แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ บุคคลสำคัญ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ บุคคลสำคัญ แสดงบทความทั้งหมด

พระเจ้าเซจงมหาราช (Sejong the Great)

โดย สุประวีณ์ ขวาธิจักร

หากจะกล่าวถึงพระมหากษัตริย์ที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รักของประชาชนเกาหลี หนึ่งในนั้น คือ พระเจ้าเซจงมหาราช พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์เกาหลีองค์ที่สี่แห่งราชวงศ์โชซ็อน ทรงเป็นที่รู้จักในนามผู้ประดิษฐ์อักษรเกาหลีฮันกึล อีกทั้งยังทรงเป็นหนึ่งในสองกษัตริย์แห่งเกาหลีที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นมหาราช (อีกพระองค์ คือพระเจ้ากวางแกโตมหาราชแห่งราชวงศ์โกคูรยอ)


ที่มา: https://writer.dek-d.com/

พระราชประวัติ

พระเจ้าเซจง (Sejong) เกิดเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม ค.ศ. 1397 เป็นพระราชโอรสองค์ที่สามของพระเจ้าแทจงกับพระนางว็อนกย็อง เมื่อครั้งยังทรงพระเยาว์ได้รับสถาปนาให้เป็นเจ้าชายชุงนยอง และทรงอภิเษกกับพระชายาชิม ซึ่งภายหลังได้รับสถาปนาเป็นพระนางโชฮ็อน พระเชษฐาทั้งสองเห็นว่าเจ้าชายชุงนยองมีความรู้ความสามารถ จึงคิดจะยกบัลลังก์ให้โดยการประพฤติตนเหลวแหลกในราชสำนัก ทำให้เจ้าชายทั้งสองถูกไล่ออกจากวัง หลังจากนั้นพระเจ้าแทจงก็สละราชบัลลังก์ให้แก่เจ้าชายชุงนยองได้ขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้าเซจง

พระราชกรณียกิจ

พระเจ้าเซจง ได้รับการขนานนามว่าเป็น “มหาราช”  เนื่องจากความสำเร็จในการสร้างความก้าวหน้าทางวัฒนธรรมให้กับราชอาณาจักรเกาหลี โดยในรัชสมัยของพระองค์ได้มีการส่งเสริมลัทธิขงจื๊อและวัฒนธรรมจีนให้แพร่หลาย ทรงก่อตั้งชิบฮย็อนจอนเป็นสำนักปราชญ์ขงจื๊อ พระองค์มีพระราชโองการให้ปรับเปลี่ยนขนบธรรมเนียมประเพณีดั้งเดิมของเกาหลีให้สอดคล้องกับลัทธิขงจื๊อ เช่น ประเพณีการแต่งงาน ประเพณีการไว้ทุกข์ ส่งผลให้ลัทธิขงจื๊อกลายเป็นบรรทัดฐานทางสังคมเกาหลีในสมัยนั้น นอกจากนี้พระองค์ยังใช้อำนาจลดบทบาทของสำนักสงฆ์ในศาสนาพุทธอย่างหนัก ลดจำนวนนิกายศาสนาพุทธจากเจ็ดสำนักเหลือแค่สองสำนัก และยังมีคำสั่งให้จำกัดจำนวนวัดและจำนวนพระสงฆ์อีกด้วย

พระเจ้าเซจงทรงได้ชื่อว่าเป็นกษัตริย์ที่มีความห่วงใยราษฎรเป็นอย่างมาก ทรงเล็งเห็นปัญหาของราษฎรทั่วไปที่อ่านหนังสือไม่ออกและเขียนไม่ได้ เนื่องจากประวัติศาสตร์เกาหลีอันยาวนานนั้น ชาวเกาหลีไม่มีอักษรเป็นของตนเอง ส่วนใหญ่ใช้อักษรของจีนที่เรียกว่า ฮันจา แต่ตัวอักษรจีนนั้นมีจำนวนมากและยากลำบากในการเรียนรู้ มีเพียงชนชั้นขุนนางชาย (ยังบัน) เท่านั้นที่มีสิทธิเรียนและเขียนอักษรฮันจาได้ พระเจ้าเซจงจึงทรงประกาศใช้อักษรฮันกึลขึ้นใน ค.ศ. 1446 ซึ่งเป็นอักษรที่ง่ายต่อการเรียนรู้ ผ่านทางวรรณกรรมเรื่องฮุนมินจ็องอึม เพื่อให้ราษฎรทุกชนชั้นสามารถอ่านออกเขียนได้โดยไม่จำเป็นต้องเรียนรู้อักษรจีน ในรัชสมัยของพระเจ้าเซจงขุนนางชื่อว่าชังย็องชิล ซึ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์ผู้ประดิษฐ์มาตรวัดน้ำฝนอันแรกของโลก

นอกจากนี้พระเจ้าเซจงยังทรงเห็นถึงปัญหาของชาวนาที่ทำเกษตรกรรมแล้วไม่เกิดผลิตผล เนื่องจากความแห้งแล้งและน้ำท่วม จึงทรงให้มีการแต่งหนังสือนงซาจิกซอล ซึ่งหนังสือนี้เกี่ยวกับความรู้และประสบการณ์ในการทำเกษตรกรรมจากเกษตรกรอาวุโสทั่วราชอาณาจักร อีกทั้งยังทรงลดภาษีเพื่อให้เกษตรกรต้องลำบากและมีกินมีใช้ มีทรัพย์ในการทำเกษตรกรรมมากขึ้น

พระเจ้าเซจงเสด็จสวรรคตในปี 1450 เนื่องจากภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวานและเศร้าโศกเสียพระทัยจากการสิ้นพระชนม์ของพระมเหสีโชฮ็อน พระบรมศพของทั้งคู่ถูกฝังไว้ที่พระราชสุสานยองนึง หลังจากนั้นพระเจ้ามุนจง ซึ่งเป็นพระราชโอรสพระองค์แรกของพระเจ้าเซจงมหาราช ทรงขึ้นครองราชย์ในเวลาต่อมา แต่ทรงครองราชย์ได้เพียง 2 ปีก็สวรรคต


ที่มา : http://popp1412.blogspot.com/2

จากที่กล่าวมาข้างต้นแสดงให้เห็นว่า พระเจ้าเซจงมหาราชทำคุณความดีต่อาณาจักโชซ็อนเป็นอย่างมาก รวมไปถึงประเทศเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ในปัจจุบันด้วย ทั้งในด้านปกครองและวัฒนธรรม ไม่ว่าจะเป็นการก่อตั้งสำนักปราชญ์ขงจื๊อ การประดิษฐ์อักษรฮันกึล การแต่งหนังสือเกี่ยวกับการทำเกษตรกรรม นอกจากนี้รูปของพระองค์ยังคงปรากฏอยู่ในธนบัตร 10,000 วอนของเกาหลีใต้มาจนถึงปัจจุบัน สิ่งเหล่านี้ยิ่งทำให้ชาวเกาหลีภาคภูมิใจในวัฒนธรรมของตนเองมาจนถึงทุกวันนี้


อ้างอิง

จินตนา. (2556). พระเจ้าเซจงมหาราช (세종대왕,世宗大王). ค้นเมื่อ 6 กุมภาพันธ์ 2563, จาก https://www.modernpublishing.co.th

วิกิพีเดีย. (2562). พระเจ้าเซจงมหาราช. ค้นเมื่อ 6 กุมภาพันธ์ 2563, จาก  https://th.wikipedia.org/wiki/

วิกิพีเดีย. (2562). ราชวงศ์โชซ็อน. ค้นเมื่อ 6 กุมภาพันธ์ 2563, จาก https://th.wikipedia.org/wiki/

วิกิพีเดีย. (2562). Sejong The Great. ค้นเมื่อ 24 มีนาคม 2563, จาก https://en.wikipedia.org/wiki/Sejong_the_Great

ศิลปวัฒนธรรม. (2562). สรงน้ำ พระเจ้าเซจง. ค้นเมื่อ 6 กุมภาพันธ์ 2563, จาก https://www.silpa-mag.com/


อ่านเพิ่มเติม »

หลาง ผิง (Lang Ping)

โดย นันธิดา กระสี

กีฬาวอลเล่ย์บอลเป็นกีฬาที่นิยมกันอย่างแพร่หลายตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน และมีหลายประเทศที่สามารถพัฒนากีฬาวอลเล่ย์บอลขึ้นมาเป็นแถวหน้าของโลกโดยเฉพาะประเทศจีน ที่สามารถขึ้นมาเป็นอับดับที่ 1 ของโลกได้  ซึ่งนอกจากทักษะของนักกีฬาแล้วก็ต้องมีความเชี่ยวชาญของโค้ชผู้ฝึกสอนในการที่จะปรับเกมหรือให้คำแนะนำสำหรับนักกีฬาในการแข่งขัน และการจัดตารางการฝึกซ้อมย่อมต้องมีโค้ชดูแลเรื่องเหล่านี้ด้วย และโค้ชวอลเล่ย์บอลคนสำคัญที่จะนำมาเล่าสู่กันฟังในที่นี้คือ หลาง ผิง


ที่มา :  http://thai.cri.cn/20190227/

หลาง ผิง (Lang Ping) โค้ชวอลเล่ย์บอลหญิงทีมชาติจีน เกิดเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม ค.ศ. 1960 ที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน มีเชื้อสายชาวแมนจู ส่วนสูง 1.84 เมตร น้ำหนัก 71 กก. จบการศึกษาปริญญาโท The sports management department ที่มหาวิทยาลัยนิวเม็กซิโก ประเทศอเมริกา เธอเป็นอดีตนักกีฬาวอลเล่ย์บอลชาวจีน ตำแหน่ง ตัวตีด้านนอก และเป็นอดีตหัวหน้าผู้ฝึกสอนวอลเล่ย์บอลหญิงทีมชาติสหรัฐอเมริกา เธอมีฉายาที่รู้จักกันดี คือ “ค้อนเหล็ก”

อุปนิสัยของ หลาง ผิง เป็นคนที่มีนิสัยดี เป็นกันเองกับผู้อื่น เข้ากับผู้อื่นได้ง่าย เก่งในเรื่องของการวางแผน  เป็นบุคคลที่ภายนอกอาจจะดูเท่ห์ดูโหดแต่ที่จริงเธอเป็นคนอ่อนโยน และเป็นคนที่จริงจังกับการทำงานเนื่องจาก หลาง ผิง เป็นผู้ฝึกสอนวอลเล่ย์บอลทีมชาติ แต่เธอจะเป็นคนที่ไม่เครียดกับเกมการแข่งขัน จะไม่กดดันลูกทีมจะค่อยๆ ใช้ความรู้มากกว่าอารมณ์ในการควบคุมผู้อื่น ทำให้บุคคลภายนอกที่ได้อยู่ใกล้หรือได้รู้จักเธอนับถือเธอและรักเธอเป็นอย่างมาก

จุดเริ่มต้นของการเล่นกีฬา หลาง ผิง มีความสนใจในกีฬาวอลเล่ย์บอลมาตั้งแต่สมัยหลาง ผิง ยังเด็กเพราะมีคนรอบข้างของเธออย่างเช่น ครอบครัว ที่เล่นวอลเลย์บอล หลาง ผิง มีต้นแบบนักกีฬามากมายจึงเป็นแรงจูงใจให้ หลาง ผิง มีความสนใจกีฬาวอลเล่ย์บอลอย่างมาก เธอจึงมีความสนใจที่จะเล่นกีฬาวอลเล่ย์บอล หลาง ผิง เธอมีความพยายามที่จะพัฒนาฝีมือของเธออยู่เรื่อยๆ จนเธอติดทีมชาติวอลเล่ย์บอลจีน


ที่มา :  http://thai.cri.cn/20190227/

ผลงานในระดับอาชีพ หลาง ผิง เคยเป็นสมาชิกคนหนึ่งของวอลเล่ย์บอลหญิงทีมชาติจีน และได้รับรางวัลเหรียญทองเมื่อครั้งที่เป็นฝ่ายชนะทีมชาติสหรัฐอเมริกาในการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อนในปี 1984 ที่ลอสแอนเจลิสรัฐแคลิฟอร์เนีย รวมถึงเธอเป็นสมาชิกคนหนึ่งของทีมที่ชนะการแข่งขันชิงแชมป์โลกในปี ค.ศ.1982 ที่ประเทศเปรู รวมถึงรายการเวิลด์คัพ เมื่อ ค.ศ 1981 และ 1985

ในปี 1986 หลาง ผิง ก็ได้ถอนตัวออกจากการเป็นนักกีฬาทีมชาติจีนเพราะตัวเธอเองต้องการผันตัวไปเป็นโค้ชและก็ย้ายไปอเมริกาในเดือนเมษายน 1987 เพื่อเรียนต่อในมหาวิทยาลัยนิวเม็กซิโก ประเทศอเมริกาในระหว่างที่หลางผิงเรียนปริญญาโททางด้าน The sports management department ในช่วงปี 1987-1989 หลาง ผิง ก็ได้เป็นผู้ช่วยผู้ฝึกสอนให้กับมหาวิทยาลัยนิวเม็กซิโกที่ หลาง ผิง เรียนอยู่ และนี่คือช่วงเวลาที่อาจเรียกได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการเป็นโค้ชของหลางผิงก็เป็นได้

