จอห์น เทอร์รี่ (John Terry)

โดย ปิติชัย กิริยะ

ในวงการฟุตบอลไม่มีใครที่ไม่รู้จักชายคนนี้ โดยเฉพาะแฟนบอลสิงโตน้ำเงินครามหรือเชลซีก็ต้องรู้จักชายเบอร์ 26 ผู้นี้ เขาคือนักเตะผู้มีความเป็นเชลซีโดยแก่นแท้ เขาเป็นกัปตันทีมเชลซีที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของทีมและในสายตาของหลายๆคนเขาถือเป็นกองหลังตัวกลางที่ดีที่สุดในขณะนี้ ทั้งความสามารถในการอ่านเกมอย่างยอดเยี่ยม เทคนิคการเล่น และการทุ่มเทให้กับทีมทำให้เขาเป็นมากกว่ากองหลัง

เทอร์รี่ เกิดเมื่อ 7 ธันวาคม1980 ภูมิลำเนา : บาร์คิง: ลอนดอน: ประเทศอังกฤษ สัญชาติ : อังกฤษ ส่วนสูง 187 ซม. น้ำหนัก 90 กก. เล่นตำแหน่งกองหลัง สโมสรปัจจุบันเชลซี สวมเสื้อหมายเลข 26



วัยเด็ก เทอร์รี่ เกิดในลอนดอนตะวันออก เทอร์รี่ เริ่มต้นเล่นฟุตบอลกับทีม เซนรับ ซึ่งเป็นสถานที่ที่ปั้นนักฟุตบอลมาประดับวงการพรีเมียร์ลีกมาแล้วหลายคนอย่าง โซล แคมพ์เบลล์, เจอร์เมน เดโฟ, บ็อบบี ซาโมรา, เลดลีย์ คิง และ เจลอยด์ ซามูเอล หลังจากนั้น เทอร์รี่ ย้ายไปเป็นเด็กฝึกหัดของ เวสต์แฮม สั้นๆ ก่อนเข้าร่วมทีมเยาวชนของ เชลซี ขณะที่มีอายุ 14 ปี โดยเริ่มจากตำแหน่งมิดฟิลด์ ก่อนย้ายมาเป็นปราการหลังตัวกลางในปัจจุบัน เขาร่วมเล่นกับเชลซีตั้งแต่อายุ 14 ปี ในขณะนั้นเขาเล่นในตำแหน่งกึ่งๆ กองกลาง วันหนึ่งเขาถูกส่งตัวให้ลงเล่นในตำแหน่งเซนเตอร์แบ็ค มันเป็นวันที่ทีมเยาวชนไม่มีตัวเลือก จากนั้นเขาก็ไม่ได้มองกลับไปตำแหน่งมิดฟิลด์อีกเลย

ด้านชีวิตคู่และครอบครัว เทอร์รี่ แต่งงานกับ โทนี พูล และมีลูกฝาแฝดชาย-หญิง ด้วยกันเมื่อวันที่ 18 พ.ค.ปี 2006 ชื่อว่า จอร์จี จอห์น และ ซัมเมอร์ โรส ตามลำดับ โดยในวันนั้น เทอร์รี่ สามารถยิงประตูฉลองวันเกิดของลูกทั้งสองได้ด้วยในเกที่พบกับ ฮังการี เทอร์รี่ มี พี่ชาย ชื่อว่า พอล ซึ่งเป็นนักฟุตบอลอาชีพเช่นเดียวกับเขา โดยปัจจุบัน เล่นกับทีม รัชเดน แอนด์ ไดมอนด์ส ทีมในลีก คอนเฟอเรนซ์ เนชั่นแนล เทอร์รี ได้รับตำแหน่ง คุณพ่อแห่งปี จาก โพลของ Daddies Sauce survey.

