนรู้วิธีที่จะทำให้ตัวการ์ตูนนั้นเคลื่อนไหวได้

ในเดือนสิงหาคม ปี 1923 ดิสนี่ย์ก็ไปที่ฮอลลิวู้ดเพื่อก่อตั้งสตูดิโอที่นั่น และในปี 1928 ดิสนี่ย์ได้สร้าง มิคกี้ เมาส์ และ ปรากฎครั้งแรกในหนังการ์ตูนเงียบที่ชื่อว่า Plane Crazy แต่ว่า ก่อนที่การ์ตูนเรื่องนี้จะออกฉายนั้น ก็เริ่มมีการนำเสียงมาใส่ในภาพยนตร์ ทำให้มิคกี้ เมาส์ก็ได้ปรากฎอยู่ในหนังการ์ตูนที่มีการใส่เสียงเรื่องแรกในโลกที่มีชื่อ ว่า Steamboat Willie ในวันที่ 18 พฤศจิกายน 1928



ดิสนี่ย์ก็ได้ พัฒนาเทคนิคการทำภาพยนตร์ต่อไปโดยไม่มีที่สิ้นสุด เทคนิคการใส่สีในภาพยนตร์อนิเมชั่นก็ถูกนำมาใช้ในหนังอย่าง Silly Symphonies ปี 1932 หนังเรื่องFlowers and Treeของ Walt ก็ได้รับรางวัลออสการ์ครั้งที่ 32 ในปี 1937 ดิสนี่ย์ได้สร้างหนังเรื่อง The Old Mill ซึ่งเป็นหนังสั้นที่นำเอาเทคนิคของmultiplane camera มาใช้

ใน วันที่ 21 ธันวาคม ปี1937 ดิสนี่ย์ก็ได้ถือกำเนิด สโนว์ไวท์และคนแคระทั้ง7 ซึ่งเป็นภาพยนตร์อนิเมชั่นเพลงเรื่องแรกของเขา และทำรายได้สูงในสมัยนั้น และเป็นจุดเริ่มต้นของภาพยนตร์การ์ตูนชุดยาวของดิสนี่ย์ และก็มีเรื่องอื่นๆตามมาอย่าง พิน็อคคิโอ้ แฟนตาเซีย ดัมโบ้ และ แบมบี้

ใน ปี1940 เบอร์แบงค์สตูดิโอของดิสนี่ย์ก็สร้างเสร็จสมบูรณ์ โดยมีเจ้าหน้าที่มากกว่า 1000 คน ซึ่งประกอบด้วย ช่างศิลป์ อนิเมเตอร์ คนเขียนบท และ ฝ่ายเทคนิค ดิสนี่ย์ก็ใช้เวลาในสตูดิโอนี้เพื่อการสร้างหนังการ์ตูน ซึ่งรวมแล้ว ทั้งหมดก็มีด้วยกันถึง81เรื่องด้วยกัน และผลงานของดิสนี่ย์ก็เป็นสื่อที่ให้การเรียนรู้ได้มากพอๆกับความบันเทิง จนทำให้ได้รับรางวัลจากเรื่องTrue-Life Adventure ซึ่งมีหนังย่อยๆอย่างThe Living Desert,The Vanishing Prairie,The African Lion,และWhite Wilderness โดยหนังเหล่านี้ได้พูดถึงการใช้ชีวิตของสัตว์ป่าทั่วโลก

ในปี1955 ดิสนี่ย์ก็ได้ใช้เงินถึง17ล้านดอลล่าร์ ในการสร้างอาณาจักรบันเทิงอันยิ่งใหญ่อย่าง ดิสนี่ย์แลนด์ และปัจจุบันก็มีคนจากทั่วโลกมากกว่า 250ล้านคน เข้ามาเยี่ยมชม ส่วนงานด้านโทรทัศน์ ดิสนี่ย์ก็เริ่มต้นเมื่อปี 1954 และออกอากาศรายการทีวีที่เป็นภาพสีครั้งแรก กับรายการWonderful World of Colorในปี 1961 ส่วนรายการThe Mickey Mouse Clubและ Zorroก็ได้รับความนิยมมากจากผู้คนในยุค50



ในปี1965 ดิสนี่ย์ได้มองถึง ปัญหาของการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนอเมริกัน ทำให้ดิสนี่ย์ได้วางแผนที่จะสร้าง EPCOT(Experimental Prototype Community of Tomorrow) เพื่อแสดงให้เห็นถึงความคิดสร้างสรรค์ ของอุตสาหกรรมอเมริกันที่จะช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้ได้(ถ้าใครนึกออก มันก็คือลูกกอล์ฟขนาดยักษ์ที่ตั้งอยู่ในดิสนี่ย์เวิร์ลด์) ดังนั้น ดิสนี่ย์จึงซื้อที่ดิน 43 ตารางไมล์ ที่เป็นศูนย์กลางของรัฐฟลอริด้า เพื่อที่จะสร้างดิสนี่ย์ เวิร์ลด์ ซึ่งเป็นทั้งสวนสนุก โรงแรม รีสอร์ท และรวมถึง EPCOT center โดย ดิสนี่ย์ เวิร์ลด์ เปิดวันที่1 ตุลาคม ปี1971 และ EPCOT center เปิด1 ตุลาคม ปี 1982

วอล์ท ดิสนี่ย์ เสียชีวิต วันที่ 15 ธันวาคม 1966  ด้วยวัย 65 ปี ด้วยโรคมะเร็งในปอด โดยผลงานที่เขาได้สร้างสรรค์ในด้านต่างๆไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ อนิเมชั่น โทรทัศน์ รวมถึงงานบันเทิงด้านอื่นๆนั้น ก็ยังคงเป็นที่จดจำของผู้คนทั่วโลก หรืออาจกล่าวได้ว่า เขานั้นเป็นบุคคลที่ทรงอิทธิพล ในด้านบันเทิงอีกคนหนึ่งในศตวรรษที่20 เลยทีเดียว

หลังจากที่ วอลท์ ดิสนีย์ เสียชีวิตบริษัทสร้างหนังของ วอลท์ ดีสนีย์ ก็ตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน จนมาปี 1983 จึงได้ฟื้นตัวกลับมาคึกคักอีกครั้ง คราวนี้ได้ขยายบริษัทลูกออกมาเป็น Touchstone Pictures และ Splash หนังเรื่องแรก ของ Touchstone Pictures ก็ทำรายได้ให้อย่างงามบริษัท วอลท์ ดีสนีย์ ภายใต้การบริหารของ Michael Eisner และ Jeffrey Katzenberg เติบโตอย่างรวดเร็วและได้หวนมาสู่โลกของการ์ตูนอีกครั้งด้วยภาพยนตร์การ์ตูน ซึ่งดังพร้อมกับเพลงฮิต เช่น Beauty and the Beast Aladdin และ The Lion King

จากที่กล่าวมาในช่วงชีวิตของ วอล์ท ดิสนีย์ นั้นได้ผ่านความลำบากต่างๆมามากมายไม่ว่าจะเป็นช่วงตกต่ำหรือช่วงที่รุ่งเรือง เพื่อทำในสิ่งที่รักแล้ว วอล์ท ดิสนีย์ไม่เคยลดความพยายามที่จะนำเสนอสิ่งที่เขารักแก่สายตาผู้คนทั้งโลก จนเกิดโลกอนิเมชั่นขึ้นมาและทำให้เขาประสบความสำเร็จในด้านอนิเมชั่นถึงแม้ เขาจะเสียชีวิตในวัย 65 ปีด้วยโรคมะเร็งปอด แต่ผลงานที่เขาได้สร้างนั้นจะเป็นสิ่งที่สร้างความสุขให้ผู้คนทั้งโลกและทุกคนจะจดจำผลงานของเขาตลอดไป


อ้างอิง

Isariya Sornsakda. 2558 . ประวัติ วอล์ท ดิสนีย์.  สืบค้นเมื่อ 25 มีนาคม 2559
จาก : http://disneyis.blogspot.com/2013/02/walt-disney.html

วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี. 2558 . Walt Disney . สืบค้นเมื่อ 24 มีนาคม 2559
จาก :  https://th.wikipedia.org/wiki/วอลต์_ดิสนีย์

Kinodog. 2555 . Walt Disney ประวัติ . สืบค้นเมื่อ 25 มีนาคม 2559
จาก : http://kinodog.exteen.com/20060815/walt-disney

อ่านเพิ่มเติม »

เอ.เจ. สไตลส์ (A.J. Styles)