ต่อมาในปี 1989 หลาง ผิง ก็ได้ไปเป็นโค้ชให้กับทีม Modena ในลีคอิตาลีและพาทีมคว้าแชมป์อิตาลีคัพในปีนั้นด้วย และต่อมาในปี ค.ศ.1990 หลางผิงก็ถูกเรียกตัวให้กลับไปเล่นทีมชาติจีนอีกครั้ง แล้วก็สามารถพาทีมได้เหรียญเงินแชมป์โลกในปีนั้นด้วย และหลางผิงก็ได้ลาออกจากทีมชาติจีนอีกครั้งเพื่อผันตัวไปเป็นโค้ชอย่างจริงจังในปี 1991 ก็เป็นโค้ชให้กับทีมมหาวิทยาลัยนิวเม็กซิโกและก็สามารถพาทีมได้ที่ 1 ของ Eastern US Women’s Volleyball Tournament และระหว่างนั้นหลาง ผิง ก็ได้รับเชิญให้ไปเป็นโค้ช ในญี่ปุ่นและอเมริกาและได้พาทีมได้ลำดับที่ดีๆ ไม่ว่าจะเป็นที่ 1 2 3

ในปี ค.ศ.1995 หลาง ผิงได้เข้ามาเป็นหัวหน้าผู้ฝึกสอนวอลเล่ย์บอลหญิงทีมชาติจีน หลาง ผิง สามารถนำทีมคว้าเหรียญเงินจากการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อนในปี 1996 ที่แอตแลนตา รัฐจอร์เจีย และอันดับสองในรายการชิงแชมป์โลกในปี 1998 ที่ประเทศ ญี่ปุ่น

ในปี ค.ศ. 1998 หลาง ผิง ได้ลาออกจากทีมชาติจีนเนื่องจากปัญหาสุขภาพเพราะหลาง ผิง ต้องเข้าผ่าตัดหัวเข่า และต่อมา หลาง ผิง ได้ไปเป็นหัวหน้าผู้ฝึกสอนในการแข่งขันหลีกอาชีพของประเทศอิตาลีและประสบความสำเร็จอย่างยอดเยี่ยมและ หลาง ผิง ยังได้รับรางวัลผู้ฝึกสอนยอดเยี่ยมแห่งปีอยู่หลายสมัย



อิทธิพลในประเทศจีน เนื่องจากบทบาทสำคัญของเธอในความสำเร็จของวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติจีนในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1980 หลาง ผิง ได้รับการมองว่าเป็นสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม และเป็นหนึ่งในบุคคลที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดในประวัติศาสตร์กีฬาสมัยใหม่ของประเทศจีน โดยในตอนท้ายของการปฏิวัติทางวัฒนธรรม ค.ศ. 1976 ประเทศจีนได้เข้าร่วมแข่งขันกีฬาในระดับโลกอีกครั้ง แม้ว่าทีมปิงปองของจีนจะชนะการแข่งขันในระดับนานาชาติ ซึ่งกีฬานี้มักได้รับการพิจารณาว่าชาวจีนมีความเชี่ยวชาญ แต่ หลาง ผิง กับทีมวอลเลย์บอลหญิงของเธอก็ได้รับการจัดเป็นกีฬาประเภททีมที่ชนะการแข่งขันชิงแชมป์โลกหลายสมัย โดยการแข่งขันครั้งสุดท้ายของเธอคือกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 1984 โดย หลาง ผิง ได้เป็นดาวในตำแหน่งตัวตีด้านนอกของทีม เธอมักได้รับการจดจำเป็นอย่างมาก ว่าเป็นหนึ่งในนักกีฬาแชมป์โลกสมัยแรกของวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติจีน

ในปีค.ศ. 2002 เธอได้รับเกียรติในการจารึกชื่อไว้ในวอลเล่ย์บอลฮอลล์ออฟเฟมที่ฮอลโยค รัฐแมสซาซูเซตส์เธอเป็นผู้ฝึกสอนวอลเล่ย์บอลหญิงทีมชาติสหรัฐอเมริกาและพาทีมเข้ารับรางวัลเหรียญเงินในการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อน 2008 ที่ประเทศบ้านเกิดของเธอเอง ปัจจุบัน เธอทำหน้าที่เป็นผู้ฝึกสอน ให้แก่วอลเล่ย์บอลทีมชาติหญิงจีน

ชัยชนะครั้งสำคัญ

* เวิลด์คัพ 1981 (แชมป์โลก)
* ชิงแชมป์โลก 1982 (แชมป์โลก)
* โอลิมปิกฤดูร้อน 1984 ที่ลอสแอนเจลิส (แชมป์โลก)
* เวิลด์คัพ 1985 (แชมป์โลก)
* โอลิมปิก 2016 (เหรียญทอง)

เกียรติประวัติ

* หนึ่งในสิบนักกีฬาจีนยอดเยี่ยมแห่งปี ค.ศ. 1981-1986
* ผู้ฝึกสอนวอลเล่ย์บอลยอดเยี่ยมแห่งปี สหพันธ์วอลเล่ย์บอลนานาชาติ ค.ศ. 1996
* ผู้ฝึกสอนวอลเล่ย์บอลหญิงในประเทศอิตาลียอดเยี่ยมแห่งปี ค.ศ. 1999-2000

โค้ชหลาง ผิง เป็นบุคคลที่มีความสามารถในการเล่นกีฬาอย่างมากทั้งเป็นผู้เล่นหรือเป็นคนที่คอยสนับสนุนทีม ควบคุมทีมในการแข่งขันและแก้เกมอย่างฉลาด ทั้งยังเป็นบุคคลในวงการกีฬาวอลเล่ย์บอลที่น่าเคารพนับถืออย่างมากทั้งในประเทศจีนและประเทศอื่นๆ เธอเป็นบุคคลต้นแบบที่น่ายกย่องเป็นอย่างยิ่งทั้งในการใช้ชีวิตประจำวัน และการทำงาน


อ้างอิง 

Sitemap.(2559).รู้จัก หลางผิงเท่ากับรู้จักนักกีฬา โค้ชที่ยอมเยี่ยมที่สุดคนหนึ่งของโลกวอลเล่ย์บอล. สืบค้นเมื่อ 6 มกราคม 2563 จาก : https://pantip.com/topic/35145298

Unknow. (2008). Iron Hammer still pounding. Retrieved January 07, 2020, from : http://en.people.cn/90001/90779/90867/6342656.html

Lassen, D. (2008). “U.S. women’s volleyball coach an icon back in Beijing”.Retrieved January 07, 2020, from : http://www.venturacountystar.com/

O’Halloran, R. (2008). “Lang Ping goes home”.Retrieved January 07, 2020, from : https://m.washingtontimes.com/news/2008/

Townsend, B.(2008). “Lang Ping left china for normal life”. Retrieved January 07, 2020, from : http://www.dallasnews.com/sharedcontent/

Tabuchi, H.(2008). “Return of the iron Hammer”.Retrieved January 07, 2020, from : http://blogs.wsj.com/chinajournal/2008/08/09/

Wong, E.(2008). “Ex-Chinese Star Guides U.S. to win in Volleyball”. Retrieved January 07, 2020, from : http://www.nytimes.com/2008/08/16/s

อ่านเพิ่มเติม »

เนลสัน แมนเดลา (Nelson Mandela) รัฐบุรุษแห่งแอฟริกาใต้

โดย กฤติกา มาวงค์ษา

ในยุคโลกาภิวัตน์ คนผิวสีได้ก้าวเข้าสู่ยุคทอง หลังจากที่พวกเขาได้อดทน รอคอยมาอย่างยาวนาน ซึ่งในอดีตก็มีคนผิวสีมากมายต้องสังเวยชีวิตให้กับอคติจากการประเมินค่าความเป็นมนุษย์ เพียงเพราะมองกันแค่สีผิว อย่างไรก็ตามเส้นทางการต่อสู้เรียกร้องสิทธิของคนผิวสีที่ต้องการเสรีภาพไม่ได้มีอยู่แต่อเมริกาเท่านั้น แต่มีที่เข้มข้นยิ่งกว่าก็คือ แอฟริกาทั้งทวีป เพราะที่นั่นคือบ้านของคนผิวสีที่ถูกคนผิวขาว กดขี่ แต่มีพลังของผู้ชายผิวสีคนหนึ่งที่ต่อสู้เพื่อเสรีภาพ จนประสบความสำเร็จในชีวิต และกลายเป็นบุคคลสำคัญคนหนึ่งของโลก ผู้ชายคนนั้นชื่อ “เนลสัน แมนเดลา” รัฐบุรุษและอดีตประธานาธิบดีของประเทศแอฟริกาใต้


ที่มา : https://mgronline.com/

เนลสัน แมนเดลา (Nelson Mandela) เกิดเมื่อวันที่ 18 กรกฏาคม ปี 2461 ในครอบครัวเทมบู เติบโตในชนบท ของเมืองเคป อีสต์เทิร์น เดิมนั้นเขามีชื่อว่า มาดิบา ต่อมาครูในโรงเรียนได้ตั้งชื่อเป็นภาษาอังกฤษให้เขาว่า แมนเดลา  เขาเป็นผู้ที่ขยันในการจดบันทึกและหลงใหลการเก็บบันทึกเป็นอย่างมาก

ในขณะที่เขาอายุได้ 9 ขวบ พ่อของเขาซึ่งเป็นที่ปรึกษาของตระกูลผู้ปกครองชาวเทมบู ได้เสียชีวิต เขาจึงถูกเลี้ยงดูจากรักษาการผู้สำเร็จราชการเมืองเทมบู และต้องถูกแยกออกจากแม่อันเป็นที่รัก จนกระทั่งอายุ 23 ปี แมนเดลา ได้หนีออกจากบ้านเพื่อหลบหนีการแต่งงานแบบคลุมถุงชน

เนลสัน แมนเดลา เริ่มเข้าศึกษาระดับอุดมศึกษาในปี 2482 ที่มหาวิทยาลัยฟอร์ต แฮร์ และจบการศึกษาในปี 2485 ด้วยวุฒิปริญญาตรี ศิลปศาสตร์บัณฑิต

ในช่วงที่ศึกษาวิชากฏหมายอยู่ที่มหาวิทยาลัย วิทวอเตอร์แรนด์ ในนครโจฮันเนสเบิร์ก เขามีส่วนร่วมในการก่อตั้งสันนิบาตยุวชนแห่งแอฟริกัน เนชั่นแนล คองเกรส ( African National Congress หรือ ANC) และพยายามผลักดันให้องค์กรดังกล่าวมีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงสังคม มีการร่วมมือกันเคลื่อนไหวแบบใต้ดินเพื่อต่อต้านรัฐบาลที่ใช้นโยบายแบ่งแยกสีผิว

จนกระทั่งในช่วงปีพุทธศักราช 2503 รัฐบาลแอฟริกาใต้ที่ปกครองโดยชาวผิวขาวมีนโยบายเหยียดผิวได้สั่งห้ามและปราบปรามอย่างหนัก ทำให้กลุ่ม ANC ต้องเคลื่อนไหวในทางลับ และยกระดับในการใช้กำลังตอบโต้ด้วยการก่อวินาศกรรมสถานที่ทางราชการต่าง ๆ ของรัฐบาลแอฟริกาใต้ ก่อนที่แมนเดลา จะถูกจับเมื่อปีพุทธศักราช 2505 และถูกส่งไปจำคุกบนเกาะรอบเบิน นอกชายฝั่งเคปทาวน์ ซึ่งเขาใช้เวลาอยู่ในนั้นถึง 18 ปี ในระหว่างนั้นเขาปฏิเสธทำตามข้อเสนอของรัฐบาลที่จะปล่อยตัวเขาเพื่อแลกกับการยุติบทบาทและวางอาวุธของกลุ่ม ANC

ในปีพุทธศักราช 2533 แมนเดลาได้รับอิสระ หลังจากประธานาธิบดี เฟเดอริค เดอ เคลิ์ก ประกาศรับรองพรรคการเมืองทุกพรรคให้ถูกต้องตามกฏหมาย และประกาศนิรโทษกรรมนักโทษการเมือง หลังจากนั้นไม่นาน เนลสัน แมนเดลา ก็ได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้าพรรค ANC และก้าวขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีแอฟริกาใต้หลังพรรคของเขาชนะการเลือกตั้งเป็นครั้งแรก ในวัย 75 ปี