ด้านอุปนิสัย เขาป็นคนที่มีความเป็นผู้นำสูง มีความรับผิดชอบสูงและเกลียดความพ่ายแพ้ ที่สำคัญเขาเป็นคนที่รักครอบครัวและลูกของเขามาก หากเขามีเวลาว่างหลังจากการซ้อมฟุตบอลหรือแข่งฟุตบอลเขาก็จะกลับไปหาครอบครัวและในขณะเดียวกันภรรยาของเขาจะพาลูกไปเชียร์เขาตลอดเวลามีการแข่งขัน



เทอร์รี่ เกิดในลอนดอนตะวันออก เขาร่วมเล่นกับเชลซีตั้งแต่อายุ 14 ปี ในขณะนั้นเขาเล่นในตำแหน่งกึ่งๆ กองกลาง วันหนึ่งเขาถูกส่งตัวให้ลงเล่นในตำแหน่งเซนเตอร์แบ็ค มันเป็นวันที่ทีมเยาวชนไม่มีตัวเลือก จากนั้น เขาก็ไม่ได้มองกลับไปตำแหน่งมิดฟิลด์อีกเลย

ช่วงเวลาสั้นๆ ในการไปเล่นให้กับน๊อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ จากการถูกยืมตัว ช่วยให้เขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นรวมไปถึงการได้กลับมาเล่นร่วมกับนักเตะอย่างมาร์กแซล เดอซาญี่ และฟรองค์ เลอเบิฟ ซึ่งช่วยให้เขาได้บทเรียนแรกที่สำคัญ นั่นทำให้เทอร์รี่ ได้รับการโหวตเป็นนักเตะยอดเยี่ยมของเชลซี ในฤดูกาลที่ 2 ที่เขาเล่นให้กับทีม

เทอร์รี่ ได้รับเลือกให้เป็นกัปตันทีมเชลซีครั้งแรกในเกมพรีเมียร์ลีกนัดที่เชลซีพบกับชาร์ลตัน แอธเลติก เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม ค.ศ. 2001

เทอร์รี่ ลงเล่นให้กับทีมชาติอังกฤษนัดแรกในเดือนมิถุนายน ปี 2003 และเขาก็กลายเป็นตัวเลือกแรกในการติดทีมชาติอังกฤษชุดสู้ศึกยูโร 2004 และฟุตบอลโลก 2006 รวมทั้งการได้สวมปลอกแขนกัปตันทีมในทัวนาเมนต์นี้ด้วย

วันที่ 21 พฤษภาคม ค.ศ. 2008 ในนัดชิงชนะเลิศของฟุตบอลยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก เทอร์รี่ ยิงจุดโทษพลาด ทำให้เชลซีต้องพลาดแชมป์ เทอร์รี่ ยังมีแฟนบอลมากกว่าที่คิด นอกจากนั้นก่อนที่จะได้เข้ามาในสโมสรเชลซียังถูกตีราคาถึง 70 ล้านปอนด์ทีเดียว เข้ามาวันแรกก็โชว์ฟอร์มได้ยอดเยี่ยมทีเดียว นอกจากนั้นยังมีส่วนในการนำทีมชาติอังกฤษไปถึงฟุตบอลโลกด้วย

ในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2010 ฟาบีโอ กาเปลโล ผู้จัดการฟุตบอลทีมชาติอังกฤษได้ปลดเทอร์รี่ จากตำแหน่งกัปตันทีมชาติ เนื่องจากข่าวความสัมพันธ์ของเขากับกับวาเนสซา เพอร์รอนเซล ภรรยาของเวย์น บริดจ์ เพื่อนร่วมทีมชาติ

ในปี ค.ศ. 2012 เทอร์รี่ลาออกจากการเป็นกองหลังให้กับทีมชาติอังกฤษหลังจากถูกสมาคมฟุตบอลอังกฤษแบนในคดีเหยียดสีผิวแอนทอน เฟอร์ดินานด์ ฟุลแบ็กสโมสรฟุตบอลควีนส์พาร์กเรนเจอส์ เนื่องจากศาลได้มีคำพิพากษาให้เทอร์รี่พ้นผิดแต่สมาคมฟุตบอลอังกฤษยืนยันที่จะริบปลอกแขนของเขา ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้เขาและฟาบีโอ กาเปลโลอย่างมาก เป็นเหตุผลให้ทั้งคู่หันหลังให้ทีมชาติอังกฤษ