โดย ธีรไนย แซ่ลิ้ม

กีฬามวยปล้ำนั้น เป็นที่นิยมและมีอิทธิพลใน สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และหลายประเทศในทวีปยุโรป สำหรับวงการมวยปล้ำหากเอ่ยชื่อ เอ.เจ. สไตลส์ (A.J. Styles) คงไม่มีแฟนมวยปล้ำคนไหนไม่รู้จักชื่อนี้อย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นเขาถูกยกย่องให้เป็นนักมวยปล้ำที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลก จากนิตยสารมวยปล้ำ Fighting Spirit 2016 และในปี 2010 ยังถูกจัดให้เป็นสุดยอดนักมวยปล้ำเดี่ยวอันดับ 1 โดย PWI หรือ นิตยสาร Pro Wrestling Illustrated ในสังเวียนมวยปล้ำนั้นเขาถูกขนานนามว่า  The Phenomenal One

เอ.เจ. สไตลส์(A.J. Styles) มีชื่อจริงว่า อัลเลน นีล โจนส์ (Allen Neal Jones) เกิดเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน ค.ศ.1977 ในค่ายนาวิกโยธินรัฐนอร์ทแคโรไลนา เขาเติบโตจากครอบครัวที่ยากจน จบการศึกษาจากโรงเรียนมัธยม Johnson High School in Gainesville ในปี ค.ศ.1996  เอ.เจ. เป็น คริสเตียน ที่เคร่งศาสนา ถึงกับประกาศตนว่า ‘พระเจ้าเป็นที่ 1 ครอบครัวเป็นที่ 2’



เอ.เจ. แต่งงานกับอาจารย์สอนหนังสือ ชื่อ เวนดี้ (Wendy) โดยทั้งคู่มีลูกด้วยกัน 4 คน ลูกคนแรกชื่อ  Ajay Covell Jones เกิดวันที่ 3 เดือนพฤษภาคม ปี ค.ศ.2005 คนที่สองชื่อ  Avery Jones เกิดวันที่ 17 เดือนกุมภาพันธ์ ปี ค.ศ.2007 เคนที่สามชื่อ Albey Jones เกิดวันที่ 15 เดือนกุมภาพันธ์ ปี ค.ศ.2009 คนที่ 4 ชื่อ Anney Jones เกิดวันที่ 8 เดือนตุลาคม ปี ค.ศ.2010 เป็นผู้ชาย 3 คน และเป็นผู้หญิง 1 คน ตามลำดับ ปัจจุปันเขาอาศัยอยู่กับครอบครัวที่ เกนส์วิลล์ จอร์เจีย (Gainesville, Georgia) เอ.เจ. ได้สักอักษรตัวเลขเลขาคณิตไว้ข้างลำตัวทางด้านขวา ‘AJ 05-03-05 02-14-07 09-15-09’ เป็นตัวเลขวันเกิดของลูกๆ 3 คนแรก

เอ.เจ. สไตลส์ มีส่วนสูง 5 ฟุต 11 นิ้ว (1.80 เมตร) น้ำหนัก 220 ปอนด์ (100 กิโลกรัม) ได้รับการฝึกสอนมวยปล้ำโดย "The Chosen One" Rick Michaels เปิดตัวครั้งแรกในสังเวียนมวยปล้ำช่วงปี ค.ศ.1998 สไตลส์การปล้ำของ เอ.เจ. เป็นแบบTechniker, High Flyer หรือ แบบเหินเวหา ท่าไม้ตายของเขาคือ Calf Crusher, Spiral Tap (Corkscrew senton bomb), Styles Clash (Belly-to-back inverted mat slam), Superman (Springboard 450° splash) เพลงเปิดตัวปัจจุปันที่เขาใช้คือ Phenomenal โดย CFO$

เอ.เจ. เริ่มปล้ำมวยปล้ำตั้งแต่อายุ 17 ปี โดยเริ่มปล้ำให้กับสมาคมอินดี้ต่างๆมากมาย เอ.เจ. เคยปล้ำสมาคมใหญ่ๆหลายสมาคมทั้งในสหรัฐอเมริกา และ ญี่ปุ่น เช่น WWE,TNA,HON,NJPW,NWA,WCW เคยเป็นแชมป์โลกของ NJPW 2 สมัย(IWGP Heavyweight Championship )และ สไตลส์ยังเคยเป็นแชมป์โลกTNA 4 สมัย (แชมป์โลก NWA 3 สมัย และแชมป์โลก TNA 1 สมัย) และยังเป็นแชมป์โลกแทกทีม 5 สมัย (แชมป์โลกแทกทีม NWA 4 สมัย และแชมป์โลกแทกทีม TNA 1 สมัย) และเคยเป็นแชมป์ทีวีของ TNA ,แชมป์เอกซ์ดิวิชั่น และยังเป็นแชมป์ทริปเปิลคราวน์ และแชมป์แกรนด์สแลม คนแรกในสมาคมทีเอ็นเออีกด้วย



เคยได้รับรางวัล Awardsต่างๆมากมาย เช่น Best Flying Wrestler (2005), Best Wrestling Maneuver (2003, 2015), Wrestler of the Year (2015), Most Outstanding Wrestler (2014, 2015), Match of the Year (2014) vs. Minoru Suzuki โดย Wrestling Observer Newsletter นี้เป็นแค่ส่วนหนึ่งของรางวัลที่เขาได้รับเท่านั้นสามารถการันตีได้ว่า เอ.เจ. สไตลส์ เป็น 1 ในนักมวยปล้ำที่ยอดเยี่ยมที่สุด

นอกจากจะมีผลงานในสังเวียนมวยปล้ำแล้วเขายังมีผลงานทางจอโทรทัศน์อีกด้วย ในละครซีรีย์เรื่อง Made Season 10 Episode 19  แสดงเป็นพระเอก MV ของ Sarah Darling ในเพลง Something to Do with Your Hands และ ปรากฏตัวในเกมส์ TNA Impact!

เอ.เจ. สไตลส์ แม้เขาจะเป็นนักมวยปล้ำที่ร่างเล็ก หากเทียบกับนักมวยปล้ำคนอื่นๆ ซึ้งเป็นสิ่งที่ยาก และ น้อยคนนักที่จะถูกยอมรับในกีฬามวยปล้ำ แต่ด้วยความพยายามในการฝึกฝนพัฒนาฝีมือตนเองให้โดดเด่น และ เก็บประสบการณ์ปล้ำทั่วโลกเป็นเวลานานกว่า 20 ปี จนเป็นที่ยอมรับของทั่วโลกว่านี้ล่ะ คือสุดยอดนักมวยปล้ำ และ ถือว่าเป็นนักมวยปล้ำที่ประสบความสำเร็จคนหนึ่งของโลก


อ้างอิง

Wrestlers Database A.J. Styles. สืบค้นเมื่อ 25 มีนาคม พ.ศ.2559 ,จาก:  http://www.cagematch.net/?id=2&nr=801

A.J. Styles. สืบค้นเมื่อ 25 มีนาคม พ.ศ.2559 ,จาก:  https://en.wikipedia.org/wiki/A.J._Styles

เอ.เจ. สไตลส์. สืบค้นเมื่อ 25 มีนาคม พ.ศ.2559 , จาก:  https://th.wikipedia.org/

อ่านเพิ่มเติม »

เนลสัน มันเดลา (Nelson Mandela)

โดย อนุชา  สีหาบุตร

หากจะกล่าวถึงนักสู้ผู้ยิ่งใหญ่ในทศวรรษนี้ คงจะไม่มีใครปฏิเสธชื่อของ  เนลสัน แมนเดลา อย่างแน่นอน เพราะหากปราศจากบุคคลผู้นี้แล้ว โลกของเราก็คงจะยังมีการเหยียดสีผิว เขาเป็นรัฐบุรุษของโลก ผู้อุทิศตนต่อสู้เพื่อล้มล้างลัทธิเหยียดผิว และผลักดันให้เกิดสันติภาพทั่วโลก

เนลสัน แมนเดลา เกิดวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2461 เป็นผู้สืบทายาทสายหนึ่งของราชวงศ์เทมบู ที่ปกครองแคว้นทรานสไก ในจังหวัดอีสเทิร์นแคป ของประเทศแอฟริกาใต้ โดยเขาเกิดที่อึมเวโซ ซึ่งเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ในเมืองอุตาตา ซึ่งเป็นเมื่องหลวงของทรานสไก เดิมแท้จริงแล้ว เนลมัน แมนเดลา มีชื่อจริงว่า โรลีห์ลาห์ลา ซึ่งมีควายหมายว่า “เจ้าตัวยุ่ง”  แต่ต่อมา มันเดลา ได้เข้าไปศึกษาที่โรงเรียน ครูของเขาได้ตั้งชื่อภาษาอังกฤษให้โดยเรียกว่า “เนลสัน” จึงทำให้ได้ที่มาเป็น เนลสัน แมนเดลา