ที่มา : https://www.bbc.com/thai/

ประธานาธิบดีแมนเดลา กล่าวในทันทีว่าเขาจะขอดำรงตำแหน่งผู้นำแอฟริกาใต้เพียง 1 สมัย ในระยะเวลา 5 ปีเท่านั้น และได้รับความเคารพอย่างมากในฐานะผู้นำบนเวทีระดับนานาชาติหลังจากสามารถสร้างความเป็นปึกแผ่นในแอฟริกาใต้ได้ในที่สุด

ปีพุทธศักราช 2536 ประธานาธิบดี แมนเดลา ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ร่วมกับอดีตประธานาธิบดี เดอ เคลิ์ก ซึ่งเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการเริ่มต้นขั้นตอนการสร้างสันติภาพในแอฟริกาใต้ ก่อนที่ประธานาธิบดีแมนเดลาจะประกาศอุทิศรางวัลนี้ให้กับประชาชนชาวแอฟริกาใต้ที่ร่วมสร้างสังคมแห่งความเท่าเทียมได้สำเร็จ

ในปี 2538 แอฟริกาใต้จัดการแข่งขันกีฬาระดับนานาชาติครั้งแรก คือ การแข่งขันรักบี้ชิงแชมป์โลก ซึ่งแมนเดลา ให้การสนับสนุนทีมรักบี้ของแอฟริกาใต้ซึ่งนักกีฬาส่วนใหญ่เป็นคนผิวขาว เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ช่วยสร้างความสามัคคีขึ้นในชาติอย่างมาก

ในช่วงการรับดำรงตำแหน่งผู้นำแอฟริกาใต้ เขามีบทบาทสำคัญในการต่อสู้กับการแพร่ระบาดของโรคเอดส์ที่เคยถึงขั้นเลวร้ายจนประสบผลในภายหลัง แม้จะก้าวลงจากตำแหน่งผู้นำหลังดำรงตำแหน่งครบ 1 สมัยในปีพุทธศักราช 2542 แต่อดีตผู้นำผู้ประสานรอยร้าวแห่งแอฟริกาใต้ ก็ยังทำงานเพื่อสังคมและชาวแอฟริกาใต้อย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ แมนเดลาอำลาการเมืองในปี 2547 ด้วยวัย 85 ใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวและเพื่อน โดยไม่ค่อยออกงานสังคมมากนัก ยกเว้นการปรากฏตัวของเขาในพิธีปิดการแข่งขันฟุตบอลโลกที่แอฟริกาใต้ในปี 2553 หลังจากนั้น เมื่อวันที่ 5 ธ.ค. 2556 เนลสัน แมนเดลา รัฐบุรุษแห่งแอฟริกาใต้ ก็ได้เสียชีวิตลงขณะอายุ 95 ปี ด้วยอาการปอดติดเชื้อเรื้อรัง ภายในบ้านพักส่วนตัวที่โจฮันเนสเบิร์ก

เนลสัน แมนเดลา ได้พยายามนำพาประชาชนไปสู่สันติภาพได้สำเร็จ แม้จะฝ่าฟันกับความขัดแย้งอย่างรุนแรงของเชื้อชาติ และสีผิวมายาวนานหลายปี อดึตผู้นำแห่งแอฟริกาใต้ออกจากเรือนจำเยี่ยงวีรบุรุษ ท่านเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกในฐานะผู้ส่งเสริมการให้อภัยและความเสมอภาค เนลสัน แมนเดลา คือรัฐบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ของโลกโดยแท้จริง


อ้างอิง

BBC NEWS ไทย. (2556, 9 ธันวาคม). เนลสัน แมนเดลา : เหตุใดเขาจึงเป็นบุคคลสำคัญของโลก? . ค้นเมื่อ 28 มกราคม 2563, จาก https://www.bbc.com/thai/international-46448176?fbclid

Sanook. (2556, 6 ธันวาคม). เนลสัน แมนเดลา ถึงแก่อสัญกรรม ด้วยวัย 95 ปี. ค้นเมื่อ 28 มกราคม 2563, จาก https://www.sanook.com/news/1352719/

Thai PBS. (2556, 6 ธันวาคม). ประวัติ “เนลสัน แมนเดลา” รัฐบุรุษแห่งแอฟริกาใต้. ค้นเมื่อ 28 มกราคม 2563, จาก https://news.thaipbs.or.th/

BBC NEWS ไทย. (2556, 9 ธันวาคม). เส้นทางชีวิต และชีวประวัติของ “เนลสัน แมนเดลา” มหาบุรุษแห่งแอฟริกาใต้. ค้นเมื่อ 28 มกราคม 2563, จาก https://www.voathai.com/a/mandela-obit-pt/1806291.html

มุมคุณธรรมสำนักหอสมุดมหาวิทยาลัยเชียงใหม่. (2554, พฤศจิกายน). เนลสัน แมนเดลา บำเหน็จเลอค่า สำหรับผู้รู้จักอดทนและรอคอย. ค้นเมื่อ 28 มกราคม 2563, จาก http://library.cmu.ac.th/moralcorner/node/99

Kapook. (2556, 27 มิถุนายน). ประวัติ เนลสัน แมนเดลา รัฐบุรุษผู้หญิงใหญ่ นักสู้ผู้ต่อต้านการเหยียดผิว. ค้นเมื่อ 30 มกราคม 2563, จาก https://hilight.kapook.com/

 Voathai. (2556, 9 ธันวาคม). เส้นทางชีวิต และชีวประวัติของ “เนลสัน แมนเดลา” มหาบุรุษแห่งแอฟริกาใต้. ค้นเมื่อ 28 มกราคม 2563, จาก https://www.voathai.com/


อ่านเพิ่มเติม »

การสิ้นสุดราชวงศ์กาเปเตียง

โดย ตรีนภา  วิชัยโย

Capetian Armorial
ประเทศฝรั่งเศสถูกจัดให้เป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว ทั้งด้านการคมนาคม การขนส่ง เทคโนโลยี และเศรษฐกิจ อีกทั้งปัจจัยทางด้านสถาปัตยกรรม แฟชั่น และมนต์เสน่ห์ของชาวฝรั่งเศส ทำให้ประเทศฝรั่งเศสเป็นประเทศที่มีนักท่องเที่ยวมากที่สุดในโลกเลยทีเดียว อีกทั้งเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ โดยในอดีต ประเทศฝรั่งเศสปกครองโดยสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่มีส่วนสำคัญในการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะราชวงศ์กาเปเตียง ที่มีความสำคัญทั้งในด้านการปกครองประเทศ ด้านศาสนา ด้านสังคมเศรษฐกิจ และถือเป็นราชวงศ์ที่เก่าแก่ที่สุดราชวงศ์หนึ่งอีกด้วย

ราชวงศ์กาเปเตียง คือราชวงศ์ที่ปกครองฝรั่งเศสในสมัยกลาง มีพระเจ้าอูก กาแป (Hugh Capet) แห่งฝรั่งเศสเป็นต้นราชวงศ์ ทรงขึ้นครองราชย์เมื่อ ค.ศ. 987 แต่ราชวงศ์นี้ได้สิ้นสุดลงในปี ค.ศ. 1328 เนื่องจากการสิ้นพระชนม์ของพระเจ้าชาร์ลที่ 4 ที่ทรงไร้ทายาทสืบทอดราชวงศ์
                                                           

พระเจ้าอูก กาแป 


พระเจ้าชาร์ลที่ 4
ที่มา : https://www.geni.com/

บรรพบุรุษของราชวงศ์กาเปเตียง คือ ตระกูลโรแบร์เตียง (Robertian) ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นเคานต์แห่งปารีสในอาณาจักรแฟรงก์ตะวันตก หรือประเทศฝรั่งเศสในปัจจุบัน ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 9 และ 10 ตระกูลโรแบร์เตียงอภิเษกกับราชวงศ์กาโรแล็งเฌียง ราชวงศ์ที่ปกครองอาณาจักรแฟรงก์ตะวันตกขณะนั้น ทำให้ตระกูลโรแบร์เตียงบางคนได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ด้วย แต่ใน ค.ศ. 987 ราชวงศ์กาโรแล็งเฌียงสิ้นสุดลงในอาณาจักรแฟรงก์ตะวันตก และอูก กาแป กษัตริย์แห่งฝรั่งเศสที่สืบเชื้อสายจากตระกูลโรแบร์เตียงจึงได้ขึ้นครองราชย์เป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์กาเปเตียง 

อูกเป็นกษัตริย์แห่งฝรั่งเศสที่มาจากการเลือกตั้งในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 987 โดยกลุ่มบุคคลสำคัญชาวแฟรงก์ อาดัลเบอโรสามารถโน้มน้าวเหล่าบุคคลสำคัญได้ว่าราชบัลลังก์ควรได้มาจากการเลือกตั้งมากกว่าการสืบทอดทางสายเลือด และชาร์ลส์แห่งโลร์แรน ผู้ท้าชิงชาวกาโรแล็งเฌียงที่ถูกต้องตามกฎหมายที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวไม่เหมาะที่จะปกครอง อูกจึงได้รับการสวมมงกุฎในวันที่ 5 กรกฎาคม ค.ศ. 987

คำว่า “กาเปเตียง” มาจากพระนามของพระเจ้าอูก กาแป ทั้งที่ “กาแป” มิได้เป็นนามสกุล แต่เป็นฉายานาม แต่กษัตริย์ฝรั่งเศสก็ทรงใช้ “กาแป” เป็นพระนามของพระราชสกุล เช่นเมื่อพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 แห่งฝรั่งเศสทรงถูกประหารด้วยเครื่องประหารกิโยติน ใน ค.ศ. 1793 การปกครองปฏิวัติในสมัยนั้นบันทึกในมรณบัตรว่า “หลุยส์ กาแป”

รัชสมัยของอูกมีเหตุการณ์ที่สำคัญคือ ชาร์ลส์แห่งโลร์แรนพยายามแสดงสิทธิ์ของตนเพื่อแย้งอูกที่ 1 (เคานต์แห่งบลัวส์) และฟุลค์ แนร์รา (เคานต์แห่งอองฌู) แต่อูกกลับสนับสนุนพวกเขา และในปี ค.ศ. 993 อูกได้รับความช่วยเหลือจากอาร์ชบิชอปในแผนการขัดขวางการส่งตัวอูกกับพระโอรส โรแบรต์ ไปให้ออตโตที่ 3 ทำให้การส่งตัวไม่ประสบผลสำเร็จ แต่การที่ไม่มีใครถูกลงโทษจากเหตุการณ์นี้ แสดงให้เห็นถึงความอ่อนแอของราชวงศ์ใหม่กาเปเตียง อูกยังสามารถรักษาบัลลังก์ไว้ได้ อาจเพราะศัตรูที่ร่วมมือกันต่อต้านพระองค์นั้นไร้ซึ่งความสามารถที่จะแย่งชิงบัลลังก์

ต่อไปจะขอยกตัวอย่างพระราชกรณียกิจที่สำคัญของกษัตริย์บางพระองค์แห่งราชวงศ์กาเปเตียงเพื่อให้
ผู้อ่านได้ทราบถึงความสำคัญของราชวงศ์กาเปเตียงค่ะ


ที่มา : https://th.wikipedia.org/

พระเจ้าฟิลิปที่ 1 แห่งฝรั่งเศส

ในปี ค.ศ. 1094 พระองค์ทรงถูกตัดขาดจากศาสนา (excommunicate)  โดยอูกแห่งดี (Hugh of Die) อาร์ชบิชอปแห่งลียงเป็นครั้งแรก และหลังจากไม่มีข่าวหรือการเคลื่อนไหวอะไรอยู่เป็นเวลานาน สมเด็จพระสันตะปาปาเออร์บันที่ 2 ก็ทรงประกาศคว่ำบาตรเป็นครั้งที่สองในสภาสังคายนาแห่งแคลร์มง (Council of Clermont) และกลายมาเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามครูเสดครั้งที่ 1


ที่มา : https://th.wikipedia.org/

พระเจ้าหลุยส์ที่ 6 แห่งฝรั่งเศส 

พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ราชวงศ์กาเปเซียงองค์แรกที่ทรงมีบทบาทในการรวมอำนาจเข้าสู่ส่วนกลางภายใต้การนำของพระมหากษัตริย์ และเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกผู้มีความแข็งแกร่งตั้งแต่การแยกจักรวรรดิการอแล็งเฌียง อธิการซูว์เฌแห่งมหาวิหารแซ็ง-เดอนีกล่าวถึงพระองค์ว่าเป็นผู้ที่มีพระอุปนิสัยหนักแน่นที่ไม่เหมือนบรรพบุรุษของพระองค์ก่อนหน้านั้น
                                                   

