ตุตันคาเมน (Tutankhaman)

โดย  รานี อาลี

อียิปต์ ถือว่าเป็นอารยธรรมที่เก่าแก่ที่สุดของโลกตะวันตกหรือที่ทราบดีในนามอารยธรรมลุ่มแม่น้ำไนล์ ซึ่งแม่น้ำไนล์นี้ถือว่าเป็นหัวใจของอารยธรรมอียิปต์ จนบิดาแห่งประวัติศาสตร์โลก เฮโรโดตัสถึงกับกล่าวว่า “Egypt is the gift of the Nile” รวมไปถึงพีระมิดซึ่งมีความสวยงาม ความน่าพิศวง ได้รับการยกย่องว่าเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณแล้ว ยังถือว่าเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของอียิปต์ก็ว่าได้  ไม่ใช่เพียงความเก่าแก่ของอารยธรรมและสปัตยกรรมเท่านั้นที่เป็นที่รู้จัก ยังมีบุคคลมีชื่อเสียงมากมายไม่ว่าจะเป็น พระนางคลีโอพัตรา พระเนเฟอร์ติติ ฟาโรห์โจเซอร์ อิสตรีองค์แรกผู้ยิ่งใหญ่ ฟาโรห์แฮตเซปซุต และไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่าจะไม่มีใครไม่รู้จักฟาโรห์หนุ่มองค์นี้ “ฟาโรห์ตุตันคาเมน”


ที่มา: https://theunredacted.com/

“ตุตันคาเมน (Tutankhaman) หรือ ตุตันคามุน (Tutakhamun) เป็นพระโอรสของฟาโรห์แอเคนาเทน” ซึ่งเดิมชื่อ เอเมนโฮเทปที่4 สาเหตุที่ทรงเปลี่ยนชื่อเพราะความศรัทธาในเทพ “อาเทน” อย่างมากกับพระมเหสีที่ชื่อ “คียา” พระองค์ทรงอภิเษกสมรสกับอังเคเซนปาอาเตน ต่อมาพระองค์ก็ทรงย้ายเมืองหลวงกลับมาที่เมือง เมมฟิส และเปลี่ยนศาสนามานับถือเทพอมอเร่ และเทพอื่นๆ ดังเดิม พร้อมเปลี่ยนพระนามของพระองค์เป็น “ตุตันคาเมน” หรือ “ตุตันคามุน” และพระนามของมเหสีเป็น “อังเคเซนปาอามุน” เพื่อยืนยันถึงความนับถือเทพเจ้าอามุน พระองค์และพระมเหสีทรงมีพริดาด้วยกัน 2 พระองค์ แต่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่งที่พระธิดาทั้ง 2 ทรงสิ้นพระชนม์ในพระครรภ์ โดยพระธิดาองค์แรกทรงสิ้นพระชนม์เมื่อพระมารดามีอายุครรภ์ได้ราวๆ 6 เดือน ส่วนพระธิดาองค์ต่อมาทรงสิ้นพระชนม์เมื่อพระมารดามีอายุครรภ์ได้ 9 เดือน

พระองค์เป็นฟาโรห์องค์ที่ 12 ในราชวงศ์ที่ 18 ของอียิปต์เป็นฟาโรห์ในช่วงปี 1334-1323 พระองค์ถือเป็นฟาโรห์ที่อายุน้อยที่สุดองค์หนึ่ง โดยขึ้นครองราชย์ด้วยพระชนมายุเพียง 10 ชันษา ก่อนที่พระองค์จะขึ้นครองราชย์ทรงใช้พระนามเดิมว่า “ตุตันคาเตน” ซึ่งหมายถึง เทพอาเตนหรือสุริยเทพอวตารลงมา พระองค์ใช้ชีวิตที่เมืองอเคตาเตน หรือเมืองเทลเออลอมาร์นาในปัจจุบัน ซึ่งเป็นเมืองหลวงที่พระบิดาของพระองค์ทรงสร้างอุทิศให้กับเทพองค์ใหม่


ที่มา: http://www.bloggang.com/

ด้วยพระชนมายุที่น้อยของพระองค์ในการขึ้นครองราชย์ จึงถือว่าพระองค์ทรงมีพระปรีชาสามารถเป็นอย่างมาก ทรงมีนโยบายฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกับอาณาจักรต่างๆ เพราะในรัชสมัยของพระบิดาได้เกิดสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำและเกิดการจลาจลเป็นอย่างมาก ทางด้านความเชื่อทรงโปรดให้สร้างวัดจำนวนมากถวายเทพเจ้าอามุน รวมถึงการฟื้นฟูเทศกาลตามประเพณีต่างๆ ขึ้น

หลังจากพระองค์ทรงขึ้นครองราชย์ได้ไม่นานก็สิ้นพระชนม์โดยฉับพลัน ด้วยวัยเพียง 19 ชันษา พระองค์ไม่มีองค์รัชทายาททำให้ วิซิเอร์ วัยย์ รีบฉวยโอกาสเพื่อได้ครองบัลลังก์อียิปต์ พระศพของพระองค์ถูกทำเป็นมัมมี่ และเก็บไว้ที่หุบเขากษัตริย์ พร้อมทั้งของมีค่าต่างๆที่มีความเชื่อว่าจะนำไปใช้ในโลกหลังความตายซึ่งล้วนเป็นทองคำรวมกว่า 3,000 ชิ้น



พระองค์ทรงเป็นตำนานที่ยิ่งใหญ่แห่งการค้นพบทางโบราณคดี ในปี 1922 โฮเวิร์ด คาร์เตอร์ นักโบราณคดีชาวอังกฤษ ร่วมกับ จอร์ด คาร์นาร์วอน ผู้สนับสนุนทางการเงิน ได้เข้าไปยังหุบผากษัตริย์และเขาไปยังสุสานของฟาโรห์ตุตันคาเมน โดยใช้เวลานานถึง 10 ปีในการขุดค้น สุสานของพระองค์ถือเป็นสุสานที่สมบูรณ์ในระดับหนึ่ง เพราะเป็นสุสานที่ไม่ได้สลักชื่อผู้วายชนม์ จึงทำให้รอดพ้นจากโจรที่จ้องจะคอยปล้นและทำลายสุสานฟาโรห์ ทำให้ทุกอย่างยังคงอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์

หลังจากการขุดค้นครั้งนี้ทำให้พบกับสมบัติที่ประเมินค่าไม่ได้หลายชิ้นไม่ว่าจะเป็น โลงพระศพที่ทำด้วยทองคำบริสุทธ์ รวมสมบัติอื่นๆ อีกกว่า 3,000 ชิ้น ที่ล้วนทำจากทองคำบริสุทธิ์ และหน้ากากทองคำที่ปกปิดโฉมหน้าของมัมมี่พระองค์ ซึ่งถือว่าเป็นเอกลักษณ์ของพระองค์เลยก็ว่าได้ ถ้ากล่าวถึงมัมมี่ฟาโรห์หนุ่มที่มีหน้ากากทองคำ



“มรณะจักโบยบินมา สังหารสู้ผู้บังอาจรังควาญ สันติสุขแห่งพระองค์ฟาโรห์” นี่คือข้อความคำสาปที่นักบวชชาวไอยคุปต์ ได้บรรจุในสุสานของฟาโรห์ตุตันคาเมน หลังจากนั้นก็มีผู้ร่วมเปิดสุสานเสียชีวิตในถึง 22 คน และยังมีคำเล่าลืออีกว่า ผู้ใดที่มีประสงค์ร้ายจะเข้าไปยุ่งกับพระราชสมบัติของพระองค์ จะต้องมีอันเป็นไปทุกราย ซึ่งก็ยังคงเป็นปริศนาจนถึงทุกวันนี้ ว่าเกี่ยวข้องกับคำสาปข้างต้นหรือไม่ แต่ก็ยังไม่มีข้อพิสูจน์ในเรื่องนี้ เพราะผู้ที่เสียชีวิตล้วนมีสาเหตุที่พิสูจน์ได้ทั้ง 22 คน ปัจจุบัน พระศพตุตันคาเมนก็ยังคงประดิษฐานอยู่ในสุสานในหุบผากษัตริย์เช่นดังเดิม


อ้างอิง

ประวัติ Tutankhamun. สืบค้นเมื่อ 12 กันยายน 2559, จาก : https://bebeerkub.wordpress.com/profile-tutunkhamun/

Tutankhamun. สืบค้นเมื่อ 16 กันยายน 2559, จาก : https://en.wikipedia.org/wiki/Tutankhamun

Perzius. ฟาโรห์ตุตันคาเมน (Tutankhamun) ตอนที่2. สืบค้นเมื่อ 26 ธันวาคม 2559, จาก : http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=egypt&month=16-12-2014&group=4&gblog=9

อ่านเพิ่มเติม »

ตำนานคนแคระ (Dwarf)

โดย ภวิสสติ ศรีเมืองทอง

จากตำนานนิยายปรัมปราชื่อดังหลายๆเรื่องที่เกี่ยวกับสิ่งมหัศจรรย์ จะต้องมีเนื้อเรื่องของชนเผ่าหนึ่งที่มีความสามารถด้านการช่าง มีฝีมือในการทำอาวุธ ถึงแม้จะรูปร่างที่เตี้ยแต่เต็มไปด้วยความสามารถซึ่งจะเห็นได้จากภาพยนต์ฟอร์มยักษ์หลายๆ เรื่องที่ได้ทำเนื้อถึงกับชนเผ่านี้ ซึ่งถือได้ว่าเป็นตัวละครสำคัญในหนังเลยก็ว่าได้

“คนแคระ”(Dwarf) เป็นสิ่งมีชีวิตที่ปรากฏในตำนานนิยายปรัมปราในกลุ่มประเทศสแกนดิเนเวียและเยอรมันซึ่งจะปรากฏในเทพนิยาย นิยายแฟนตาซีหรือว่าพวกเกมอาร์พีจี ซึ่งคนแคระจะมีพรสวรรค์พิเศษโดยเฉพาะที่เกี่ยวกับด้านการทำเหมืองและการทำโลหะ แนวคิดที่เกี่ยวกับการกำเนิดตำนานของคนแคระไม่สามารถระบุได้แต่แหล่งกำเนิดที่ใกล้เคียงที่สุดเท่าที่สามารถค้นพบคือตำนานตลาดของ เจอร์ เมนิก ที่สืบทอดมาจากตำนานนอร์ธ แต่ก็ยังหาหลักฐานได้ยากเพราะมีหลายรูปแบบเรื่องราวที่พูดถึงต่อๆ กันมา ทำให้เรื่องคนแคระเปลี่ยนไป ทำให้คนแคระกลายเป็นตัวตลกขึ้นและเชื่อถือเรื่องโชคลาง


ที่มา: https://houseofgeekery.com/

ลักษณะภายนอกของคนแคระจะมีลักษณะคล้ายมนุษย์ โดยวิเคราะห์ตามลักษณะตามธรรมชาติจากข้อมูลที่เก่าแก่ของคนแคระเชื่อได้ว่าในยุคแรกนั่นแหละคนแก่มีความสูงพอกันกับมนุษย์ แต่ต่อมาปัจจบันคนแคระจะมีลักษณะเตี้ยแคระ ตัวท้วมตัน ซึ่งบทบาทของคนแคระในตำนานนั้นจะเกี่ยว กับเรื่อง ความตาย มีสีผิวซีด ผมเข้ม นับถือลัทธิภูติผี ซึ่งจะสอดคล้องกันกับเรื่องความตาย บางครั้งก็เหมือนกับพวก “Vaettir” หรือจิตวิญญานแห่งธรรมชาติซึ่งก็คือเอลฟ์

อายุไขของคนแคระ เฉลี่ย 250 ปี ซึ่งในนิยายปัจจุบันหรือภาพยนต์ความสูงของคนแคระนั้นจะสูงกว่าเอวมนุษย์เพียงนิดเดียว หรือประมาน 120-150 เซนติเมตร

รวมถึงการใช้ชีวิตใต้พื้นดินของพวกคนแคระ เมื่อตำนานปรัมปราของคนแคระที่พัฒนาการต่อกันมาทำให้มีความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญคือ การทำให้คนแคระมีความลึกลับมากขึ้น ดูน่าขบขันและมีรูปร่างเตี้ยลงจนน่าเกลียดตามภาพลักษณ์ในยุคใหม่ รวมถึงการใช้ชีวิตใต้พื้นดินของคนแคระก็โดดเด่นขึ้น แต่เนื่องจากคนแคระมีชื่อเสียงในการสร้างของวิเศษในตำนานมากมาย เพราะว่าคนแคระนั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีทักษะในด้านโลหะสูงมาก ซึ่งปรากฏในเทพนิยายหรือนิทานพื้นบ้านในยุคหลังมากขึ้น นอกจากนั้นคนแคระในยุคใหม่มีความเจ้าเล่ห์แสนกลมากขึ้นซึ่งเพิ่มเติมไปจากคนแคระตั้งแต่ยุคแรก จึงทำให้คนแคระในยุคใหม่ มีลักษณะเฉพาะตัวคือ ผมดก มีร่างกายที่เตี้ยแคระ แต่มีความสามารถในการทำเหมืองและการทำโลหะสูง แต่นี่ก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งเพราะประวัติศาสตร์และของที่ของแต่ละท้องถิ่น นั้นทำให้คนแคระนั้นแตกต่างออกไป แล้วแต่ตำนานของแต่ละที่นั้น


ที่มา: https://th.wikipedia.org/

คนแคระในจินตนิยาย ของ เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน มีลักษณะที่ เตี้ย ตัวล่ำ มีหนวดเคราที่ยาว และเป็นช่างที่ชำนาญ คนแคระจะเรียกตัวเองว่า คาซัค เป็นชื่อที่เทพอาวเลตั้งให้ซึ่งเป็นเทพแห่งการช่าง แต่พวกเอลฟ์จะเรียกว่า เนากริม ซึ่งมีความหมายว่า ชนผู้ไม่เติบโตอีกแล้ว

อาวเล สร้างคนแคระขึ้นในยุคเมลคอร์กำลังเรืองอำนาจสร้างความวุ่นวายอยู่บนโลก ดังนั้นพระองค์จึงสร้างให้คนแคระมีความทรหดอดทนไม่ตกอยู่ภายใต้อำนาจชั่วร้ายโดยง่าย

ซึ่งคนแคระในวรรณกรรมของ โทลคินนั้น จะพบได้ในเรื่อง เดอะฮอบบิท เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ตำนานบุตรแห่งฮูริน ฯลฯ

คนแคระที่เทพเจ้าอาวเลสร้างขึ้นครั้งแรก มีจำนวนเจ็ดคน ได้ชื่อว่าเป็นบิดาของคนแคระ โดยมี ดูรินผู้อมตะ (Durin the Deathless) เป็นคนแคระที่มีอาวุโสสูงสุด ผู้ริเริ่มการก่อตั้งอาณาจักรคนแคระบนโลก ที่มหานครใต้ขุนเขา ต้นตระกูลอีกสองคนไปตั้งอาณาจักรของตัวเองที่ทางตะวันตกของมิดเดิลเอิร์ธ ส่วนอีกสี่คนที่เหลือไปตั้งอาณาจักรที่ดินแดนตะวันออกไกลของมิดเดิลเอิร์ธ