ฤดูกาล 2014-2015 เทอร์รี่ทำสถิติลงเล่นครบ 38 นัดในลีก ถือเป็นนักเตะคนที่สองที่ไม่ใช่ผู้รักษาประตูซึ่งลงเล่นทุกนาทีกับทีมในหนึ่งฤดูกาล และยังคว้าแชมป์มาครองได้ ต่อจากแกรี พูลลิสเตอร์ ในฤดูกาล 1992-1993 และทำลายสถิติเป็นผู้เล่นในตำแหน่งกองหลังที่ยิงประตูสูงสุดตลอดกาลพรีเมียร์ลีกที่ 39 ประตู แซงหน้าเดวิด อันสเวิร์ท ตำนานฟุลแบ็กของเอฟเวอร์ตัน และพาทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกและแคพิทัลวันคัพ พร้อมทั้งติดทีมยอดเยี่ยมประจำฤดูกาลอีกด้วย

ในปัจจุบัน เทอร์รี่ ก็ยังค้าแข้งที่ที่สโมสรเซลซีอยู่และน่าจะค้าแข้งที่สโมสรนี้ต่อไปเรื่อยๆจนกว่าจะเลิกเล่นฟุตบอล
           
ในวงการฟุตบอลเขาคือนักเตะที่ที่เป็นตำนานของสโมสรและของโลกคนหนึ่งและเขาจะเป็นตำนานและเป็นที่จดจำของแฟนบอลเซลซีตลอดไป ซึ่งในฐานะที่ผมเป็นแฟนบอลของเขาผมขอยกย่องผู้ชายคนนี้ที่มีทั้งความสามารถและความเป็นผู้นำที่ดีมากและปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาคนนี้คือกัปตันที่ดีที่สุดของสโมสรแล้ว ณ เวลานี้และจากนี้ไปเขาจะอยู่กับสโมสรเพื่อเป็นตำนานที่วงการฟุตบอลจะต้องจดจำชื่อของเขา “จอห์น เทอร์รี่” ตลอดไป


อ้างอิง

ไทยรัฐออนไลน์.2559.จอห์น เทอร์รี.(ออนไลน์). ค้นเมื่อ 14 กุมภาพันธ์ 2559, จาก: http://m.thairath.co.th/person/157

วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี.2559.จอห์น เทร์รี.(ออนไลน์). ค้นเมื่อ 14 กุมภาพันธ์ 2559, จาก: https://th.wikipedia.org/wiki/จอห์น_เทร์รี.

admin. 2559. จอห์น เทอร์รี่ (John Terry) แข็งแกร่งทั้งในและนอกสนาม .(ออนไลน์). ค้นเมื่อ 14 กุมภาพันธ์ 2559, จาก: http://soccer.888scoreonline.com/

Chelsea Thailand.2559. ประวัติหมายเลข 26: จอห์น เทอร์รี่. (ออนไลน์). ค้นเมื่อ 14 กุมภาพันธ์ 2559, จาก: https://th-th.facebook.com/notes/chelsea-thailand/ประวัติหมายเลข-26-จอห์น-เทอร์รี่/459281221068/.

FLUKEZA2731.2559. ประวัติ John Terry (จอห์น เทอร์รี่) .(ออนไลน์). ค้นเมื่อ 14 กุมภาพันธ์ 2559, จาก: https://chelseasingblue.wordpress.com/

อ่านเพิ่มเติม »

บาบ๋า-ย่าหยา วัฒนธรรมลูกผสมแห่งคาบสมุทรมลายู

โดย พีรพงค์ จันทร์คำ

หากกล่าวถึงคาบสมุทรมลายูที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของไทยแล้ว หลายคนคงนึกถึงชนชาติมลายูที่นับถือศาสนาอิสลามเป็นอันดับแรก และคงจะจินตนาการถึงดินแดนอาหรับย่อยๆ แห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ทว่ายังมีอีกกลุ่มวัฒนธรรมหนึ่งที่แฝงอยู่ในดินแดนเหล่านั้น คือ กลุ่มวัฒนธรรมบาบ๋า ย่าหยา หรือเปอรานากัน อันเป็นกลุ่มชนลูกครึ่งที่รวบรวมวัฒนธรรมดั้งเดิมของตนและวัฒนธรรมหลักในแผ่นดินที่พวกเขาได้อาศัย ทำให้เกิดการผสมผสานสรรค์สร้างวัฒนธรรมใหม่จนเป็นอัตลักษณ์ที่โดดเด่นจากอดีตจนถึงปัจจุบัน



