แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ศิลปะตะวันตก แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ศิลปะตะวันตก แสดงบทความทั้งหมด

โกลด มอแน (Claude Monet) ศิลปินแห่งลัทธิความประทับใจ

โดย อนัญญา กุลไธสง

โกลด มอแน เป็นหนึ่งในศิลปินคนสำคัญของฝรั่งเศสในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 ถึง 20  และยังเป็นหนึ่งในศิลปินผู้ร่วมก่อตั้งศิลปะลัทธิความประทับใจหรืออิมเพรสชันนิสม์ (Impressionism) ผู้เป็นแรงขับเคลื่อนในการสร้างผลงานศิลปะในรูปแบบใหม่โดยไม่จำเป็นที่จะต้องสร้างผลงานให้ออกมาเสมือนตามที่ตาเห็นและตามแบบฉบับของคนทั่วไปนิยมกัน แต่เน้นความรู้สึกที่เกิดจากความประทับใจครั้งแรกในสิ่งที่เห็นของตัวศิลปิน
                       

 ภาพเขียนสีน้ำมันมอแน

โกลด มอแน  (Claude Monet) หรือ อ็อสการ์ โกลด มอแน เป็นศิลปินชาวฝรั่งเศส เกิด ณ กรุงปารีส เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม ค.ศ. 1840 เมื่ออายุได้ 5 ปีได้ย้ายตามครอบครัวไปอาศัยที่เมืองเลออาฟวร์ แคว้นนอร์มังดี ทางตอนเหนือของประเทศฝรั่งเศส โดยมอแนเป็นบุตรชายคนที่สองของนายโกลด อาดอลฟ์ และนางลุย จุสตีน โอเบร ครอบครัวของมอแนประกอบอาชีพร้านขายของชำและอุปกรณ์เรือ โดยพ่อของเขามีความต้องการที่จะให้ลูกชายมาช่วยดูแลกิจการของครอบครัวต่อ หากแต่ความปรารถนาของมอแนนั้นคือการเป็นศิลปิน โดยมีแม่ที่เป็นอดีตนักร้องเก่าเข้าใจในความปรารถนาของเขาและให้การสนับสนุนความฝันในการเป็นศิลปินของมอแน มาตลอด

มอแนนั้นมีความสนใจในด้านศิลปะมาตั้งแต่เด็ก เขาได้ให้ความสำคัญและทุ่มเทให้กับงานศิลปะมากกว่าการศึกษา ซึ่งในปี ค.ศ.1851 มอแนได้เข้าศึกษาในโรงเรียนศิลปะที่เมืองเลออาฟวร์  ขณะที่อาจารย์กำลังสอนหนังสือ เขากลับใช้ช่วงเวลาดังกล่าววาดรูปการ์ตูนล้อเลียนอาจารย์ผู้สอน โดยใช้ถ่านไม้ในการสร้างภาพเขียนการ์ตูนล้อเลียน ทำให้มอแนเป็นที่รู้จักและสร้างรายได้ให้กับเขาจากการขายภาพล้อเลียนได้ราวๆ 20 ถึง 30 ฟรังก์

ต่อมามอแนได้มีโอกาสเรียนรู้เทคนิคการการวาดภาพกับศิลปินที่มีชื่อเสียงหลายคนเช่น ณาร์ค ฟรองซัวโอชาร์ด ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของ ณาร์ค หลุยเดวิด ศิลปินผู้มีชื่อเสียงมากที่สุดคนหนึ่งในประเทศฝรั่งเศส จนกระทั่งในปี 1856 ได้เรียนเทคนิคการวาดภาพโดยใช้สีน้ำมันและเทคนิคการเขียนภาพ “กลางแจ้ง” จาก ยูจีน บูแดง ผู้เป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญในการเขียนภาพภูมิทัศน์กลางแจ้งเพียงไม่กี่คนที่ใช้เทคนิคการเขียนภาพกลางแจ้ง ทำให้มอแนหลงใหลในการเขียนภาพภูมิทัศน์กลางแจ้งเป็นอย่างมาก

จุดเปลี่ยนที่ทำให้โมเนต์เริ่มหันมาใช้เทคนิคการวาดภาพที่แตกต่างจากศิลปินคนอื่นในยุคเดียวกัน คือ ความไม่มีอิสระในการออกแบบผลงาน ดังเช่นที่ศิลปินคนอื่นๆ ในยุคเดียวกันที่นิยมวาดภาพในห้องสตูดิโอและมักจะวาดภาพให้ออกมาเสมือนจริงตามที่ตาเห็น นอกจากนี้ยังมีการใช้สีที่ทึบระบายลงไปในผลงาน ซึ่งมอแนคิดว่ามันเป็นการจำกัดกรอบความคิดมากเกินไป ด้วยเหตุนี้จึงทำให้มอแนหาแรงบันดาลใจใหม่ๆ ในการสร้างผลงานศิลปะ เขาได้ไปยังพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์เพื่อหาแนวทางในการเขียนภาพของเขา เมื่อโมเนต์ไปชมผลงานภายในพิพิธภัณฑ์ มอแนพบว่าภาพวาดส่วนมากที่ศิลปินเอามาแสดงผลงานนั้น มีการลอกเลียนผลงานภาพวาดจากครูสมัยเก่า ซึ่งเขาไม่เห็นด้วยที่จะสร้างผลงานศิลปะด้วยวิธีการลอกเลียนผลงานของคนอื่น อีกทั้งมอแนยังไม่ชอบเกี่ยวกับทฤษฎีการวาดภาพที่ทางมหาวิทยาลัยสอน

ต่อมาในปี 1862 มอแนจึงได้ย้ายเข้ามาศึกษาศิลปะต่อในโรงเรียนของ ชาร์ล เกรย์ ทำให้เขาได้พบกับ ออกุสต์ เรอนัวร์ เฟรเดริก บาซีย์ และอัลเฟรด ซิสลีย์ ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่มีแนวคิดในการสร้างผลงานศิลปะที่เหมือนกันนั้นคือ การเน้น แสง สี อารมณ์และความรู้สึกในขณะนั้น อีกทั้งมีการใช้แปรงที่หยาบในการวาดภาพเหมือนกัน ทำให้กลายเป็นทั้งเพื่อนและผู้ร่วมก่อตั้งศิลปะลัทธิอิมเพรสชันนิสม์ร่วมกันในเวลาต่อมา