คนแคระแบ่งออกได้เป็นสามตระกูลใหญ่ คือ ลองเบียร์ด ไฟร์เบียร์ด และ บรอดบีม คนแคระในตระกูลลองเบียร์ด บางครั้งเรียกว่า พลเมืองของดูริน มีจำนวนมากที่สุดและมีบทบาทอยู่มากในยุคที่สาม คนแคระทั้งสามตระกูลปกครองอาณาจักรต่าง ๆ ในมิดเดิลเอิร์ธดังนี้
• โนกร็อด อาณาจักรคนแคระในยุคที่หนึ่ง เมืองของคนแคระสายวงศ์ ไฟร์เบียร์ด
• เบเลกอสต์ อาณาจักรคนแคระในยุคที่หนึ่ง เมืองของคนแคระสายวงศ์ บรอดบีม
• คาซัดดูม หรือ มอเรีย อาณาจักรคนแคระแห่งแรก ตั้งขึ้นตั้งแต่ยุคที่หนึ่ง เมืองของคนแคระสายวงศ์ ลองเบียร์ด
• เอเรบอร์ หรือภูเขาโลนลี่ อาณาจักรคนแคระที่ตั้งขึ้นในยุคที่สาม แยกตัวออกมาจากคาซัดดูม พลเมืองจึงเป็นตระกูล ลองเบียร์ด เช่นกัน
นอกจากนี้ยังมีเผ่าพันธุ์เล็ก ๆ ของคนแคระอีกกลุ่มหนึ่ง คือ คนแคระค่อม (Petty Dwarves) ภาษาซินดารินเรียกว่า นอยกิธนิบิน ปรากฏในงานเขียนเรื่อง ตำนานบุตรแห่งฮูริน ตำนานเล่าว่าพวกเขาถูกเนรเทศออกจากอาณาจักรของคนแคระด้วยความผิดอย่างใดอย่างหนึ่ง ต้องเร่ร่อนไปในดินแดนเบเลริอันด์ นานไปฝีมือช่างก็ด้อยลง ร่างก็เล็กแกร็นลง จนต้องหาเลี้ยงชีพด้วยการขุดของป่าและด้วยการลักขโมย คนแคระค่อมคนสุดท้ายที่ปรากฏในตำนานคือ มีม


ภาษา คุซดุล

ภาษาของคนแคระ คือ คุซดุล (Khuzdul) เป็นภาษาที่เข้าใจเฉพาะของเผ่าคนแคระด้วยกันเอง เอาไว้เพื่อติดต่อกัน คนแคระจะถนัดการใช้อาวุธจำพวกขวาน แต่ก็มีความสามารถในการสร้างอาวุธที่ยอดเยี่ยม และการที่คนแคระอาศัยอญุ่ใต้ภูเขาจึงทำให้ไม่สามารถทำการเกษตรได้ อาหารของคนแคระจึงได้มาจากการซื้อขายแลกเปลี่ยนกับเอลฟ์

อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่ภาพที่ติดตาคนทั่วไปเกี่ยวกับคนแคระ คือเป็นชนเผ่าที่มีความสามารถในการทำเหมืองผลิตอาวุธซึ่งมาจากหนังดังเรื่อง the lord of the ring ซึ่งเป็นตัวละครที่มีบทบาทมาก และในปัจจุบันยังมีเรื่อง the Hobbit ที่ทำให้คนแคระในตำนานของโทลคินไปอยู่ในความทรงจำของใครหลายๆคน



อ้างอิง


World of history.เปิดตำนานคนแคระ.(online),สืบค้นเมื่อวันที่ 25/9/2559,จาก: http://writer.dek-d.com/citiphte/story/viewlongc.php?id=399131&chapter=34

วิกิพีเดีย.คนแคระ(มิดเดิลเอิร์ท).(online),สืบค้นเมื่อวันที่ 26/12/2559,จาก: https://th.wikipedia.org/

เผ่าต่างๆในเรื่อง LOTR.(online),สืบค้นเมื่อวันที่ 26/12/2559,จาก: http://pantip.com/topic/30012390

ตำนาน เรื่องเล่า เรื่องผี สยองขวัญ.คนแคระ(Dwarf).(online),สืบค้นเมื่อวันที่ 26/12/2559, จาก: http://storylegendsth.blogspot.com/2014/09/dwarf.html

อ่านเพิ่มเติม »

โฮราชิโอ เนลสัน (Horatio Nelson)

โดย พิทวัส  ไชยปิยะพันธุ์                

เขาคือวีรบุรุษแห่งสงครามยุทธนาวีที่ Trafalgar เขาเป็นผู้บัญชากองทัพเรือของประเทศอังกฤษที่ประสบความสำเร็จจากการทำยุทธนาวีต่างๆเช่น ยุทธการที่ไนล์ ยุทธการที่โคเปนเฮเกน เป็นจอมทัพที่มีชื่อเสียงมากในอังกฤษ เขานำอาสากองเรือหลวงวิคตอเรียเป็นเขาประจัญบาณกับกองเรือของฝรั่งเศษและสเปนเป็นเรือล่ำแรกที่เข้าปะทะเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจให้กับทหารอังกฤษให้ลุกขึ้นสู้ประกอบกับวาทะของเขาที่ว่า อังกฤษต้องให้ทุกคนทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด ชื่อของเขาก็คือ โฮราชิโอ เนลสัน (Horatio Lord Nelson)
       
เนลสัน เกิดเมื่อวันที่ 29 กันยายน 1758 ที่มณฑลนอร์ฟอล์ก (Norfolk) ประเทศอังกฤษ  มีบิดาชื่อ  เอ็ดมุนด์ เนลสัน มารดาชื่อ แคทเธอรีน ซัลลิง อภิเษกสมรส เขามีมีพี่น้องชื่อ แคทเธอรีน แมตชม และ ซูซานนาห์ โบลตัน มีลุงชื่อ มอริส ซัลลิง ในวัยเด็กก่อนได้รับราชการ ได้ศึกษาอยู่ที่ Paston School  มณฑลนอร์ฟอล์ก

ด้วยนิสัยที่กล้าหาญ กล้าได้กล้าเสี่ยง ทำให้เขาเริ่มเข้ารับราชการทหาร เมื่อวันที่ 1 มกราคม 1771 โดยการชักชวนของลุง เนลสันได้รับการฝึกฝนและเขามีการพัฒนาอย่างรวดเร็วจนได้เป็นวาที่เรือตรีได้รับหน้าที่อย่างต่อเนื่องจนมีความชำนาญการ ท้ายสุดก็ได้เป็นนายพลเรือ                      
 


เหตุการณ์ยุทธนาวีที่ทราฟัลการ์ เกิดในช่วงต้นศตวรรตที่20 เป็นช่วงที่ชาติมหาอำนาจทางทะเลในยุโรปต้องการแย่งชิงความเป็นใหญ่ ต้องการครอบพื้นที่แหล่งทรัพยากรทั่วทุกมุมโลก แต่ในช่วงนี้ชาติมหาอำนาจอย่างสเปนและโปรตุเกสเริ่มอ่อนแอ่ลงทำให้ต้องหลีกเหลี่ยงการทำสงครามกับชาติมหาอำนาจอื่นในยุโรป เช่นฝรั่งเศษและอังกฤษที่มีการพัฒนาและสามารถครอบครองแหล่งทรัพยากรได้มากกว่าจนทำให้การแข่งขันและความขัดแย้งของชาติมหาอำนาจใหญ่ในยุโรปเป็นการเผชิญกันระหว่างอังกฤษและฝรั่งเศษจนนำสู่เหตุการณ์ ยุทธนาวีที่ทราฟัลการ์

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นจากการที่จักรพรรดินโปเลียนต้องการครอบครองแผ่นดินยุโรปมาเป็นของประเทศฝรั่งเศส แต่มีประเทศหนึ่งที่เป็นภัยคุกคามที่น่าเกรงขาม นั้นคือ ประเทศอังกฤษ

นโปเลียนเล็งเห็นว่า อังกฤษมีกองทัพบกที่อ่อนแอ่ ดังนั้นจุดคิดที่จะบุกเกาะอังกฤษ นโปเลียนได้แต่งตั้งให้ พลเรือโท ปิแอร์ วิลเนิฟ เป็นผู้บัญชาการกองเรือฝรั่งเศส ส่วนอังกฤษมีพลเรือที่มีความสามารถเคยรบชนะนโปเลียนมาแล้วครั้งหนึ่งที่ยุทธนาวีที่ไนส์นั้นคือ นาย พลเรือ โฮเรชิโอ เนลสัน  การเคลื่อนไหวครั้งแรกจนพาไปสู่สงคราม เหตุการณ์ที่ ตูลอง วิลเนิฟ อาศัยช่วงสภาพอากาศที่แปรปรวนทำให้สามารถฝ่าแนวกองเรืออังกฤษออกไปได้ ออกไปทางทิศตะวันตก  ซึ่งเป็นแผนการของฝรั่งเศส ที่จะพยายามให้กองเรือของอังกฤษออกจาแนวชายฝั่งเกาะอังกฤษให้มากที่สุดเพื่อที่จะอาศัยตอนที่กองเรืออังกฤษห่างไกลจากชายฝั่งจากนั้นได้นำเรืออีกส่วนมุ่งลอบเข้าเกาะอังกฤษ        

ซึ่งทำให้ เนลสัน ต้องคิดว่ากองเรือฝรั่งเศษจะแล่นไปที่ใด จากนั้นไม่นาน เนลสัน ก็แล่นเรือตาม วิลเนิฟ ไป โดยได้แบ่งกองเรือส่วนหนึ่งค่อยเฝ้าท่าเรือไว้อีกส่วนก็แล่นตามกองเรือฝรั่งเศสไปโดยมี เนลสันนำเรือแล่นตามไปด้วย ระหว่างที่แล่นเรือตามไปของ เนลสัน ก็ได้แต่คาดการณ์ว่ากองเรือฝรั่งเศสจะแล่นเรือไปถึงในกันแน่ ขณะที่เรืองฝรั่งเศสแล่นห่างไกลออกไปทุกที่ กว่าเนลสันจะได้ข่าวคราวก็ล่าช้ามา   ขณะที่กองเรือฝรั่งเศสหันหัวเรือมุ่งหน้ากลับไปทางยุโรป เป็นเวลานานนักที่เนลสันกว่าจะได้ข่าวที่แน่นอนนี้ ทำให้ เนลสัน ส่งกองเรือเร็วแล่นกลับอังกฤษและสามารถไล่ทันกองรือของ วิลเนิฟ ทำให้เนลสันรู้ถึงเส้นทางเดินเรือของ วิลเนิฟ ที่แน่นอน เนลสัน จึงเร่งเดินทางให้เร็วขึ้น

ขณะที่กองเรือของฝรั่งเศสใก้ลถึงชายฝั่งทางด้านตะวันตกของทวีปยุโรปก็มีเรืออังกฤษที่ เนลสันแบ่งไว้ให้เฝ้าท่าเรือค่อยดักรอไม่ให้กองเรือฝรั่งเศสบุกเข้าไปถึงเกาะอังกฤษได้ ในเวลาใกล้กัน เรือเร็วที่  เนลสัน ให้แล่นนำไปก่อนนั้น  ทำให้กองเรือฝรั่งเศษต้องถอยร่นไปเพราะเกรงว่าจะถูกตีกระหนาบ

จนมีข่าว วิลเนิฟ แล่นเรือลงใต้จากปอร์ทมัธ เนลสันก็แล่นเรือตามไปกับกองเรือของอังกฤษจนถึงทีคารดิชทัพเรือฝรั่งเศสมี่มาชุมนุมกันอยู่ เนลสัน ทำการปิดล้อมอ่าวเพื่อบีบบังคับให้ทัพเรือฝรั่งเศสออกมาทำสงครามใกล้แถว แหลมทราฟัลการ์ จึงเกิดเป็นยุทธนาวีที่ Trafalgar ขึ้น เนลสัน มีแผนการรบที่กล้าหาญคือแทนที่จะแล่นไปเป็นเส้นขนานกับกองทัพเรือของฝรั่งเศสเขาโจมตีทางมุมขวาเบียดแยกเรือกองเรือฝรั่งเศสให้กลายเป็นสามกลุ่มก่อนจะค่อยเริ่มเปิดฉากโจมตี
 


เนลสันนำทัพเรือหลวงชื่อว่า เรือวิกตอเรีย เป็นเรือลำแรกๆที่เข้าประจัญบานกับกองเรือผสม ในศึกสงครามครามครั้งนั้นมีชาติที่เป็นพันธมิตรกับฝรั่งเศสและมีชื่อเสียงด้านทัพเรือไม่แพ้อังกฤษนั้นคือประเทศสเปน
                   
เนลสันใจร้อนรีบทำสงครามไม่ค่อยกองเรือหนุนทำให้กองเรืออังกฤษมีน้อยกว่ากองเรือผสมทางวิลเนิฟโดนบีบให้ต้องสู้เลยไม่มีทางเลือกดังนั้นเข้าจึงมุ่งหน้าทำลายกองเรืออังกฤษเช่นกัน    

เนลสันได้นำเรือหลวงวิกตอเรียเข้าประจัญบานกับกองเรืองฝรั้งเศษ+สเปนอย่างกล้าหาญ ประกอบกับการวะทะการพูดที่มีต่อทหารของเขาว่า  อังกฤษต้องการให้ทุกคนทำหน้าที่อย่างเต็มที่  เป็นการสร้างขวัญและกำลังใจให้กับทหารอังกฤษเป็นอย่างมาก การรบเป็นไปอย่างดุเดือด อังกฤษสามารถเข้ายึดเรือของพวกฝรั่งเศสได้ไว้ได้หลายล่ำ
                   
ก่อนการรบครั้งนี้จะยุติ เนลสัน ถูกยิงขณะบัญชาการอยู่บนด่านฟ้าเรือวิคตอเรียเขาเสียชีวิตในการรบก่อนจะได้เห็นชัยชนะที่น่าภาคภูมิของเขาและของอังกฤษ เมื่อวันที่ 21 October 1805 ทำให้ฝรั่งเศสไม่มีกองเรือที่สามารถจะบุกเกาะอังกฤษ นโปเลียน เลยหันมาทำสงครามภาคพื้นดินในยุโรปแทน



ผลที่ตามมา ความกล้าหาญและความเสียสละของ Nelson ทำให้อังกฤษรอดพ้นจากภัยคุกคามของ นโปเลียน และทำให้อังกฤษกลายเป็นชาติมหาอำนาจทางทะเลออย่างแท้จริง ซึ่งทำให้เขากลายได้       วีรบุรษในสมรภูมิรบในครั้งนี้ในที่สุด

หลังจากการรบสิ้นสุดลงร่างของ เนลสัน ถูกส่งกลับอังกฤษและถูกฝั่งศพไว้อย่างสมเกียรติ ท่ามกลางความโศกเศร้าของชาวอังกฤษทั้งประเทศ
                   
เนลสัน เป็นผู้นำทัพเรือที่ดีมีความกล้าหาญเสียสละเป็นผู้นำที่ทรงคุณค่าแก่การยกย่องของชาวอังกฤษ   การเข้าสู่สงครามระหว่างอังกฤษกับฝรั่งเศส+สเปนทำให้การแย่งชิงความเป็นชาติมหาอำนาจทางด้านกองทัพเรือ หลังสงครามครั้งทำให้ชาติอังกฤษคือชาติมหาอำนาจทางทะเลอย่างแท้จริงตราบจนทุกวันนี้


อ้างอิง

วีกีพีเดีย สารานุกรมเสรี 2559 โฮเรชิโอ เนลสัน สืบค้นเมื่อ 18 กันยายน 2559, จาก:  https://th.wikipedia.org/wiki/โฮราชิโอ_เนลสัน

วีกีพีเดีย สารานุกรมเสรี 2559 ยุทธนาวี ที่ ทราฟัลการ์ สืบค้นเมื่อ 19 กันยายน 2559, จาก: https://th.wikipedia.org/wiki/ยุทธนาวีที่ตราฟัลการ์

คอสมอส. 2555. บันทึกโลกฉบับรวมเล่ม. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพ: บริษัทไทยควอลิตี้บุ้คส์ (2006).