เนลสัน มันเดลา

เนลสัน แมนเดลา ได้สำเร็จการศึกษาที่มหาวิทยาลัยวิทส์วอเทอแรนด์ ด้านกฎหมายหลักสูตรทางไกลกับมหาวิทยาลัยลอนดอน ซึ่งทำให้ เนลสัน แมนเดลา ได้พบเจอกับผู้คนหลากหลายเชื้อชาติ ได้รับความคิดแบบเสรีนิยม และความคิดต่อสู้เพื่อชาวแอฟริกัน ได้เรียนรู้เกี่ยวกับการเหยียดผิว การถูกกระทำแบบสองมาตรฐาน ซึ่งนี้เองที่เป็นจุดเริ่มต้นในการผลักดันให้เขาเริ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองเกี่ยวกับการเหยียดผิว

เมื่อปี พ.ศ. 2491 ชัยชนะในการเลืองตั้งตกเป็นของพรรคชาตินิยม ซึ่งสนับสนุนนโยบายการแบ่งแยกสีผิวอย่างรุนแรง ยิ่งทำให้ แมนเดลาเริ่มมีบทบาททางการเมืองมากขึ้น เขาเป็นผู้นำคนสำคัญในการต่อต้านการแบ่งแยกสีผิว โดยแมนเดลาเริ่มทำการเจรจาต่อต้านรัฐบาลโดยไม่ใช้ความรุนแรง แต่เขาและเพื่อร่วมขบวานการกว่า 150 คน ถูกจับกุมเมื่อวันที่  5 ธันวาคม พ.ศ. 2499 ในข้อหากบฏ แต่การไต่สวนคดีมีเวลายาวนานมาก ทำให้คดีสิ้นสุดลงโดยไม่มีความผิด

ต่อมาในปี พ.ศ. 2504 แมนดาลาได้เป็นผู้นำกองกำลังติดอาวุธของเอเอ็นซี ได้เปิดปฏิบัติการวินาศกรรมทางเศรษฐกิจจนกระทั่งถูกจับในที่สุด และเขาถูกแจ้งข้อหาก่อวินาศกรรม และพยายามโค่นล้มรัฐบาลด้วยวิธีการรุนแรง โดยระหว่างการพิจารณาคดีที่เมืองริโวเนีย แมนเดลาได้ประกาศความเชื่อของเขาในเรื่องประชาธิปไตย เสรีภาพ และความเท่าเทียมว่า
“ผมเชิดชูอุดมคติเรื่องสังคมที่เป็นประชาธิปไตยและมีเสรีภาพ ที่ซึ่งคนทุกคนสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสมานฉันท์ และได้รับโอกาสอย่างเท่าเทียมกัน นี่คือสังคมอุดมคติที่ผมปรารถนาจะไปให้ถึง เป็นอุดมคติที่ผมพร้อมจะอุทิศชีวิตให้”

เนลสัน มันเดลา

ในปี พ.ศ. 2507 เขาถูกพิพากษาจำคุกตลอดชีวิตบนเกาะร็อบเบินเป็นเวลา 18 ปี ก่อนถูกย้ายมายังเรือนจำโพลส์มัวร์บนแผ่นดินใหญ่ในปี พ.ศ. 2525 ซึ่งขณะที่เขาถูกจองจำอยู่นั้น พวกเยาวชนตามเมืองต่าง ๆ ของชนผิวดำยังคงต่อสู้กับการปกครองโดยคนผิวขาวส่วนน้อยต่อไป จนทำให้มีผู้บาดเจ็บและล้มตายเป็นจำนวนมาก

ขณะนั้น โอลิเวอร์ แทมโบ ซึ่งเป็นสหายของแมนเดลา ในสมัยศึกษาปริญญาตรีด้วยกัน ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ลี้ภัย ได้รณรงค์ระดับสากล เรียกร้องและกดดันให้ ปล่อยตัว เนลสัน แมนเดลา ด้วยวิธีจัดคอนเสิร์ต ณ สนามกีฬาเวมบลีย์ กรุงลอนดอน ที่มีผู้เข้าร่วมกว่า 72,000 คน อีกทั้งยังถ่ายทอดผ่านทางโทรทัศน์ ทำให้สุดท้าย ไม่สามารถทนแรงกดดันจากทั่วโลกได้ จะต้องสั่งปล่อยตัว เนลสัน แมนเดลา ให้เป็นอิสระ

แต่วิถีชีวิตของ เนลสัน ยังไม่หยุดลงแค่นั้น ในปี พ.ศ. 2536 เขาได้รับรางวัลสาขาสันติภาพ อีกทั้งชาวแอฟริกาใต้ทุกผัวสี ได้ลงคะแนนเสียงให้เขาเป็นประธานาธิบดี ของแอฟริกาใต้ เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2537 ซึ่งเขาได้เปลี่ยนแปลงกฎหมายเกี่ยวกับการเหยียดสีผิวเป็นลำดับต้นๆ จนถึงเดือน มิถุนายน พ.ศ. 2542 เขาได้ประกาศลาออกจากตำแหน่งประธานาธิบดีลง แต่เขายังใช้เวลาส่วนใหญ่กับเรื่องสิทธิมนุษยชนและ ความรู้เรื่องการติดต่อของโรคเอดส์ ที่กำลังเป็นปัญหาอยู่ในแอฟริกาเป็นอย่างมาก

จากที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ จะเห็นได้ว่าชีวิตของ เนลสัน แมนเดลา ได้ผ่านเรื่องราวการต่อสู้มาอย่างยาวนาน เพื่อให้ได้มาซึ่งความเป็นประชาธิปไตย ไม่มีการแบ่งแยกเหยียดสีผิว ซึ่งถึงแม่ว่า เนลสัน จะต้องจากไปด้วยโรคปอดและโรคแทรกซอนเรื้อรังมาอย่างยาวนาน แต่เขาก็ยังคงเป็นรัฐบุรุษของโลก ที่เป็นนักสู้ที่ทำเพื่อคนทุกคนให้อยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ


อ้างอิง

ประวัติ เนลสัน แมนเดลา รัฐบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ นักสู้ผู้ต่อต้านการเหยียดผิว.
สืบค้นเมื่อ 30 มีนาคม 2559, จาก : http://hilight.kapook.com/view/87849

ประวัติ บุคคลสำคัญของโลก. สืบค้น 30 มีนาคม 2559,
จาก :  http://personworld.exteen.com/20141108/nelson-mandela

ประวัติ เนลสัน แมนเดลา รัฐบุรุษผู้ยิ่งใหญ่. สืบค้น 30 มีนาคม 2559,
จาก: http://scoop.mthai.com/hot/5548.html

อ่านเพิ่มเติม »

ซีเนอดีน ซีดาน (Zinedine Zidane)

โดย ทยากร ศรีวะรมย์

ย้อนกลับไปฟุตบอลโลกปี 1998 ที่ฝรั่งเศสเป็นเจ้าภาพ ทีมชาติฝรั่งเศสซึ่งเป็นเจ้าภาพภายใต้การคุมทีมของเอ็มเม ฌักเกต์ ได้ทำผลงานได้ดีเยี่ยมจนสามารถคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกสมัยแรกและสมัยเดียวด้วยการเอาชนะทีมชาติบราซิลในรอบชิงชนะเลิศไป 3-0 ซึ่งในเกมนั้นคีย์แมนคนสำคัญของฝรั่งเศสได้ทำคนเดียวสองประตูและทั้งโลกก็ต่างก็ยกย่องให้เขาว่าเป็นกองกลางที่ดีที่สุดในโลกตลอดกาล ชายคนนั้นมีชื่อว่า ซีเนดีน ซีดาน