ภาพวาดของมอแนจึงมักจะเกิดจากความประทับใจในสิ่งที่ตนเองเห็นในครั้งแรก และไม่เน้นให้ภาพที่วาดออกมาเสมือนจริงตามที่ตาเห็น แต่จะคำนึงถึงการใช้สีเพื่อแสดงให้เห็นถึงแสงที่เปลี่ยนไปในแต่ละช่วงเวลาที่แตกต่างกัน จากมุมมองต่างๆ และใช้แปรงที่หยาบตะหวัดสีเข้มๆ ทับกันหลายๆครั้ง  โดยมากภาพวาดของมอแนมักเป็นภาพเขียนกลางแจ้งที่เน้นทิวทัศน์และบรรยากาศต่างๆ ที่มอแนได้พบเห็น

ในปลายปี 1871 มอแนและครอบครัวได้ย้ายมาอยู่ที่เมือง อาร์ฌ็องเตย หลังจากสงครามระหว่างฝรั่งเศสและปรัสเซีย และได้ตั้งกลุ่ม Anonymous Society of  Painter , Sculptors และ Engravers กับศิลปินรุ่นใหม่หลายคน เช่น ปีแยร์ โอกุสต์ เรอนัวร์ ,อัลเฟรด ซิสเลย์,กามีย์ ปีซาโร และ เอดัวร์ มาเนต์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงผลงานศิลปะได้อย่างเป็นอิสระเสรี

ต่อมาในปี 1894  เป็นปีแรกที่กลุ่มศิลปินรุ่นใหม่จัดนิทรรศการแสดงศิลปะขึ้นมา ซึ่งมอแนได้ส่งภาพ  “Impression, Sunrise” (ความประทับใจของพระอาทิตย์ขึ้น) ซึ่งเป็นภาพเกี่ยวกับภาพบรรยากาศที่ท่าเรือท่ามกลางสายหมอกในยามเช้า ณ เมืองเลออาฟวร์  โดยภาพนี้ถูกวาดขึ้นในปี 1872  ได้เป็นที่มาของชื่อกลุ่มลัทธิของศิลปินรุ่นใหม่ นั้นคือ ลัทธิแห่งความประทับใจหรืออิมเพรสชันนิสม์นั้นเอง

ตลอดช่วงชีวิตการเป็นศิลปินของมอแน ได้สร้างผลงานภาพวาดศิลปะไว้มากกว่า 2,500 ภาพ ซึ่งยังไม่รวมภาพที่ถูกเขาทำลายไปเพราะยังไม่เป็นที่พอใจในผลงานของตัวเอง ซึ่งผลงานที่สำคัญของมอแน ได้แก่ ภาพ "ผู้หญิงในสวน" ในปี 1867 มอแนได้ใช้เทคนิคการวาดภาพโดยเน้นให้เห็นแสงแดดที่ส่องลงมายังสวนดอกไม้  และพยายามแสดงให้เห็นถึงเปลวแสงแดดที่ส่องประกายกระทบกับเสื้อของหญิงสาวที่อยู่ภายในสวน
                  

ภาพ“ผู้หญิงในสวน”  ในปีค.ศ. 1867

ภาพ “พอพพลาบนฝั่งแม่น้ำเอฟ” ในปี 1900 เป็นภาพวาดที่บรรยายบรรยากาศชนบทของประเทศฝรั่งเศส ซึ่งมอแนใช้เทคนิค การเล่นแสงและสีในช่วงเวลาที่ต่างกันออกไปในสถานที่เดิมเพื่อแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างและการเปลี่ยนแปลงของแสงและฤดูกาลที่ผ่านมา และภาพที่มีชื่อเสียงและมีความนิยมมากที่สุดของมอแน คือ ภาพ “บัวน้ำ” ในปี 1916 มอแนได้เน้นให้เห็นถึง แสง สี น้ำและบัวที่อยู่ในสระ เมื่อโดนแสงอาทิตย์ที่ส่องลงมาในแต่ละฤดูกาล แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของแสงแดดที่ส่องลงมายังสระบัว  นอกจากนี้ยังมีผลงานอื่นๆ อีกมายมาย  เช่น ภาพวาดบนฝั่งแม่น้ำเซน, เบเนคอรท์, ภาพวาดหน้าผาที่เอทเทรทาท์ และ ภาพวาดลุ่มแม่น้ำเซนกับอาร์ฌ็องเตย
             

ภาพ“บัวน้ำ” ในปี ค.ศ. 1916

ในบั้นปลายชีวิตของมอแนเขาเป็นศิลปินที่ได้กลายเป็นศิลปินที่ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายในประเทศฝรั่งเศสและมีฐานะร่ำรวยมากขึ้นจากการขายภาพวาด นอกจากนี้มอแนยังได้ผ่านเหตุการณ์ครั้งสำคัญของโลกนั้นคือ สงครามโลกครั้งโลกครั้งที่ 2  เขาได้วาดภาพ “วิลโลร้องไห้ (Weeping Willow)” ขึ้นเพื่อไว้อาลัยแก่ทหารชาวฝรั่งเศสที่เสียชีวิตจากสงครามโลก  ต่อมามอแนเป็นต้อกระจกส่งผลทำให้ผลงานในช่วงหลังๆของเขามักจะมีสีโทนแดง ซึ่งเกิดจากการมองเห็นสีที่ผิดไปจากเดิมจากการผ่าตัดตา และมอแนเสียชีวิตในปี 1926 ด้วยโรคมะเร็งปอด ขณะที่อายุได้ 86 ปี
                                         

Claude Monet - Weeping Willow (วิลโล่ร้องไห้) (1918)

จะถือได้ว่ามอแนก็เป็นอีกหนึ่งในศิลปินที่มีความสำคัญคนหนึ่งของโลกผู้เป็นแรงขับเคลื่อนในการสร้างสรรผลงานศิลปะแบบใหม่ขึ้นมาจนทำให้เกิดศิลปะแสงสีแห่งความประทับใจหรืออิมเพรสชั่นนิสต์ ที่เน้นการใช้สีเพื่อแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของแสงในแต่ละช่วงเวลา นอกจากนี้ยังเป็นแรงกระตุ้นให้กลุ่มศิลปินรุ่นใหม่ๆ มีการสร้างสรรค์ผลงานให้มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้นจนนำไปสู่ศิลปะในแบบต่างๆ เช่น ศิลปะนามธรรรม และป๊อบอาร์ต ในช่วงเวลาต่อมา


อ้างอิง

โกลด มอแน (Claude Monet). (2561). ค้นข้อมูล 15กันยายน2561, จาก
https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=klongrongmoo&month=24-01-2018&group=29&gblog=16

โกลด มอแน ศิลปินอิมเพรสชั่นนิสต์ผู้โด่งดังเจ้าของภาพเขียนสุดประทับใจตลอดกาล. (2561). ค้นข้อมูล 15กันยายน2561, จาก https://www.takieng.com/stories/8659