หลายคนคงจะมีข้อสงสัยหลายประการในขณะนี้ว่า “บาบ๋า ย่าหยา หรือ เปอรานากัน” คือใคร กลุ่มวัฒนธรรมเปอรานากันนั้น คือ กลุ่มชาวจีนฮกเกี้ยน หรือ ชาวจีนจากมณฑลฝูเจี้ยน ที่ได้โล้สำเภาเรือมาทำการติดต่อค้าขายในแถบคาบสมุทรมลายู โดยเฉพาะเมืองมะละกาตั้งแต่อดีต จนเกิดความเจริญทางการค้าอย่างมั่งคั่งและมีการหลั่งไหลจากจีนแผ่นดินใหญ่มาสู่แผ่นดินใหม่ ชาวจีนบางส่วนนั้นได้ปักหลักตั้งถิ่นฐาน ณ ที่บริเวณแห่งนี้และได้แต่งงานกับชาวพื้นถิ่นที่นับถือพุทธศาสนา ไม่ว่าจะเป็นชาวมาเลย์ ชาวอินโด จนเกิดเป็นวัฒนธรรมใหม่ขึ้นที่หล่อหลอมวัฒนธรรมจีนและมลายูเข้ารวมกัน ที่ยังถือความเชื่อดั้งเดิมแบบจีนในเรื่องการระลึกถึงบรรพบุรุษ นับถือศาสนาและเทพเจ้า การรักษาประเพณี และความเชื่อใหม่แบบมลายูที่ไม่รับประทานเนื้อหมู การแต่งกายให้มิดชิด ตามหลักศาสนาอิสลามที่ผู้คนส่วนใหญ่นับถือ

สำหรับเอกลักษณ์ที่โดดเด่นชัดเจนของชาวเปอรานากันนั้น คือ การแต่งกายและอาหาร สำหรับในเรื่องการแต่งกายของชาวเปอรานากันนั้น พวกเขาได้นำความเป็นจีนและมลายูผสมผสานเข้าด้วยกัน จนกลายเป็นเครื่องแต่งกายที่สวยงามสำหรับผู้หญิงที่มีชื่อว่า “เกอบาญาลินดา” คือการนำผ้าฝ้ายลายลูกไม้มาตัดเย็บเป็นเสื้อแบบหญิงมลายู แต่เนื้อผ้าจะบางและลำตัวสั้นกว่าของชาวมลายูที่เป็นมุสลิม มีการนุ่งผ้าถุงปาเต๊ะแบบมลายู สวมรองเท้าปักแบบจีน สวมใส่เครื่องประดับแบบมลายูและกลัดเข็มกลัดสามตัวแทนกระดุม ส่วนผู้ชายนั้นก็จะสวมใส่เสื้อและกางเกงแบบจีน หรือเสื้อและโสร่งแบบมลายู อันเป็นวัฒนธรรมที่ผสมผสานอย่างลงตัว และในด้านอาหารนั้นชาวเปอรานากันได้นำเครื่องเทศจีนและมลายูมาผสมรวมเข้ากันมีทั้งเผ็ดแบบมลายูและหอมจืดแบบจีน เช่น ลักซา ก๋วยเตี๋ยวแบบจีนแต่น้ำซุปแบบแกงมลายู  