ซีเนดีน ยาซีด ซีดาน (Zinédine Yazid Zidane) เกิดเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน ปี 1972 ที่เมืองมาร์แซย์ประเทศฝรั่งเศส ในครอบครัวที่อพยพมาจากประเทศแอลจีเรีย เขามีความสนใจในเรื่องฟุตบอลมาตั้งแต่ 5 ขวบ โดยเขาอาศัยอยู่กับครอบครัวซึ่งมีพี่น้องทั้งหมดสี่คนโดยซีดานนั้นเป็นน้องคนสุดท้อง  ซีดานเริ่มต้นค้าแข้งในวัย 17 ปี กับสโมสร  อาแอ็ส กานส์ ในประเทศฝรั่งเศสโดยลงเล่นไป 61 นัดทำไป 6 ประตูในช่วงปี 1989-1992 แม้ว่ากานส์จะตกชั้นไปจากลีกเอิงแต่ซีดานยังคงได้เล่นในลีกเอิงต่อไปเมื่อเขาย้ายไปเล่นให้กับบอร์กโดซ์และทำผลงานได้อย่างดีเยี่ยมพาทีมเข้าชิงชนะเลิศฟุตบอลยูฟ่า คัพ ฤดูกาล 1995/1996 แต่ก็ต้องพ่ายให้กับบาเยิร์น มิวนิคสโมสรยักษ์ใหญ่จากประเทศเยอรมันก่อนที่ซีดานจะย้ายออกจากบอร์กโดซ์ไปด้วยผลงานลงเล่นไป 139 นัด ทำไป 28 ประตูพร้อมกับคว้าแชมป์ลีกเอิงฤดูกาล 1995/1996 รวมถึงแชมป์อินเตอร์โตโต้คัพปี 1995 ก่อนจะย้ายไปรับความท้าทายใหม่ๆกับยูเวนตุสสโมสรยักษ์ใหญ่ในประเทศอิตาลี



ในปี 1996 ซีดานย้ายมาร่วมทีมยุเวนตุสในอิตาลีภายใต้การคุมทีมของ มาร์เซโล่ ลิปปี้  ซีดานพา      ยูเวนตุสคว้าแชมป์ซีเรีย อาได้ถึงสองสมัยด้วยกันในฤดูกาล 1996/1997 และ 1997/1998 อีกทั้งยังพาทีมเข้าชิงชนะเลิศฟุตบอล ยูฟ่า แชมป์เปี้ยนส์ลีกถึงสองสมัยด้วยกันแต่ก็ทำได้เพียงแค่รองแชมป์ทั้งสองครั้งด้วยการแพ้ให้กับโบรุสเซีย ดอร์ทมุนต์ จากเยอรมัน 3-1 ฤดูกาล 1996/1997 และแพ้ให้กับ เรอัล มาดริดสโมสรจากสเปน 0-1  อีกครั้งในปี 1997/1998 หลังจากซีดานเล่นให้ยูเวนตุสอยู่ 5  ฤดูกาลลงเล่นไป 151 นัด ทำไป 24 ประตู เขาก็ตัดสินใจย้ายทีมอีกครั้งในปี 2001 และคราวนี้จุดหมายปลายทางอยู่ที่เมืองหลวงประเทศสเปนนั่นคือ เรอัล มาดริด ด้วยค่าตัวที่สูงสุดในโลกในขณะนั้น 76 ล้านยูโร (ประมาณ 4,028 ล้านบาท)


ที่มา : http://www.gettyimages.com/

ที่เรอัล มาดริด นี่เองที่ถือว่าซีดานประสบความสำเร็จมากที่สุดในอาชีพนักฟุตบอลเพราะเพียงแค่ฤดูกาลแรกที่เขาลงเล่นให้กับเรอัล มาดริด ก็สามารถพาทีมคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมป์เปี้ยนส์ลีกด้วยการเอาชนะ ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น สโมสรจากประเทศเยอรมันไป 2-1 โดยในเกมนั้นซีดานสามารถทำประตูได้อีกด้วยฤดูกาลถัดมาเรอัล มาดริด ของซีดานยังคงทำผลงานได้ดีเช่นเคยโดยในฤดูกาลดังกล่าวเรอัล มาดริดสามารถคว้าแชมป์ลาลีกา รวมไปถึง ยูโรเปี้ยนส์ ซูเปอร์ คัพ และ สแปนิช ซูเปอร์ คัพ อีกด้วย และในฤดูกาลเดียวกันเขาก็ได้รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของโลกสมัยที่ 3 หลังเคยได้รับมา 2 สมัยก่อนหน้านี้ในปี 1998 และ 2000
 


ฤดูกาลสุดท้ายในการค้าแข้งของซีดานคือฤดูกาล 2005/2006 โดยซีดานตัดสินใจยุติชีวิตการค้าแข้งของเขากับเรอัล มาดริดด้วยผลงานลงสนาม 155 นัด ทำไป 37 ประตู แม้ในฤดูกาลนั้นจะเป็นจบการค้าแข้งที่ไม่สวยงามมากนักเมื่อเรอัล มาดริด ตกรอบรองชนะเลิศในศึกโกปา เดล เรย์ และ รอบ 16 ทีม สุดท้ายในศึก ยูฟ่า แชมป์เปี้ยนส์ ลีก ส่วนในลีกก็จบด้วยการเป็นรองแชมป์ตามหลังบาร์เซโลน่าถึง 12 คะแนน

ส่วนในเรื่องผลงานในการเล่นให้กับทีมชาติของซีดานนั้นก็ไมเป็นรองผลงานในสโมสรเขาติดทีมชาติครั้งแรกในปี 1994 ในการพบกับทีมชาติสาธารณรัฐเช็ค ก่อนจะติดทีมเรื่อยมาเริ่มตั้งแต่ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปปี 1996 และติดทีมชาติฝรั่งเศสชุดแชมป์โลกปี 1998 ที่ฝรั่งเศสเป็นเจ้าภาพ ก่อนจะมาคว้าแชมป์ยูโรต่อในปี 2000 หลังจากนั้นผลงานในทีมชาติของฝรั่งเศสก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควรจนมาถึงฟุตบอลโลกปี 2006 ที่เยอรมันเป็นเจ้าภาพซึ่งเป็นทัวร์นาเม้นต์สุดท้ายของซีดานทีมชาติฝรั่งเศสของซีดานจบด้วยการเป็นรองแชมป์ด้วยการแพ้จุดโทษให้กับทีมชาติอิตาลีในรอบชิงชนะเลิศโดยในนัดนั้นซีดานโดนใบแดงไล่ออกจากสนามเนื่องจากเอาหัวไปโขกหน้าอกของมาร์โก มาร์เตรัซซี่ กองหลังทีมชาติอิตาลีก่อนจะประกาศยุติอาชีพค้าแข้งอย่างเป็นทางการในวันที่ 7 พฤษภาคม ปี 2006

ในด้านครอบครัว ซีดานมีลูกชาย 4 คน กับเวโนิก เฟร์นานเดซ นักเต้นสาวชาวสเปนซึ่งเป็นภรรยา โดยลูกชายทั้ง 4 คน คนแรกคือ เอ็นโซ่ อายุ 20 ปี ปัจจุบันเป็นนักฟุตบอลตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรุกเช่นเดียวกับคุณพ่อให้กับสโมสร เรอัล มาดริด กาสติย่า คนต่อมาคือลูก้า วัย 17 ปี เล่นตำแหน่งผู้รักษาประตูให้กับทีมเยาวชนของเรอัล มาดริด คนที่สามคือ ธีโอเล่นตำแหน่งมิดฟิลด์ให้กับทีมเยาวชนเรอัล มาดริดรุ่นอายุไม่เกิน 13 ปี และน้องคนเล็กคือเอเลียสอายุ 11 ปี ก็เล่นในตำแหน่งมิดฟิลด์เช่นกันกับทีมเยาวชนเรอัล มาดริดรุ่นอายุไม่เกิน 11 ปี

ปัจจุบัน ซีดานในวัย 43 ปีเป็นผู้จัดการทีมของเรอัล มาดริด ต้นสังกัดเก่าในสมัยที่เขายังค้าแข้งอยู่ ในเรื่องของการเป็นผู้จัดการทีมคนส่วนใหญ่อาจจะมอง่าซีดานยังอ่อนหัดประสบการณ์ยังน้อย แต่ถ้าจะพูดถึงในเรื่องของฝีเท้าคงไม่มีใครกล้าที่จะปฏิเสธว่า กองกลางที่ดีที่สุดที่โลกเคยมีมาจะมีชื่อของ ซีเนดีน ซีดานอยู่ในนั้นด้วย

อ้างอิง

sport-idol.com.  ซีเนอดีน ซีดาน.  สืบค้นเมื่อ 26 กุมภาพันธ์ 2559,  จาก http://www.sport-idol.com//58

วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี.  ซีเนดีน ซีดาน.  สืบค้นเมื่อ 26 กุมภาพันธ์ 2559,  จาก https://th.wikipedia.org/

gurusportsoccer.com.  ซีเนอดีน ซีดาน.  สืบค้นเมื่อ 26 กุมภาพันธ์ 2559,  จาก http://www.gurusportsoccer.com

tlcthai.com.  ประวัติ ซีเนอดีน ซีดาน ตำนานลูกหนังของฝรั่งเศส.  สืบค้นเมื่อ 26 กุมภาพันธ์ 2559, จาก http://www.tlcthai.com/sports/clip-vdo/3604