มอแน (Monet) ชื่อนี้ สะเทือนวงการศิลปินวาดภาพสีน้ำมัน. (2559). ค้นข้อมูล 15กันยายน2561, จาก https://www.takieng.com/stories/8659

Claude Monet. (2017). ค้นข้อมูล 15กันยายน2561, จาก https://www.greatstarsartshow.com/art/3910

Impressionism ศิลปะอิมเพรสชันนิสม์. (2011). ค้นข้อมูล 15กันยายน2561, จาก https://aunart.wordpress.com/2011/09/21/impressionism/

อ่านเพิ่มเติม »

ความงามบนความหลากหลายของ “วีนัส”

โดย จักรกฤษ์ วนาใส

คำว่า “วีนัส” นามทั่วไปซึ่งคนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่าเป็นเทพีแห่งความงามและความรักโดยที่เทพีวีนัสหรืออะโฟรไดท์เป็นเทพปกรณัมกรีกและโรมันตามความเชื่อทางเทววิทยา แต่ในทางศิลปะวิทยาวีนัสมีความหมายและมุมมองแตกต่างออกไป กล่าวคือ “วีนัส” ในศิลปะยุคต้น ๆ เป็นได้ทั้งชื่องานศิลปะที่เกี่ยวข้องกับผู้หญิง ความงาม ความสมบูรณ์ (เพศสรีระ) ของผู้หญิงในมิติที่ศิลปะถ่ายทอดออกมา รวมถึงการสะท้อนภาพความงามของศิลปะกับสิ่งแวดล้อมในการดำรงชีวิตอยู่ของมนุษย์ในยุคต่าง ๆ ด้วย

“วีนัส” แน่นอนที่สุดต้องเป็นรูปผู้หญิง ซึ่งในงานศิลปะที่มีชื่อเกี่ยวกับวีนัสมีหลายชนิดและหลายความเชื่อแตกต่างไปตามสถานที่ รสนิยม และอิทธิพลของสิ่งแวดล้อมของการกำเนิดงานศิลปะในแต่ละสมัย อาทิ ประติมากรรมเกี่ยวกับวีนัส จิตรกรรมเกี่ยวกับวีนัส เป็นต้น

ศิลปะที่เกี่ยวกับวีนัสกับความเกี่ยวข้องในดินแดนอุษาคเนย์นั้น เป็นเรื่องที่สามารถวิเคราะห์ได้หลายรูปแบบ เนื่องจาก ศิลปะของวีนัสมีหลายรูปแบบดังที่ได้กล่าวมาแล้ว นอกจากนี้แต่ละรูปแบบก็ยังมีชื่อที่หลากหลายตามแต่ละชิ้นงานอีกด้วย ซึ่งผู้เขียนต้องการศึกษาวิเคราะห์ความเกี่ยวข้องของวีนัสกับความคิดความเชื่อในดินแดนอุษาคเนย์ โดยเชื่อมโยงมิติต่าง ๆ ของศิลปะกับแนวคิดสังคมวิทยามานุษยวิทยาเข้าด้วยกัน

แนวคิดแรกจากศิลปะวีนัสที่ผู้เขียนวิเคราะห์คือ ศิลปะเพื่อความอุดมสมบูรณ์ โดยประติมากรรมศิลปะที่เป็นตัวอย่างได้ดีที่สุดคือ วีนัส แห่งวิลเลนดรอฟ (Venus of Willendorf) เป็นประติมากรรมในยุคหินเก่าตอนปลาย (24,000BC - 22,000BC) แกะสลักด้วยหินขนาดเล็ก ส่วนใหญ่เป็นรูปแกะสลักหินซึ่งนักโบราณคดีสมัยปัจจุบันเรียกชื่อรูปเหล่านี้ว่า “วีนัส” เนื่องจากเป็นประติมากรรมที่แสดงเพศหญิงอย่างชัดเจน และสรีระที่สมบูรณ์มาก


Venus of Willendorf

จากงานศิลปะแสดงให้เห็นถึงรสนิยมแนวความคิดของศิลปินได้เป็นอย่างดี ส่วนใหญ่คล้ายคลึงกัน คือ ศรีษะไม่แสดงรายละเอียดของหู ตา จมูก แต่ทำเป็นเป็นปุ่มเล็ก ๆ แขนและขาลีบไม่ปรากฏเท้าและนิ้วเท้า เต้านมใหญ่ ท้องยื่นคล้ายกำลังตั้งครรภ์ แสดงอวัยวะเพศชัดเจน ซึ่งเชื่อว่ารูปเหล่านี้สร้างขึ้น เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ (Fertility Rites) หรือ เพื่อขอบุตร (Fecundity) พบในออสเตรีย ปัจจุบันจัดแสดงที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย

จะเห็นได้ว่าช่วงสมัยของการประดิษฐ์งานนี้ขึ้นมา เป็นช่วงยุคหินในโซนยุโรป ซึ่งแน่นอนว่าพื้นที่ส่วนใหญ่ถูกปกคลุมด้วยน้ำแข็ง ดังนั้นความอบอุ่นจึงเป็นสิ่งสำคัญในการดำเนินชีวิต ฉะนั้นงานศิลปะที่ทำแบบภาพเสมือนจึงออกมาในรูปแบบที่เชื่อมโยงกับวิถีชีวิต เป็นไปได้ว่าผู้หญิงสมัยยุคหินจะต้องมีน้ำหนักมากมีรูปร่างใหญ่ เพราะไขมันในร่างกายจะได้ให้ความอบอุ่นได้

นอกจากนี้ความอ้วนยังแฝงนัยของความอุดมสมบูรณ์ของเพศหญิงที่พร้อมในการมีบุตร แต่อย่างไรก็ตาม วีนัส แห่งวิลเลนดรอฟ น่าจะถูกประดิษฐ์ขึ้นมาเพื่อเป็นรูปเคารพบูชาให้ดินแดนนั้นมีความอุดมสมบูรณ์และ/หรือเพื่อการขอบุตร โดยใช้ “แม่” เป็นสัญลักษณ์ในการสื่อความหมายก็เป็นได้ ซึ่งงานความเชื่อจากงานศิลปะนี้สามารถเทียบได้กับประติมากรรมรูปเทพีของชาวฮินดู (Goddess) สมัยอารยธรรมฮารัปปา (Harappan Civilization) ที่มีลักษณะเป็นหญิงอวบอ้วนเกี่ยวเนื่องกับลัทธิความอุดมสมบูรณ์ (Fertility cult) แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ในการสักการะบูชาในด้านความเชื่อของวีนัสที่ปรากฎบนงานศิลปะทั้งยุโรปและอินเดีย ทำให้ดินแดนในแถบอุษาคเนย์ที่รับเอาวัฒนธรรมส่วนใหญ่มาจากอินเดีย มีการมองความงามของศิลปะที่แสดงออกในด้านความอุดมสมบูรณ์ผ่านสรีระของเพศหญิงจึงปรากฎในดินแดนแถบนี้ด้วย