คำว่าเปอรานากัน (Peranakan) นั้น เป็นภาษามลายู ที่แปลว่า เกิด ณ ที่แห่งนี้ และจะมีอีกชื่อเรียกหนึ่ง คือ บาบ๋า ย่าหยา (Baba-Nyonya)  บาบ๋า ใช้เรียกผู้ชายเป็นภาษามลายูที่ยืมมาจากภาษาเปอร์เซีย แปลว่า ให้เกียรติบรรพบุรุษ และคำว่าย่าหยา ใช้เรียกผู้หญิงเป็นภาษาชวาที่ยืมคำมาจากภาษาอิตาลี แปลว่า ผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว เนื่องด้วยสภาพสังคมในขณะนั้นดินแดนแถบคาบสมุทรมลายูล้วนตกเป็นอาณานิคมของ สหราชอาณาจักร ทำให้มีการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกันเป็นอย่างมาก ด้วยต้นทุนเดิมของชาวเปอรานากันเป็นกลุ่มชนลูกผสมจึงสามารถพูดได้ 2 ภาษา คือจีนและมลายู อันเป็นภาษาแม่ ทำให้ได้เปรียบในเรื่องติดต่อการค้าและเป็นที่ต้องการในการเป็นล่ามแปลภาษาให้ชาวอังกฤษ จนทำให้ชาวเปอรานากันสามารถพูดภาษาอังกฤษได้ เพิ่มมาอีก 1 ภาษา และได้กระจายตัวไปยังหัวเมืองใหญ่ๆที่ชาวตะวันตกอาศัยอยู่ คือ ปีนัง มะละกา กัวลาลัมเปอร์ อินโดนีเซีย ทางภาคใต้ของไทย โดยเฉพาะในจังหวัดภูเก็ต ตรัง สตูลและ3 จังหวัดชายแดนไทย และบางส่วนได้อพยพมาตั้งรกรากถิ่นฐานที่เกาะสิงคโปร์ ได้สร้างบ้านแปลงเมืองพัฒนาความเป็นอยู่เรื่อยมาจนเจริญรุ่งเรืองถึงปัจจุบัน

จากการอพยพกระจายตัวตั้งถิ่นฐานในที่ต่างๆจากอดีตถึงปัจจุบัน ชาวเปอรานากันแต่ละถิ่นก็จะปรับวิถีชีวิตให้เข้ากับชาวท้องถิ่นเป็นส่วนใหญ่ ดังนี้

ในประเทศอินโดนีเซียนั้นที่ชาวท้องถิ่นนั้นส่วนใหญ่เป็นมุสลิม ทำให้ในเรื่องเครื่องแต่งกายต้องสวมใส่เสื้อผ้าที่มิดชิดและไม่แนบตัว การปรุงอาหารจะไม่ใช้เนื้อหมูใน บางส่วนก็หันมานับถือศาสนาอิสลามและใช้ภาษาบาฮาซา

ในประเทศสิงคโปร์ อันเป็นประเทศที่ชาวเปอรานากันได้สร้างบ้านแปลงเมืองแต่ด้วยความเจริญทางด้านเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ทำให้วัฒนธรรมดั้งเดิมของชาวเปอรานากันได้ถูกหลงลืม ภาษาเปอรานากันจึงกลายเป็นคำแสลงในสิงคโปร์ มีการเปลี่ยนศาสนาไปนับถือคริสต์ อิสลามตามคู่ครองและวัตถุทางวัฒนธรรมเหลือเพียงให้ศึกษาในพิพิธภัณฑ์เท่านั้น

ในประเทศมาเลเซีย อันเป็นแผ่นดินแรกที่ชาวเปอรานากันได้มาตั้งถิ่นฐานและความสนับสนุนจากรัฐบาลมาเลเซียเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและวัฒนธรรม จึงทำให้ยังคงมีการรักษาทั้งวัฒนธรรม ภาษา ประเพณีดั้งเดิมไว้อย่างเหนี่ยวแน่นโดยเฉพาะเมืองปีนังและเมืองมะละกา