อ่านเพิ่มเติม »

สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า (Bermuda Triangle)

โดย ณัฏฐณิชา วินทะไชย

เหตุการณ์ความลึกลับของการหายไปของเครื่องบินและเรืออย่างไร้ร่องรอยนั้น นับเป็นอีกหนึ่งเรื่องราวความลึกลับและเป็นปริศนาที่ผู้คนบนโลกนี้ให้ความสนใจเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะการหายไปในพื้นที่ของสองสามเหลี่ยมมรณะ คือ"สามเหลี่ยมเมอร์มิวด้า" (Bermuda Triangle) เรื่องราวดังกล่าวก็ยังคงเป็นปริศนาที่ยังไม่สามารถหาคำตอบได้ แม้กระทั่งในปัจจุบันก็ยังมีการกล่าวถึงเรื่องราวของพื้นที่อาถรรพ์นี้อยู่บ่อยครั้ง
 
“สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า” สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าคือสถานที่ส่วนหนึ่งของมหาสมุทรแอตแลนติคทางภาคตะวันตก ซึ่งในอดีตที่ผ่านมาเคยเกิดเรื่องราวลึกลับขึ้น สถานที่นี้เริ่มต้นจากบริเวณตอนเหนือของเบอร์มิวด้าไปจนถึงตอนใต้ของรัฐฟลอริดา-และจากฟลอริดามุ่งตรงไปทางตะวันออกในแนวทำมุมสี่สิบองศากับเส้นรุ้ง พาดผ่านบาฮามัสและเปอร์โตริโก จากนั้นก็ย้อนเฉียงกลับไปสู่ทางใต้ตอนเหนือของเบอร์มิวดาอีก พื้นที่ทั้งหมดที่กล่าวมานี้เป็นอาณาบริเวณที่เชื่อมโยงกันคล้ายเป็นรูปสามเหลี่ยม และอาณาบริเวณรูป


สามเหลี่ยมแห่งนี้นี่ละที่เป็นแหล่งกำเนิดของปรากฏการณ์ลี้ลับเหนือธรรมชาติ และน่ามหัศจรรย์ใจขึ้น 
ที่มา: http://www.tlcthai.com/

สิ่งลึกลับและเหลือเชื่อที่พูดถึงนี้ เริ่มต้นเกิดขึ้นมาตั้งแต่ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ในปี ค.ศ. 1945 และเกิดขึ้นเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ที่ว่ามีเหตุการณ์ลี้ลับเกิดขึ้น ก็เนื่องจากมีทั้งเครื่องบินจำนวนมากกว่า 100 เครื่อง และเรือเดินสมุทรอีกจำนวนมหาศาลที่เดินทางผ่านมาในบริเวณนี้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยในบรรยากาศและพื้นทะเลของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา จนทำให้พื้นที่บริเวณนี้กลืนกินชีวิตมนุษย์นับพันและพาหนะจำนวนมากไปภายในระยะเวลากว่า 20 ปีที่ผ่านมา โดยไม่มีแม้แต่ซากศพหรือเศษชิ้นส่วนใดๆของเรือและเครื่องบินเพียงแต่ซากเดียว

จากเหตุการณ์ที่เคยผ่านมาในอดีต จะพบว่า โดยส่วนมากเครื่องบินที่สูญหายไปเหนือพื้นทะเลแห่งนี้ จะหายจากการติดต่อกับฐานปฏิบัติการณ์หรือสถานีปลายทางไปก่อนที่จะหายตัวไป และแม้ว่าในช่วงนั้นจะมีสภาพของบรรยากาศหรือทัศนะวิสัยที่สงบแจ่มใส  แต่พอถึงช่วงเวลาที่มีเครื่องบินขับผ่านมาที่บริเวณนี้ เครื่องบินเหล่านั้นก็จะหายตัวไปเองอย่างทันทีแบบไม่มีร่องรอยใดๆ การหายสาบสูญที่โด่งดังมากที่สุดจนทำให้ชาวอเมริกันต้องให้ความสนใจกับที่แห่งนี้ ก็คือ "การหายสาบสูญของฝูงบิน 19" ฝูงบินกองทัพเรือสหรัฐ ที่หายสาบสูญไปพร้อมกันทั้งฝูง ประกอบด้วยเครื่องบินทิ้งระเบิดทีบีเอ็ม อแวงเกอร์ห้าลำ ซึ่งอยู่ในระหว่างการฝึกบิน พร้อมกับชีวิตนักบินและพลเรือนประจำเครื่องรวม 14 นาย ในบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 1945 นิตยสารอเมริกันลีเจียน ฉบับประจำเดือนเมษายน ค.ศ. 1962 ตีพิมพ์ว่าก่อนการหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ผู้บังคับฝูงบินได้กล่าวว่า "เรากำลังเข้าสู่เขตน้ำขาว ไม่มีอะไรดูปกติเลย เราไม่รู้ว่าเราอยู่ที่ไหน น้ำทะเลเป็นสีเขียว ไม่ใช่สีขาว"


ที่มา: http://img.tlcdn1.com/

ด้วยความลึกลับตามที่กล่าวมานี้ ทำให้สามเหลี่ยมเบอร์มิวดากลายเป็นบริเวณต้องห้ามและเป็นฮือฮาไปทั่วทั้งโลก อย่างไรก็ตาม จนถึงทุกวันนี้ ก็ยังไม่มีผู้ใดที่สามารถให้คำตอบของคำถามที่แสนพิศดารนี้ได้อย่างแจ่มชัด แต่ก็มีข้อสันนิษฐานการไขปริศนาความลึกลับบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา ที่อธิบายโดยศาสตราจารย์โจเซฟ โมนาแกน และ เดวิด เมย์ ซึ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยโมนาช กรุงเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย การศึกษาสรุปว่า บริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า เป็นพื้นที่ที่มีการสะสมของก๊าซมีเธนใต้ท้องทะเลอยู่เป็นจำนวนมาก จนก๊าซเกิดการปะทุขึ้นสู่ท้องฟ้าเหนือท้องทะเล  ก๊าซมีเธนเหล่านี้เกิดการขยายตัวเป็นวงกว้างโดยรอบ ทำให้วัตถุใด ๆ ไม่สามารถเคลื่อนที่ผ่านได้ และจะต้องถูกดูดกลืนจนจมลงสู่ห้วงทะเลลึกอย่างรวดเร็วในที่สุด 

ความลึกลับและความอาถรรพ์ของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาจึงยังคงปรากฏอยู่ต่อไป  ความพิศวงที่น่าติดตามของสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้านี้ก็ยังคงดึงดูดคนที่สนใจเข้าไปอยู่เรื่อยๆ หากเรื่องราวที่น่าพิศวงนี้ยังไม่สามารถคลี่คลายได้ ก็อาจจะเป็นการดีที่ทำให้เรื่องราวนี้ยังมีความน่าสนใจที่เป็นเสน่ห์และชวนติดตามต่อไป


อ้างอิง

สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา (Bermuda Triangle @ Atlantic Ocean) และผลพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์.2559. ตำนานที่น่าสนใจ. สืบค้นเมื่อ 24 กันยายน 2559, จาก: http://www.tumnandd.com/สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา-bermuda-triangle

สามเหลี่ยม เบอร์มิวดา The Bermuda Triangle ไขปริศนา น่านน้ำอาถรรพ์ หรือแค่ปรากฏการณ์ธรรมชาติ?.2559.truelife.สืบค้นเมื่อ 24 กันยายน 2559, จาก: http://travel.truelife.com/detail/53033

สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา. สืบค้นเมื่อ 24 กันยายน 2559, จาก:  https://th.wikipedia.org/wiki/สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา

อ่านเพิ่มเติม »

อัล คาโปน (Al Capone) เจ้าพ่อแห่งอเมริกา

โดย ปวินท์ บริสุทธิ์

ถ้ากล่าวถึงบุคคลดังที่มีความในช่วงทศวรรษที่ 20 -30 ในอเมริกานั้นคงไม่มีใครไม่รู้จัก มาเฟีย ชื่อดังของ อเมริกา ซึ่งถือได้ว่าเป็นบุคคลอันตราย และทรงอิทธิพลที่สุดในช่วงนั้นนั้นก็คือ อัลคาโปน (Al capone หรือ Alphonse gabriel capone) ชื่อเสียงของเขาดังไปทั่วอเมริกา โดยเฉพาะในรัฐชิคาโก

อัลคาโปน เกิดที่เมืองบรุกลิน นครนิวยอร์ก บิดามารดาเป็นชาวอิตาลีหลบหนีเข้าเมือง เพื่อมาตั้งถิ่นฐาน ในสมัยเด็กย่านที่อยู่ของเขาเต็มไปด้วยแก๊งมาเฟียจึงทำให้เขาเข้ากลุ่มอาชญากรตั้งแต่ยังเล็กซึ่งในสมัยก่อนนั้นยังอยู่ในแก๊งเล็ก เขานั้นไม่สนใจเรื่องการเรียนเลยจนถูกไล่ออกจากโรงเรียนเมื่ออายุ 14 ปี

ต่อมา ชีวิตของเขานั้นเริ่มเข้ามาอยู่กับอาชญากรรมอย่างเต็มตัว ในช่วงแรกคนแถวนั้นจะเรียกเขาในชื่อเล่นว่า อัลคาโปน แต่ต่อมาก็ได้ฉายาใหม่ว่า ไอ้หน้าบาก (The Scarface) ซึ่งที่มานั้นมีหลายที่มาไม่ว่าจะเป็น ถูกแก๊งคู่อริทำร้ายเป็นรอยแผลเป็นที่หน้า จนรวมไปถึงถูกโสเภณีนั้นกรีดหน้าเนื่องจากไปโกงค่าตัว ซึ่งที่มานั้นก็ยังไม่แน่ชัด แต่เมื่อพูดถึงฉายาของเขาแล้วทุกคนในแถบนั้นยอมรู้จักเขาดีจากแก๊งค์เล็กๆในตรอกบลุกลิน วิ่งราว ขโมยของ ทำร้ายร่างกาย ความทะเยอทะยานของเขาจึงออกมาจาก นิวยอร์ก มุ่งตรงไปสู่ ชิคาโก


ที่มา: http://www.history.com/

ในช่วงนั้น จอห์นนี่ เทอริโอ้ (Johnny Torrio) ซึ่งเป็นเจ้าของแก๊งค์ผู้มีอิทธิพลใหญ่แก๊งหนึ่งแห่งชิคาโก แก๊ง Chicago outfit (แก๊งร้านเสื้อผ้าแห่งชิคาโก) ซึ่งแก๊งค์นี้แสวงหาลาภผลจากการขนเหล้าเถื่อนเข้าเมือง ทั้งยังร่วมละเมิดกฎหมายบ้านเมืองอีกหลายประการ โดยเฉพาะการค้าประเวณี และให้สินบนแก่เจ้าพนักงาน ซึ่งในสมัยนั้นถือเป็นเรื่องที่ใหญ่มากถ้ามีการกระทำความผิดได้ชักชวนอัลคาโปนมาเป็นมือขวาของเขาและกลายมาเป็นหัวหน้าแก๊งในเวลาต่อมารับต่อจากจอห์นนี่ ที่เสียชีวิตจากการถูกยิงจากแก๊งค์คู่อริ ซึ่งมีเหตุการณ์สำคัญที่ทุกคนจดจำได้ดีและเป็นจุดที่ทำให้อัลคาโปนมีชื่อเสียงมากนั้นคือ เหตุการณ์สังหารหมู่ในวันวาเลนไทม์


St. Valentine's Day Massacre (สังหารหมู่ในวันวาเวนไทน์)

คดีนี้ถือเป็นคดีที่ใหญ่ที่สุดของอเมริกาเลยก็ว่าได้ของการสังหารหมู่ของผู้มีอิทธิผลในชิคาโกคือ แก๊งมอแรนไวสส์ ซึ่งเป็นแก๊งใหญ่ของชิคาโกและเป็นแก๊งค์คู่ปรับของแก๊งอัลคาโปน ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ปี ค.ศ. 1926 อัล คาโปนได้ดำเนินแผนการแก้แค้นให้แก่ จอห์นนี่ เทอริโอ้ โดยไปพักที่ฟลอริดา และส่งลูกน้องแจ๊ค แมคเกิร์น (Jack McGurn) นำทีมโดยแผนการแก้แค้นในครั้งนี้วางไว้โดยให้นกต่อไปติดต่อสู้เหล้าเถื่อนล็อตใหญ่และให้ไปส่ง มอบที่อู่ซ่อมรถและมีสมาชิกของแก๊งคาโปนปลอมตัวเป็นตำรวจดักรออยู่ และ เมื่อสมาชิกแก๊งมอแรนไวสส์มาถึงอู่รถ ตำรวจปลอมก็มาถึง ทำการค้นตัวและดันให้สมาชิกแก๊งมอแรนไวสส์ ไปชิดฝาพนังกำแพง และทั้งหมดก็สาดกระสุนใส่แก๊งค์มอแรนไวสส์จนเสียชีวิตยกแก๊ง ทำให้คดีกลายเป็นตำนานที่โด่งดังที่สุดของ อัลคาโปน



เมื่อชีวิตของอัลคาโปนถึงขึ้นสูงสุดของการเป็นแก๊งค์ผู้มีอิทธิพลของธุรกิจมืดในอเมริกาของเขา ที่ครอบคลุมทั่วชิคาโก ตำรวจหน่วยงานของรัฐต้องยำเกรงในอำนาจของเขา จนทำให้หน่วยงานกลางของอเมริกาที่ติดตามแก๊งค์ของอัลคาโปนนั้นคือ FBI  สำนักงานสอบสวนกลางของอเมริกาเป็นกรณีพิเศษเหนื่องจากมีผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐบาลเป็นอย่างมาก จนกระทั่ง อีซี่ เอ็ดดี้ (Easy Eddie) ทนายคนเก่งของแก๊งค์อัลคาโปนต้องการที่จะวางมือเพื่อเป็นแบบอย่างให้ดีกับลูกของเขาจึงได้ให้ความร่วมมือกับ FBI ในการให้เบาะแสที่จะเอาผิดกับอัลคาโปนและแก๊งค์ โดยให้บัญชีการเลี่ยงภาษีของอัลคาโปนเป็นเวลาถึง 11 ปีซึ่งคิดเป็นจำนวนเงินหลายล้านดอลล่าสหรัฐ จึงทำให้นายอัลคาโปนถูกจับในที่สุดส่วนนายเอ็ดดี้นั้นถูกยิงเสียชีวิตก่อนวันที่จะพิจารณาคดีของอัลคาโปน ดังนั้นในช่วงชีวิตสุดท้ายของเขา อัลคาโปนได้ถูกส่งตัวไปที่คุกที่โหดที่สุดของอเมริกา คือ คุกมายังอัลคาทราซ ที่แคลิฟอร์เนีย