จะว่าไปแล้วไม่ว่าศิลปะต่าง ๆ จะถูกรังสรรค์ขึ้นจากส่วนใดของโลก ไม่ว่าชาติพันธุ์ใด ภาษาใด แต่ปัจจัยพื้นฐานที่มนุษย์มีเหมือนกัน อาทิเช่น เพศ ความสมบูรณ์ของทรัพยากรในการเลี้ยงชีพเพื่อความอยู่รอด ย่อมมีเช่นเดียวกันทำให้ดินแดนในอุษาคเนย์มีความเชื่อต่อรสนิยมของวีนัส แห่งวิลเลนดรอฟของยุโรปผ่านอิทธิพลของอินเดียในรูปแบบของความงามกับความสมบูรณ์ได้ใกล้เคียงกัน
ประติมากรรมอีกหนึ่งชิ้นที่เป็นที่รู้จักของคนทั่วโลกปัจจุบันจัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์ลูฟว์ นครปารีส ประเทศฝรั่งเศส คือ วีนัส เดอมิโล (Venus de Milo) เป็นประติมากรรมในยุคกรีกก่อนคริสตกาล (130BC – 100BC) สร้างขึ้นจากหินอ่อนมีขนาดสูง 6 ฟุต 10 นิ้ว มาเพื่อแทนความงามของเทพวีนัสและบ่งบอกถึงรสนิยมของผู้หญิงในอุดมคติของคนในยุคสมัยนั้น


Venus de Milo
ที่มา: https://medium.com/

เนื่องจากศิลปะชิ้นนี้อยู่ในสมัยเฮเลนิสติกของกรีก งานศิลปะแสดงออกถึงความเป็นมนุษยนิยมสูง และต้องการความเสมือนจริง งานปั้นและงานวาดเกี่ยวกับภาพเปลือยจะมีการศึกษาด้านกายวิภาคที่สมจริง ซึ่งถือว่านี่เป็นศิลปะเพื่อความงามตามความเป็นจริง แต่ในสังคมอุษาคเนย์นี้ความเชื่อหรือการแสดงออกของงานศิลปะในรูปเปลือยและกายวิภาคยังไม่เป็นที่นิยม ซึ่งทั้งดินแดนที่เป็นแม่แบบวัฒนธรรมในภูมิภาคนี้อย่างอินเดียและจีนก็ยังไม่นิยมที่จะมีการผลิตงานศิลปะแบบภาพเปลือยที่มีความสมจริง เพราะเรื่องเพศในสังคมเอเชียเป็นเรื่องที่หมิ่นเหม่จึงไม่นิยมผลิตงานศิลปะที่แฝงรสนิยมเรื่องเพศมากนัก หากจะมีก็เพียงแต่เครื่องเพศซึ่งถือเป็นสิ่งเคารพ เช่น ศิวลึงค์หรือโยนีพระแม่อุมา แต่สองสิ่งที่กล่าวมาก็ถูกสร้างเพื่อเคารพไม่ใช่เพื่อความงามแบบวีนัส

รูปปั้นวีนัส เดอมิโลที่แขนหักนั้น มีความเชื่อหลายอย่าง แต่อย่างหนึ่งคือ เพราะเธอเป็นผู้หญิงที่สวยมากจึงถูกแย่งชิงร่างจนทำให้แขนหัก แต่ประเด็นในด้านสังคมวิทยาผู้เขียนกลับมองว่าเป็นการกดทับในเรื่องเพศของสังคมตะวันตกที่ฝ่ายชายเป็นใหญ่สามารถนำผู้หญิงมาปรนเปรอความต้องการได้ หากแต่ในสังคมอุษาคเนย์ก่อนการเข้ามาของแนวคิดแบบผู้ชายเป็นใหญ่ (ปิตาธิปไตย Patriarchy) เพศหญิงกลับมีสถานะที่สูงกว่า

ดังนั้นในประเด็นข้างต้นจะเห็นได้ว่า วีนัสที่เป็นศิลปะในสมัยกรีก สื่อความหมายที่ผู้หญิงถูกมองได้ว่าความงามที่เสมือนจริงตามหลักกายวิภาคแต่แฝงด้วยนัยที่ถูกกดทับในเรื่องเพศ ซึ่งดินแดนในอุษาคเนย์ยังไม่มีงานศิลปะที่แฝงนัยที่กดทับเรื่องเพศหากแต่มองว่าเพศหญิงในอุษาคเนย์ก่อนการรับแนวคิดปิตาธิปไตยมีสถานะที่สูงกว่าผู้ชาย

จิตรกรรมรูปวีนัสต่อมาจะกล่าวโดยรวม คือ ภาพกำเนิดวีนัส (The Birth of Venus, 1482-1486) โดย Sandro Botticelli ชาวอิตาลี ปัจจุบันอยู่ที่ประเทศอิตาลี และ วีนัสบนกระจก (Venus at a Mirror, 1615) โดย Peter Paul Rubens ปัจจุบันอยู่ที่สาธารณรัฐลิกเตนสไตน์ ผู้เขียนมีความเห็นว่าจิตรกรรมทั้งสองนี้ มีความคล้ายและแตกต่างกันในหลายประเด็น โดยในประเด็นที่คล้ายกันจากศิลปะทั้งสองภาพ เกิดในช่วงสมัยเรอเนสซองซ์และหลังเรอเนสซองซ์ ทำให้ภาพที่ออกมามีการแสดงออกทางความคิดและอารมณ์ของจิตรกรได้อย่างชัดเจน ซึ่งไม่ถูกกดทับจากศาสนจักร


The Birth of Venus, 1482-1486

นอกจากนี้สิ่งที่แสดงออกมาจากรูปกำเนิดวีนัสนั้นก็ยังแสดงถึงเรื่องเพศ กามรมณ์ของผู้หญิงที่แฝงด้วยตัณหาราคะ ที่แม้จะเป็นถึงเทพีแห่งความงามแต่ก็ใช้ความงามเป็นเครื่องแสดงความเร่าร้อนในเรื่องเพศต่อหมู่เทพของกรีกตามเทพปกรณัมของยุโรป ถือได้ว่าเป็นความงามกับกามรมณ์ ซึ่งใกล้เคียงกับแนวคิดความเชื่อเรื่องผู้หญิงกับความงามของคนในอุษาคเนย์ที่ได้รับอิทธิพลความเชื่อมาจากอินเดียที่ว่า ผู้หญิงมักหมกมุ่นแต่เรื่องโลกีย์และเป็นตัวขัดขวางให้ผู้ชายบรรลุนิพพาน