ในประเทศไทย ชาวเปอรานากันได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานในทางภาคใต้ โดยเฉพาะจังหวัดภูเก็ต ตรังและสตูลในสมัยยุคทองของเหมืองแร่ ด้วยที่ประเทศไทยเป็นเมืองพุทธและชาวเปอรานากันก็นับถือพุทธศาสนา ทำให้ไม่ต้องปรับตัวในวิถีชีวิตมากนัก เพียงแต่เรียนรู้ภาษาไทยเพิ่มเติมและปรับจากนับถือพุทธนิกายมหายานเป็นเถรวาท และยังเป็นด้วยประชากรส่วนใหญ่ของทั้ง 3 จังหวัดจึงส่งผลให้กลายเป็นวัฒนธรรมหลักของทั้ง 3 จังหวัด

ณ ตอนนี้หลายคนคงคลายฉงนสงสัยใน “วัฒนธรรมบาบ๋า ย่าหยา หรือเปอรานากัน” กันไปแล้ว เราเห็นถึงความงดงามของวัฒนธรรมที่ชวนให้น่าหลงใหล และเห็นถึงความพยายามในการปรับตัว เพื่อให้ตนเป็นที่ยอมรับในสังคมของชาวพื้นถิ่นเดิม จากฐานะผู้อพยพมาขอร่วมอาศัยจนเป็นประชากรของพื้นที่นั้นโดยใช้วิธีการสร้างสรรค์อัตลักษณ์ของตนที่ผสมผสานความเป็นจีนและมลายูเข้าไว้ด้วยกัน อันเป็นการไม่ปฏิเสธหรือรังเกียจวัฒนธรรมอื่น และยังต้องปรับตัวไปตามกระแสโลกาภิวัตน์แห่งโลกปัจจุบัน จนได้ข้อคิดที่ว่า “อย่าลืมรากเง้าของตัวเรา และจงปรับตัวให้อยู่กับปัจจุบัน”

อ้างอิง

ชีวสิทธิ์ บุณยเกียรติ. (บรรณาธิการ). (2553). พิพิธภัณฑ์สิงคโปร์. กรุงเทพฯ: ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน).

ชีวสิทธิ์ บุณยเกียรติ. (บรรณาธิการ). (2555). คน-ของ-ท้องถิ่น: เรื่องเล่า “สยามใหม่” จากมุมมองของชุมชน. กรุงเทพฯ: ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน).

ชีวสิทธิ์ บุณยเกียรติ. (2558). เกอบาญา (kebaya) ในวัฒนธรรมร่วม จากภูเก็ตถึงสิงคโปร์. ค้นข้อมูล 23 เมษายน พ.ศ. 2559, จาก http://www.academia.edu/12521703/เกอบาญา_kebaya_ในวัฒนธรรมร_วม_จากภูเก_ตถึงสิงคโป_

วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี. (ม.ป.ป.). เปอรานากัน. ค้นเมื่อ 23 เมษายน พ.ศ. 2559, จาก https://th.wikipedia.org/wiki/เปอรานากัน

อ่านเพิ่มเติม »

จอห์น ฟิตซ์เจอรัลด์ เคนเนดี (John Fitzgerald Kennedy)

โดย ธัญญารัตน์ มีลุน

จอห์น ฟิตซ์เจอรัลด์ เคนเนดี หรือที่เรียกกันว่า เจเอฟเค หรือ จอห์น เอฟ. เคนเนดี เป็นผู้ที่ถูกกล่าวถึงว่า เป็นคนที่กล้าหาญ เสียสละ มีความรับผิดชอบต่อพลเมือง และเป็นคนที่ประชาชนอเมริกันทุกคนรักมากที่สุด อีกทั้งเขายังเป็นอดีตประธานาธิบดีบดีที่หนุ่มที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศสหรัฐอเมริกา



จอห์น ฟิตซ์เจอรัลด์ เคนเนดี (John Fitzgerald Kennedy) หรือเรียกย่อๆ ว่า เจ.เอฟ.เค. เกิดเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2460 (ค.ศ. 1917) ที่เมืองบลูคลิน รัฐแมสซาชูเซตส์ เจเอฟเคมีพี่น้องร่วมกัน 9 คน ซึ่งรวมเขาด้วย เจ.เอฟ.เค.เป็นลูกคนที่ 2 ซึ่ง บิดาของเขาคือ โจเซฟ แพทริก เคนเนดี และมารดาคือ โรส ฟิตซ์เจอรัลด์ เขาจบจากโรงเรียนมัธยมในรัฐคอนเนตทิคัต และได้ศึกษาต่อคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (Harvard University) พ่อและแม่ของเขา ได้ตั้งความหวังไว้ที่ลูกชายคนโตหรือโจเซฟ เพื่อที่จะให้เป็นประธานาธิบดี เพราะโจทั้งเรียนเก่ง เล่นกีฬาดี มีชื่อเสียง แม้แต่ตัว เจ.เอฟ.เค. เองก็พยายามเอาอย่างพี่ชาย แต่ไม่เก่งเท่า เนื่องเพราะเป็นเด็กขี้โรค สุขภาพไม่ดีตั้งแต่เด็ก แต่เขาก็สนใจอ่านหนังสือมาก

จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดแล้ว จอห์น เอฟ. เคนเนดี ตั้งใจจะเข้าศึกษาคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเยล (Yale University) แต่ในระหว่างเรียนได้เพียง 6 เดือน สหรัฐอเมริกาก็ได้ประกาศเข้าร่วมรบกับฝ่ายพันธมิตร ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ด้วยเหตุนี้เขาจึงได้เปลี่ยนใจเข้าไปรับใช้ชาติดีกว่า ด้วยความต้องการที่อยากจะรับใช้ชาติให้ได้ เขาจึงเริ่มต้นด้วยการดูแลสุขภาพตัวเองเป็นพิเศษ จนกระทั่งร่างกายสมบูรณ์ขึ้น และด้วยความช่วยเหลือจากพ่อที่วิ่งเต้นให้ ในที่สุดเขาก็ได้เป็นทหารสมใจ โดยได้เป็นทหารเรือ ทางการเรียกตัวให้เข้าประจำการในเดือน กันยายน พ.ศ. 2484

ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2485 จอห์น เอฟ. เคนเนดี ได้รับการติดยศเป็นเรือโท มีตำแหน่งเป็นผู้บังคับการเรือตอร์ปิโด มีหน้าที่ตระเวนชายฝั่ง

ในคืนวันที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2485 เรือโท เจ.เอฟ.เค เข้าไปสกัดกั้นกองเรือคุ้มกันของญี่ปุ่น จนกระทั่งมีเรือญี่ปุ่นโผล่มาในความมืด แล้วเรือของเขาก็ถูกเรือญี่ปุ่นยิงแตก เขาได้ช่วยเพื่อนทหารจนรอดชีวิตมาได้ทั้งๆที่ตัวเขาเองก็ได้รับบาดเจ็บ หลังจากนั้นเจเอฟเคก็ได้รับเหรียญกล้าหาญจากวีรกรรมช่วยเพื่อนทหาร โดยไม่ทอดทิ้งเพื่อน

ต่อมาในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2487 เขาก็ได้ทราบข่าวร้ายว่า พี่ชายคนโตหรือโจเซฟ ตำแหน่งนักบินนาวิกโยธินสหรัฐที่ยอมเสี่ยงชีวิตในการปฏิบัติหน้าที่ จนทำให้เขาได้เสียชีวิตลง เพราะเหตุนี้ที่ทำให้ผู้เป็นพ่อได้หันมาตั้งความหวังที่จอห์น เอฟ. เคนเนดี หรือเจเอฟเค ที่จะก้าวเข้าสู่การเป็นผู้นำสูงสุดของประเทศสหรัฐอเมริกาให้ได้

จากนั้น จอห์น เอฟ. เคนเนดี ลงสนามการเมืองได้เป็นวุฒิสมาชิกของรัฐบ้านเกิด จากนั้นเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา และใน ค.ศ. 1960 เขาได้รับการเลือกตั้งให้เป็นประธานาธิบดีคนที่ 35 ที่หนุ่มที่สุดด้วยวัยเพียง 43 ปี และเป็นคริสต์คนแรกที่ดำรงตำแหน่งนี้ เจเอฟเครับหน้าที่ประธานาธิบดีก็เพื่อที่จะเข้ามาแก้ปัญหาของประชาชนและประเทศชาติ เจเอฟเคบริหารประเทศด้วยพลังหนุ่มและมองโลกในแง่ดี จนเป็นที่รักของประชาชนอเมริกันในยุคนั้น