วันที่ 16 พฤศจิกายน ปี ค.ศ.1939 อัลคาโปน พ้นโทษ แต่ป่วยเป็นโรคซิฟิลิส ที่ติดจากในคุก ทำให้เขาต้องรักษาตัวอยู่นานจนไม่สามารถกลับเป็นใหญ่ได้อีก แต่กระนั้นก็มีทรัพย์สินส่วนตัวที่รอดพ้นมือตำรวจมากมาย เขามอบอำนาจให้กับเจ้าพ่อคนใหม่ แล้วกลับไปใช้ชีวิตที่เหลืออยู่กับครอบครัวที่ไมอามี่

ในวันที่ 25 มกราคม ปี ค.ศ. 1947 อัลคาโปน เสียชีวิตลง เนื่องจากหัวใจหยุดเต้น อันเนื่องมาจาก เป็นอันปิดฉากตำนานเจ้าพ่อที่เรืองอำนาจและยิ่งใหญ่ของอเมริกานับแต่นั้นเป็นต้นมา และเรื่องของเขาได้ถูกนำไปสร้างเป็นเค้าโครงหนังในหลายๆเรื่องของ ค่ายหนังยักใหญ่ใน  อเมริกา ที่เรารู้จักกันว่า Hollywood เช่นเรื่อง The godfather,  The Untouchables เป็นต้น ซึ่งจะมีลักษณะที่ดัดแปลงมาจากชีวิตจริงของ อัลคาโปล ทั้งสิ้น


อ้างอิง

อัล คาโปน (Al Capone). สืบค้นเมื่อ 25 กันยายน 2559, จาก: https://en.wikipedia.org/wiki/Al_Capone

เจ้าพ่อ อัล คาโปน . สืบค้นเมื่อ 25 กันยายน 2559, จาก: http://wowboom.blogspot.com/2008/11/al-capone.html

Al Capone Biography. (2016). biography.com. Retrieved 25 September 2016, from: http://www.biography.com/people/al-capone-9237536#synopsis

อ่านเพิ่มเติม »

เฮดีส (Hades) เทพเจ้าแห่งโลกใต้พิภพ

โดย ภาสินี ชัยวรรณคุปต์
   
มีเรื่องเล่าขานเกี่ยวกับตำนานเทพเจ้าต่างๆมากมายทั่วมุมโลกที่โด่งดังและผู้คนต่างเคารพบูชา แต่ยังมีอีกหนึ่งตำนานเทพเจ้าที่มีช่อเสียงโด่งดัง สืบทอดมาจนถึงปัจจุบันโดยมีการจัดทำเป็นภาพยนต์ ละครโทรทัศน์ นิยาย การ์ตูน และบทละครอื่นๆอีกมากมาย นั่นคือ ตำนานเทพเจ้าตามความเชื่อของชาวกรีกโบราณที่โด่งดังไปทั้วโลก โดยเฉพาะ ตำนานของเหล่าเทพแห่งเขาโอลิมปัส (Olympus) ตามความเชื่อของชาวกรีกโบราณ ที่เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย อย่างเช่น ซุส (Zeus) เทพผู้ปกครองเขาโอลิมปัสและบรรดาเทพทั้งหมด โพไซดอน (Poseidon) เทพผู้ปกครองท้องทะเลทั้งหมด และ เฮดีส หรือ ฮาเดส (Hades) เทพเจ้าผู้ปกครองโลกใต้พิภพ

เฮดีส เป็บบุตรของ เทพ โครนอส (Kronos) และ ไกอา (Gia) เทพเจ้าของเหล่าตระกูล ไททัน (Titan) มีพี่น้องทั้งหมด 6 คนรวมเทพเฮดีสเอง ได้แก่ ซุส เทพเจ้าแห่งเขาโอลิมปัส โพไซดอน เทพเจ้าแห้งท้องทะเล เฮดีส เทพเจ้าแห่งโลกใต้พิภพ เฮร่า เทพีแห่งเทพเจ้าทั้งปวง ดีมีเธอร์ เทพเจ้าแห่งการเก็บเกี่ยวและเกษตรกรรม และ เฮสเธีย เทพเจ้าแห่งบ้าน เมื่อครั้งแบ่งการปกครอง เหล่าทวยเทพทั้งสาม ได้แก่ ซุส เฮดีส และโพไซดอน  ได้ทำบางอย่างเพื่อแบ่งเขตการปกครอง แต่จากหลายแหล่งข้อมูลมีการบันทึกไว้ว่า ซุส โกงการตัดสิน ทำให้เขาได้ปกครองบนเทือกเขาโอลิมปัส และเฮดีสได้ลงมาปกครองโลกใต้พิภพ ด้วยเหตุนี้เอง ทำให้เฮดีสไม่ค่อยจะได้รับการต้อนรับจากเขาโอลิมปัสหรือโลกข้างบนซักเท่าไหร่ เพราะหลายคนเข้าใจผิดว่า เฮดีสเป็นเทพแห่งความตายแต่จริงๆแล้วไม่ใช่


เฮดีส เป็นแทพแห่งโลกใต้พิภพ ที่ปกครองโลกข้างล่างทั้งหมด อีกทั้งยังเป็นเทพที่รำ่รวยที่สุดใน บรรดาเหล่าทวยเทพทั้งหลาย เฮดีสเป็นเทพที่มีความยุติธรรมอย่างมาก เพาะเขารู้ว่า ไม่ว่าคนจะมาจากไหนก็ล้วนแต่ต้องตายกันหมด ดั้งนั้นจึงเป็นผู้มีความเที่ยงธรรม และความซื่อตรงอย่างมาก สัญลักษณ์ประจำตัวของเทพเฮดีสคือ หมาสามหัว หรือ Ceberus ผู้คอยปกป้องประตูแห่งโลกใต้พิภพ และ ไม้สองง่าม อีกทั้งยังมีเทพอีกสามองค์คอยให้ความช่วยเหลือในการตัดสินคดีเรียกว่า สามเทพสุภา ได้แก่ เทพราดาแมนทีส เทพไมนอส และเทพไออาคอส นอกจากนี้ ฮิปนอส เทพเจ้าแห่งการหลับไหล และ ทานาทอส เทพแห่งความตายก็ยังเป็นผู้มีส่วนร่วมและให้ความช่วยเหลือในการพิจรณาอยู่อีกด้วย

ตำนานความรักที่เด่นของเทพเฮดีสได้แก่ การครองรักกับเทพี เพอร์เซโฟนี (Persephone) ลูกสาวของเทพี ดีมีเธอร์ เทพเจ้าแห่งเกษตรกรรมและการเก็บเกี่ยวกับซุส ซึ่งถ้าตามหลักการแล้ว เฮดีสและเฟอร์เซโฟนี่ก็มีศักดิ์เป็นอา-หลาน กันนั่นเอง เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อครั้งเฮดีสได้ขึ้นมายังพื้นโลกและได้พบกับเพอร์เซโฟนี่ก็เกิดเป็นความรักของเฮดีสที่มีความหลงไหลในเฟอร์เซโฟนี่อยู่มาก หลังจากนั้น เฮดีสจึงได้ทำการลักพาตัวเฟอร์เซโฟนี่ลงมาอยู่กับตนเองเพื่อเป็นคู่ครองที่โลกใต้พิภพ แต่ทว่าเมื่อเทพีดิมีเธอร์ผู้เป็นแม่ทราบว่าธิดาของตน ถูกเฮดีสลักพาตัว ก็เกิดความไม่พอใจและได้ไปร้องเรียนต่อเทพซุสให้ช่วยนำธิดาของเธอคืนมา ซุส ได้วานให้เทพเฮอร์มีส (Hermes) ไปเป็นผู้เจรจากับเทพเฮดีส โดยในการเจรจาครั้งนั้นมีเงื่อนไขว่า ถ้าเทพีเพอร์เซโฟนี ไม่ได้หยิบจับกินอะไรในยมโลก เทพเฮดีสต้องส่งนางคืนแก่เทพีดิมีเตอร์โดยทันที แต่หาก เทพีเพอร์เซโฟนี เสวยของในยมโลก เฮดีสก็จะสามารถมีสิทธิในตัวนาง ผลปรากฏว่าเทพีเพอร์เซโฟนีได้กินเมล็ดผลทับทิมไป 6 เมล็ดทำให้เฮดีสมีสิทธ์ในตัวนาง จึงตกลงกันว่าในแต่ละปี เทพีเปอร์เซโฟนี จะกลับขึ้นมาอยู่กับดีมีเธอร์บนพื้นโลก 6 เดือน และต้องกลับไปอยู่กับเฮดีสในโลกใต้พิภพอีก 6 เดือน ช่วงที่เทพีเพอร์เซโฟนีขึ้นมาอยู่บนพื้นโลกนั้น เทพีดิมีเธอร์ มีความยินดีอย่างยิ่ง ทำให้แผ่นดินและพืชพันธุ์คืนสู่ความเขียวขจี พร้อมกับเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน ในทางกลับกัน เมื่อเทพีเพอร์เซโฟนี ต้องกลับไปอยู่ข้างล่าง พืชพรรณและแผ่นดินที่เขียวขจีก็จะเหี่ยวแห้งไม่เจริญผล พร้อมกับเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว


ที่มา: http://www.tumnandd.com/

อาณาจักใต้พิภพซึ่งเฮดีสปกครองอยู่นั้น(ตามตำนานที่ Homerได้เขียนไว้) แบ่งออกเป็น 4 ส่วน ได้แก่ ส่วนแรกของ ทาทารัส (Tartarus) ดินแดนที่คนส่วนใหญ่เรียกว่า นรก เพราะผู้ใดที่หมดอายุไขต้องถูกส่งมาเพื่อพิจรณาความที่นี่ ส่วนที่สองคือ อิลีเซียม (Elysium) ซึ่งตรงข้ามกับทาทารัส โดยเปรียบเหมือนกับ สวรรค์ ซึ่งเป็นที่ฝังศพเทพโครนอส และยังเป็นดินแดนที่มีความสว่งสดใส วิญญาณตนใดที่อยู่นดินแดนนี้ สามารถกลับขึ้นไปใช้ชีวิตเหมือนเดิมได้ ส่วนที่สามได้แก่ แอสโฟเดล (Asphodel Fields) จะมีลักษณะคล้ายๆกับ อิลีเซียมแต่ไม่ได้มีความสว่างสดใสเท่า และวิญญาณส่วนใหญ่อยู่ในที่แห่งนี้ และส่วนสุดท้ายได้แก่ อีเรบีส (Erebus) เป็นสถานที่ซึ่งเฮดีสอาศัยอยู่ ทุกคนที่หมดอายุไขแล้วต้องผ่านที่นี่เป็นที่แรก

นอกจากนั้น เราจะมาพูดถึงเรื่องการเดินทางของวิญญาณหลังความตาย  ในดินแดนใต้พิภพยังมีแม่น้ำอีก 5 สายที่สำคัญได้แก่ แม่น้ำ สติงค์ (Stynx) แม่น้ำ อาคีรอน (Acheron) แม่น้ำ โคซายตัส (Cocytus) แม่น้ำ เฟลกีธัน (Phlegeton) และแม่น้ำ เลธี (Lethe) โดยเมื่อหมดอายุไข วิญญาณทุกตนจะต้องนั่งเรือข้ามแม่น้ำสติงค์เพื่อเข้ามาที่โลกใต้พิภพโดยจะมี ชาร์ลอน เป็นผู้ภายเรือข้าม ซึ่งจากตรงนี้จะทำให้เห็นในแง่ของความเชื่อที่ว่าทำไมเมื่อเวลามีคนตายต้องใส่เหรียญไว้ที่ปากศพ เพื่อมาจ่ายค่าผ่านทางให้กับชารฺลอนในการพาข้ามแม่น้ำไป และหลังจากนั้นก็จะถูกนำมาพิจารณาไปตามลำดับ และมีการดื่มน้ำที่แม่น้ำเลธีเพื่อลืมเรื่องราวข้างบนและมีความสุขกับชีวิตใหม่

และนี่คือเรื่องราวและประวัติเกี่ยวกับเทพเจ้าเฮดีส เทพเจ้าแห่งโลกใต้พิภพในตำนานกรีก หรือเทพเจ้า พลูโต ตามตำนานของชาวโรมัน ที่มีความเชื่อถือและความศรัทาเผยแพร่ไปทั่วโลก หลายคนอาจะเข้าใจผิดเกี่ยวกับเรื่องราวของเขาว่าเฮดีสเป็นเทพแห่งความตาย และน่ากลัว แต่จริงๆแล้วเฮดีสไม่ใช่ ท่านเป็นผู้ที่มีความยุติธรรมต่อทุกคนที่ลงมาอยู่ในอณาจักรของท่าน และยังเป็นผู้ที่ร่ำรวยที่สุดอีกด้วย


อ้างอิง

Danae. (2010). เฮดีสเทพแห่งคนตายและอณาจักรใต้พิภพ. Retrieved September 15, 2016, from https://my.dek-d.com/Gemeaux/writer/viewlongc.php?id=154645&chapter=5

เจ้าข้าเจ้าของ. (2013). ตำนานรักเทพเฮดีสเทพแห่งโลกหลังความตาย กับเทพธิดาเพอร์ซิโฟเนเทพธิดาแห่งฤดูใบไม้ผลิ. Retrieved September 16, 2016, from: http://board.postjung.com/706088.html

Shmoop. PERSEPHONE, DEMETER, AND HADES SUMMARY.  Retrieved September 20, 2016, from: http://www.shmoop.com/persephone-demeter-hades/summary.html

อ่านเพิ่มเติม »

ฟรานซิสโก ปีซาร์โร ผู้พิชิตอาณาจักรอินคา

โดย ศรัณย์ เจริญเมือง
       
ในยุคล่าอาณานิคมนั้น มีนักสำรวจจากยุโรปมากมาย ที่ได้เดินทางเสี่ยงโชคไปที่ทวีปอเมริกา หรือที่เรียกว่าโลกใหม่ ด้วยเหตุผลนานัปการ ไม่ว่าจะเป็นการแสวงหาอาณานิคมแห่งใหม่ ค้าขายแลกเปลี่ยน เผยแผ่ศาสนา ล่าอาณานิคม หรือแม้กระทั่งฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เพื่อล้มล้างอาณาจักรของผู้อยู่อาศัยเดิมในดินแดนแห่งนี้ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ “ฟรานซิสโก ปีซาร์โร”
                   