ส่วนภาพวีนัสบนกระจกนั้นมีความแตกต่างไปจากภาพแรก คือเป็นผู้หญิงที่มีหน้าตางดงามแต่สรีระอวบอ้วนซึ่งตรงกับรสนิยมความงามในการมองผู้หญิงของจีนสมัยราชวงศ์ถัง ที่มองว่าผู้หญิงรูปร่างอวบท้วม ใบหน้ากลมอวบอิ่ม อกใหญ่นั้นถือว่างดงาม จะเห็นได้ว่า ศิลปะเกี่ยวกับวีนัสนั้นได้แสดงออกมาถึงความเชื่อ แนวคิด รสนิยมต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับผู้หญิง ความงาม ความสมบูรณ์ เป็นต้น ซึ่งความคิดความเชื่อนี้หลายประเด็นมีความใกล้เคียงกับแนวคิดของดินแดนแถบอุษาคเนย์ทั้งที่รับมาจากอินเดียและจีนก็ดี หรือแนวคิดดั้งเดิมของคนแถบนี้ก็ดี นอกจากนี้ก็ยังมีอีกหลายแนวความคิดที่แตกต่างไปจากความคิดความเชื่อที่ได้มาจากวีนัสของทั้งสองดินแดน

อย่างไรก็ดีผู้เขียนได้วิเคราะห์สรุปแนวคิดต่าง ๆ ที่ได้จากศิลปะวีนัสซึ่งอาจจะมีประเด็นบางประเด็นที่ผู้เขียนยังไม่ได้มองถึงหรือมองไม่ถึงก็ตาม แต่สิ่งที่ได้จากวีนัสที่เห็นได้ชัดที่สุดก็คงจะไม่พ้นคำว่า ความงามของศิลปะซึ่งในดินแดนทั้งสองส่วนที่มีความห่างในแง่พื้นที่ ชาติพันธุ์และวัฒนธรรม ทั้งที่เป็นวิวัฒนาการของศิลปะในแต่ละช่วงสมัยที่ให้อารมณ์ความรู้สึกที่ ต่าง ๆ กัน แต่ความงามในตัววีนัสซึ่งแสดงถึงผู้หญิงที่มักมาพร้อมกับความสมบูรณ์ซึ่งแสดงออกมาจากเพศสรีระในงานศิลปะนั้น มีความคล้ายคลึงกันพอที่จะสามารถนำมาเปรียบเทียบในเชิงสังคมวิทยาและมานุษยวิทยาได้

อ้างอิง

ปราณี วงษ์เทศ, เพศสถาวะในสุวรรณภูมิ (อุษาคเนย์) (กรุงเทพฯ: มติชน, 2549), หน้า 5.

ธิบดี บัวคำศรี, เอกสารอัดสำเนา วิชา 01452112 อารยธรรมตะวันออก อารยธรรมอินเดีย (ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์) หน้า 16.

กำจร สุนพงษ์ศรี, ประวัติศาสตร์ศิลปะตะวันตก 1 : ประวัติศาสตร์ศิลปะยุคก่อนประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์ศิลปะยุคโบราณ ศิลปะอียิปต์ ศิลปะเมโสโปเตเมีย ศิลปะกรีก ศิลปะโรมัน และศิลปะไบแซนทีน (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2552)

Dr. Know, เรียบเรียง. สัตว์ประหลาดในเทพนิยายกรีก-โรมัน (กรุงเทพฯ: ยิปซีกรุ๊ฟ, 2551), หน้า 54-55.

H. Van Gulik, A Preliminary Survey of Chinese Sex and Society (Leiden, Netherlands, 1961) อ้างใน www.manager.co.th, 17 กันยายน 2561.

กิตติพงศ์ คำสัตย์.ศิลปะปฏิบัติ. สืบค้นเมื่อ 15 กันยายน 2561, จาก: http://portal.edu.chula.ac.th/cobee/blog/view.php?Bid=1245644252180283&msite=cobee 

ผู้หญิงความงาม. สืบค้นเมื่อ 15 กันยายน 2561, จาก: http://www.annefriday.com/index.php/openhouse/comments/annefriday_standard_the_taste/

Harappa Civilization. สืบค้นเมื่อ 16 กันยายน 2561, จาก: http://www.indiaandindians.com/india_history/harappan_civilization.php

Selected Works. สืบค้นเมื่อ 16 กันยายน 2561, จาก: http://www.louvre.fr/llv/activite/

อ่านเพิ่มเติม »

วิหารบนเกาะ มงแซ็ง-มีแชล (Mont Saint-Michel)

โดย ธัญลักษณ์ ธงศิลา

เมื่อนึกถึงสถานที่ท่องเที่ยวของประเทศฝรั่งเศส ผู้คนส่วนมากจะนึกถึงหอไอเฟลและพระราชวังแวร์ซาย แต่จริงๆ แล้วยังมีสถานที่ขึ้นชื่ออันโดดเด่นอีกแห่งหนึ่งที่มีชื่อว่า “มง แซ็ง-มีแชล (Mont Saint-Michel)” ซึ่ง เป็นวิหารอันโดดเดี่ยวที่อยู่ท่ามกลางชายฝั่งทะเลตะวันตก และยังเป็นสถานที่อีกแห่งที่มีประวัติอันน่าติดตามมากด้วยเช่นกัน



เกาะนี้มีประวัติเริ่มต้นราวคริสต์ศตวรรษที่ 6 และ 7 โดยใช้เป็นฐานที่มั่นของชาว Gallo-Roman  ก่อนที่จะถูกตีแตกพ่ายแพ้ไป โดยชาว Franks เข้ายึดครอง และได้เรียกเกาะแห่งนี้ว่า มงตงบ์ ตามตำนานการก่อสร้างวิหารแห่งนี้เล่าว่า มีนักบุญมีแชล ได้เข้าฝันนักบุญโอแบร์ บิชอปแห่งมาฟรองช์ และได้สั่งให้มีการสร้างโบสถ์ขึ้นบนเกาะปากแม่น้ำ Couesnon ตอนแรก เขาก็มิได้สนใจปฏิบัติตาม และได้เพิกเฉยไป จนมีการฝันถึงครั้งที่ 3 ในฝันนักบุญมีแชลได้ใช้นิ้วของเขาจิ้มที่ศีรษะของโอแบร์ และเมื่อเขาตื่นขึ้นมา เขาก็ได้พบว่ามีรอยอยู่บนศีรษะของเขาจริงๆ เขาจึงเชื่อว่าฝันนั้นเป็นจริงจากนั้นมาเขาจึงตัดสินใจสร้างวิหารบนยอดเขาเมื่อปี ค.ศ.709 และหลังจากที่โอแบร์ได้เสียชีวิตลง คนยุคต่อๆมาก็ค่อยๆ สร้างต่อเติมมาเรื่อยๆ