ผลงานของ จอห์น เอฟ. เคนเนดี ขณะดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา มีดังนี้
- เป็นผู้จัดตั้งองค์กรเพื่อพัฒนาระหว่างประเทศแห่งสหรัฐอเมริกา หรือยูเสด เพื่อป้องกันลัทธิคอมมิวนิสต์
- การยื่นคำขาดให้สหภาพโซเวียตถอนฐานยิงขีปนาวุธในประเทศคิวบา
- สนธิสัญญาระหว่างประเทศในการห้ามทดสอบอาวุธนิวเคลียร์
- เป็นผู้เริ่มต้นโครงการส่งมนุษย์ไปสู่อวกาศ (ไปดวงจันทร์)
- เป็นผู้สนับสนุนสิทธิพลเมืองในความเท่าเทียมกันของสังคมอเมริกัน
- เป็นนักเขียนรางวัลพูลิตเซอร์ สาขาประวัติศาสตร์ ในปี พ.ศ. 2500
จอห์น ฟิตซ์เจอรัลด์ เคนเนดี ได้เสียชีวิตลงเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2506 เนื่องจากถูกลอบสังหารขณะที่ เขากำลังพบปะกับประชาชนที่เมืองดัลลัส รัฐเทกซัส อย่างใกล้ชิดบนรถลิมูซีนเปิดประทุน ถูกลอบสังหารโดยนายลีฮาร์วีย์ ออสวอลด์ ผู้ที่นิยมชมชอบลัทธิคอมมิวนิสต์ แต่เรื่องราวการเสียชีวิตของเจเอฟเคก็ยังมีเงื่อนงำที่ยังคลี่คลายกันไม่ได้ คือสาเหตุใดที่ทำให้ประธานาธิบดีถูกลอบสังหาร

สุดท้ายนี้ วิถีชีวิตของ จอห์น เอฟ. เคนเนดี นั้นมีมากด้วยสีสันทั้งเรื่องการงานและเรื่องครอบครัว มีทั้งความประสบความสำเร็จและความล้มเหลว อย่างไรก็ตาม สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นส่วนหนึ่งมันก็มาจากการกระทำของเรา ส่วนหนึ่งก็เป็นเรื่องของธรรมชาติไม่ก็ความเชื่อส่วนบุคคล ขึ้นอยู่กับว่าสิ่งใดที่เรานำมามีอิทธิพลต่อตัวเรามากแค่ไหน จากการศึกษาชีวประวัติของ จอห์น เอฟ. เคนเนดี หรือเจเอฟเค ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ได้รู้อย่างหนึ่งว่า การที่เราจะลงมือทำอะไร เราต้องตั้งใจกับมัน จริงจังกับมัน และทำให้มันสำเร็จ

จอห์น ฟิตซ์เจอรัลด์ เคนเนดี ก็ได้ให้แง่คิดกับประชาชนเอาไว้ว่า “จงอย่าถามว่าประเทศชาติจะให้อะไรแก่ท่าน แต่จงถามตัวท่านเองว่าท่านจะทำอะไรให้ประเทศชาติ

อ้างอิง

มัณฑิรา. (2558). จอห์น เอฟ. เคนเนดี. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แสงดาว, 2558.

วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี. (2558). จอห์น เอฟ. เคนเนดี. ค้นข้อมูล 30 มกราคม พ.ศ. 2559, จาก
        https://th.wikipedia.org/wiki/จอห์น_เอฟ._เคนเนดี

วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี. (2558). การลอบสังหารจอห์น เอฟ. เคนเนดี. ค้นข้อมูล 30 มกราคม พ.ศ. 2559,
        จาก https://th.wikipedia.org/wiki/การลอบสังหารจอห์น_เอฟ._เคนเนดี



อ่านเพิ่มเติม »