ฟรานซิสโก ปีซาร์โร เกิดในปี ค.ศ. 1478 ที่เมือง Trujillo ประเทศสเปน เขาเป็นลูกนอกสมรสของนายทหารสเปน ชีวิตในวัยเด็กของเขาที่ค่อนข้างแร้นแค้น ถูกเลี้ยงดูโดยตายาย และไม่ได้รับการศึกษา เขาทำงานเป็นคนเลี้ยงหมูอยู่ 15 ปี  เมื่อครั้งยังเป็นเด็ก เขาได้ยินนิทานเกี่ยวกับโลกใหม่ และเกิดแรงปรารถนาในทรัพย์สมบัติ และการผจญภัย จนถึงปี 1502 จึงได้เดินทางไปอยู่กับญาติข้างบิดา ที่หมู่เกาะเวสต์อินดีสซึ่งก็คือประเทศเฮติในปัจจุบัน
               
ในปี 1513 ปีซาร์โรเดินทางไปกับ วาสโก บัลบัว จนถึงปานามาและได้ลงหลักปักฐานอยู่ที่นี่จนได้เป็นนายกเทศมนตรีของปานามาซิตี้ ในปี 1523 ในช่วงนี้เขาเดินทางสำรวจชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก 2 ครั้ง จนถึงโคลอมเบีย เพื่อติดตามเรื่องราวที่เล่าลือถึงความมั่งคั่งของอาณาจักรเร้นลับที่ชื่อ "อินคา"
               
ปีซาร์โรเดินทางกลับไปสเปนเพื่อเฝ้ากษัตริย์ คาลอสที่ 5 แห่งสเปนพร้อมด้วยทองคำเป็นเครื่องล่อใจ เพื่อขอพระราชทานการสนับสนุนในการล่าอาณานิคมที่เขาตั้งชื่อว่า เปรู

ปีซาร์โรกลับไปยังชายฝั่งแปซิฟิกอีกครั้ง และเผชิญหน้ากับกองทัพของอาณาจักรอินคาเป็นครั้งแรก ซึ่งผลของการรบจบลงด้วยความพ่ายแพ้แบบเอาตัวแทบไม่รอดของฝ่ายสเปน แต่ปีซาร์โรก็ไม่ยอมแพ้ เขากลับไปรวบรวมคนจากปานามาโดยมีทองเป็นเครื่องล่อใจ

ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ทางอินคาเกิดสงครามชิงอำนาจ ระหว่างฮัวสการ์ (Huascar) ซึ่งเป็นรัชทายาท กับอทาฮวลปา (Atahualpa) ผู้ครอบครองดินแดนตอนเหนือ และจบลงด้วยชัยชนะของ
อทาฮวลปา สงครามดังกล่าวกินเวลานานถึง 3 ปี และมีผู้เสียชิวิตเกือบ 1 แสนคน ซึ่งได้นำความแตกแยกและอ่อนแอมาสู่อาณาจักรแห่งนี้


ที่มา: http://oknation.nationtv.tv/

หลังจากกลับไปเตรียมการที่ปานามา ปีซาร์โรกลับมาอีกครั้งพร้อมกับทหารราบ 180 คน ทหารม้า 30 นาย และปืนใหญ่ 1 กระบอก  ได้เผชิญหน้ากับอทาฮวลปา ซึ่งมีทหารห้อมล้อมเกือบ 40,000 คน ปีซาร์โรเข้าแสดงตัวในฐานะราชทูตผู้มีอำนาจเต็มของกษัตริย์สเปน และชักชวนให้อทาฮวลปาเลื่อมใสในคริสต์ศาสนา แต่ด้วยความไม่เข้าใจกัน ทำให้อทาฮวลปาโยนคัมภีร์ไบเบิ้ลทิ้ง กองทัพสเปนจึงถือเป็นสาเหตุประกาศสงครามและเปิดฉากการโจมตีด้วยการระดมยิงปืนคาบศิลาและปืนใหญ่ใส่ทหารของอทาฮวลปาในทันที

แม้ว่าปีซาร์โรจะมีกำลังพลที่น้อยกว่า แต่ด้วยการเตรียมการรบมาอย่างดี และมีอาวุธยุทโธปกรณ์
และแผนการรบที่แยบยนกว่าทางฝั่งของอทาฮวลปาอยู่มาก ทำให้ปีซาร์โรและทหารสเปนเพียง 200 นาย เอาชนะกองทัพของอทาฮวลปาที่มีจำนวนมากกว่าไปอย่างง่ายดาย

ปีซาร์โรได้จับอทาฮวลปาเป็นเชลย และเรียกร้องทองคำปริมาณเต็มห้องขังเป็นค่าไถ่ แต่เมื่อได้รับทองจำนวนมหาศาลแล้ว แทนที่จะปล่อยกษัตริย์อินคาให้เป็นอิสระ เขากลับลงมือปลิดชีวิตอทาฮวลปาต่อหน้าต่อตาชาวอินคา และยังสั่งให้กองกำลังทหารสเปนออกโจมตีและปล้นสะดมชาวอินคา และสถาปนาน้องชายของอทาฮวลปาขึ้นมาเป็นหุ่นเชิด    
             


ในปี 1535 ปีซาร์โรได้ตั้งกรุงลิมาขึ้นเป็นเมืองหลวงของเปรูแทนนครกุซโก(Cuzco) ของอินคา ซึ่งทำให้อาณาจักรอินคาล่มสลาย และได้กลายเป็นอาณานิคมของสเปนโดยสมบูรณ์

หลังจากการตกเป็นอาณานิคมของสเปน ชนพื้นเมืองต้องตกเป็นทาส ต้องส่งทองคำทั้งหมดที่ขุดได้ให้สเปน ทำให้สเปนกลายเป็นชาติที่ร่ำรวยที่สุดจากการล่าอาณานิคมในอเมริกาใต้ จนเข้าสู่ศตวรรษที่ 18 ผลผลิตจากเหมืองแร่ลดลง รัฐบาลสเปนปรับเพิ่มภาษี แรงงานชาวพื้นเมืองที่ทำงานในเหมืองถูกใช้แรงงานอย่างหนัก ต่อมา โฆเซ่ กาบรีเอล กองดอร์กังกิ (Jose Gabriel Condorcanqui) ทายาทของตูปัก อามารู จักรพรรดิองค์สุดท้ายแห่งอาณาจักรอินคา ได้ออกมาเดินขบวนเรียกร้องเอกราชในปี ค.ศ.1780 แต่ก็ถูกทหารสเปนจับมาประหารชีวิตที่จตุรัสกุซโก แต่แนวทางของเขายังมีอิทธิพลต่อการต่อสู้เรียกร้องอิสระภาพของเปรู และในปี ค.ศ. 1821 ซิโมน โบลิวาร์ (Simon Bolivar) เข้ามายึดอำนาจได้สำเร็จ และขับไล่ทหารสเปนออกไป เปรูได้รับเอกราช และการปกครองแบบอาณานิคมของสเปนก็สิ้นสุดลงในที่สุด

ในปัจจุบัน เปรูเป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางด้านเชื้อชาติ มีประชากรทั้งหมด 28 ล้านคนประกอบด้วยชนพื้นเมืองชาว เมสติโซ(Mestizo) เป็นลูกผสมระหว่างชนพื้นเมืองกับชาวยุโรป และชาวยุโรปผิวขาวเชื้อสายลาติน 45 % เป็นชนพื้นเมืองที่มีถิ่นฐานเดิมอยู่ในอเมริกาใต้ มีชนเผ่าที่สำคัญได้แก่ เกชัว (Quechua) และไอย์มารา (Aymara)  ภาษาที่ใช้ในราชการในปัจจุบันคือ ภาษาสเปน      

ฟรานซิสโก ปีซาร์โร อาจจะได้รับการยกย่องเชิดชูในฐานะผู้พิชิต(Conquistador)ในสายตา ของชาวสเปน ที่สามารถเอาชนะและยึดครองอาณาจักรที่มีประชากรเกือบ 6 ล้านคน ด้วยกำลังทหารเพียง 200 นาย  แต่ในอีกด้านหนึ่ง ก็ถูกมองว่าเป็นจอมหลอกลวง คนทรยศจอมเจ้าเล่ห์  ที่เส้นทางความสำเร็จนั้นเปรอะเปื้อนไปด้วยคาวเลือดและซากศพของมิตรสหาย และประชาชนผู้บริสุทธิ์อีกมากมาย            


อ้างอิง

ฟรานซิสโก ปีซาร์โร (Francisco Pizarro). สืบค้นเมื่อ 26 กันยายน 2559 จาก
http://www.psevikul.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=538784932&Ntype=5

ฟรานซิสโก ปีซาร์โร หายนะ แห่งอาณาจักรอินคา.สืบค้นเมื่อ 26 กันยายน 2559 จาก
http://oknation.nationtv.tv/blog/agelbusiness/2013/04/05/entry-2

สุดยอดดาวร้ายในประวัติศาสตร์โลก ตอนที่ 10 : ฟรานซิสโก ปิซาร์โร สืบค้นเมื่อ 26 ธันวาคม 2559 จาก
http://www.soccersuck.com/boards/topic/1184080

อ่านเพิ่มเติม »

อะบอริจิน (Aborigins): ชนพื้นเมืองออสเตรเลีย

โดย  อรอนงค์  มะอาจเลิศ

ออสเตรเลีย ดินแดนแห่งซีกโลกใต้ที่นักท่องเที่ยวใฝ่ฝัน นอกเหนือจากสถานที่ท่องเที่ยวเด่นๆ อย่างโอเปร่าเฮาส์ (สนามบินซิดนีย์) สัตว์ประจำชาติอย่างจิงโจ้ และหมีโคอาล่า แล้วยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่มีความโดดเด่นไม่แพ้กัน ก็คือ ชาวอะบอริจิน ชนพื้นเมืองดั้งเดิมของออสเตรเลียกับวัฒนธรรมเก่าแก่ที่น่าค้นหานั่นเอง
   
อะบอริจิน (Aborigine) เป็นชาวพื้นเมืองดั้งเดิมของประเทศออสเตรเลีย  ตามหลักฐานทางโบราณคดีบ่งชี้ว่า บรรพบุรุษของชาวพื้นเมืองออสเตรเลียอพยพมาจากทวีปเอเชีย ประมาณ 40,000-70,000 ปีมาแล้ว ในยุคน้ำแข็งตอนปลายที่ทวีปออสเตรเลียเชื่อมต่อกับนิวกินี เป็นกลุ่มที่ใช้ชีวิตเร่ร่อน พบหลักฐานที่อยู่อาศัย 3 แห่ง คือ ในเมืองเพนริธ รัฐนิวเซาธ์เวลส์ รัฐเวสเทิร์น ออสเตรเลีย และรอบทะเลสาบมันโก รัฐนิวเซาธ์เวลส์



นักมานุษยวิทยาและนักประวัติศาสตร์ในยุคก่อนได้คาดคะเนไว้ว่า ก่อนหน้าปี  (ค.ศ. 1770)  มีชาวอะบอริจินทั่วทวีปออสเตรเลียอยู่ประมาณ 500-600 กลุ่ม ซึ่งมีจำนวนกว่า 300,000 คน มีภาษาพูดต่างๆมากถึง 500 ภาษา ในแต่ละภาษานั้นจะมีความแตกต่างและซับซ้อนเหมือนกับภาษาในยุโรป ซึ่งคำว่า อะบอริจิน (Aborigine) มาจากคำว่า “Aboriginal” เป็นคำภาษาอังกฤษ หมายถึง ต้นกำเนิด แรกเริ่ม หรือพื้นเมือง คำนี้ชาวอังกฤษนำมาใช้ในออสเตรเลีย ตั้งแต่ต้นปี พ.ศ. 2332 เพื่อเรียกชาวพื้นเมืองทั้งหมดในประเทศ

เดิมชาวอะบอริจินจะอยู่รวมเป็นเผ่า เผ่าหนึ่งจะมีประมาณ 10 ถึง 50 คน ไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่ง มีการโยกย้ายถิ่นฐานตามฤดูกาลและแหล่งอาหาร เนื่องจากยังไม่รู้จักการเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์  แต่มีความสามารถในการหาแหล่งน้ำ มีการล่าสัตว์เพื่อการยังชีพ โดยผู้ชายจะทำหน้าที่ล่าสัตว์ ส่วนผู้หญิงจะทำหน้าที่จับปลา ทั้งนี้การล่าสัตว์ของชาวอะบอริจินเป็นเพียงการประทังความหิวให้ตนเองและครอบครัวเท่านั้น จึงสามารถการดำรงชีวิตได้อย่างสบายๆในแผ่นดินที่แห้งแล้ง


ที่มา: http://www.dailymail.co.uk/

ชาวพื้นเมืองเหล่านี้มีผมสีดำ ผิวคล้ำ ตาลึก โหนกคิ้วสูง ริมฝีปากหนา ผมหยิกเป็นฝอยเหมือนขนแกะ ร่างกายท่อนบนเปลือยเปล่า มีผืนหนังจิงโจ้ หรือวอลลาบี คลุมไหล่ยาวลงมาครึ่งกายเพื่อกันความหนาวเย็น บางครั้งก็มีเครื่องประดับเป็นสายสร้อยคล้องคอ หรือสวมศีรษะด้วยเครื่องประดับที่ทำจากเปลือกหอยร้อยเป็นพวงยาว และมีการนำสีมาทาบนตัวเป็นรูปลายต่างๆ ส่วนมากสีที่นำมาใช้ทาจะเป็นพวก สีแดง หรือสีเหลืองส้ม สีเหล่านี้ได้มาจากฝุ่นผงของหินชนิดหนึ่งซึ่งมีอยู่ในทัสมาเนีย คือ Red Ochre ผสมกับไขมันสัตว์ ถือได้ว่าเป็นภูมิปัญญาอย่างหนึ่งของชาวอะบอริจิน ที่ใช้เพื่อรักษาผิวกาย ปกป้องผิวจากแดด ลม ความหนาวเย็น และการขีดข่วน



นอกจากนี้ชาวอะบอริจินก็ยังมีความเชื่อว่าพวกเขามาจาก ช่วงเวลาแห่งความฝัน (Dreamtime) ของสัตว์โบราณที่สร้างสรรค์สิ่งต่างๆ บนโลกใบนี้ สัตว์โบราณเหล่านี้โผล่ขึ้นมาจากใต้ดิน และเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วผืนแผ่นดิน ทำให้เกิดสิ่งมีชีวิตและกฎระเบียบของสรรพสิ่งขึ้นมา ก่อนจะกลับลงไปใต้ดินเช่นเดิม และยังเชื่อว่าบรรพบุรุษพวกเขามาอยู่ที่ออสเตรเลียตั้งแต่การเนรมิตสร้างโลกโดยพระเจ้า โครงกระดูกที่เก่าแก่ที่สุดค้นพบที่ทะเลสาบมังโก รัฐนิว เซาธ์ เวลส์ เชื่อว่ามีอายุประมาณ 38,000 ปี ความเชื่อเหล่านี้ได้ถูกถ่ายทอดลงบนแผ่นหิน กลายเป็นศิลปะของชาวอะบอริจินที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ

อย่างไรก็ตาม วิถีชีวิตอันเรียบง่ายและวัฒนธรรมเก่าแก่ของชาวอะบอริจินที่เคยมีมาช้านานก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไป เมื่อคนผิวขาวชาวอังกฤษได้เข้ามารุกราน ประกาศให้ดินแดนแห่งนี้เป็นของกษัตริย์จอร์จที่ 3 แห่งอังกฤษ และในปี ค.ศ. 1788 อังกฤษเริ่มนำนักโทษในคดีร้ายแรงมาเนรเทศในดินแดนนี้ ด้วยวัฒนธรรมที่แตกต่างกันอย่างมาก ทำให้กลุ่มคนพื้นเมืองกับคนผิวขาวมีปัญหาและขัดแย้งอย่างรุนแรง จนนำมาสู่การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์อะบอริจินอย่างโหดเหี้ยมโดยในปัจจุบันชาวอะบอริจินเป็นเพียงชนกลุ่มน้อยที่มีจำนวนประชากรเพียงร้อยละ 2 เท่านั้น


อ้างอิง

อะบอริจิน ข่าวสดออนไลน์ . สืบค้นเมื่อวันที่ 20 กันยายน 2559, จาก: http://daily.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TURONWIzVXdNakV3TURRMU1RPT0=&sectionid=Y25Wd1lXbHRiMlJs&day=TWpBd09DMHdOQzB4TUE9PQ==

อะบอริจิน เจ้าถิ่นออสเตรเลีย . สืบค้นเมื่อวันที่ 20 กันยายน 2559, จาก:  http://plan-travel.com/tour/australia/Aboriginal.html

อะบอริจิน : ประวัติศาสตร์ชนพื้นเมืองออสเตรเลีย . สืบค้นเมื่อวันที่ 20 กันยายน 2559, จาก: https://www.gotoknow.org/posts/472753

อ่านเพิ่มเติม »

อินทิรา คานธี (Indira Gandhi) สตรีบันลือโลก

โดย วาทณี มีระหงษ์

หากจะกล่าวถึงบทบาท สิทธิและเสรีภาพของสตรีในอดีต คงจะมีไม่มากนักหรือถูกจำกัดอยู่ในวงที่สังคมจัดวางไว้ให้ เพียงเพราะพละกำลังไม่เท่าเทียมเพศชายบวกกับเหตุผลประการอื่นเพิ่มเติม จึงเกิดทัศนคติว่า "ผู้ชายเป็นช้างเท้าหน้า ผู้หญิงเป็นช้างเท้าหลัง" ผู้หญิงเป็นเพียงผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาเท่านั้น แต่ปัจจุบัน สังคมได้ปรับเปลี่ยนทัศนคติเหล่านี้ เปิดโอกาสให้ผู้หญิงมีบทบาท สิทธิเสรีภาพทางความคิดในหลาย ๆ ด้าน เป็นปัจจัยทำให้ผู้หญิงเริ่มมีอิทธิพลเหนือบุรุษเพศ เริ่มมีผู้นำการบริหารและการปกครองด้วยศักยภาพที่ทัดเทียมกับเพศชาย จนสามารถก้าวขึ้นมาดำรงตำแหน่งผู้นำทางการเมืองที่เข้มแข็ง แข็งแกร่ง ดังเช่นเธอคนนี้ "อินทิรา คานธี - สตรีบันลือโลก"

นางอินทิรา คานธี (IndiraPriyadasini Gandhi ) หรือชื่อเดิมว่า "อินทิราปรียาทาสินีเนห์รู" อดีตนายกรัฐมนตรีหญิงของอินเดียเกิดเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 1917 ที่เมืองอัลฮาบัดทางตอนเหนือของอินเดียเป็นบุตรสาวคนเดียวของอดีตนายกรัฐมนตรีคนแรกของอินเดีย "ยวาหระวาลเนห์รู" และนางกามาลาคอล
อินทิรา    คานธี สำเร็จการศึกษาระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาจากโรงเรียนปาถะ ภวนะ (Patha Bhavana) และเข้ารับการศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยซัมเมอร์วิลล์ เมืองออกซ์ฟอร์ด ( Summerville College) แต่ก็ไม่ได้สำเร็จการศึกษา



นามสกุล "คานธี" ของเธอไม่ได้มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดกับมหาตะคานธีแต่มาจากการสมรสกับนายเฟโรซีคานธีหนุ่มเชื้อสายเปอร์เซียและมีบุตรชายสองคนคือราชีพและสัญชัย คานธีซึ่งต่างก็ดำเนินกิจกรรมทางการเมืองต่อจากอินทิรา โดยเฉพาะราชีฟ คานธี ซึ่งในเวลาต่อมาเขาก็ได้ขึ้นครองตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของอินเดีย  ส่วนสัญชัย ได้เสียชีวิตจากเหตุเครื่องบินตกในปี 2523

ประวัติการทำงานของอินทิราเริ่มต้นจากการเป็นเลขานุการให้กับเนห์รูนายกรัฐมนตรีคนแรกของอินเดียพ่อของเธอหลังจากที่พ่อของเธอได้ขึ้นครองตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ทำให้เธอได้เรียนรู้ทักษะการเป็นผู้นำทางการปกครองของอินเดียจากการช่วยทำงานที่ทำเนียบและร่วมเดินทางไปต่างประเทศหลังจากที่พ่อของเธอได้เสียชีวิตลงเธอก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นสมาชิกราชยสภาและทำหน้าที่เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสารสนเทศและการออกอากาศ ในรัฐบาลของนายลัลบาฮาดูร์ชาตรีนายกมนตรีคนที่ 2 ของอินเดียซึ่งเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจต่อมาอินทิราก็ได้รับคัดเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 3 ของอินเดีย

ในระหว่างที่เธอดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเธอก็ได้ขึ้นแท่นเป็นนายก ฯ ที่ได้รับที่ได้รับความนิยมสูงสุดเมื่ออินเดียชนะสงครามต่อต้านปากีสถาน,การปฎิวัติสีเขียวในอินเดีย และผลงานอีกมากมายที่สนับสนุนให้ชื่อเสียของเธอเป็นที่กล่าวขวัญกันอย่างล้มหลามว่าเธอเป็นผู้นำหญิงที่เด็ดเดี่ยวและฉลาดหลักแหลมที่สุดแต่ในปี1974 สภาสูงสุดของอัลลาฮาบัดจับได้ว่าเธอทุจริตจึงเป็นเหตุให้เธอต้องถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และห้ามการลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นเวลาหกปี


ที่มา: https://www.quora.com/

ในปี 1980 เธอได้กลับเข้ามาสู่เก้าอี้นายกรัฐมนตรีอีกครั้ง แต่เกิดเหตุการณ์ความขัดแย้งระหว่างชาวอินเดียที่นับถือศาสนาซิกข์และฮินดูเนื่องจากผู้นำของซิกข์กล่าวว่า ชาวซิกข์มีอำนาจอธิปไตยและเป็นชุมชนที่ปกครองตนเองกลุ่มชาวซิกข์ต้องการเรียกร้องให้มีการจัดตั้งรัฐซิกข์ขึ้นมาในอินเดียเหนือ ในอาณาบริเวณตั้งแต่รัฐปัญจาบพื้นที่บางส่วนของรัฐหรยาณารัฐหิมาจัลประเทศดินแดนสหภาพจันฑีครห์และรัฐราชสถานคำกล่าวนี้ได้สร้างความไม่พอใจให้กับรัฐบาลอินเดียเป็นอย่างมากเนื่องจากรัฐบาลทองว่าเป็นความต้องการแบ่งแยกดินแดนของชาวซิกข์นำไปสู่สถานการณ์ที่รุนแรงมากขึ้นโดยอินทิราได้ออกคำสั่งใช้กำลังทหารโจมตีวิหารทองคำของชาวซิกข์เหตุการณ์ดังกล่าวสร้างความขัดแย้งและความไม่พอใจให้กับทุก ๆ ฝ่ายจนนำไปสู่สงครามกลางเมืองมีผู้เสียชีวิตหลานพันคนประชาชนถูกข่มขืนและทารุณกรรมโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจมีการเผาทำลายห้องสมุดของชาวซิกข์รวมถึงสถานประกอบศาสนกิจด้วย

ในเวลาต่อมาอินทิราถูกลอบสังหารโดยองครักษ์ชาวซิกข์ของเธอใช้อาวุธปืนกระหน่ำยิงกว่า 30 นัดเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 1984 บริเวณสวนในทำเนียบนายกรัฐมนตรีการเสียชีวิตของเธอทำให้เกิดกระแสต่อต้านชาวซิกข์รุนแรงมากขึ้นทำให้ชาวซิกข์บริสุทธิ์ต้องถูกสังเวยชีวิตไปกว่า 2,000 คน

อินทิรา นับได้ว่าเป็นผู้นำหญิงที่มีความเด็ดขาด เชื่อมั่นในตนเองสูง และค่อนข้างมีความคิดที่รุนแรง โดยอุปนิสัยเหล่านี้ของเธอ เป็นเหตุให้เธอต้องเสียชีวิตลงจากการออกคำสั่งให้ทหารใช้ความรุนแรงจัดการปัญหาที่เกิดขึ้น โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบที่จะตามมา พร้อมกับความรุนแรงและความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินที่ทวีคูณมากขึ้น แต่ผู้นำหญิงคนนี้ ไม่ได้ขึ้นครองอำนาจพร้อมกับความรุนแรงและความขัดแย้งทางศาสนาเพียงอย่างเดียว แต่เธอยังได้สร้างผลงานที่ทำให้ชาวอินเดียไม่สามารถลบเธอออกจากความทรงจำได้ คือการจัดการกับอำนาจที่อยู่ในกำมือของเธอให้เป็นประโยชน์ จนทำให้อินเดียชนะสงครามกับปากีสถาน และสามารถปลดปล่อยบังคลาเทศได้ในปี พ.ศ.2514 อีกทั้งยังเป็นผู้ริเริ่มการปฏิวัติสีเขียวเพื่อรับประกันความมั่นคงทางอาหารให้แก่อินเดีย รวมถึงการรวมอำนาจจากรัฐที่เคยตกอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ ให้มาเป็นผืนแผ่นดินอินเดียเช่นเดิม

ซึ่งมรดกจากการปกครองของเธอ กลายเป็นบทเรียนสำคัญให้กับนักการเมืองยุคต่อมาในด้านการใช้ความรุนแรงและการจัดการอำนาจในกำมือ โดยมิให้เกิดรอยร้าวจากความแตกต่างระหว่างบุคคลในสังคมอินเดียมากกว่าที่เคยเป็น อีกทั้งทางตอนใต้ของอินเดียยังได้นับถือและสักการะเธอพร้อมกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์เทพเจ้าในศาสนาอีกด้วย ราวกับเป็นเทพเจ้าหญิงที่มีความเข้มแข็งและเด็ดเดี่ยวทัดเทียมเท่ากับเพศชาย


อ้างอิง

เอกชัย จันทรา. (2556). 100 บุคคลสำคัญของโลก. กรุงเทพฯ: ยิปซี.

อินทิรา คานธี : บุคคลน่ารู้ , สืบค้นเมื่อวันที่ 20 กันยายน 2559 จาก http://sameaf.mfa.go.th/th/important_person/detail.php?ID=2982

อินทิรา คานธี. (2552). สืบค้นเมื่อวันที่ 20 กันยายน 2559 จาก http://www.komchadluek.net/news/detail/35130

อ่านเพิ่มเติม »

สงครามฝิ่น สงครามที่โลกไม่ลืมเลือน

โดย จณิสตา   แสนเพชร

เมื่อเอ่ยถึงสงครามครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ระหว่างโลกตะวันออกกับโลกตะวันตก หลายๆคนคงจะนึกถึงเหตุการณ์อย่างสงครามโลกหรือสงครามเวียดนามมาเป็นอันดับต้นๆ  แต่หารู้ไม่ว่ายังมีอีกหนึ่งสงครามซึ่งเป็นเหตุการณ์สำคัญเช่นกัน นั่นก็คือสงครามฝิ่นระหว่างจีนกับอังกฤษ

ในยุคสมัยต้นๆ ประเทศจีนถือได้ว่าเป็นอีกประเทศหนึ่งที่มีความรุ่งโรจน์ในเรื่องของการค้าขายเป็นอย่างมาก  อันเนื่องมาจากความก้าวหน้าทางด้านวิทยาการการต่อเรือสำเภาและตัวของสินค้าจีนเองที่นำมาขายให้กับต่างแดนยกตัวอย่างเช่น สินค้าจำพวกใบชา ผ้าไหมและเครื่องลายคราม เป็นต้น ด้วยเหตุนี้จีนจึงเป็นที่ถูกจับตามองและเป็นที่ต้องการคบค้าสมาคมของพ่อค้าชาวตะวันตก   แต่ถึงกระนั้นนโยบายการค้าของจีนที่มีอยู่ก็ไม่เอื้ออำนวยต่อการค้าการลงทุนของชาติตะวันตกมากนัก  นั่นก็คือ ระบบการค้าแบบผูกขาดหรือที่ภาษาจีนแมนดารินเรียกว่า ก้งหอง

โดยระบบการค้าแบบนี้เองที่เป็นชนวนก่อให้เกิดสงครามครั้งใหญ่ตามมาภายหลัง ดังที่ได้กล่าวไปในข้างต้นแล้ว ซึ่งก็คือ สงครามฝิ่นระหว่างจีนกับอังกฤษ เหตุที่บอกว่าเป็นสงครามครั้งใหญ่เนื่องจากสงครามนี้ได้เกิดขึ้นต่อเนื่องกันถึงสองครั้งในยุคสมัยราชวงศ์ชิงของจีน ครั้งแรกอยู่ในช่วง ค.ศ.1834-1843 และครั้งที่สองอยู่ในช่วง ค.ศ.1856-1860  เว้นระยะเวลาห่างกันเพียงแค่ 13 ปี


ภาพวาดการทำสงครามทางเรือระหว่างจีนกับอังกฤษ

มาเริ่มต้นกันที่สงครามฝิ่นครั้งที่ 1  สาเหตุของการเกิดสงครามครั้งนี้มาจากการค้าขายที่ไม่เป็นธรรมที่จีนมีต่ออังกฤษ โดยจีนไม่ยอมรับข้อเรียกร้องระบบการค้าเสรีจากอังกฤษ ยังคงใช้ระบบการค้าแบบผูกขาดของตนดังเดิม มีการจำกัดเขตพื้นที่ทางการค้าให้กับพ่อค้าชาวอังกฤษแค่ในตัวเมืองกวางโจวและสุดท้ายคือการที่จีนไม่รับหรือนำเข้าสินค้าสินค้าจากอังกฤษทั้งๆที่อังกฤษก็ซื้อสินค้าจากตนไปมากมาย เหตุการณ์ครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อดุลการค้าของอังกฤษเป็นอย่างมาก