มงแซ็ง-มีแชล เป็นวิหารตั้งอยู่กลางทะเลชายฝั่งตะวันตกบริเวณจังหวัดม็องช์ แคว้นบัสนอร์ม็องดีของประเทศฝรั่งเศส ที่ห่างจากกรุงปารีสประมาณ 360 กิโลเมตร และวิหารแห่งนี้ก็ยังเป็นที่แสวงบุญของคริสต์ศาสนิกชนผู้เคร่งศาสนา  ในราวคริสต์ศตวรรษที่ 11-16 มีการก่อสร้างอาคารบ้านเรือนเพิ่มเติมภายในเกาะ และมีประชาชนย้ายเข้ามาอยู่มากขึ้น และได้ตั้งหมู่บ้านขึ้นมาที่เชิงเขา

ด้วยสภาพพื้นที่นั้นยังสามารถเป็นสถานที่หลบภัยจากประเทศอังกฤษในช่วงสงครามร้อยปี และยังเป็นป้อมปราการที่พร้อมรับมือข้าศึกในช่วงปฏิวัติฝรั่งเศส ต่อมาหลังปฏิวัติฝรั่งเศส วิหารแห่งนี้ก็ไม่มีผู้คนอาศัยอยู่ จนถูกนำมาใช้เป็นคุกคุมขังนักโทษแทน ในปี ค.ศ. 1836 กลุ่มปัญญาชนของฝรั่งเศส รวมทั้ง Victor Hugo (ซึ่งเป็นทั้งนักประพันธ์และผู้มีอิทธิพลทางความคิดคนสำคัญในยุคนั้น) ได้พากันเรียกร้องให้อนุรักษ์มรดกสำคัญของชาติที่เป็นเหตุให้มีการเลิกใช้คุก

มงแซ็ง มีแชลได้รับประกาศให้เป็นสถานที่ทางประวัติศาสตร์ในปี ค.ศ. 1874  และ ในปี ค.ศ. 1966 นั้นเองเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองการครบรอบ 1,000 ปี ของการก่อตั้งวิหาร คณะสงฆ์และเหล่าผู้แสวงบุญเริ่มกลับมาเยือนที่นี่อีกครั้งจนถึงปี 1979 องค์การ UNESCO ก็ได้ขึ้นทะเบียนให้ มงแซ็ง มีแชล เป็นมรดกโลกทั้งทางด้านวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ สถาปัตยกรรม และความสวยงามตามธรรมชาติ



ตัวเกาะที่ตั้งวิหารนั้นเองได้มีการนำหินแกรนิตมาก่อตัวขึ้นเป็นเกาะ และมีเส้นรอบวงเกาะประมาณ 960 เมตรมีส่วนสูง 92 เมตร และความสูงของตัววิหาร 155 เมตร ลักษณะเด่นของตัวเกาะคือ บนยอดวิหารจะมีรูปปั้นทองของอัครทูตสวรรค์มิคาเอล (นักบุญมีแชล) ที่ถูกสร้างโดย เอมานูแอล เฟรมีเย สถาปัตยกรรมแบบดั้งเดิมของวิหารคือ แบบโรมาเนสค์ และได้มีการถูกปรับเปลี่ยนมาเป็นแบบโกธิค ในสมัยยุคกลางประมาณศตวรรษที่ 15

ในปัจจุบัน มงแซ็ง-มิแชล ก็ได้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยม เป็นอันดับ 3 ของประเทศฝรั่งเศส รองลงมาจาก หอไอเฟล และ พระราชวังแวร์ซาย ที่มีนักท่องเที่ยวเยี่ยมเยือนถึง 3 ล้าน 2 แสนกว่าคนโดยเฉลี่ยต่อปี และล่าสุดเมื่อปี 2015 มีผู้คนอาศัยอยู่บนเกาะ ไม่รวมพ่อค้าแม่ค้า ประมาณ 50 คน

มงแซ็ง-มีแชล ได้ก่อตั้งมาเพื่อเป็นสถานที่แสวงบุญในอดีต และได้มีการปรับเปลี่ยน ต่อเติมมาเรื่อยๆ จนกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ให้ความรู้ทางวัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ของประเทศฝรั่งเศสอีกแห่งในปัจจุบัน และการที่เราได้ค้นคว้าศึกษาแล้วนำมาเรียบเรียงนั้นก็เป็นการช่วยอนุรักษ์ วัฒนธรรมที่สวยงามอีกแห่งหนึ่งของโลกอีกด้วย


อ้างอิง

พาเที่ยวมงแซ็งมีแชลมหาวิหารบนเกาะกลางทะเล(ออนไลน์) สืบค้นเมื่อ 4 กันยายน 2560 , จาก  https://2baht.com/mont-saint-michel/

ภูเขานักบุญไมเคิล(ออนไลน์) สืบค้นเมื่อ 4 กันยายน 2560 , จาก  http://nigrisanah.blogspot.com/2011/11/mont-saint-michel-mont-tombe-michael.html

มง-แซ็ง-มีแชล (ออนไลน์) สืบค้นเมื่อ 4 กันยายน 2560 , จาก   http://www.wikiwand.com/th/มง-แซ็ง-มีแชล 

เที่ยวยุโรป Mont Saint-Michel (ออนไลน์) สืบค้นเมื่อ 4 กันยายน 2560 , จาก   https://www.dplusguide.com/2014/france-mont-saint-michel


อ่านเพิ่มเติม »

โมอาย (Moai) แห่งเกาะอีสเตอร์

โดย อรัญญา  ตันปุระ

คงมีหลายคนที่เคยเห็นเจ้ารูปปั้นหินยักษ์ที่มีหน้าตาเหมือนมนุษย์นี้ผ่านทางทีวี รูปภาพ งานเขียน และสื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ หรือแม้แต่ในเกมส์ หลายคนคงสงสัยถึงความเป็นมาและอยากจะไปเห็นตัวจริงของเจ้ารูปปั้นหินยักษ์เหล่านี้

อ่านเพิ่มเติม »

ผลงานชิ้นสำคัญของ ไมเคิลแองเจโล (Michelangelo)