อ่านเพิ่มเติม »

คริสเตียโน โรนัลโด (Cristiano Ronaldo)

โดย กฤษฎา อินทรกำแหง

ปัจจุบัน หากจะพูดถึงนักฟุตบอลคนหนึ่ง ซึ่งเป็นที่รู้จักกันทั่วโลก ไม่ว่าใคร ก็ต้องมีชื่อของ คริสเตียโน โรนัลโด อยู่ในความคิดอย่างแน่นอน เพราะถ้าหากเปรียบเทียบว่า เลบรอน เจมส์ เป็นเจ้าพ่อของวงการบาสเก็ตบอลในสมัยนี้แล้ว ก็ไม่แปลกใจเลย ที่ผู้คนต่างเปรียบเทียบว่า คริสเตียโน โรนัลโด ก็เป็นคิงส์ ของวงการฟุตบอลเหมือนกัน

คริสเตียโน โรนัลโด เกิดเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2528 ที่หมู่เกาะมาเดรา ประเทศโปรตุเกส โดยชื่อเต็มๆ ของ โรนัลโดคือ กริชเตียนู รูนัลดู ดูช ซังตูช อาไวรู (โปรตุเกส : Cristiano Ronaldo dos Santos Aveiro) ปัจจุบัน โรนัลโด กำลังเล่นให้กับ สโมสร เรอัลมาดริด และยังมีเส้นทางการลุ้นแชมป์ลากีกา สเปน ฤดูกาล 2015-2016 อีกด้วย เพราะเรอัลมาดริค ตามหลังบาเซโลน่า เพียง 1 แต้ม และยังมีลุ้นคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมป์เปี้ยนลีกอีกด้วย จะพบกันทางด้าน แอธแลนติโก มาดริค


คริสเตียโน โรนัลโด (Cristiano Ronaldo)

โรนัลโด เป็นคนไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ และที่สำคัญไม่มีการสักลายใดๆ บนตัวของเขาเลย เพราะเขาให้เหตุผลว่า การกินเหล้า สูบบุหรี่ หรือการสักลาย จะทำให้การบริจาคเลือดของเขา เป็นปัญหา ซึ่งโรนัลโด จะบริจาคเลือดของตัวเองทุกๆ 3 เดือน และยังบริจาคเงิน ให้กับกองทุนการกุศลต่างๆเป็นประจำอีกด้วย

โรนัลโด ถือว่าเป็นบุคคลที่ประสบความสำเร็จทางด้านอาชีพการค้าแข้งอย่างมาก โดยเริ่มจาก เป็นนักเตะของ สโมสร สปอร์ติงลิสบอน  ได้แชมป์ในปี 2002-2003 ลงเล่นทั้งหมด 31 นัด ทำได้ 5 ประตู ก่อนที่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน จะมองเห็นแวว และติดต่อให้ไปค้าแข้งในเกาะอังกฤษ  กับทีม ปีศาจแดง แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ด้วยค่าตัว 12.24 ล้านปอนด์ และทำประตูแรก ได้ในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2003 ก่อนที่จะประสบความสำเร็จอย่างมาก ได้แชมป์พรีเมียร์ลีก ไปทั้งหมด 3ใบ และยูฟ่าแชมป์เปียนส์ลีกอีก 1 ใบ  ลงเล่นไปทั้งหมด 292 นัด ยิงไปทั้งหมด 118 และในปี 2007-2008 โรดันโด ได้จารึกชื่อของตัวเอง ลงไปใน บัลลงดอร์ เป็นครั้งแรกในชีวิต นับเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี


ที่มา: https://th.wikipedia.org/

วันที่ 6 กรกฎาคม 2009 โรนัลโด ได้เปิดตัวฐานะ นักเตะของ ราชันชุดขาว เรอัลมาดริด  ยักใหญ่แห่งลาลีกา สเปน ด้วยค่าตัวเป็นสถิติโลก ในขณะนั้น โดย ดีลครั้งนี้ มีมูลค่าสูงถึง 80 ล้านปอนด์ และนับว่าเป็นการซื้อตัวที่คุ้มค่ามากๆของ ราชันชุดขาว เพราะโรนัลโด ยิงให้มาดริดตลอดการค้าแข้งทั้งหมด 326 ลูก ในขณะที่ลงเล่นไปเพียง 314 พร้อมกับ ถ้วยแชมป์ ลาลีกา 1 ใบ ยูฟ่าแชมป์เปียนส์ลีก 1 ใบ

และในปี 2013 โรนัลโด ได้จารึกชื่อ ของตัวเอง ลงบัลลงดอร์อีกครั้ง ในปี 2012-2013 นับเป็น บัลลงดอร์ สมัยที่ 2 ในชีวิตของตน และในปี 2014 โรนัลโด ได้ทำการ จารึกชื่อของเค้า ลงไปใน ฟีฟ่าบัลลงดอร์อีกครั้ง ในปี 2013-2014 นับเป็น ครั้งที่3 ในชีวิตของเขาเอง

โรนัลโด ไม่มีการสมรส หรือการแต่งงานเกิดขึ้น แต่เขาได้ประกาศว่า เขาได้กลายเป็นพ่อคนแล้ว เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม ค.ส.2010 โดยที่เขาประกาศว่า เขาได้ให้กำเนิดลูกชาย และจะตั้งชื่อว่า คริสเตียนโน โรนัลโด้ จูเนียร์ ที่เกิดจาก หญิงนิรนาม ซึ่งเจ้าตัวไม่ยอมเปิดเผย เพราะต้องการความเป็นส่วนตัว โดยที่โรนัลโด้ ได้ประกาศผ่านเฟสบุคและทวิตเตอร์ของตัวเองอย่างเป็นทางการ

โรนัลโดมีธุรกิจเป็นของตัวเอง ซึ่งก็คือ แบรนด์เสื้อผ้าและชุดชั้นในเพศชาย ซึ่งชื่อแบรนด์คือ CR7 (ซีอาร์ เซเว่น) โดยที่ได้แนวคิดมาจาก ชื่อย่อของเขาผสมเข้ากับ ตัวเลขประจำตัวของเขา ซึ่งก็คือ หมายเลข7 ซึ่งในขณะเดียวกันด้้วยถาพลักษณ์ที่หล่อและหุ่นดีของ โรนัลโด ยังได้เป็นพรีเซนเตอร์โฆษณา และวีดิโอเกม รวมไปถึงโทรศัพท์มือถือ และเขายังได้ ไนกี้ เป็นสปอนเซอร์หลัก โดยได้ผลิต รองเท้า ชื่อรุ่นว่า Nike Mercurial Vapor CR7 ให้เขาได้ใส่ลงเล่นในทุกๆนัด

เราทุกคน ต่างมีพื้นฐานทีชิตที่แตกต่างกัน โรนัลโด ไม่ได้เกิดมามีฐานะร่ำรวย และไม่มีทักษาฟุตบอลตั้งแต่เกิด แต่ที่เขาประสบความสำเร็จได้ในทุกวันนี้ เพราะว่าเขามีความพยายามอดทนและระเบียบวินัย เป็นอย่างมาก อดทนที่จะฝึกซ้อม อดทนที่จะรอให้โอกาสมาถึง หรือจะเรียกอีกอย่างหนึงว่า โรนัลโดมี พรแสวงที่ติดตัวมาตังแต่เกิด ด้วยเส้นทางชีวิต ที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลายของโรนัลโด ทำให้เค้า ได้มีภาพยนตร์สะท้อนชีวิตของเขา ชื่อเรื่องคือ Cristiano Ronaldo เราไม่จำเป็นที่ต้องเดินตามเขาไปหมดทุกอย่าง เพียงแต่เรา พยายามคิดให้ได้แบบเขา พยายามให้ได้แบบเขา มีความอดทด และควรแสวงโอกาสในชีวิต ชีวิตของเราจะประสำความสำเร็จ เหมือนบุคคลที่เรานำมาเสนอในวันนี้ คริสเตียนโน โรนัลโด (Cristiano Ronaldo)


อ้างอิง 

โรนัลโด (Cristiano Ronaldo). สืบค้นเมื่อ 7 พฤษภาคม 2559, จาก : https://th.wikipedia.org/wiki/คริสเตียโน_โรนัลโด