ที่มา : https://th.wikipedia.org/

พระเจ้าหลุยส์ที่ 7 แห่งฝรั่งเศส 

พระองค์ทรงมีการศึกษาสูงและมีความศรัทธาทางศาสนาอย่างมุ่งมั่นเหมาะสมในหน้าที่ทางศาสนามากกว่าการปกครองบ้านเมือง เมื่อยังทรงพระเยาว์ พระองค์ทรงใช้เวลาส่วนใหญ่ที่มหาวิหารแซงต์เดนีส์และทรงสร้างความสัมพันธ์กับแอ็บบ็อทซูแฌร์ผู้มีบทบาทสำคัญในต้นรัชสมัยของพระองค์

รัชสมัยของพระองค์เป็นรัชสมัยที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งระหว่างอำนาจของขุนนางจากตระกูลต่าง ๆ โดยเฉพาะตระกูลอองชู (อองเฌแว็ง) ที่เป็นช่วงของการเริ่มต้นของความขัดแย้งระหว่างราชอาณาจักรฝรั่งเศสและราชอาณาจักรอังกฤษ และการเข้าร่วมในสงครามครูเสดครั้งที่ 2
                                                                     

ที่มา : https://th.wikipedia.org/

พระเจ้าหลุยส์ที่ 9 แห่งฝรั่งเศส 

พระองค์เป็นพระเจ้าแผ่นดินฝรั่งเศสพระองค์เดียวที่ทรงได้รับการประกาศเป็นนักบุญ ในปี ค.ศ. 1297 โดยสมเด็จพระสันตะปาปาบอนิเฟซที่ 8 ซึ่งทำให้มีสถานที่ต่าง ๆ ที่ตั้งชื่อตามพระองค์อยู่มากมาย
                                                                     

ที่มา : https://th.wikipedia.org/

พระเจ้าฟิลิปที่ 4 แห่งฝรั่งเศส

ความขัดแย้งทางทหารที่รู้จักกันดีที่สุดในรัชสมัยของพระเจ้าฟิลิปที่ 4 คือสงครามกับพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 1 แห่งอังกฤษ ในช่วงเดียวกันนี้พระองค์ยังได้เข้าเป็นพันธมิตรกับราชอาณาจักรสกอตแลนด์ ซึ่งเริ่มในรัชสมัยของจอห์น บัลลิออลเพื่อต่อต้านแผนการรุกรานฝรั่งเศสของพระเจ้ากรุงอังกฤษ

ปัจจุบันเชื้อสายราชวงศ์กาเปเตียงที่ยังมีพระชนม์ชีพและถือพระราชสมบัติอยู่ คือ พระเจ้าเฟลิเปที่ 6 แห่งสเปนและแกรนด์ดุ๊กเฮนรี่แห่งลักเซมเบิร์ก แต่เป็นเชื้อสายราชวงศ์กาเปเตียงผ่านทางราชวงศ์บูร์บง ซึ่งเป็นราชวงศ์ย่อยของราชวงศ์กาเปเตียง พร้อม ๆ กับราชวงศ์ฮับส์บูร์กซึ่งเป็นหนึ่งในสองราชวงศ์ที่มีอำนาจมากที่สุดในยุโรป ปกครองยุโรปนานเกือบห้าศตวรรษ

หากมองย้อนกลับไปแล้ว ราชวงศ์กาเปเตียงมีความสำคัญต่อยุโรปเป็นอย่างมาก ด้วยพระปรีชาสามารถของพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ในทุก ๆ ด้าน ทั้งด้านการปกครอง ด้านสังคม ด้านศาสนา ทำให้ฝรั่งเศสสมัยนั้นพัฒนาจนสามารถทัดเทียมกับประเทศที่ปกครองโดยราชวงศ์ที่มีความยิ่งใหญ่กว่าประเทศของตนได้ หากแต่ราชวงศ์ต้องสิ้นสุดลงเพราะพระเจ้าชาร์ลที่ 4 ทรงไร้ทายาทสืบทอดราชวงศ์ แต่ปัจจุบันราชวงศ์กาเปเตียงที่ยังมีพระชนม์ชีพและถือพระราชสมบัติอยู่ คือ กษัตริย์แห่งสเปนและแกรนด์ดุ๊กแห่งลักเซมเบิร์กผ่านทางราชวงศ์บูร์บง ซึ่งเป็นสาขาย่อยของราชวงศ์กาเปเตียงนั่นเอง


อ้างอิง  

pi-nu (นามปากกา). สงครามร้อยปี(Hundred Years’War)..ว่าด้วยเรื่องดินแดน. สืบค้นเมื่อ 27 กันยายน 2561, จาก : https://pi-nu.blogspot.com/2012/10/hundred-yearswar.html

Unknow. Capetian dynasty. Retrieved 25 September 2018, from :  https://en.wikipedia.org/wiki/Capetian_dynasty#Current_Capetian_rulers

New World Encyclopedia. Hugh Capet. Retrieved 26 September 2018, from : http://www.newworldencyclopedia.org/entry/Hugh_Capet

บริษัท เลทส์ ซี ฮอลิเดย์. ข้อมูลทั่วไปฝรั่งเศส. สืบค้นเมื่อ 25 กันยายน 2561, จาก :
https://www.letsseeholiday.net/


อ่านเพิ่มเติม »

โรมุลุส เอากุสตุลุส (Romulus Augustulus) จักรพรรดิโรมันองค์สุดท้าย และเหตุการณ์ที่นำไปสู่การล่มสลายของจักรวรรดิโรมัน

โดย ธนัญญา ตันชวลิต

ประวัติของจักรพรรดิโรมุลุส เอากุสตุลุส แม้จะไม่ปรากฏรายละเอียดมากนัก หากแต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในรัชสมัยของพระองค์นั้นเป็นสาเหตุหลักที่นำไปสู่การล่มสลายของจักรวรรดิโรมันตะวันตก ซึ่งถูกนำเสนอผ่านประวัติของพระองค์และสามารถเชื่อมโยงให้เห็นถึงปัจจัยที่ก่อให้เกิดปัญหาความขัดแย้งภายใน และการแย่งชิงอำนาจทางการเมือง โดยถึงแม้ว่าโรมุลุส เอากุสตุลุสจะดำรงตำแหน่งเป็นจักรพรรดิในช่วงเวลานั้น หากแต่อำนาจทางการปกครองกลับขึ้นอยู่กับบิดาของพระองค์แทบทั้งสิ้น ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องต่อการล่มสลายของจักรวรรดิโรมันตะวันตกนั้นจึงมิใช่จากพระองค์เอง หากแต่เป็นบุคคลที่อยู่รายล้อมพระองค์ ความสำคัญในรัชสมัยของพระองค์จึงมิใช่พระราชกรณียกิจของจักรพรรดิ หากแต่เป็นเหตุการณ์ที่นำไปสู่การสิ้นสุดของจักวรรดิโรมันตะวันตกซึ่งเคยรุ่งโรจน์และมีอำนาจเหนืออาณาจักรอื่นทั้งปวง

โรมุลุส เอากุสตุลุส (Romulus Augustulus) หรือเรียกสั้นๆ ว่า เอากุสตุลุส พระองค์ทรงเป็นจักรพรรดิโรมันพระองค์สุดท้าย ชื่อเดิมคือ ฟลาวิอุส โรมูลุส ประสูติราวช่วง ค.ศ.​461 ส่วนการสวรรคตไม่อาจทราบหลักฐานที่แน่ชัด ซึ่งจากการคาดการณ์น่าจะเป็นช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 5 ทรงขึ้นครองราชย์ขณะที่ยังเป็นวัยรุ่น ระหว่างวันที่ 31 ตุลาคม ค.ศ.​475 ถึงวันที่ 4 กันยายน ค.ศ.​476 ซึ่งเป็นวันที่พระองค์ถูกถอดออกจากราชบัลลังก์หลังจากครองราชย์ได้เพียง 10 เดือนเศษๆ เท่านั้น นักวิชาการจึงถือว่าการสิ้นสุดรัชกาลของพระองค์เป็นการสิ้นสุดของจักรวรรดิโรมันตะวันตก และเป็นจุดเริ่มต้นของสมัยกลางในยุโรปตะวันตก


โรมุลุส เอากุสตุส หรือ เอากุสตุลุส จักรพรรดิโรมันพระองค์สุดท้าย

บิดาของพระองค์คือ ฟลาวิอุส โอเรสเตส ทหารและนักการเมืองโรมันเชื้อสายเยอรมัน ผู้ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นผู้ช่วยของอัตติลา จักรพรรดิชาวฮันผู้ครองจักรวรรดิฮัน (Attila the Hun) และบางครั้งก็ถูกส่งไปเยือนกรุงคอนสแตนติโนเปิลโดยการทูต หลังจากที่อัตติลาเสียชีวิต โอเรสเตสได้เข้าร่วมรับใช้จักรวรรดิตะวันตก โดยได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้บัญชาการทหารจากจักรพรรดิจูเลียส เนโพส จึงทำให้มีอำนาจในการควบคุมกองทัพเมื่อราว ค.ศ.474

ส่วนมารดาของพระองค์เป็นลูกสาวของเคานท์ โรมุลุส ผู้ปกครองเมืองพาสซัว ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของแคว้นบาวาเรียในประเทศเยอรมนีปัจจุบัน ไม่ปรากฎหลักฐานว่าเอากุสตุลุสมีพี่น้องหรือแต่งงานกับใคร แต่เนื่องด้วยพระองค์เป็นบุตรของชนชั้นสูงที่ถือว่ามีอำนาจสูงสุดของรัฐบาลในช่วงสมัยนั้น จึงอาจกล่าวได้ว่าพระองค์คงได้รับการศึกษาอย่างดีเช่นเดียวกับเด็กชายจากครอบครัวผู้ดีมีสกุลอื่นๆ

ตำแหน่งนายทหารที่ได้รับทำให้โอเรสเตสได้รับการสนับสนุนจากกองกำลังมากกว่าจักรพรรดิของพวกเขาเอง ในช่วงเวลาขณะนั้นกองทหารรักษาการณ์ของอิตาลีเกือบทั้งหมดประกอบไปด้วยทหารรับจ้างชาวเยอรมัน ความรู้สึกจงรักภักดีต่อจักรวรรดิจึงน้อยลงมาก ซึ่งถ้าพวกเขาจะเกิดความจงรักภักดีมันก็จะเกิดจากเพื่อนร่วมชาติที่มีเชื้อสายเดียวกัน ซึ่งนั่นก็อาจหมายถึง โอเรสเตส นายทหารลูกครึ่งโรมัน-เยอรมัน

เหตุการณ์ก่อนการขึ้นครองราชย์ของโรมุลุส เอากุสตุลุส เกิดขึ้นในเดือนกันยายน ค.ศ.474 ซึ่งอยู่ในช่วงรัชสมัยของจักรพรรดิจูเลียส เนโพส ได้มีการแต่งตั้งให้โอเรสเตส บิดาของโรมุลุสขึ้นเป็นผู้บัญชาการทหารที่มีอำนาจสูงสุดในกองทัพโรมัน เมื่อเห็นโอกาสโอเรสเตสจึงได้ทำการก่อรัฐประหาร และประสบความสำเร็จเมื่อโอเรสเตสสามารถควบคุมรัฐบาลที่เมืองราเวนนา (เมืองหลวงของจักรวรรดิโรมันตะวันตก) ไว้ได้ และทำการยึดอำนาจจากจักรพรรดิองค์ก่อนหน้า คือ จักรพรรดิจูเลียส เนโพส ทำให้จักรพรรดิจูเลียสต้องหลบหนีไปยังแคว้นดัลเมเชียและปกครองอยู่ที่นั่นจนกระทั่งสวรรคต หลังจากนั้นโอเรสเตสจึงใช้อำนาจที่มีปูทางขึ้นสู่อำนาจให้แก่ลูกชาย

โอเรสเตสได้กลายเป็นผู้ปกครองโรมันตะวันตกไปโดยปริยาย ถึงแม้ว่าเขาจะไม่มีสิทธิชอบธรรมในการสถาปนาตนเองขึ้นสู่ราชบัลลังก์ก็ตาม แต่กระนั้นโอเรสเตสก็ได้แต่งตั้งลูกชายของตนที่เกิดจากภรรยาชาวโรมันให้ขึ้นเป็นจักรพรรดิแทน เพราะเขาคิดว่าชาวโรมันจะเต็มใจยอมรับลูกชายของเขาผู้ซึ่งมีสายเลือดโรมันในตัวเป็นจักรพรรดิมากกว่าตนเอง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตามโอเรสเตสก็ยังมีความมุ่งมั่นที่จะแต่งตั้งลูกชายของตนขึ้นเป็นจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิโรมันตะวันตก หากแต่การแต่งตั้งดังกล่าวไม่ได้รับการเห็นชอบหรือยอมรับจากจักรพรรดิในจักรวรรดิไบเซนไทน์ (โรมันตะวันออก) คือ เซโนและบาซิลิคุส