โดย เฉลิมศักดิ์ สีดา

ศิลปินระดับโลกต่างฝากผลงานผ่านชิ้นงานศิลปะของพวกเขา ไม่ว่าจะเป็น ภาพเขียน ภาพวาด งานประติมากรรม งานออกแบบ ซึ่งผลงานเหล่านี้ต่างสะท้อนให้เห็นลักษณะพิเศษเฉพาะตัวของศิลปินผู้นั้นเอง นอกจากจะแสดงลักษณะเฉพาะตัวแล้ว ผลงานศิลปะต่างๆยังสะท้อนแนวความคิด ความเชื่อ และค่านิยมของคนในยุคสมัยนั้นอีกด้วย ซึ่งในยุคสมัยต่างๆจะมีรูปแบบ แนวคิด หรือวิธีการในการสร้างงานศิลปะที่แตกต่างกันออกไป

อ่านเพิ่มเติม »

มหาพีระมิด (The Great Pyramid)

โดย กิตติญา จิตระบอบ

ท่ามกลางทะเลทรายกว้างอันใหญ่แห่งกีซ่า มหาพีระมิดที่ยิ่งใหญ่สามองค์ตั้งตระหง่านอยู่เหนือพื้นทรายห่างจากกรุงไคโรนครหลวงของประเทศอียิปต์ออกไปประมาณ 8 กม. รายล้อมไปด้วยพีระมิดและสุสานอื่นๆอีกมากมาย เมืองกีซ่าตั้งอยู่ปลายสันดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนล์ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยใช้เป็นเครื่องกำหนดเขตแดนของอาณาจักรอียิปต์บนและล่าง ต่อมาเมื่ออาณาจักรทั้งสองรวมกันเป็นหนึ่งเดียวเมื่อ 2,925 ปีก่อนคริสต์กาล เมืองนี้จึงเป็นที่ประทับของฟาโรห์แห่งราชวงศ์ต่าง ๆ 30 ราชวงศ์อย่างต่อเนื่องเป็นเวลากว่า 3,000 ปี

อ่านเพิ่มเติม »

เครื่องเรือนสมัยกรีก (Ancient Greek furnitures)

โดย นิธิศ พัวตะนะ

กรีกเป็นอารยธรรมที่มีพัฒนาการที่น่าทึ่งในหลายๆ ด้าน รวมถึงเครื่องเรือนอันเป็นรากฐานของสิ่งที่ใช้สอยกันอยู่ในปัจจุบันนี้ แม้ไม่ได้สร้างด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงเหมือนอย่างเครื่องเรือนในปัจจุบัน เครื่องเรือนในสมัยกรีกก็สะท้อนให้เห็นภูมิปัญญาในด้านประโยชน์ใช้สอยของผู้คนในยุคนั้นได้เป็นอย่างดี

เครื่องเรือนสมัยกรีกทำจากไม้เป็นหลัก แต่บางส่วนก็มีหิน หินอ่อน หรือโลหะ เช่น สัมฤทธิ์ เงิน หรือแม้แต่ทองคำ ประกอบอยู่ด้วย ในปัจจุบันแทบไม่มีเครื่องเรือนที่ทำจากไม้หลงเหลืออยู่แล้ว แต่ก็ยังสามารถพบหลักฐานเกี่ยวกับชื่อหรือลักษณะของเครื่องเรือนเหล่านี้ได้ในเอกสารต่างๆ  รวมถึงภาพวาดในยุคนั้นเองก็มีเครื่องเรือนเหล่านี้ปรากฏอยู่

ไม้ที่นำมาทำเครื่องเรือนประกอบด้วยโอ๊ค เมเปิล บีช ยิว และวิลโลว์ ไม้เหล่านี้จะถูกตัดแบ่งออกเป็นชิ้นส่วนหลายชิ้น จากนั้นช่างก็จะทำการเจาะช่องในไม้ท่อนหนึ่ง และแกะเดือยบนไม้อีกท่อนหนึ่ง เพื่อให้นำมาประกอบกันได้ จากนั้นก็จะยึดให้แน่นด้วยเชือก หมุด ตะปูโลหะ และกาว การจัดรูปทรงชิ้นงานให้ได้ตามต้องการจะทำด้วยการแกะสลัก และการอบไอน้ำ วัสดุที่นิยมใช้ประดับตกแต่งเครื่องเรือนประกอบด้วยเขี้ยวสัตว์ กระดองเต่า  แก้ว ทองคำ หรือวัตถุมีค่าอื่นๆ  บางครั้งไม้ที่นำมาทำเป็นเครื่องเรือนเองก็มีราคาแพงเพื่อให้เครื่องเรือนดูมีราคามากขึ้น (Wikipedia 2014)


ที่มา: http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/c/c0/Greek_furniture_004.jpg

ลักษณะของเครื่องเรือนในสมัยกรีกมักเป็นทรงสี่เหลี่ยม เช่น เก้าอี้ ม้านั่งยาว ส่วนขาของเครื่องเรือนมีทั้งแบบตรงและโค้ง โดยมากเครื่องเรือนของกรีกเป็นแบบเรียบง่าย ดูสง่า อาจมีการแกะสลักลวดลายหรือตัวอักษรลงไปบนเนื้อไม้เป็นการตกแต่ง แต่จะไม่ทำให้มากจนเกินไป โดยภาพรวมแล้วภายในบ้านเรือนของกรีกจะมีเครื่องเรือนไม่มาก และเครื่องเรือนที่มีก็เพื่อประโยชน์ใช้สอยมากกว่าการประดับตกแต่ง

ในยุคแรกเริ่มนั้นรูปแบบเครื่องเรือนของกรีกได้รับมาจากอียิปต์โบราณในช่วงเวลาเดียวกัน ที่เห็นได้ชัดคือแนวคิดนิยมรูปเหลี่ยมมากกว่าความโค้งเว้า แต่ด้วยความที่กรีกมีทรัพยากรไม้ที่อุดมสมบูรณ์กว่า ทำให้เครื่องเรือนในกรีกมีพัฒนาการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา จนมาถึงยุคคลาสสิคที่เกิดความโค้งเว้าอันเป็นเอกลักษณ์ของกรีกขึ้นมา (International Styles  2014)


ที่มา: http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/2/23/Greek_furniture_002.jpg

เครื่องเรือนสมัยกรีกที่ใช้กันแพร่หลายมี 5 ประเภทหลัก ประกอบด้วย แท่นนั่ง ม้านั่งยาว โต๊ะเล็ก หีบ และเก้าอี้ แต่ละชิ้นมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ (International Styles  2014, Naillon 2014, Wikipedia 2014)