ผลที่ตามมาคือ อังกฤษพยายามหาช่องทางเอาคืนจีนโดยการแอบลักลอบนำฝิ่นซึ่งถือได้ว่าเป็นสิ่งเสพติดชนิดหนึ่งที่มีต้นทุนถูกและขายได้ราคาแพงมาหลอกขายให้กับชาวจีน จนชาวจีนเกือบครึ่งค่อนประเทศติดฝิ่นกันถ้วนหน้า สร้างความหนักใจให้กับรัฐบาลจีนเป็นอย่างมาก ถึงขั้นประกาศห้ามการนำเข้าฝิ่น มีการยึดและทำลายฝิ่นที่หลงเหลืออยู่ รวมทั้งออกบทลงโทษอย่างจริงจังต่อผู้ขายและผู้เสพ


ภาพถ่ายการเสพฝิ่นของชาวจีนสมัยก่อน 

แต่กลับกลายเป็นว่าเหตุการณ์ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น จนจีนต้องส่งจดหมายไปหาพระนางเจ้าวิคตอเรียเพื่อถามถึงสาเหตุของการนำฝิ่นเข้ามาขายยังประเทศตน แต่พระนางเจ้าวิคตอเรียกลับปฏิเสธที่จะให้คำตอบและทำการบ่ายเบี่ยงโดยเรียกร้องให้จีนคืนสินค้าของตนที่ถูกยึดไว้มาแทน    ผู้นำจีนไม่เห็นชอบเป็นอย่างมาก จึงทำการปฏิเสธและนำเอาฝิ่นที่ยึดมาได้ไปทำลายทิ้งลงทะเล      เป็นผลให้อังกฤษเริ่มประกาศสงครามกับจีนอย่างเป็นทางการ

ผลกระทบจากสงครามฝิ่นครั้งที่ 1 นี้ ทำให้จีนต้องลงนามในสนธิสัญญานานกิง เนื่องจากเป็นผู้แพ้ในสงคราม และต้องจ่ายค่าปฏิกรณ์สงครามเป็นจำนวนเงินมหาศาล ทำการเปิดเมืองท่าให้อังกฤษได้มาทำการค้าขายเพิ่มขึ้นอีก 5 แห่ง ชดใช้ค่าฝิ่นที่ทำลายไป อีกทั้งยังต้องเสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขตอีกด้วย เหตุการณ์ครั้งนี้ได้สร้างความบอบช้ำให้จีนเป็นอย่างมาก


ภาพสนธิสัญญานานกิง
ที่มา : https://writer.dek-d.com/

ต่อมาเป็นสงครามฝิ่นครั้งที่ 2  ที่เกิดขึ้นต่อเนื่อง หลังจากผ่านสงครามครั้งแรกไปได้เพียงแค่ 13 ปี   โดยครั้งนี้มีสาเหตุมากจากการที่อังกฤษเรียกร้องที่จะแก้ไขสนธิสัญญานานกิง เพื่อให้ตนได้รับผลประโยชน์ทางการค้าจากจีนมากขึ้น อีกทั้งยังเกิดจากการที่จีนไปจับกุมลูกเรือชาวจีนที่อยู่บนเรือบรรทุกสินค้าที่ทำการจดทะเบียนเป็นของอังกฤษ ทำให้อังกฤษเกิดความไม่พอใจ พยายามทำการเจรจาต่อรองให้ปล่อยลูกเรือเหล่านั้นไป แต่ถึงจะทำเช่นไรจีนก็ยังปฏิเสธอยู่ดี อังกฤษจึงได้เริ่มประกาศทำสงครามกับจีนอย่างเป็นทางการอีกครั้ง โดยในครั้งนี้ได้มีฝรั่งเศส รัสเซียและสหรัฐอเมริกาเข้ามาร่วมด้วย

ท้ายที่สุดจีนเป็นฝ่ายพ่ายแพ้แก่สงครามอีกครั้งและต้องลงนามในสัญญาเทียนจินเพิ่ม ผลกระทบที่ตามมาคือจีนต้องเปิดเมืองท่าเพิ่มขึ้นอีก 11 แห่งทำให้ชาติตะวันตกเข้ามาค้าขายในจีนได้อย่างสะดวกและเริ่มแผ่อิทธิพลมากจนจีนอยู่ภายใต้กึ่งเมืองขึ้น-กึ่งศักดินา นอกจากนี้จีนยังต้องออกนโยบายการเสียภาษีนำเข้าไม่เกินร้อยละ 2.5 แก่ชาติตะวันตกทั้ง 4 ประเทศ และต้องเสียพื้นที่เกาะฮ่องกงไป

การสิ้นสุดของสงครามครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่ออังกฤษก็ยอมส่งมอบเกาะฮ่องกงคืนให้กับจีน ในวันที่ 30 มิถุนายน ค.ศ.1997

จากเหตุการณ์ในอดีตครั้งนี้จะเห็นได้ว่า ฉนวนเหตุของการเกิดสงครามนั้น มักมาจากเหตุการณ์เล็กๆน้อยๆอย่างการขัดผลประโยชน์กันของบุคคลสองฝ่าย แต่พอขาดการประนีประนอมก็ย่อมเปลี่ยนจากปัญหาเล็กๆให้กลายเป็นปัญหาใหญ่อย่างการทำสงครามได้ ซึ่งพึงแต่จะให้ความสูญเสียทั้งฝ่ายที่ได้รับชัยชนะและฝ่ายที่พ่ายแพ้  ทางที่ดีควรจะทำการเจรจาประนีประนอมให้ได้ผลประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย

สุดท้ายแล้วผู้เขียนอยากจะฝากข้อคิดเล็กๆน้อยๆไว้เป็นสิ่งเตือนใจให้กับผู้อ่านทุกคนว่า “เหตุการณ์ในอดีตได้สอนให้เรารู้ถึงพิษภัยของสงครามว่าไม่เคยให้ประโยชน์แก่ฝ่ายใด ไม่ว่าจะเป็นผู้แพ้หรือผู้ชนะ มีแต่จะสร้างความสูญเสีย และการทำสงครามไม่ใช่คำตอบของทุกๆสิ่ง”


อ้างอิง

สุมาลี  สุขดานนท์. (2554). สงครามฝิ่น. (ออนไลน์). สืบค้นเมื่อ 22 กันยายน 2559, จาก : http://www.tri.chula.ac.th/triresearch/hongkongport/poppy.html

Thai Chinese.Net . ประวัติศาสตร์จีนยุคก้าวสู่จีนยุคใหม่-สงครามฝิ่น (ค.ศ. 1839-1842) . (ออนไลน์). สืบค้นเมื่อ 22 กันยายน 2559, จาก : http://www.thaichinese.net/History/history-modern2.html

Joytotheworld . สงครามฝิ่นครั้งที่ 1 . (ออนไลน์). สืบค้นเมื่อ 25 กันยายน 2559, จาก : http://board.postjung.com/934978.html

Topten Thailand . (2556). 10 เรื่องน่ารู้ในสงครามฝิ่น.  (ออนไลน์). สืบค้นเมื่อ 25 กันยายน 2559, จาก :  http://www.toptenthailand.com/topten/detail/20131120002248652


อ่านเพิ่มเติม »

ชนเผ่าอินคา (Inca)

โดย กนกพร  หลักคำพันธ์

ถ้าจะกล่าวถึงอาณาจักรที่มีอารยธรรมเจริญรุ่งเรือง คงไม่พ้นอาณาจักรอินคา ซึ่งอยู่ในยุคศตวรรษ 15-16 เป็นที่ทราบกันทั่วไปว่าอารยธรรมที่น่าสนใจนี้เกิดจากความสามารถของคนในชนเผ่า ซึ่งได้สร้างสรรค์สิ่งที่น่าทึ่งหลายอย่างในอาณาจักรอินคานี้ ดังนั้นชาวอินคาจึงน่าสนใจที่จะศึกษา เพื่อจะได้ทราบความเป็นมาของอารยธรรมที่เกิดขึ้นในอาณาจักรอินคานี้

ชาวอินคาอาศัยอยู่ในทวีปอเมริกาใต้ หรือประเทศเปรูในปัจจุบัน ตั้งอยู่ในภูมิประเทศที่เหมาะสมกับการดำรงชีวิตมากที่แท้จริง อารยธรรมสูงส่งของชาวอินคาที่เป็นแบบอย่างแก่ชนเผ่าแถบอเมริกาใต้มานานนับ พันๆปีที่โดดเด่นมากคือรูปแบบการจัดระเบียบทางสังคมที่ทำให้ประชากรนับตั้งแต่ระดับสูงสสุดขั้นจักรพรรดิลงมาจนถึงชาวไร่ชาวนา ได้ทำงานตามบทบาทตำแหน่งหน้าที หรือสถานภาพอย่างมีประสิทธิภาพและมีอิสระเสรี และความเจริญรุ่งเรืองของชาวอินคายังรวมไปถึง ทางด้านสถาปัตยกรรม ประติมากรรม วิศวกรรมโยธา และระบบชลประทาน


ที่มา: http://2g.pantip.com/

สำหรับการจัดชนชั้นของชาวอินคานับว่าเป็นการจัดระบบทางสังคมที่มีความเรียบร้อยมาก เพราะชาวอินคาทุกชนชั้นรู้จักหน้าที่ของตัวเองดี ระดับชนชั้นของชาวอินคามีตามลำดับดังนี้ บุคคลระดับสูงสุด คือ จักรพรรดิ และอัครมเหสี  รองลงมาคือกลุ่มผู้บริหารระดับสูงทั้งสี่ เรียกว่า เอ-ปัซ ,กลุ่มผู้บริหารชั้นพิเศษ เช่น กลุ่มคณะลูกขุน ,กลุ่มสถาปนิก กลุ่มช่างฝีมือหรือเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานเฉพาะทาง เช่น ช่างโลหะ ช่างไม้ นักดนตรี กลุ่มศิลปิน และกลุ่มประชาชนทั่วไป

ชาวอินคาทุกคนต้องปฏิบัติตามกฎหมายเนื่องจากชาวอินคาได้รับสิ่งที่ต้องการและจำเป็นต่อชีวิตแทบทุกอย่าง ตามชุมชนต่างๆจึงไม่ค่อยมีผู้ร้าย ความผิดที่ร้ายแรงที่สุด คือการฆาตกรรม ผู้กระทำความผิดจะถูกลงโทษโดยการจับโยนลงจากหน้าผาสูงชัน ส่วนความผิดอื่นๆ เช่น ชายที่เป็นชู้กับภรรยาผู้อื่น จะถูกลงโทษโดยการถูกแขวนร่างที่เปลือยเปล่าในที่สาธารณชนต้อทุกข์ทรมานไปจนตาย ส่วนอาชญากรที่โทษเบา จะถูกลงโทษโดยการตัดมือ ตัดเท้า หรือควักลูกตาออกมา นักโทษที่โชคร้ายบางกลุ่มจะถูกขังโดยที่ได้รับอาหารตามปกติแต่พวกเขาจะถูกนำตัวไปนั่งขอทานหน้าประตูเมือง เพื่อให้ชาวเมืองต่างๆได้เห็นถึงผลของการกระทำผิด

ชาวอินคามีแบบเสื้อเป็นของตัวเอง เรียกว่า ทูนิค มีลักษณะเป็นเสื้อยาวคลุมถึงขา เจาะช่องใส่ศีรษะและแขน นิยมทำจากผ้าฝ้ายและขนสัตว์ ผู้ชายจะนิยมใส่ถึงต้นขา ส่วนผู้หญิงนิยมใส่ประมาณครึ่งแข้ง มีผ้าคาดเอว การแต่งกายจะแต่งตามระดับชนชั้น เช่น เจ้าหญิงจะสวมมงกุฎที่มียอดคล้ายแสงอาทิตย์ที่กำลังจะโผล่พ้นขอบฟ้า


ที่มา: http://pirun.ku.ac.th/

สิ่งที่แสดงถึงความสมาารถที่น่าทึ่งที่สุดของชาวอินคาคือการสร้าง มาชู ปิคชู ซึ่งเป็นซากปรัก หักพังที่อยู่บนยอดเขาโดดเด่นตัดขาดจากโลกภายนอก ห่างไกลนครหลวงคูซโค และสูงกว่าที่ราบลุ่มมาก ตามตำนานเล่าว่า ชาวอินคาสร้างนครนี้เพื่อเป็นที่อาศัยของหญิงพรหมจารี ที่ปฏิบัติ ศาสนกิจถวายสุริยเทพ เรื่องดังกล่าวนี้นักโบราณคดีในยุคปัจจุบัน สันนิษฐานว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่สิ่งที่โดดเด่นของ มาชู ปิคชูก็คือ ผลงานทางด้านสถาปัตยกรรม โดยเฉพาะสิ่งก้อสร้างที่เป็น อนุสาวรีย์ขนาดมหึมาที่ก่อสร้างด้วยแท่งหินขนาดใหญ่ วางเชื่อม ต่อกันอย่างสมดุล นับว่าเป็นเรื่องแปลกมากว่าพวกเขาเรียนรู้ เทคโนโลยีการขนย้ายแท่งหินขนาดยักษ์มาเรียงรายต่อกันสูงเป็นชั้นๆ ได้เรียบสนิท โดยไม่ใช้ล้อเลื่อนหรือลูกรอกแต่อย่างใด นับเป็นปริศนา ที่ไม่มีใครทราบจนกระทั่งถึงปัจจุบัน

จะเห็นว่าชาวอินคานั้นล้วนแล้วแต่มีความสามารถ ที่จะสร้างสรรค์อารยธรรมให้เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง ในหลายๆด้าน เป็นในช่วงเวลาหนึ่ง แต่ก็ต้องล่มสลายลง เนื่องจากจักรพรรดิถูกใส่ร้ายว่าเป็นคนนอกรีต ทำให้ต้องถูกปลงพระชนม์ เมื่อไม่มีจักรพรรดิก็ทพให้ความเจริญเสื่อมถอยลงและถึงคราวล่มสลายในที่สุด


อ้างอิง

จักรวรรดิอินคา. สืบค้นเมื่อ 25 ธันวาคม 2559, จาก : https://th.wikipedia.org/wiki/

อาณาจักรอินคา. สืบค้นเมื่อ 25 ธันวาคม 2559 , จาก : http://i-n-c-a.blogspot.com

อารยธรรมอินคา. สืบค้นเมื่อ 25 ธันวาคม 2559,  จาก :  www.areeya-s.blogspot.com


อ่านเพิ่มเติม »

กลุ่มเทพีเกรซ (The Graces)

โดย พิชญ์สินี ศรีทา

เมื่อพูดถึงตำนานกรีกหลายคนอาจเคยได้ยินเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับเทพเจ้าแต่ละองค์ซึ่งตำนานกรีกถูกเล่าต่อกันมาหลายพันปีและตำนานของเทพแต่ละองค์ก็มีเรื่องราวแตกต่างกันออกไป ตำนานเหล่านี้ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากจนกระทั่งปัจจุบัน ยังคงมีการหยิบยกตำนานกรีกมาเพื่อเป็นความรู้ให้แก่ผู้ที่สนใจได้ศึกษากันอีกด้วยซึ่งแต่ละแหล่งความรู้ก็ยังมีข้อมูลบางอย่างที่ไม่ตรงกันแต่ก็ไม่คลาดเคลื่อนจากกันมากนักและเรื่องเล่าแต่ละเรื่องในตำนานกรีกยังเป็นจุดเริ่มต้นของการเกิดขึ้นของสิ่งต่างๆทางธรรมชาติและยังส่งผลต่อความเชื่อของมนุษย์ในปัจจุบันอีกด้วยทั้งยังแสดงให้เห็นถึงวิวัฒนาการการดำรงชีวิตของมนุษย์ในยุคก่อนว่าเป็นอย่างไร ดังนั้นดิฉันจึงขอนำเสนอเรื่องที่ดิฉันสนใจมากที่สุดนั่นก็คือกลุ่มเทพีชาริทีสหรือเทพีเกรซหรือไตรเทพี 3 เทพีแห่งชีวิตชีวาและความรื่นเริง