การย้ายทีมของ โรนัลโด. สืบค้นเมื่อ 7 พฤษภาคม 2559, จาก : http://www.msn.com/th-th/sports/soccer/30-บันทึกสำคัญของปีกจอมถล่มประตู-คริสเตียโน-โรนัลโด/ss-AA8XU8N#image=31

ประวัติ คริสเตียโน โรนัลโด้ (Cistiano Ronaldo). สืบค้นเมื่อ 7 พฤษภาคม 2559, จาก :
http://starsoccercr7.blogspot.com/2015/07/cistiano-ronaldo.html

อ่านเพิ่มเติม »

กรุงเวียนนา (Vienna)

โดย ศิริลักษณ์ สมสอง

หากจะพูดถึงเมืองที่สำคัญๆ ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกขององค์กรยูเนสโกและเป็นเมืองที่มีความยิ่งใหญ่และโดดเด่นที่สุดในสาธารณรัฐออสเตรีย อีกทั้งยังเป็นเมืองที่มีนักท่องเที่ยวเยี่ยมชมเป็นจำนวนมากนั้น จะพลาดไม่ได้กับ กรุงเวียนนา ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองแห่งเสียงดนตรีและศิลปกรรมที่โดดเด่นต่างๆนั้นเอง

เวียนนาเป็นเมืองหลวงและเป็นเมืองใหญ่ที่สุดในสาธารณรัฐออสเตรียเป็นศูนย์กลางทั้งทางเศรษฐกิจ การเมือง สังคมและวัฒนธรรม เป็นนครที่มีความสวยงามและโดดเด่นด้วยศิลปกรรม อาคารสถาปัตยกรรม และดนตรีคลาสสิคที่ลือชื่อมาตั้งแต่ในยุคสมัยกลาง จนเวียนนาได้ชื่อว่า “นครแห่งศิลปะและดนตรี” และในปีค.ศ. 2001 ศูนย์กลางของเมืองนี้ ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกขององค์การยูเนสโก นับว่าเป็นเมืองที่มีเสน่ห์ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้ามาเยือนปีละกว่า 5 ล้านคน


ที่มา : https://www.ilovetogo.com/

เวียนนาเป็นนครหลวง  ตั้งอยู่ทางด้านตะวันออกของประเทศ อยู่ทางเหนือของเทือกเขาแอลป์ (Alps) มีแม่น้ำดานูบซึ่งเป็นแม่น้ำสายหลักไหลผ่านเวียนนา มีประชากรประมาณ 1.7ล้านคน ประชากรส่วนใหญ่พูดภาษาเยอรมัน ซึ่งเป็นภาษาประจำชาติของออสเตรีย และส่วนใหญ่ประมาณ 80%นับถือศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิกส่วนที่เหลือนับถือนิกายโปรแตสเตนท์และอิสลามสาธารณรัฐออสเตรีย เป็นประเทศที่ตั้งอยู่ตอนกลางของทวีปยุโรป เป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างยุโรปตะวันตกและยุโรปตะวันออก มีพรมแดนติดกับหลายประเทศด้วย ได้แก่ เยอรมัน สาธารณรัฐเช็ค ฮังการี สโลเวเนีย อิตาลีสวิตเซอร์แลนด์ และลิคเทนสไตน

เวียนนามีภูมิอากาศแบบภาคพื้นทวีปปานกลางซึ่งหมายความว่ามีอุณหภูมิแตกต่างกันค่อนข้างน้อยในแต่ละฤดูจากสถิติมีข้อมูลที่แสดงให้เห็นว่ามีแสงแดดจ้าจากพระอาทิตย์ปกคลุมกรุงเวียนนาประมาณ2,000ชั่วโมงต่อปีและมีปริมาณฝนตกน้อย

ซึ่งนอกจากกรุงเวียนนาจะเป็นนครแห่งศิลปะและดนตรียังมีความโดดเด่นเรื่องสถาปัตยกรรมมีอาคารสถาปัตยกรรมและสถานที่น่าสนใจในเวียนนา ที่จะนำมายกตัวอย่าง เช่น
 

ที่มา : https://www.ilovetogo.com/

พระราชวังเชินบรุนน์ (Schoenbrunn Palace)  เป็นพระราชวังที่นับว่ามีความสวยงามและมีชื่อเสียงมากที่สุด มีประวัติการก่อสร้างมานานตั้งแต่ศตวรรษที่ 14 จากปราสาทโบราณเดิม “แคตเตอร์เบิร์ก” ต่อมา ในปี ค.ศ. 1569 พระเจ้าแมกซิมิเลียนที่ 2 แห่งราชวงศ์ฮับส์บวร์ก ทรงโปรดให้สร้างเป็นตำหนักชายป่า สำหรับล่าสัตว์และพักร้อนพระราชวังเชินบรุนน์ เป็นสถาปัตยกรรมแบบร็อคโคโค(RococoStyle)และมีจุดเด่นคือ ประติมากรรมเทพเนปจูน

กรุงเวียนนาถึงแม้จะเคยถูกรุกราน หรือถูกทำลายสถาปัตยกรรมต่างๆ แต่ก็สามารถกลับมามีชื่อเสียงจนกลายเป็นนครแห่งการดนตรี ศิลปะ และสถาปัตยกรรมลือชื่อของโลกได้ด้วยพลังของชาวเวียนนาเอง


อ้างอิง :  
 
เวียนนา นครแห่งการดนตรี ศิลปะ และสถาปัตยกรรมลือชื่อของโลก .  สืบค้นเมื่อ วันที่ 7 มีนาคม 2559   จาก: https://www.google.co.th/url?sa=t&rct=j&q=&esrc=s&source=web&cd=1&cad=rja&uact=8&ved=0ahUKEwi-47OS4YjNAhUBs48KHSVVC20QFggaMAA&url=http%3A%2F%2Fwww.ghbhomecenter.com%2Fjournal%2Fdownload.php%3Ffile%3D1525Sep13zQ6qgGz.pdf&usg=AFQjCNFhu2yIYP-qZFWCNTCpBsIWjp4L1w&sig2=2SA4nSyPBzmYIAw7K2_MJg&bvm=bv.123664746,d.c2I

ประเทศออสเตรีย : กรุงเวียนนา. สืบค้นเมื่อ วันที่ 7 มีนาคม 2559 จาก: http://www.vacationzone.co.th/info/index_vianna.php

ประวัติศาสตร์กรุงเวียนนา . สืบค้นเมื่อ วันที่ 7 มีนาคม 2559 จาก: http://www.hoteltravel.com/th/austria/vienna/history-of-vienna.htm

อ่านเพิ่มเติม »

กุสตาฟ ไอเฟล (Gustave Eiffel)

โดย วิระวัลย์ คันธะพฤกษ์

หอไอเฟล  (Eiffel Tower : ภาษาอังกฤษ , Tour Eiffel : ภาษาฝรั่งเศส) เป็นสัญลักษณ์หนึ่งที่ผู้คนต่างรู้จักกันในนามของประเทศ ฝรั่งเศส หอไอเฟลสูง 324 เมตร หรือ 1,063 ฟุต ซึ่งสูงเท่ากับตึก 81 ชั้น และกลายเป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดในโลก เมื่อหอไอเฟลสร้างเสร็จ แทนที่อนุสาวรีย์วอชิงตัน และนับเป็นเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ และจะมีหอไอเฟลนี้ไม่ได้ ถ้าไม่มี กุสตาฟ ไอเฟล วิศวกรและสถาปนิกชาวฝรั่งเศส เขาเป็นผู้ออกแบบหอไอเฟลนั่นเอง หอไอเฟลจึงตั้งชื่อตามสถาปนิกผู้ออกแบบ


กุสตาฟ ไอเฟล

ประวัติ และ การศึกษา

กุสตาฟ ไอเฟล (Gustave Eiffel) หรือ อาเลกซ็องดร์ กูสตาฟว์ แอแฟล (Alexandre Gustave Eiffel)  เขาเกิดวันที่ 15 ธันวาคม ค.ศ. 1832 ณ เมืองดิฌง ประเทศฝรั่งเศส เขาอาศัยอยู่ที่เมืองดิฌงมาตั้งแต่เด็ก จนต่อมาในช่วงการศึกษาต่อ เขาจึงตัดสินใจไปศึกษาต่อที่กรุงปารีส ไอเฟลศึกษาอยู่ที่สถาบัน Ecole Centrale de Paris ในปี ค.ศ. 1862   และไอเฟลจึงได้เจอกับ มารี โกลเดอเลต์ เขาทั้งสองคนจึงได้สมรสกันและมีบุตรด้วยกัน 5 คน ชาย 2 คน และหญิง 3 คน แต่ไม่นานก็มีเรื่องน่าเศร้าของชีวิตคู่พวกเขา เมื่อภรรยาของเขาได้เสียชีวิตในปี ค.ศ. 1877