แท่นนั่งแบ่งออกเป็นสามชนิด ชนิดแรกดูคล้ายโต๊ะเล็ก พื้นด้านบนเรียบตรง ขาตรงสี่ขา ไม่มีพนักพิง ชื่อเรียกในภาษากรีกคือ Bathron  ชนิดที่สองมีน้ำหนักเบา พกพาสะดวก มีขาเป็นรูปทรงขาสัตว์หันเข้าด้านใน ที่ปลายขาเป็นอุ้งเท้าสิงโต ใช้ทั้งในบ้านและนอกบ้าน ชื่อเรียกในภาษากรีกคือ Diphros okladis  ชนิดที่สามใช้เฉพาะในหมู่คนมีฐานะ คือ Thronos หรือ Throne (บัลลังก์) ในปัจจุบัน มักใช้เป็นที่นั่งของบุคคลที่สำคัญที่สุดในสถานที่หรือพิธีการนั้น นอกจากนี้ยังมีแท่นยืนสำหรับใช้เหยียบขึ้นเครื่องเรือนชิ้นอื่น เรียกว่า Theyns

ม้านั่งยาว ในภาษากรีกคือ Kline  ใช้สำหรับนอนรับประทานอาหาร พื้นด้านบนเรียบตรง มีพนักพิงที่ปลายด้านหนึ่งตั้งขึ้นสำหรับพิงหลัง  Kline ทำจากไม้ ส่วนขามักทำจากสัมฤทธิ์ และมักยกสูงจากพื้นจนบางครั้งต้องใช้แท่นยืน(Theyns)ในการก้าวขึ้น โดยมากแล้วม้านั่งจะวางชิดผนัง มีโต๊ะเล็กสำหรับวางอาหารและเครื่องดื่มอยู่ใกล้ๆ(โต๊ะเล็กนี้มีความสูงน้อยกว่าม้านั่ง เวลาที่ไม่ใช้งานสามารถสอดเก็บใต้ม้านั่งได้) คนมีฐานะมักประดับประดาเครื่องเรือนชิ้นนี้อย่างหรูหรา คนมีเงินเท่านั้นจึงจะสามารถมีเตียงแยกไว้ที่ห้องนอนต่างหาก คนที่ไม่มีทรัพย์สินมากนักจะใช้ม้านั่งทั้งในการรับประทานอาหารและการหลับพักผ่อน

หีบในสมัยกรีกมีหลากหลายขนาดและรูปร่าง ฝาปิดมักเป็นทรงจั่วตกแต่งด้วยการใช้เงินหรือทองคำสลักเป็นลวดลายดอกไม้ ด้วยเหตุนี้หีบจึงถือเป็นเครื่องเรือนที่มีค่า และบ่อยครั้งที่หีบกลายเป็นส่วนหนึ่งของสินสอดทองหมั้นที่ชายชาวกรีกให้กับครอบครัวฝ่ายหญิงสาว สิ่งที่ชาวกรีกบรรจุข้างในหีบประกอบด้วยอัญมณี ของมีค่า ผลไม้ และเครื่องสวมใส่ บางครั้งก็ใช้เป็นโลงศพด้วย (Naillon 2014)

โต๊ะในสมัยกรีกมีขนาดเล็กและเคลื่อนย้ายได้ง่าย พื้นด้านบนเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าและมีสามขา สองขาที่ปลายข้างหนึ่งและหนึ่งขาที่ปลายอีกข้างหนึ่ง ชาวกรีกใช้โต๊ะสำหรับวางอาหารและเครื่องดื่มเพียงอย่างเดียว จะไม่ใช้เพื่อวางสิ่งของชิ้นอื่นๆ  วัสดุที่ใช้ทำส่วนมากเป็นไม้ แต่ก็มีบางส่วนที่ทำจากสัมฤทธิ์หรือหินอ่อน นับแต่ 400 ปีก่อนคริสตกาลเป็นต้นมา โต๊ะชนิดนี้ก็ถูกแทนที่ด้วยโต๊ะกลม

เก้าอี้ในสมัยกรีกมีสองชนิด ชนิดแรกมีลักษณะเหมือนกับที่อียิปต์โบราณใช้ คือ แท่นด้านบน พนักพิง และที่วางแขนล้วนเรียบตรงและแข็ง ใช้ในงานพิธีการมากกว่าเพื่อความสะดวกสบาย แต่หลังจาก 500 ปีก่อนคริสตกาล เป็นต้นมา กรีกได้พัฒนาเก้าอี้ของตัวเองขึ้นมา เรียกว่า Klismos ซึ่งมีรูปทรงโค้งเว้าทั้งขาสี่ข้างและพนักพิง(Stiles) ทำให้สามารถนั่งได้ในอากัปกิริยาที่เป็นธรรมชาติ และเพื่อเพิ่มความสบายให้กับผู้นั่ง ยังได้มีการใช้เบาะรองและหนังสัตว์มาปูกับเก้าอี้อีกด้วย เครื่องเรือนชิ้นนี้ส่วนใหญ่จะใช้งานโดยผู้หญิง

โดยภาพรวมแล้วเครื่องเรือนสมัยกรีกมีความคล้ายคลึงกับปัจจุบันทั้งด้านรูปร่างและการใช้สอย ทั้งนี้ก็เพราะเครื่องเรือนในปัจจุบันจำนวนไม่น้อยที่มีรากฐานมาจากอารยธรรมโบราณ นับเป็นเรื่องน่าทึ่งที่ภูมิปัญญาเมื่อกว่าสองพันห้าร้อยปีก่อนยังหลงเหลือและได้รับการยอมรับในคุณค่าของมันมาจนถึงปัจจุบัน

อ้างอิง

International Styles. Ancient Greek Furniture. [Online]. Available from: http://www.furniturestyles.net/ancient/greek/. [Accessed 3rd September 2014].

Naillon, Buffy. About Greek Furniture & Decorative Boxes. [Online]. Available from: http://www.ehow.com/info_7949730_greek-furniture-decorative-boxes.html/. [Accessed 4th September 2014].

Wikipedia. Ancient Furniture. [Online]. Available from: http://en.wikipedia.org/wiki/Ancient_furniture#Greek_furniture. [Accessed 3rd September 2014].

อ่านเพิ่มเติม »

รูปสลักเดวิด (Statue of David)

โดย จิราพร อาสาสู้

รูปสลักเดวิด เป็นประติมากรรมหินอ่อน ที่มีลักษณะเป็นชายเปลือยกาย เพื่อที่แสดงถึงความแข็งแรงและความงดงามของร่างกายมนุษย์  หรือเปรียบเสมือนตัวแทนของความงามและพละกำลัง

อ่านเพิ่มเติม »