ที่มา: http://fineartamerica.com/

ความสดใส ร่าเริง และความมีชีวิตชีวา เป็นของคู่มากับมนุษย์ตั้งแต่อดีตมาถึงปัจจุบัน ทั้งงานเลี้ยงฉลองที่มีความรื่นเริงและสีสันแห่งความสุข หากคุณมีความสุขและสดชื่นกับสิ่งเหล่านี้ ทำนองดนตรีที่ไพเราะจนเหมือนชักเชิญให้เราลุกขึ้นมาเต้นรำอย่างมันส์ แสดงว่าคุณอาจจะถูกมนต์สะกดแห่ง 3 เทพีแล้ว ใช่พวกท่านคือ กลุ่มเทพีเกรซ 3 เทพีแห่งชีวิตชีวาและความรื่นเริง กลุ่มเทพีเกรซเป็นพระธิดาในเทพซีอุสกับเทพียูริโนมี ซึ่งกลุ่มเทพีเกรซเป็นเทพีที่รักการเต้นรำมากมายและรักเสียงดนตรีเพราะจะทำให้เหล่าเทพีนี้เต้นกันไม่หยุดเลยทีเดียว กลุ่มเทพีเกรซไม่ค่อยมีความสำคัญหรือเ็ป็นที่นับถือกันอย่างแพร่หลาย แต่เป็นเทพีผู้พิทักษ์ความสนุกสนานในงานรื่นเริงและความมีชีวิตชีวาของมนุษย์ ซึ่งเหล่าพระเทพีเกรซมีด้วยกัน 3 เรียกว่า ไตรเทพี (Charites) หรือThe Graces

ตามตำนานเทพเจ้ากรีก ไตรเทพี ซึ่งเป็นเทพีแห่งความมีเสน่ห์, ความงาม, ธรรมชาติ, การสร้างสรรค์ และ การเจริญพันธุ์ จำนวนเทพีชาริทีสเดิมมีด้วยกันสามองค์ตั้งแต่องค์ที่มีอาวุโสที่สุดคือ เทพีอกลาเอีย (Aglaea) ซึ่งเป็นเทพีแห่งความงามและมีความสามารถในการพูดให้ผู้คนประทับใจอีกด้วย


ที่มา: https://www.pinterest.com/

เทพีผู้อาวุโสปานกลางคือ เทพียูโฟรเซเน (Euphrosyne) หรือ เทพีแห่งความร่าเริงผู้บันดาลให้เกิดความสนุกสนานและเสียงหัวเราะในงานสังสรรค์และงานรื่นเริงต่างๆ หากไม่มีเทพียูโฟรเซเนก็อาจทำให้งานนั้นตึงเครียดก็เป็นได้
 และองค์ที่อาวุโสน้อยที่สุดเทพีธาเลีย (Thalia) หรือ เทพีแห่งความสนุกสนานและเป็นเทพธิดาผู้ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้กับเหล่ากวี เป็นเทพีแห่งความตลกขบขันแต่ยังคงความเรียบร้อยและเป็นธรรมชาติในตนเอง

ซึ่งกลุ่มเทพีเกรซมีหน้าที่ๆสำคัญต่อสวรรค์คือ เป็นนักแสดงโชว์ในงานฉลองแห่งทวยเทพ คือ พระเทพีทั้ง 3 เก่งทั้งงานร้อง งานแสดง และเต้นรำ จึงเป็นที่ชื่นชมของทวยเทพ ซึ่งมีบางครั้งที่พระองค์จะเข้าร่วมแสดงกับกลุ่มเทพีมิวส์ทั้ง 9 ซึ่งเป็นเทพีแห่งศิลปศาสตร์ทั้ง 9 แขนง และมีเทพอะพอลโลชอบบรรเลงเพลงพิณให้อย่างไพเราะทำให้งานวันนั้นไม่จืดจางเลยทีเดียว... และทวยเทพที่เครียดและเหนื่อยจากภาระหน้าที่ก็จะพาหายเหนื่อยหายกังวลเมื่อเจอกลุ่มเทพรเกรซ

ไตรเทพีมีความแตกต่างกันทางภาระหน้าที่และความรับผิดชอบในด้านต่างๆเนื่องจากแต่ละองค์ก็มีหน้าที่แตกต่างกันออกไปแต่อย่างไรก็ตามเทพีทั้งสามองค์นี้ก็ยังคงทำงานร่วมกันอยู่เสมอ


อ้างอิง

เทพีชาริทีส (Charites) ไตรเทพี. สืบค้นเมื่อ 21 กันยายน 2559, จาก: http://tamnan-tuadi.blogspot.com/2012/10/charites.html

Mark, C. (2016). Graces. Retrieved 21 September 2016, from: http://www.ancient.eu/Graces/

Aquileana. (2014). Greek Mythology: “The Charites” (“The Three Graces”). Retrieved 21 September 2016, from: https://aquileana.wordpress.com/2014/11/12/greek-mythology-the-charites-the-three-graces/

อ่านเพิ่มเติม »

สงครามดอกกุหลาบ ( War of Roses)

โดย ขนิษฐา ทองใคร้

ทุกประเทศ ทุกยุคสมัยล้วนแต่มีความขัดแย้งหรือการแย่งชิงอำนาจการปกครองกัน เช่นเดียวกับสหราชอาณาจักรหรืออังกฤษ อังกฤษเกิดสงครามภายในประเทศมานับไม่ถ้วน สาเหตุหลักคือความไม่พอใจของประชาชนหรือขุนนางในการปกครองของกษัตริย์ เมื่อกษัตริย์ไม่สามารถทำหน้าที่ที่ดีได้จึงเกิดการปฏิวัติจากกลุ่มขุนนางหรือแม้กระทั่งประชาชน แต่ในยุคกลางมีสงครามการแย่งชิงอำนาจการปกครองอยู่หนึ่งสงครามนั่นคือ สงครามดอกกุหลาบ (war of roses) เกิดขึ้นหลังจากอังกฤษเพิ่งสิ้นสุดสงครามร้อยปีกับฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1453


ภาพสัญลักษณ์ประจำตระกูลของ York และ Lancaster 

สงครามดอกกุหลาบเป็นสงครามการแย่งชิงราชบัลลังก์อังกฤษระหว่างสองราชวงศ์คือ ราชวงศ์ยอร์คและราชวงศ์แลงคาสเตอร์ ซึ่งสืบเชื้อสายมาจากพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 3 โดยสงครามนี้เกิดขึ้นระหว่างปีค.ศ. 1453-1487 เหตุที่ใช้ชื่อสงครามดอกกุหลาบเพราะตราสัญลักษณ์ของสองตระกูลนี้เป็นดอกกุหลาย โดยราชวงศ์ยอร์คใช้สัญลักษณ์กุหลาบสีขาว ส่วนราชวงศ์แลงคาสเตอร์ใช้สัญลักษณ์กุหลาบสีแดง   ชนวนสงครามเกิดขึ้นเมื่อพระเจ้าเฮนรี่ที่ 5 เสด็จสวรรค์คตและพระเจ้าเฮนรี่ที่ 6 รัชทายาทไม่มีความสามารถพอที่จะปกครองบ้านเมือง จึงทำให้ริชาร์ด แพลนทาเจเน็ท ดยุคแห่งยอร์คที่ 3 อ้างสิทธฺ์ในการครองราชบัลลังก์อังกฤษและได้พิสูจน์ว่าตนนั้นมีความสามารถที่จะปกครองอังกฤษได้ นอกจากนี้ยังได้ทำการถกเถียงกับบุคคลสำคัญต่างๆในราชวงศ์แลงคาสเตอร์ต่อหน้าพระราชินีมากาเร็ตแห่งพระเจ้าเฮนรี่อีกด้วย


First Battle of St.albans 

การปะทะกันระหว่างสองราชวงศ์นี้เกิดขึ้นอยู่หลายครั้งโดยการปะทะกันครั้งแรกเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1455 ในยุทธการเซนต์อัลบันส์ครั้งที่ 1 ซึ่งมีผลทำให้บุคคลสำคัญของตระกูลแลงคา่สเตอร์เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก และพวกแลงคาสเตอร์ที่ยังเหลืออยู่เกิดความแค้นต่อริชาร์ด แห่งยอร์คที่ 3มากขึ้น  ทำให้เกิดการปะทะกันที่รุนแรงขึ้นในปีค.ศ. 1459 โดยในครั้งนี้ตระกูลยอร์คฝ่ายยอร์คเสียเปรียบจนต้องหนีออกจากประเทศจน ริชาร์ด เนวิลล์ เอิร์ลแห่งวอริคที่ 16นำทัพมารุกรานอังกฤษฝั่งคาลส์ทำให้ดยุคแห่งยอร์คกลับเข้ามาอังกฤษในฐานะผู้พิทักษ์อังกฤษและขึ้นปกครองเป็นกษัตริย์อย่างเต็มตัวทำให้พระราชินีมากาเร็ตและเหล่าขุนนางแห่งราชวงศ์แลงคาสเตอร์ต้องอพยพไปอยู่ทางเหนือของอังกฤษ ราชวงศ์ยอร์คได้รับชัยชนะอย่างเด็ดขาดในยุทธการโทวทันโดยพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 4 ซึ่งเป็นบุตรคนโตของริชาร์ด ดยุคแห่งยอร์ค ถึงอย่างนั้นก็มีการต่อต้านจากราชวงศ์แลงคาสเตอร์อยู่ประปรายในช่วงต้นปีค.ศ. 1461และปีค.ศ.1464พระเจ้าเฮนรี่ถูกจับตัวไป ทำให้พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดทรงมีความบาดหมางกับผู้สนับสนุนของพระองค์และเอิร์ลแห่งวอริค ผู้ซึ่งเป็นที่ปรึกษาส่วนพระองค์

ต่อมา เอิร์ลแห่งวอริคพยายามโค่นราชบัลลังก์โดยการยกพระอนุชาของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ด จอร์จ แพลนทาเจเน็ท ดยุคแห่งแคลเรนซ์ที่ 1 ขึ้นแทน แต่ต่อมาก็หันไปนำพระเจ้าเฮนรีที่ 6 กลับมาเป็นกษัตริย์ได้เป็นระยะเวลาสองปีก่อนที่พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดจะยึดราชบัลลังก์คืนได้ในปี ค.ศ. 1471


พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 4 แห่งอังกฤษในราชวงศ์ยอร์ค
ที่มา : https://th.wikipedia.org/

บ้านเมืองถูกปกครองโดยสงบจนกระทั่งปีค.ศ. 1483 พระอนุชาริชาร์ดดยุคแห่งกลอสเตอร์พยายามยับยั้งตระกูลวูดวิลล์และพระราชินีเอลิซาเบธ วูดวิลล์ที่พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 4 ที่แต่งงานด้วยอย่างลับๆ ในการมีอำนาจในการปกครองแทนพระราชโอรสของพระเชษฐาพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 5 ซึ่งขณะนั้นยังทรงพระเยาว์ และพระองค์ก็ทรงยึดราชบัลลังก์เป็นของตนเองและทรงขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้าริชาร์ดที่ 3 โดยอ้างความถูกต้องของการสมรสของเอลิซาเบธ วูดวิลล์กับพระเชษฐาเป็นข้ออ้าง  ทำให้เกิดความไม่สงบในหลายๆแห่งของอังกฤษ เพราะประชาชนหลายคนต่างก็สงสัยว่าพระองค์ทรงมีส่วนเกี่ยวข้องในการฆาตกรรมพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 5 และพระอนุชา

ในปีค.ศ.1485 เฮนรี ทิวดอร์ผู้เป็นพระญาติห่างๆ ทางสายแลงคาสเตอร์อ้างสิทธิในราชบัลลังก์ ทรงได้รับชัยชนะต่อพระเจ้าริชาร์ดและสังหารพระองค์ได้ในยุทธการบอสเวิร์ธฟิลด์ ต่อมาในปีค.ศ. 1487 ทางฝ่ายยอร์คก็ลุกขึ้นต่อต้าน ทำให้ผู้สืบสายของฝ่ายยอร์คถูกคุมขังเป็นจำนวนมากแต่การต่อต้านก็ยังคงเกิดขึ้นอยู่ประปรายจนกระทั่งเพอร์คิน วอร์เบ็ค (Perkin Warbeck) ผู้อ้างสิทธิฝ่ายยอร์คถูกสังหารปี ค.ศ. 1499 บทสรุปของสงครามครั้งนี้คือมีราชวงศ์ใหม่เกิดขึ้นนั่นก็คือราชวงศ์ทิวดอร์ซึ่งเกิดจากการรวมราชวงศ์แลงแคสเตอร์และราชวงศ์ยอร์คโดยการแต่งงานระหว่างเฮนรี ทิวดอร์และพระนางเอลิซาเบธแห่งยอร์ค สงครามครั้งนี้ทำให้เหล่าขุนนางเสียชีวิตจำนวนมาก ทำให้อำนาจของขุนนางลดน้อยลงและถูกแทนที่ด้วยอำนาจของพ่อค้าและชนชั้นกลาง

การที่อังกฤษเกิดสงครามในลักษณะการแย่งชิงบัลลังก์กันนั้นนั่นเป็นเพราะว่าอำนาจการปกครองที่เป็นอำนาจสูงสุดทำให้แต่ละราชวงศ์ต้องการที่จะเป็นเจ้าของประเทศ แม้ว่าการเกิดสงครามในครั้งนี้ทำให้เหล่าขุนนางเสียชีวิตจำนวนมากรวมถึงความเสียหายต่างๆในบ้านเมืองแต่ผลของสงครามที่ทำให้ระบบกษัตริย์ในประเทศอังกฤษเข้มแข็งขึ้น อำนาจของขุนนางลดลงทำให้อำนาจของพ่อค้ามีมากขึ้นและมีผลต่อเนื่องมาจนถึงยุคปัจจุบัน
     

อ้างอิง 

ชาโบตั๋น.สงครามดอกกุหลาบ.สืบค้นเมื่อ 24 กันยายน 2559, จาก:
http://my.dek-d.com/22569/story/view.php?id=516020

นัตยา.  ตำนานสงครามดอกกุหลาบ. สืบค้นเมื่อ  23 กันยายน 2559, จาก:
http://mblog.manager.co.th/natayaa/cxMarket-Bosworth-52/

European wars. สืบค้นเมื่อ 23 กันยายน 2559, จาก: http://europeanwars.blogspot.com/2015/02/blog-post_55.html

น้ำเงิน  บุญเปี่ยม.  (2524).  ประวัติศาสตร์ยุโรปสมัยกลาง. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยราคำแหง.


อ่านเพิ่มเติม »