หลังจากได้ขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิโรมันตะวันตก พระองค์ทรงได้รับการสถาปนาพระนามว่า โรมุลุส เอากุสตุส ซึ่งประกอบด้วยคำว่า โรมุลุส เป็นชื่อของบุคคลในตำนานการก่อตั้งกรุงโรม กับ เอากุสตุส (ออกัสตัส ทายาทของจูเลียส ซีซาร์ และเป็นผู้สถาปนาจักรวรรดิโรมัน) ซึ่งได้มีการตั้งข้อสังเกตว่าเป็นความบังเอิญที่จักรพรรดิโรมันองค์สุดท้ายจะทรงได้รับพระนามมาจากจักรพรรดิพระองค์แรก อีกทั้งบางคนยังได้ตั้งชื่อเล่นให้พระองค์ใหม่ว่า โมมีลลุส ที่แปลว่า เด็กหน้าไม่อาย และ โรมุลุส เอากุสตุลุส ที่แปลว่า เอากุสตุสน้อย คำกล่าวล้อเลียนนั้นเป็นการแสดงให้เห็นว่าผู้คนที่ยอมรับโรมุลุสในฐานะจักรพรรดิในช่วงเวลานั้นมีไม่มากนัก อีกทั้งยังสะท้อนให้เห็นว่าประชาชนไม่ได้ให้ความเคารพจักรพรรดิเช่นเขา

ตลอดระยะเวลากว่าร้อยปีก่อนที่จักรพรรดิโรมุลุสขึ้นครองราชย์ จักรวรรดิโรมันตะวันตกมีความเสื่อมโทรมเป็นอย่างมาก อำนาจทางการเมืองและดินแดนก็หดหายไปเรื่อย ๆ ขณะที่จักรวรรดิฝั่งตะวันออกที่ต่อมาเรียกว่า จักรวรรดิไบเซนไทน์ กลับยิ่งร่ำรวยและมีอำนาจมากขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องด้วยจักรพรรดิโรมุลุส ทรงมีพระชนมายุแค่ 14 ชันษา พระองค์จึงมิได้ปกครองด้วยตนเอง เพราะอำนาจการบริหารตกไปอยู่กับบิดาของพระองค์ทั้งหมด หรือเรียกอีกอย่างว่า สำเร็จราชการแทน ถึงแม้ว่าจะมีพระนามของพระองค์ปรากฏอยู่บนเหรียญกษาปณ์ของบางเมือง เช่น โรมัน ราเวนนา และมิลาน แต่กลับไม่พบอนุสาวรีย์ที่สร้างขึ้นเพื่อเชิดชูเกียรติพระองค์เลย เนื่องจากพระองค์เพิ่งขึ้นครองราชย์ ขณะเดียวกันอำนาจที่แท้จริงก็ไปตกอยู่กับบิดา นอกจากนี้ยังคงเป็นเพราะเรื่องของภาวะเศรษฐกิจและการเมืองด้วย

ภายในเวลาเพียงแค่สิบเดือนหลังจากที่จักรพรรดิโรมุลุสขึ้นครองราชย์ กบฏทางการทหารที่รุนแรงก็เกิดขึ้น เหตุที่ก่อให้เกิดปัญหาความขัดแย้งนี้ คือ บริเวณส่วนอื่น ๆ ของจักรวรรดิโรมันตะวันตก เจ้าของที่ดินถูกบังคับให้ส่งมอบสมบัติถึงสองในสามของทรัพย์สินที่พวกเขามีให้แก่ชาวเยอรมัน เพื่อเป็นการสร้างสัมพันธมิตรกับชาวเยอรมันภายในจักรวรรดิ อย่างไรก็ตามนโยบายนี้ไม่เคยถูกนำมาใช้กับอิตาลี โอเรสเตสได้ทำสัญญาขึ้นโดยตกลงจะมอบที่ดินให้แก่ทหารชาวเยอรมันหากพวกเขาช่วยขับไล่จักรพรรดิจูเลียส เนโพส เมื่อสามารถขับไล่ได้สำเร็จโอเรสเตสกลับเลือกที่จะลืมข้อตกลงดังกล่าว แต่กองกำลังเยอรมันไม่เต็มใจที่จะปล่อยให้ปัญหาถูกลืม และเรียกร้องต่อผลประโยชน์ที่พวกเขาควรจะได้รับ

ชนเผ่าเยอรมัน 3 เผ่า คือเผ่าเฮรูลี เผ่าตูรซีลิงกิ และเผ่าสกีเรียน รวมตัวกันต่อต้านอำนาจทางการปกครองของจักรพรรดิโรมุลุสและบิดา จนกระทั่งในที่สุดเมื่อเดือนสิงหาคม ค.ศ.​476 กองทัพชนเผ่าเยอรมันภายใต้การนำของโอโดเซอร์ ก็นำกำลังกองทัพเข้าตีฝ่าแนวชายแดนเข้ามาในคาบสมุทรอิตาลี


จักรพรรดิโรมุลุสทรงยอมอ่อนน้อมต่อโอโดเซอร์

ในวันที่ 23 สิงหาคม โอโดเซอร์ได้ตั้งตนเป็นกษัตริย์องค์แรกของอิตาลี และในอีก 5 วันต่อมา โอเรสเตส บิดาของจักรพรรดิโรมุลุส ก็ได้ถูกทหารของโอโดเซอร์เข้าจับกุมและสังหารที่เมืองปิอาเซนซา ทางตอนเหนือของอิตาลี ส่วนจักรพรรดิโรมุลุสหลบหนีไปจากสนามรบ กล่าวกันว่าพระองค์ทรงหลบไปอยู่ที่เมืองราเวนนา

เดือนต่อมา โอโดเซอร์ได้ทำการปลดจักรพรรดิโรมุลุสออกจากตำแหน่ง จึงอาจกล่าวได้ว่าจักรวรรดิโรมันตะวันตกที่ยืนยาวมาเกือบ 500 ปีก็ถึงกาลสิ้นสุดลง

แทนที่โรมุลุสจะถูกประหารเช่นเดียวกับบิดาของเขา แต่โอโดเซอร์เห็นว่าพระองค์ยังเด็กเกินไปที่จะตาย จึงไว้ชีวิตแล้วให้ไปอยู่ที่ปราสาทลูคูลลูสในเมืองกัมพาเนีย ทางตอนใต้ของอิตาลี พร้อมทั้งให้เงินเป็นค่าใช้จ่ายปีละ 6000 เหรียญทองตลอดไป

หลังการประหารโอเรสเตสบิดา ของจักรพรรดิโรมุลุสและปลดเอากุสตุสซึ่งก็คือจักรพรรดิองค์สุดท้ายออกจากตำแหน่ง บรรดาพระราชลัญจกร และราชภัณฑ์ต่าง ๆ ในราชสำนักก็ได้ถูกส่งไปให้จักรพรรดิเซโนแห่งจักรวรรดิโรมันตะวันออก

ในขณะเดียวกันนั้นจักรวรรดิโรมันตะวันออกนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 474 ซึ่งถูกปกครองโดยจักรพรรดิเซโน (Flavius Zeno) ได้รับความเดือดร้อนเมื่อทราบว่าโอโดเซอร์จากเผ่าเยอรมันโจมตีกรุงโรม และปลดจักรพรรดิองค์สุดท้ายแห่งฝั่งตะวันตก คือ จักรพรรดิโรมุลุส ออกุสตุส ออกจากบัลลังก์ ทำให้จักรพรรดิฝั่งตะวันออกต้องส่งพระเจ้าธีโอโดริค แห่งชาวออสโตรกอท (Ostrogoths) มายึดกรุงโรมคืน ต่อมาสี่ปีภายหลังแห่งสมรภูมิรบ ผู้นำทั้งสอง คือ โอโดเซอร์และพระเจ้าธีโอดอริคจึงได้มีการตกลงที่จะพักรบชั่วคราวและทำข้อตกลงในการแบ่งเขตการปกครองอิตาลี แต่การแบ่งเขตอำนาจนั้นก็ไม่ประสบผลสำเร็จ เมื่อพระเจ้าธีโอดอริคได้สังหารโอโดเซอร์ และกองกำลังของพระเจ้าธีโอดอริคยังสังหารวงศาคณาญาติของโอโดเซอร์ทั้งหมด เนื่องจากต้องการตัดทอนกองกำลังของโอโดเซอร์ ต่อมาแม้ว่าจักรพรรดิโรมันตะวันออกต้องการส่งพระเจ้าธีโอดอริคไปต่อสู้เพื่อยึดกรุงโรมคืนจากโอโดเซอร์ หากแต่พระเจ้าธีโอดอริคกลับตั้งอาณาจักรในอิตาลีเสียเอง

พระเจ้าธีโอดอริคสถาปนาตนเองขึ้นเป็นพระราชาของอิตาลี ไม่ใช่จักรพรรดิของจักรวรรดิโรม ตระกูลของจักรพรรดิทางฝั่งจักรวรรดิโรมันตะวันตกจึงถือว่าสิ้นสุดลง และตกอยู่ภายใต้การปกครองของชาวเยอรมัน จึงถือได้ว่าเหตุการณ์นี้เป็นการสิ้นสุดการปกครองของจักรพรรดิในจักรวรรดิโรมันตะวันตกหรือเป็นการสิ้นสุดของจักรวรรดิโรมันตะวันตกโดยสมบูรณ์ ส่วนจักรวรรดิโรมันตะวันออกยังคงปกครองกรีซ เอเชียไมเนอร์ ซีเรีย ปาเลสไตน์ และอียิปต์ เป็นที่รู้จักกันในนามของจักรวรรดิไบเซนไทน์ จึงถือว่าอาณาจักรโรมันที่มีอิทธิพลมากที่สุดในโลกซึ่งมีอายุยาวนานกว่า 500 ปี ถึงคราวสิ้นสุด

จากการศึกษาประวัติของจักรพรรดิโรมุลุส เอากุสตุลุส แสดงให้เห็นว่าบุตรจะดีหรือเลวนั้นขึ้นอยู่กับการขัดเกลาทางสังคมจากสถาบันครอบครอบเป็นสำคัญ นอกจากนี้ยังสะท้อนให้เห็นถึงผลกระทบของอำนาจ ที่เมื่อผู้ใดครอบครองก็มักจะเกิดความเห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ และกระหายที่จะมีอย่างไม่สิ้นสุด เป็นสิ่งอันตรายที่มักจะนำภัยมาสู่ตนเอง เช่นเดียวกับจุดจบที่โอเรสเตสต้องพบเจอ
         

อ้างอิง  

ไม่ปรากฏชื่อผู้แต่ง. 2558. Life of the Week: Romulus Augustus, สืบค้นเมื่อ 28 กันยายน ปี 2561, จาก : https://www.historyextra.com/period/roman/life-of-the-week-romulus-augustus/

ชัยจักร ทวยุทธานนท์. 2017. โรมุลุส เอากุสตุลุส : จักรพรรดิโรมันองค์สุดท้าย. ออนไลน์. สืบค้นเมื่อ 1 กันยายน ปี 2561, จาก :  http://www.gypzyworld.com/article/view/447

ไม่ปรากฏชื่อผู้แต่ง. 2551. ประวัติศาสตร์ยุโรปเพิ่มเติม (โรมุลุส), สืบค้นเมื่อ 28 กันยายน ปี 2561, จาก : https://writer.dek-d.com/12455/story/viewlongc.php?id=399957&chapter=41

 ไม่ปรากฏชื่อผู้แต่ง. 2559. Romulus Augustus – The Last Emperor of Rome, สืบค้นเมื่อ 24 ธันวาคม ปี 2561, จาก : http://www.italiantribune.com/romulus-augustus-the-last-emperor-of-rome/
     
อ่านเพิ่มเติม »

โกลด มอแน (Claude Monet) ศิลปินแห่งลัทธิความประทับใจ

โดย อนัญญา กุลไธสง

โกลด มอแน เป็นหนึ่งในศิลปินคนสำคัญของฝรั่งเศสในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 ถึง 20  และยังเป็นหนึ่งในศิลปินผู้ร่วมก่อตั้งศิลปะลัทธิความประทับใจหรืออิมเพรสชันนิสม์ (Impressionism) ผู้เป็นแรงขับเคลื่อนในการสร้างผลงานศิลปะในรูปแบบใหม่โดยไม่จำเป็นที่จะต้องสร้างผลงานให้ออกมาเสมือนตามที่ตาเห็นและตามแบบฉบับของคนทั่วไปนิยมกัน แต่เน้นความรู้สึกที่เกิดจากความประทับใจครั้งแรกในสิ่งที่เห็นของตัวศิลปิน
                       