การทำงาน

หลังจบการศึกษา ชาร์ลส์ เนอป์เวอ ซึ่งเป็นผู้ชักนำไอเฟลให้รู้จักและเข้าสู่วงการก่อสร้างจากการใช้โครงเหล็ก และเขาจึงได้เป็นเลขาของ เนอป์เวอ ต่อมาในปี ค.ศ. 1887 เขาและเพื่อนอีก 2 คนคือ เวอร์ริส คลอกลินและ เอมิล เลจิเย ได้รับงานสร้างหอคอยสูง ร่วมกันเพื่อใช้เป็นที่จัดแสดงสินค้า ในปี ค.ศ. 1890 นั่นก็คือหอไอเฟล


หอไอเฟล

กุสตาฟ ไอเฟล ได้รับการยกย่องว่าเป็นปรมาจารย์ในด้านการก่อสร้างโดยการใช้เหล็ก ซึ่ง หอไอเฟล (Eiffel Tower) นั่นเองเป็นสิ่งที่เขาสร้าง จึงทำให้ผู้คนจดจำมาจนถึงทุกวันนี้ และเขายังได้สร้าง Three-Hinged Arch นอกจากนั้นเขายังมีความสามารถในการสร้างสะพานอีกด้วย อย่างเช่น สะพานข้ามแม่น้ำดูโร (Douro) ซึ่งอยู่ในตอนเหนือของประเทศโปรตุเกส เป็นสะพานที่กว้างที่สุดในตอนนั้น

ในปี ค.ศ. 1889 หอไอเฟล สร้างรายได้จำนวนมากให้แก่ กุสตาฟ ไอเฟล แต่ 1 ปี ต่อมา เขาถูกตัดสินว่าหากำไรจากความล้มเหลวของประเทศฝรั่งเศส จากการสร้างคลองปานามา ซึ่งตอนแรกเป็นความฝันของ เฟอร์ดินา เดอเลเซต วิศวกรชาวฝรั่งเศส ที่ประสบความสำเร็จในการสร้างคลองสุเอด และต่อมาตั้งใจที่จะสร้างคลองปานามา จึงชักชวนกุสตาฟ ไอเฟล มาให้คำแนะนำในการสร้างทางน้ำผ่านป่าทึบกับตน แต่เขาไม่เห็นด้วย และผลต่อมาพวกเขาขุดคลองผ่านป่าทึบไม่ได้ จึงทำให้รัฐบาลฝรั่งเศสล้มละลาย ไอเฟลจึงถูกจำคุก 24 เดือน แต่ภายหลังถูกยกเลิกแล้ว

เมื่อกุสตาฟ ไอเฟล อายุ 73 ปี เขาได้สร้างห้องทดลองเกี่ยวกับการค้นคว้าอากาศพลศาสตร์ขึ้น ซึ่งเปิดทำการมาจากถึงทุกวันนี้ และเขาก็ได้อุทิศตนให้กับงานวิทยาศาสตร์ไปเรียบร้อยแล้ว เขาเริ่มทดลองแรงต้านทางของลมเป็นครั้งแรก และสิ่งแรกที่เขาสร้างคือ อุโมงค์ลม เป็นจุดกำเนิดของการศึกษาด้านการบิน ของประเทศฝรั่งเศส

ผลงานเด่นๆ ของเขา ได้แก่
  • หอไอเฟล (Eiffel Tower) หอคอยที่เป็นสัญลักษณ์ของประเทศฝรั่งเศสและโด่งดังที่สุด
  • โครงสร้างเหล็ก อนุสาวรีย์เทพีเสรีภาพ
  • สะพานข้ามแม่น้ำดูโร (Douro) คือสะพานที่กว้างที่สุดในสมัยนั้น
  • Three-Hinged Arch สิ่งนี้เป็นประโยชน์ให้กับคนรุ่นหลังในด้านวิศวกรรมโยธา
บั้นปลายชีวิต

เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม ค.ศ. 1923 กุสตาฟ ไอเฟล ได้เสียชีวิตลง ด้วยวัย 91 ปี เขาเป็นบุคคลสำคัญของโลกที่มีอายุยืนยาวบุคคลหนึ่ง การทำงานรวมไปถึงวิสัยทัศน์ของเขาทำให้ประเทศฝรั่งเศสเป็นแถวหน้าในเรื่องโครงสร้างเหล็ก

กุสตาฟ ไอเฟล ได้พบเจอสิ่งต่างๆมากมาย ที่เข้ามาในชีวิตเขา ทั้งเรื่องที่ดีและเรื่องที่แย่ แต่ผลงานที่ออกมาก็บ่งบอกถึงความสามารถและความพยายามของเขา ในความประสบความสำเร็จนั้น ก็ต้องมีความล้มเหลวมาก่อนเป็นเรื่องธรรมดา ดังนั้นชีวิตคนเราเป็นสิ่งไม่แน่นอน จงทำทุกๆวันให้มีคุณค่ามากที่สุด


อ้างอิง

Marisa. 2559. ประวัตินักวิศวกร. สืบค้นเมื่อ 26 มีนาคม 2559, จาก : http://marisauden503786.blogspot.com/2009/11/blog-post.html

วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี. 2559. กุสตาฟ ไอเฟล. สืบค้นเมื่อ 26 มีนาคม 2559, จาก : https://th.wikipedia.org/wiki/

ศุภณัฐ ชื่นใจดี. 2559. กุสตาฟ ไอเฟล. สืบค้นเมื่อ 26 มีนาคม 2559, จาก : https://www.facebook.com/

อ่านเพิ่มเติม »

สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด

โดย กฤตนันท์ วงศ์รัตนชีวิน

สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด นั้นเป็นสโมสรฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่และมีชื่อเสียงเป็นอันดับต้นๆของอังกฤษเลยทีเดียว โดยสโมสรฟุตบอลนี้นั้นมีสนามของตัวเองคือ โอลด์แทรฟฟอร์ด ในเมืองแมนเชสเตอร์ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดเป็นหนึ่งในสโมสรที่มีความสำเร็จสูงสโมสรหนึ่งโดยชนะเลิศแชมป์ลีกถึง 20 ครั้ง ชนะเอฟเอคัพ 11 ครั้งลีกคัพ 3 ครั้ง ยูโรเปียนคัพ/ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก 3 ครั้ง และชนะ ยูฟ่า คัพ วินเนอร์สคัพอินเตอร์เนชันแนลคัพและ ยูโรเปียนซูเปอร์คัพ อย่างละ 1 ครั้ง โดยสโมสรแมนยูนี้เป็นสโมสรที่มีความนิยมสูงมาก โดยสโมสรนี้นั้นมียอดผู้เข้าชมหรือเชียร์สโมสรนี้มากที่สุดในฟุตบอลอังกฤษตลอด 34 ฟดูกาล


ที่มา: http://www.manutd.com/

ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1991 สโมสรปรับปรุงรูปแบบกิจการเป็นบริษัทมหาชนและต่อมานักธุรกิจชาวอเมริกัน มัลคอล์ม เกลเซอร์ เข้าครอบครองแบบไม่เป็นมิตร และนำสโมสรออกจากตลาดหลักทรัพย์ลอนดอน ตั้งแต่ปีค.ศ. 2005

ประวัติศาสตร์ สโมสรสโมสรในช่วงแรก (1878-1945) สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด แต่จริงแล้วชื่อเดิมของสโมสรนั้น คือ "นิวตัน ฮีท " โดยการก่อตั้งทีมฟุตบอลนั้นเกินขึ้นจากพนักงานการรถไฟสายแลงคาเซี้ยร์ แอนด์ ยอร์ดเชียร์ แผนกรถสินค้าของบริษัทกำลังรับประทานอาหารกันอยู่ ระหว่างนั้นพวกเขาได้หารือกันและพวกเขาจึงได้เริ่มก่อตั้งทีมฟุตบอลนี้ขึ้นมาจนได้ และตระเวณเล่นฟุตบอลอยู่ภายในบริเสณนอร์ธกราวด์ สถานที่ที่พวกเขานั้นใช้ซ้อมก็ใช้พื้นที่ในส่วนของรางรถไฟนั้นเอง โดยใช้เป็นเส้นแบ่งเขตสนาม โดยทีมฟุตบอลของเขานั้นก็สามารถที่จะเล่นฟุตบอลได้ดีเรื่อยมาเสมอๆ โดยชุดแข่งที่ใช้เสื้อสีเขียว-เหลือง อย่างละครึ่ง กางเกงสีดำเป็นชุดเก่ง พนักงานที่อยู่ในแถบนั้น แพ้นิวตัน ฮีท กระจุย