 ภาพเขียนสีน้ำมันมอแน

โกลด มอแน  (Claude Monet) หรือ อ็อสการ์ โกลด มอแน เป็นศิลปินชาวฝรั่งเศส เกิด ณ กรุงปารีส เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม ค.ศ. 1840 เมื่ออายุได้ 5 ปีได้ย้ายตามครอบครัวไปอาศัยที่เมืองเลออาฟวร์ แคว้นนอร์มังดี ทางตอนเหนือของประเทศฝรั่งเศส โดยมอแนเป็นบุตรชายคนที่สองของนายโกลด อาดอลฟ์ และนางลุย จุสตีน โอเบร ครอบครัวของมอแนประกอบอาชีพร้านขายของชำและอุปกรณ์เรือ โดยพ่อของเขามีความต้องการที่จะให้ลูกชายมาช่วยดูแลกิจการของครอบครัวต่อ หากแต่ความปรารถนาของมอแนนั้นคือการเป็นศิลปิน โดยมีแม่ที่เป็นอดีตนักร้องเก่าเข้าใจในความปรารถนาของเขาและให้การสนับสนุนความฝันในการเป็นศิลปินของมอแน มาตลอด

มอแนนั้นมีความสนใจในด้านศิลปะมาตั้งแต่เด็ก เขาได้ให้ความสำคัญและทุ่มเทให้กับงานศิลปะมากกว่าการศึกษา ซึ่งในปี ค.ศ.1851 มอแนได้เข้าศึกษาในโรงเรียนศิลปะที่เมืองเลออาฟวร์  ขณะที่อาจารย์กำลังสอนหนังสือ เขากลับใช้ช่วงเวลาดังกล่าววาดรูปการ์ตูนล้อเลียนอาจารย์ผู้สอน โดยใช้ถ่านไม้ในการสร้างภาพเขียนการ์ตูนล้อเลียน ทำให้มอแนเป็นที่รู้จักและสร้างรายได้ให้กับเขาจากการขายภาพล้อเลียนได้ราวๆ 20 ถึง 30 ฟรังก์

ต่อมามอแนได้มีโอกาสเรียนรู้เทคนิคการการวาดภาพกับศิลปินที่มีชื่อเสียงหลายคนเช่น ณาร์ค ฟรองซัวโอชาร์ด ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของ ณาร์ค หลุยเดวิด ศิลปินผู้มีชื่อเสียงมากที่สุดคนหนึ่งในประเทศฝรั่งเศส จนกระทั่งในปี 1856 ได้เรียนเทคนิคการวาดภาพโดยใช้สีน้ำมันและเทคนิคการเขียนภาพ “กลางแจ้ง” จาก ยูจีน บูแดง ผู้เป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญในการเขียนภาพภูมิทัศน์กลางแจ้งเพียงไม่กี่คนที่ใช้เทคนิคการเขียนภาพกลางแจ้ง ทำให้มอแนหลงใหลในการเขียนภาพภูมิทัศน์กลางแจ้งเป็นอย่างมาก

จุดเปลี่ยนที่ทำให้โมเนต์เริ่มหันมาใช้เทคนิคการวาดภาพที่แตกต่างจากศิลปินคนอื่นในยุคเดียวกัน คือ ความไม่มีอิสระในการออกแบบผลงาน ดังเช่นที่ศิลปินคนอื่นๆ ในยุคเดียวกันที่นิยมวาดภาพในห้องสตูดิโอและมักจะวาดภาพให้ออกมาเสมือนจริงตามที่ตาเห็น นอกจากนี้ยังมีการใช้สีที่ทึบระบายลงไปในผลงาน ซึ่งมอแนคิดว่ามันเป็นการจำกัดกรอบความคิดมากเกินไป ด้วยเหตุนี้จึงทำให้มอแนหาแรงบันดาลใจใหม่ๆ ในการสร้างผลงานศิลปะ เขาได้ไปยังพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์เพื่อหาแนวทางในการเขียนภาพของเขา เมื่อโมเนต์ไปชมผลงานภายในพิพิธภัณฑ์ มอแนพบว่าภาพวาดส่วนมากที่ศิลปินเอามาแสดงผลงานนั้น มีการลอกเลียนผลงานภาพวาดจากครูสมัยเก่า ซึ่งเขาไม่เห็นด้วยที่จะสร้างผลงานศิลปะด้วยวิธีการลอกเลียนผลงานของคนอื่น อีกทั้งมอแนยังไม่ชอบเกี่ยวกับทฤษฎีการวาดภาพที่ทางมหาวิทยาลัยสอน

ต่อมาในปี 1862 มอแนจึงได้ย้ายเข้ามาศึกษาศิลปะต่อในโรงเรียนของ ชาร์ล เกรย์ ทำให้เขาได้พบกับ ออกุสต์ เรอนัวร์ เฟรเดริก บาซีย์ และอัลเฟรด ซิสลีย์ ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่มีแนวคิดในการสร้างผลงานศิลปะที่เหมือนกันนั้นคือ การเน้น แสง สี อารมณ์และความรู้สึกในขณะนั้น อีกทั้งมีการใช้แปรงที่หยาบในการวาดภาพเหมือนกัน ทำให้กลายเป็นทั้งเพื่อนและผู้ร่วมก่อตั้งศิลปะลัทธิอิมเพรสชันนิสม์ร่วมกันในเวลาต่อมา

ภาพวาดของมอแนจึงมักจะเกิดจากความประทับใจในสิ่งที่ตนเองเห็นในครั้งแรก และไม่เน้นให้ภาพที่วาดออกมาเสมือนจริงตามที่ตาเห็น แต่จะคำนึงถึงการใช้สีเพื่อแสดงให้เห็นถึงแสงที่เปลี่ยนไปในแต่ละช่วงเวลาที่แตกต่างกัน จากมุมมองต่างๆ และใช้แปรงที่หยาบตะหวัดสีเข้มๆ ทับกันหลายๆครั้ง  โดยมากภาพวาดของมอแนมักเป็นภาพเขียนกลางแจ้งที่เน้นทิวทัศน์และบรรยากาศต่างๆ ที่มอแนได้พบเห็น

ในปลายปี 1871 มอแนและครอบครัวได้ย้ายมาอยู่ที่เมือง อาร์ฌ็องเตย หลังจากสงครามระหว่างฝรั่งเศสและปรัสเซีย และได้ตั้งกลุ่ม Anonymous Society of  Painter , Sculptors และ Engravers กับศิลปินรุ่นใหม่หลายคน เช่น ปีแยร์ โอกุสต์ เรอนัวร์ ,อัลเฟรด ซิสเลย์,กามีย์ ปีซาโร และ เอดัวร์ มาเนต์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงผลงานศิลปะได้อย่างเป็นอิสระเสรี

ต่อมาในปี 1894  เป็นปีแรกที่กลุ่มศิลปินรุ่นใหม่จัดนิทรรศการแสดงศิลปะขึ้นมา ซึ่งมอแนได้ส่งภาพ  “Impression, Sunrise” (ความประทับใจของพระอาทิตย์ขึ้น) ซึ่งเป็นภาพเกี่ยวกับภาพบรรยากาศที่ท่าเรือท่ามกลางสายหมอกในยามเช้า ณ เมืองเลออาฟวร์  โดยภาพนี้ถูกวาดขึ้นในปี 1872  ได้เป็นที่มาของชื่อกลุ่มลัทธิของศิลปินรุ่นใหม่ นั้นคือ ลัทธิแห่งความประทับใจหรืออิมเพรสชันนิสม์นั้นเอง

ตลอดช่วงชีวิตการเป็นศิลปินของมอแน ได้สร้างผลงานภาพวาดศิลปะไว้มากกว่า 2,500 ภาพ ซึ่งยังไม่รวมภาพที่ถูกเขาทำลายไปเพราะยังไม่เป็นที่พอใจในผลงานของตัวเอง ซึ่งผลงานที่สำคัญของมอแน ได้แก่ ภาพ "ผู้หญิงในสวน" ในปี 1867 มอแนได้ใช้เทคนิคการวาดภาพโดยเน้นให้เห็นแสงแดดที่ส่องลงมายังสวนดอกไม้  และพยายามแสดงให้เห็นถึงเปลวแสงแดดที่ส่องประกายกระทบกับเสื้อของหญิงสาวที่อยู่ภายในสวน
                  

ภาพ“ผู้หญิงในสวน”  ในปีค.ศ. 1867

ภาพ “พอพพลาบนฝั่งแม่น้ำเอฟ” ในปี 1900 เป็นภาพวาดที่บรรยายบรรยากาศชนบทของประเทศฝรั่งเศส ซึ่งมอแนใช้เทคนิค การเล่นแสงและสีในช่วงเวลาที่ต่างกันออกไปในสถานที่เดิมเพื่อแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างและการเปลี่ยนแปลงของแสงและฤดูกาลที่ผ่านมา และภาพที่มีชื่อเสียงและมีความนิยมมากที่สุดของมอแน คือ ภาพ “บัวน้ำ” ในปี 1916 มอแนได้เน้นให้เห็นถึง แสง สี น้ำและบัวที่อยู่ในสระ เมื่อโดนแสงอาทิตย์ที่ส่องลงมาในแต่ละฤดูกาล แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของแสงแดดที่ส่องลงมายังสระบัว  นอกจากนี้ยังมีผลงานอื่นๆ อีกมายมาย  เช่น ภาพวาดบนฝั่งแม่น้ำเซน, เบเนคอรท์, ภาพวาดหน้าผาที่เอทเทรทาท์ และ ภาพวาดลุ่มแม่น้ำเซนกับอาร์ฌ็องเตย
             

ภาพ“บัวน้ำ” ในปี ค.ศ. 1916

ในบั้นปลายชีวิตของมอแนเขาเป็นศิลปินที่ได้กลายเป็นศิลปินที่ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายในประเทศฝรั่งเศสและมีฐานะร่ำรวยมากขึ้นจากการขายภาพวาด นอกจากนี้มอแนยังได้ผ่านเหตุการณ์ครั้งสำคัญของโลกนั้นคือ สงครามโลกครั้งโลกครั้งที่ 2  เขาได้วาดภาพ “วิลโลร้องไห้ (Weeping Willow)” ขึ้นเพื่อไว้อาลัยแก่ทหารชาวฝรั่งเศสที่เสียชีวิตจากสงครามโลก  ต่อมามอแนเป็นต้อกระจกส่งผลทำให้ผลงานในช่วงหลังๆของเขามักจะมีสีโทนแดง ซึ่งเกิดจากการมองเห็นสีที่ผิดไปจากเดิมจากการผ่าตัดตา และมอแนเสียชีวิตในปี 1926 ด้วยโรคมะเร็งปอด ขณะที่อายุได้ 86 ปี
                                         

Claude Monet - Weeping Willow (วิลโล่ร้องไห้) (1918)

จะถือได้ว่ามอแนก็เป็นอีกหนึ่งในศิลปินที่มีความสำคัญคนหนึ่งของโลกผู้เป็นแรงขับเคลื่อนในการสร้างสรรผลงานศิลปะแบบใหม่ขึ้นมาจนทำให้เกิดศิลปะแสงสีแห่งความประทับใจหรืออิมเพรสชั่นนิสต์ ที่เน้นการใช้สีเพื่อแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของแสงในแต่ละช่วงเวลา นอกจากนี้ยังเป็นแรงกระตุ้นให้กลุ่มศิลปินรุ่นใหม่ๆ มีการสร้างสรรค์ผลงานให้มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้นจนนำไปสู่ศิลปะในแบบต่างๆ เช่น ศิลปะนามธรรรม และป๊อบอาร์ต ในช่วงเวลาต่อมา


อ้างอิง

โกลด มอแน (Claude Monet). (2561). ค้นข้อมูล 15กันยายน2561, จาก
https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=klongrongmoo&month=24-01-2018&group=29&gblog=16

โกลด มอแน ศิลปินอิมเพรสชั่นนิสต์ผู้โด่งดังเจ้าของภาพเขียนสุดประทับใจตลอดกาล. (2561). ค้นข้อมูล 15กันยายน2561, จาก https://www.takieng.com/stories/8659

มอแน (Monet) ชื่อนี้ สะเทือนวงการศิลปินวาดภาพสีน้ำมัน. (2559). ค้นข้อมูล 15กันยายน2561, จาก https://www.takieng.com/stories/8659

Claude Monet. (2017). ค้นข้อมูล 15กันยายน2561, จาก https://www.greatstarsartshow.com/art/3910

Impressionism ศิลปะอิมเพรสชันนิสม์. (2011). ค้นข้อมูล 15กันยายน2561, จาก https://aunart.wordpress.com/2011/09/21/impressionism/

อ่านเพิ่มเติม »

นโปเลียน โบนาปาร์ต (Napoleon Bonaparte) มหากษัตริย์แห่งฝรั่งเศสผู้ขยายอำนาจไปทั่วยุโรป

โดย  ธินิดา ห้วยจันทร์

ผู้มีชัยชนะในเกือบทุกสมรภูมิรบ...มีกลยุทธที่ไม่เหมือนใคร...แม้บางครั้งที่มีกองกำลังทหารน้อยกว่าข้าศึก แต่ก็ยังได้คงรับชัยชนะ จนได้ครอบครองแผ่นดินส่วนใหญ่ในทวีปยุโรป...ความอัจฉริยภาพในการทำสงครามนี้ ทำให้เขาเป็นที่รู้จักและจดจำในนาม จักรพรรดิ นโปเลียนที่ 1 หรือ นโปเลียน โบนาปาร์ตแห่งฝรั่งเศส


napoleon bonaparte
ที่มา : https://www.thoughtco.com/

นโปเลียน โบนาปาร์ต (Napoleon Bonaparte) หรือ นโปเลียนมหาราช เกิดเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม ค.ศ.1769 ณ เมืองอาฌัคซีโอ หรือ อายาชโช (ในภาษาอิตาลี) บนเกาะคอร์ซิกา ซึ่งเป็นเวลาเพียง 1 ปี ภายหลังจากที่ฝรั่งเศสได้ครอบครองเกาะนี้จากสาธารณรัฐเจนัวใน ค.ศ. 1768 ครอบครัวของเขาเป็นหนึ่งในตระกูลผู้ดีจำนวนน้อยนิดบนเกาะคอร์ซิก้า บิดาของเขาชื่อ ชาร์ลส์ มาเรีย โบนาปาร์ตหรือ คาร์โล มาเรีย บัวนาปาร์เต (สำเนียงอิตาลี) นโปเลียนถูกมองว่าไม่ใช่ชาวฝรั่งเศสโดยแท้ เมื่อเยาว์วัยได้ย้ายเข้าไปรับการศึกษาวิชาทางทหาร ที่โรงเรียนนายร้อยทหาร กรุงปารีส และได้เข้าร่วมกองพลปืนใหญ่ ภายใต้กองกำลังของลาแฟร์ ทำให้ในปี 1787 เขาได้รับแต่งตั้งให้เป็นร้อยตรี นโปเลียนเป็นคนที่มีความถนัดในการใช้สติปัญญามากกว่าทางใช้กำลัง

ต่อมาเกิดการปฏิวัติฝรั่งเศสขึ้นในปี 1789 นโปเลียนได้เดินทางกลับไปปฏิบัติหน้าที่ที่เกาะคอร์ซิกา ในตำแหน่งพันโทและได้ต่อสู้กับขบวนการกู้ชาติคอร์ซิกา โดยมี ปาสกาล ดิเพาลี เป็นหัวหน้ากองทัพ ผลปรากฏว่ากองทัพฝั่งของนโปเลียนเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ จึงเป็นเหตุให้ครอบครัวโบนาปาร์ตต้องอพยพออกจากเกาะคอร์ซิกาไปอาศัยอยู่ในฝรั่งเศสกลายเป็นโอกาสที่ทำให้นโปเลียนได้เข้าร่วมกับขบวนการปฏิวัติ


ภาพเหตุการณ์การปราบปรามการก่อความไม่สงบในกรุงปารีส

เมื่อหลังการปฏิวัติใหญ่ในประเทศฝรั่งเศส ในยุคที่ฝรั่งเศสกำลังระส่ำระสาย และถูกข้าศึกรุมล้อมรอบด้าน นโปเลียนได้รับมอบหมายให้ยกกองทหารไปตีเมืองตูลอง (Toulon) ซึ่งอังกฤษยึดได้ ในปี 1793 ผลสุดท้ายคือนโปเลียนสามารถยึดเมืองตูลองคืนกลับมา ถือเป็นความดีความชอบ ส่งผลให้ได้รับการแต่งตั้งเป็นนายพลปืนใหญ่ในเวลาต่อมา

ในปี 1795 ปอล บาร์ราส์ ผู้บัญชาการรักษาความสงบแห่งชาติของฝรั่งเศสในขณะนั้น ได้สั่งการให้นโปเลียนผู้ที่มีผลงานดีเด่นจากชัยชนะที่ตูลอง กลับมาปราบปรามกลุ่มผู้สนับสนุนราชวงศ์ที่ลุกฮือขึ้นมาต่อต้านสมัชชาแห่งชาติของฝรั่งเศส วิธีการของนโปเลียนคือการนำปืนใหญ่มาใช้เพื่อให้เกิดความเด็ดขาดและรุนแรงทำให้ยุติการก่อความไม่สงบได้ทันที มีผลให้ชื่อเสียงของนโปเลียนเป็นที่นิยมอย่างมากในกลุ่มประชาชน 

ในช่วงเวลานี้เอง บาร์ราส์ก็ได้แนะนำให้เขารู้จักกับ “โจเซฟิน โบฮาร์เนส” หญิงหม้ายวัย 33 ปี ซึ่งมีลูกติด 2 คน และมีอายุมากว่านโปเลียนถึง 6 ปี นโปเลียนได้ตกหลุมรักโจเซฟินตั้งแต่ครั้งแรกที่พบเห็น ต่อมาในค.ศ. 1796 นโปเลียนจึงได้แต่งงานกับโจเซฟิน เนื่องจากโจเซฟิน เป็นหญิงสาวที่อยู่ในสังคมชั้นสูงและได้รู้จักกับบุคคลในทางการเมืองเป็นจำนวนมาก จึงทำให้นโปเลียนมีความก้าวหน้าในหน้าที่ราชการเร็วยิ่งขึ้น

ผลของการปราบปรามกลุ่มก่อความไม่สงบในครั้งก่อนทำให้นโปเลียนได้รับการขนานนามว่าเป็นวีรบุรุษและได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งแม่ทัพแห่งกองกำลังอิตาลี ในเดือนมีนาคม ค.ศ.1796 (หลังจากแต่งงานกับโจเซฟินได้ไม่นาน) เพื่อยึดอิตาลีกลับคืนมาจากออสเตรีย 

การทำสงครามของนโปเลียนในขณะนั้น กองกำลังของเขาได้ประสบกับปัญหามากมายทั้งเรื่องของอาวุธที่ไม่เพียงพอและเสบียงอาหารมีน้อย ทำให้ต้องอดมื้อกินมื้อแต่ด้วยการที่ทหารและตัวของนโปเลียนถูกฝึกฝนมาเป็นอย่างดี ทำให้การรบกับอิตาลีในครั้งนี้ ได้รับชัยชนะในที่สุด และนโปเลียนก็ยังสามารถทำให้อิตาลียอมทำสนธิสัญญาสงบศึก ที่เสียเปรียบต่อฝรั่งเศสได้นั่นก็คือสนธิสัญญา “กัมโป-ฟอร์มิโอ”  ว่าด้วยเรื่องการให้ฝรั่งเศสเข้าครอบครองเบลเยียม และยึดพรมแดนไปติดแม่น้ำไรน์ ส่วนออสเตรียได้ถือครองแคว้นเวเนเซีย (มหาราชผู้ครองโลก.2554:270)

ในปี 1798 สมัชชาแห่งชาติฝรั่งเศส ได้มีความกังวลต่อกระแสความนิยมที่ประชาชนมีต่อนโปเลียนเพิ่มสูงขึ้น จึงได้บัญชาให้นโปเลียนนำทัพเข้าบุกอียิปต์โดยอ้างว่าฝรั่งเศสต้องการเข้าครอบครองดินแดนตะวันออกใกล้และตะวันออกกลางเพื่อตัดเส้นทางลำเลียงของอังกฤษไปยังอินเดีย ในช่วงเวลานั้นถือว่าประเทศอังกฤษกับฝรั่งเศสเป็นศัตรูกัน เพราะอังกฤษถือเป็นประเทศที่มีอำนาจและมีเครื่องมือในการรบที่เหนือกว่าฝรั่งเศสก็ว่าได้ (นโปเลียนเคยคิดจะทำสงครามเพื่อยึดอังกฤษอยู่หลายครั้งแต่ไม่เป็นผลสำเร็จ) สุดท้ายนโปเลียนก็ยึดอียิปต์มาเป็นของฝรั่งเศสได้ เมื่อยึดอียิปต์ได้นโปเลียนก็ไม่ได้เดินทางกลับปารีสโดยทันที แต่ยังคงอยู่ปกครองที่อียิปต์ต่อ

มาในปี 1799 นโปเลียนได้ทราบข่าวความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในฝรั่งเศส ทำให้นโปเลียนตัดสินใจเดินทางกลับไปยึดอำนาจในฝรั่งเศสทันทีโดยการล้มรัฐบาล ไดเรคทอรี่ ในขณะนั้น และได้เปลี่ยนแปลงการปกครอง มาเป็นระบอบกงสุล นโปเลียนได้แต่งตั้งตนเองเป็นกงสุลที่ 1 ปกครองประเทศร่วมกับกงสุลอีก 2 คน คือ โรเจอร์ ดูโกส์ และ ซีแยส์

ใน ค.ศ. 1802 มีการวางแผนล้มอำนาจของนโปเลียนจากกลุ่มนิยมกษัตริย์ โดยคนกลุ่มนี้ได้ร่วมมือกับอังกฤษบุกเข้ามาในปารีสแต่ผลสุดท้ายก็กระทำการไม่สำเร็จ เพื่อไม่ให้ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก นโปเลียนจึงใช้เหตุผลนี้เป็นข้ออ้างในการจัดตั้งจักรวรรดิขึ้นในฝรั่งเศส เพื่อให้กลุ่มนิยมกษัตริย์เหล่านี้หมดโอกาสขึ้นมามีอำนาจอีกครั้ง สองปีต่อจากนั้น สภานิติบัญญัติจึงได้มีมติเห็นชอบ มีผลให้สาธารรัฐฝรั่งเศสที่ 1 เปลี่ยนมาเป็นจักรวรรดิฝรั่งเศส และนโปเลียนก็ได้เปลี่ยนสถานภาพของตนมาเป็นจักรพรรดินโปเลียนที่ 1



ในเดือน ธันวาคม ค.ศ. 1804 สันตะปาปาไพอัสที่7 เสด็จไปกรุงปารีสเพื่อทำพิธีราชาภิเษกอย่างเป็นทางการเพื่อเปลี่ยนสถานภาพให้นโปเลียนและโจเซฟิน (จักรพรรดิและราชินี) จากเดิมที่พระสันตะปาปาจะเป็นคนที่สวมมงกุฎให้กษัตริย์ แต่ปรากฏว่า นโปเลียนทรงรับมงกุฎจากสันตะปาปามาสวมด้วยพระหัตถ์ของพระองศ์เองทำให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า นโปเลียนให้ความสำคัญของศาสนจักรลดน้อยลง

ในยุคจักรพรรดินโปเลียน ได้ทำสงครามกับดินแดนต่างๆ มากมายจนสามารถเข้าปกครองดินแดนส่วนใหญ่ของยุโรปได้ แล้วแต่งตั้งให้แม่ทัพและญาติพี่น้องของตนขึ้นครองบัลลังก์ในราชอาณาจักรยุโรปหลายแห่ง ประเทศอื่นเมื่อเห็นว่า นโปเลียนได้ครอบครองหลายประเทศ ก็เกิดความต้องการที่จะหยุดยั้งอำนาจของนโปเลียน ทำให้ในประเทศที่มีอำนาจได้ร่วมมือกัน (เกิดเป็นฝ่ายพันธมิตร) และเข้าบุกกรุงปารีสในเวลาต่อมา ใน ค.ศ. 1814 ประเทศที่เป็นฝ่ายพันธมิตรของฝรั่งเข้ายึดครองกรุงปารีสได้สำเร็จ ผลของการแพ้สงครามในครั้งนี้ทำให้ นโปเลียนถูกบังคับให้สละราชบัลลังก์ที่พระราชวังฟ่อนเทนโบ

เมื่อสละราชบัลลังก์ได้ไม่นานนโปเลียนก็ถูกเนรเทศไปอยู่ที่เกาะเอลบา (ELBA) ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน พร้อมทหารรักษาพระองศ์ ก่อนจะหวนคืนสู่อำนาจอีกครั้ง แต่อยู่ได้ไม่นานก็พ่ายแพ้ในสงครามอีกครั้ง สงครามสุดท้ายของนโปเลียนก็คือ “สงครามวอเตอร์ลู” เป็นที่รู้จักกันในนามของสมัยร้อยวันแห่งการกลับคืนสู่อำนาจของนโปเลียน (Hundred Days) สุดท้ายนโปเลียนก็ถูกเนรเทศไปอยู่ที่เกาะเซนต์ เฮเลนนา (Saint Helena) และได้สิ้นพระชนม์ด้วยโรคแผลในกระเพาะอาหาร เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม ค.ศ. 1821

จากบุคคลธรรมดา ที่เกิดอยู่ภายในเกาะเล็กๆแห่งหนึ่งของฝรั่งเศส สู่การเป็นจักรพรรดิที่ยิ่งใหญ่และได้ปกครองยุโรปเกือบทั้งหมด ทำให้วีรประวัติที่พระองค์ทรงปฏิบัติมาตลอด รัชสมัยนั้นได้รับการสรรเสริญและยกย่องให้พระองค์ เป็นมหาราช ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกตะวันตกในเวลาต่อมา

นโปเลียนมหาราช ได้รับการยกย่องว่าเป็นแม่ทัพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์แม้ด้านหนึ่งจะได้ชื่อว่าทรงเป็นผู้ที่กระหายในอำนาจและ ชัยชนะ แต่นโปเลียนก็เป็นที่ยอมรับว่าในสมัยของพระองค์ พระองค์ได้ทรงทำให้ประเทศฝรั่งเป็นประเทศที่มีอำนาจอย่างมาก และเป็นที่เกรงกลัวของประเทศอื่นๆ นอกจากการขยายอำนาจของพระองค์แล้ว พระองค์ก็ยังได้สร้างรัฐธรรมนูญและปฏิรูประบบกฎหมายฝรั่งเศสขึ้นอย่างเป็นระบบ ให้การอุปถัมภ์ทางด้านการศึกษา วิทยาศาสตร์ ศิลปะและวรรณคดี...นโปเลียนเคยกล่าวไว้ว่า

“I love power. But it is as an artist that I love it. I love it as a musician loves his violin, to draw out its sounds and chords and harmonies.” (ฉันรักอำนาจ แต่รักแบบที่ศิลปินรักดนตรี รักแบบที่นักดนตรีรักไวโอลิน)


อ้างอิง 

ปัญญา วิวัฒนานันต์.มหาราชผู้ครองโลก.พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพฯ : ยิปซี สำนักหิมพ์,2554
 
สิริ เปรมจิตต์.นโปเลียนมหาราช.พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพฯ :โรงพิมพ์เฟื่องอักษร,2509

เอี่ยม ฉายางาม.ประวัติศาสตร์ฝรั่งเศส ค.ศ 1789-1884.พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพาณิช, 2523

NapoleonBonaparteQuotes.[ออนไลน์]. เข้าถึงเมื่อ 20 กันยายน 2561, จาก: https://www.brainyquote.com/quotes/napoleon_bonaparte_15018
อ่านเพิ่มเติม »

ฮานนิบาล (Hannibal)

โดย ธัญลักษณ์ ทองปลิว

ในบรรดาแม่ทัพที่ทำสงครามได้น่าโจษจันท์มากที่สุด ต้องนึกถึง ฮานนิบาล บาร์กา (Hannibal Barca) แม่ทัพผู้เกรียงไกรที่สุดในประวัติศาสตร์คาร์เธจที่ทำสงครามกับชาวโรมันอย่างดุเดือด โดยเฉพาะแผนการรบที่คาดไม่ถึง จนทำให้ทัพโรมันพ่ายแพ้ไปในสงคามปูนิค (Punic) ครั้งที่ 2 จนเป็นที่กล่าวถึงมาถึงทุกวันนี้



อาณาจักรคาร์เธจ (Carthago) เป็นดินแดนที่อยู่ในแถบแอฟริกาเหนือ และยังเป็นอาณาจักรที่ร่ำรวยมั่งคั่ง ประชากรส่วนใหญ่นิยมทำการค้า ทำให้คาร์เธจเจริญรุ่งเรืองและขยายอาณาเขตบนแอฟริกาเหนือและเกิดการกระทบกระทั่งกับชาวโรมันที่ตั้งอาณาจักรบนคามสมุทรอิตาลี โดยทั้งสองอาณาจักรต่างก็ต้องการที่จะครอบครองผลประโยชน์ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนจนทำให้กลายเป็นข้อขัดแย้งและนำไปสู่สงครามในที่สุด

ฮานนิบาล บาร์กา (Hannibal Barca) เกิดที่สเปน เมื่อ 247 ปี ก่อนคริสต์ศักราช เป็นบุตรคนโตของ ฮามิลคาร์ บาร์กา (Hamilcar Barca) ซึ่งเป็นแม่ทัพใหญ่ของคาร์เธจในยุคนั้น  ฮามิลคาร์มีบุตรและธิดาทั้งสิ้น  5 คน เป็นหญิงหนึ่งคน แต่งงานกับคนสำคัญผู้หนึ่งนามว่า ฮาสดรูบาล  (Hasdrubal) ส่วนบุตรชายนั้นได้แก่ ฮานนิบาล รองลงมาคือ ฮาสดรูบาล (บังเอิญชื่อเหมือนพี่เขย) ตามด้วย มาโกและฮานโน  (Hanno)

ฮามิลคาร์ ผู้เป็นบิดาได้เดินทัพออกจากกรุงคาร์เธจในปี 237 ปี ก่อนคริสต์ศักราช ฮานนิบาลซึ่งตอนนั้นอายุ 9 ขวบ รบเร้าขอไปด้วย ฮามิลคาร์จึงตกลงจะพาไป และได้สาบานต่อหน้าเทพเจ้าว่า ตลอดชีวิตของฮานนิบาลจะต้องถือตนเป็นศัตรูกับกรุงโรมเสมอไป จะต้องพยายามแก้เผ็ดแทนกรุงคาร์เธจให้ได้

หลังจากนั้นฮานนิบาลได้มีโอกาสศึกษาวิชาทหารกับบิดาอย่างใกล้ชิดเป็นเวลา 9 ปีในระหว่างที่อยู่สเปน เมื่อฮามิลคาร์เสียชีวิต ฮัสดรูบาลซึ่งเป็นบุตรเขยก็ขึ้นเป็นแม่ทัพของคาร์เธจ โดยฮัสครูบาลสามารถสร้างกองทัพคาร์เธจใหม่ได้สำเร็จ แต่ไม่นาน เขาก็เสียชีวิตลงเพราะถูกชนพื้นเมืองชาวเคลท์ลอบสังหาร ฮันนิบาลจึงเดินทางไปสเปญ และได้ขึ้นเป็นแม่ทัพคนใหม่ทันที

ตั้งแต่ฮันนิบาลมีอายุพอที่จะออกรบได้ ทหารต่างพากันตื่นเต้นและรักใคร่ในตัวฮันนิบาลกันไปทั่ว เพราะไม่มีใครที่จะรู้จักฟังคำผู้ใหญ่และบังคับบัญชาผู้น้อยให้ดีได้ทั้งสองอย่างพร้อมกันเหมือนฮานนิบาลเลย ถ้าเวลามีภัยไม่มีใครกล้าเท่าฮานนิบาล และไม่มีใครใจเย็นเท่าฮานนิบาล หนักหนาแค่ไหนไม่เคยร้องว่าเหนื่อย นอนกลางดิน กินกลางทราย เป็นเช่นนี้จะไม่ให้ได้ใจทหารในกองทัพได้อย่างไร และฮานนิบาลได้สมรสกับหญิงสูงศักดิ์ชาวสเปญนางหนึ่ง ชื่อ อิมิลเซอา (Imilcea) เพราะเหตุผลทางการทหารล้วนๆ

หลังจากได้รับตำแหน่ง ฮานนิบาลยังไม่เข้าบุกโรมันในทันที เพราะต้องการที่จะสร้างพันธมิตรกับเมืองและชนเผ่าต่างๆ ในคาบสมุทรไอบีเรียเสียก่อน ในบรรดาเมืองที่ฮันนิบาลขอทำข้อตกลงด้วยนั้น มีนครซากุนตัม ซึ่งมีเหมืองเงินที่อุดมสมบูรณ์มาก ได้ปฎิเสธข้อเสนอของฮานนิบาลและไปขอเป็นพันธมิตรกับโรมันแทน ที่สำคัญยังพยายามที่จะดึงพันธมิตรต่างๆ ไปจากคาร์เธจอีกด้วย

ฮานนิบาลยกทัพเข้าโจมตีซากุนตัมในปี 219 ก่อนคริสต์ศักราช แน่นอนว่าคาร์เธจเป็นฝ่ายพิชิตซากุนตัมได้ แต่นั่นหมายถึงการเปิดศึกกับโรมันด้วย หลังจากนั้น ทางสภาแห่งโรมสั่งให้คาร์เธจส่งตัวฮานนิบาลไปให้ ซึ่งทางคาร์เธจได้ปฏิเสธไปและในปี 218 ก่อน คริสต์ศักราช ฮานนิบาลได้ยกทัพ ออกจากคาร์เธจใหม่ (สเปนในปุจจุบัน) โดยฮานนิบาลได้ทำสิ่งที่คาดไม่ถึงคือ วางแผนรุกข้ามเทือกเขาพีเรนีสและเทือกเขาแอลป์เข้าไปทางตอนเหนือของคาบสมุทรอิตาลีเพื่อโจมตีกรุงโรม อีกทั้งยังใช้ช้างทำศึกอีกด้วย

สงครามปูนิคครั้งที่สองก็ได้เริ่มขึ้น โดยแต่ละฝ่ายรบกันจนเสียไพร่พลไปมาก แต่เหตุการณ์ที่ทั้งสองกองทัพปะทะกันที่ คานาเอ ในวันที่ 2 สิงหาคม ปี 216 ก่อนคริสต์ศักราช กองทัพโรมันแพ้ยับเยิน ทั้งถูกสังหารและถูกจับเป็นเฉลยจำนวนกว่าสองหมื่นนาย ขณะที่คาร์เธจสูญเสียกำลังพลไปเพียง 5,700 นาย


ที่มา :  http://www.guitarthai.com/

แต่สงครามยังไม่จบ เพราะโรมไม่ยอมจำนน จึงเริ่มแผนการณ์ใหม่ ปล่อยให้คาร์เธจโจมตีเมืองตนไปเรื่อยๆ ให้คาร์เธจอ่อนแรงและเสียกำลังพลไปเรื่อยๆ คาร์เธจจึงมีโอกาสโจมตีโรมถึงสองครั้งและชนะทั้งสองครั้ง และสงครามครั้งสุดท้ายก็จบลง หลังคาร์เธจและโรมรบกันยาวนานถึงสิบห้าปี คาร์เธจเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ เพราะฮานนิบาลไม่ได้รับการสนับสนุนจากแผ่นดินใดเลย แม้กระทั่งแผ่นดินแม่อย่างกรุงคาร์เธจใหม่ ที่สำคัญโรมได้ศึกษากลยุทธของฮานนิบาลตลอดเวลาที่รบกัน ทำให้ฮานนิบาลไม่สามารถล่วงรู้เลยว่าโรมได้ลอบติดต่อกับชาวนูมิเดียนและซื้อทหารม้าที่เป็นแหล่งกำลังสำคัญของคาร์เธจไปฝึกจนเชี่ยวชาญและแข็งแกร่ง ทำให้คาร์เธจที่อ่อนแรงจากสงครามพ่ายแพ้ไปในที่สุด

หลังพ่ายแพ้สงคราม คาร์เธจต้องยกดินแดนในคาบสมุทรไอบีเรียให้โรมัน แต่โรมันก็ยังไม่ไว้ใจฮานนิบาล จึงสั่งให้คาร์เธจส่งฮานนิบาลให้อีกครั้ง แต่คราวนนี้ ฮานนิบาลหนีไปอยู่ที่เมืองเอเฟซุส (ตุรกีปัจจุบัน) และไปขอลี้ภัยกับพระเจ้าปรูซีอัสที่ 1 แห่งบิทิเนีย  โดยฮานนิบาลได้ไปช่วยรบ แต่เมื่อโรมรู้ที่อยู่ของฮานนิบาล จึงบีบบังคับให้บิทิเนียส่งตัวฮานนิบาลให้ ตอนแรกดูเหมือนพระองค์จะไม่ให้ แต่สุดท้ายก็ยินยอม ฮานนิบาลจึงตัดสินใจดื่มยาพิษเป็นการฆ่าตัวตายในบ้านพักของเขา ในปี พ.ศ 360  (183 ปี ก่อน คริสต์ศักราช) ด้วยวัย 65 ปี

ฮานนิบาลเป็นบิดาแห่งยุทธศาสตร์ ตลอดระยะเวลา 15 ปีที่ทำสงครามกับโรมัน ฮานนิบาลได้ทำในสิ่งที่โรมันคาดไม่ถึง ไม่ว่าจะเป็นการเดินทัพจากสเปนข้ามภูเขาแอลป์ รบด้วยช้าง และแผนการรบที่หาใครดีกว่าไม่ได้ ทั้งๆ ที่เขาไม่ได้รับการสนับสนุนจากแผ่นดินแม่เลยแม้แต่น้อย


อ้างอิง

พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์.(2490).ชีวะประวัติของฮานนิบาลจอมทัพแห่งกรุงคาร์เทจ.นครนายก :โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า.

ฮันนิบาล (Hannibal) แม่ทัพผู้เขย่าขวัญกรุงโรม. สืบค้นเมื่อ 9 มีนาคม 2560 จาก http://www.komkid.com/

ฮานนิบาล ยอดขุนศึกแห่งคาร์เธจ (Hannibal the great warlord of Carthage). สืบค้นเมื่อ 2 มิถุนายน 2560 จาก http://knowledge.eduzones.com/knowledge-2-4-43813

อ่านเพิ่มเติม »