ในปี 1885 สมาชิกในทีมได้ตัดสินใจติดต่อกับการรถไฟ และก่อตั้งทีมเพื่อเป็น บริษัท จำกัด โดยใช้ชื่อว่า นิวตัน ฮีท ฟุตบอลคลับ ผลงานชิ้นแรกของเขาคือการคว้าแชมป์ แมนเชสเตอร์ คัพมาครอง นั้นคือรางวัลแรกของทีมที่เพิ่งก่อตั้งนี้ ในช่วงต้นของสโมสรฟุตบอลทุกๆสโมสร ต่างมีฐานะการเงินที่ย้ำแย่ทั้งนั้น นิวตัน ฮีท ก็เช่นเดียวกัน และในปี 1902 ผู้อำนวยการบริษัทเบียร์ ได้เข้ามาซื้อหุ้นของสโมสร และกรรมการบริหารชุดใหม่ ได้เปลี่ยนชื่อนิวตัน ฮีท เป็น แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด พวกเขาเริ่มลงเล่นในเสื้อแดงและกางเกงขาสั้นสีขาว


ที่มา: https://th.wikipedia.org/

ภายหลังในยุคของสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็ได้สิ้นสุดลงในที่สุด ทีมแมนฯ ยูไนเต็ด ก็ได้ประสบกับปัญหาครั้งใหญ่คือนักเตะไม่สามารถใช้งานได้ ทั้งอายุที่มากไปและสภาพร่างกายของนักเตะที่แย่ลงอีกด้วยทำให้ต้องมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่โดยการเซ็นสัญญากับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทีมร่วมเมือง เพื่อขอใช้สนาม เมน โร้ด เป็นสนามเหย้า พร้อมกับแต่งตั้ง แม็ตต์ บัสบี้ เป็นผู้จัดการทีมชุดนั้น และชายผู้นี้แหละที่ได้สร้าง "เร้ด เดวิลส์" ให้กลับขึ้นมาผงาดอีกครั้ง โดยไปพบทีมที่เป็นเด็กในท้องถิ่นจนได้คลองแชมป์ลีกในฤดูกาล 1951-1952 เลยทีเดียวและเป็นจุดเริ่มต้นของยุคต่อไป แต่กลับเกิดเหตุการณ์อุบัติเหตุครั้งใหญ่ขึ้นกับสโมสรฟุตบอลนี้ โดยเกิดอุบัติเหตุกับเครื่องบินที่กำลังจะบินขึ้นฟ้า จนทำให้นักฟุตบอลในทีมเสียชีวิตไปถึง 8 คนหลังจากนั้นทีมจึงได้เริ่มต้นสร้างทีมขึ้นมาใหม่ เพื่อคว้าแชมป์อีกครั้ง


ที่มา: http://www.grandprix.co.th/

หลังจากนั้นหลายปีสโมสรฟุตบอลนั้นก็ได้มีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงมาอย่างมากมาย มีทั้งแย่ลงและดีขึ้นมาบ้างจนถึงสมัย ในปี 2013–ปัจจุบัน หลังจากผ่านมานานสโมสรก็ได้พัฒนาไปอย่างมาก จนกลายเป็นสโมสรชื่อดังต้นๆแห่งอังกฤษ โดยในปี 2013 หลังจากที่เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ได้ประกาศวางมือจากการคุมทีมไป หลังจากที่คุมทีมมาอย่างยาวนานกว่า 26 ปีครึ่ง ทางสโมสรก็ได้แต่งตั้ง เดวิด มอยส์ผู้จัดการทีมเอฟเวอร์ตันชาวสกอต ให้มารับหน้าที่ผู้จัดการ แต่กลับทำให้ทีมมีผลงานที่ย่ำแย่มาก จนในที่สุดจบฤดูกาล สโมสรก็ได้เพียงอันดับที่ 7 ไม่สามารถผ่านเข้าไปเล่นในรอบภาคพื้นทวีปได้ อีกทั้งยังทำสถิติที่ย่ำแย่อีกหลายสถิติอีกด้วย จนกลายเป็นสถิติที่แย่ที่สุดของทีมในรอบ 19 ปี ในที่สุดก่อนจะสิ้นสุดฤดูกาลเพียงแค่ 4 นัด ผู้บริหารทีมก็ตัดสินใจปลดมอยส์ออกจากตำแหน่ง พร้อมกับแต่งตั้งไรอัน กิกส์ ปีกซ้ายชื่อดังของทีมวัย 40 ปี รับผิดชอบหน้าที่ผู้จัดการทีมชั่วคราวและผู้เล่นไปในตัวด้วย จนกว่าจะหาผู้จัดการทีมคนใหม่ได้ ที่สุดในวันที่ 19 พฤษภาคม ค.ศ. 2014 ทางทีมก็ได้แต่งตั้งลูวี ฟัน คาล ผู้จัดการทีมชาติเนเธอร์แลนด์เป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ และกิกส์ที่ประกาศเลิกเล่นไปก็รับหน้าที่ผู้ช่วยผู้จัดการทีม แต่หลังเปิดฟดูกาลมาใหม่ทีมก็ทำคะแนนได้เพียง 2 แต้มเท่านั้นเอง ทำให้ตกรอบ 2 ไปทันที

ในพรีเมียร์ลีกนัดถัดมา แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดได้ชัยชนะนัดแรก แต่ในนัดต่อมาก็กลับมาแพ้ให้กับทีมเลสเตอร์ซิตี้ และกองหลังของทีมยังถูกใบแดงไล่ออกในตอนท้ายของเกมอีกต่างหาก และมีแต้มหลังจากนั้นเพียง 5 คะแนนเท่านั้นและสถิติของทีมมีสถิติแย่กว่าสมัยของ มอยส์ ซะอีก และมีรายงานว่าผู้เล่นบางคนถึงกับกล่าววาจาหยาบคายออกมาในห้องพักหลังจากแข่งขัน ซึ่งแสดงออกถึงความไม่พอใจในตัวฟัน คาล โดยฟัน คาล ได้กล่าวว่าขอเวลาให้ตนเอง 4 เดือนเพื่อที่จะปรับทีมให้ลงตัวตามแผนการเล่น ทั้งที่ก่อนเปิดฤดูกาลผลงานของฟัน คาล พาทีมชนะรวดทั้งหมด 6 นัดในการแข่งขันนัดอุ่นเครื่อง
เกียรติประวัติ
ฟุตบอลลีกดิวิชั่นหนึ่ง / เอฟเอ พรีเมียร์ลีก: 20
1907-08, 1910-11, 1951-52, 1955-56, 1956-57, 1964-65, 1966-67, 1992-93, 1993-94, 1995-96, 1996-97, 1998-99, 1999-2000, 2000-01, 2002-03, 2006-07, 2007-08, 2008-09, 2010-11, 2012-13
ฟุตบอลลีกดิวิชั่นสอง: 2
1935-36, 1974-75
เอฟเอคัพ: 11
1909, 1948, 1963, 1977, 1983, 1985, 1990, 1994, 1996, 1999, 2004
ดังนั้นสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดนั้นเป็นสโมสรที่มีชื่อเสียงเป็นอันดับต้นๆของอังกฤษ โดยมีการเริ่มต้นจากพนักงานที่นั่งทานข้าวกันจนทำให้มีการคุยกันและเกิดเป็นสโมสรฟุตบอลจนได้ และได้ฝึกฝนและมีการเปลี่ยนนายทุนและชื่อทีมจนทีมมีความลงตัวและสมบูรณ์ และทำชื่อเสียงให้กับประเทศมากและขึ้นนำจนกลายเป็นสมสรที่มีชื่อดังทั่วโลกและมีคนรักและเชียร์เป็นจำนวนมากหรือคือสโมสรฟุตบอลนี้นั้นมีสภาพและความสามารถอยู่ในที่ต้นๆของโลกแล้วนั้นเอง ถือว่าประสบความสำเร็จในที่สุด


อ้างอิง

ประวัติสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด. สืบค้นเมื่อ 2 พ.ค 2559, จาก http://www.glory-manutd.com/

สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด. สืบค้นเมื่อ 2 พ.ค 2559, จาก https://th.wikipedia.org/wiki/

ประวัติแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด. สืบค้นเมื่อ 2 พ.ค 2559, จาก http://www.redarmyfc.com/history.php



อ่านเพิ่มเติม »