แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ สมัยใหม่ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ สมัยใหม่ แสดงบทความทั้งหมด

เกาะฮาชิมะ: แหล่งมรดกโลกกับการปฏิวัติอุตสาหกรรมญี่ปุ่น

โดย คติพจน์ นนทบุตร

ประเทศญี่ปุ่นมีลักษณะทางภูมิศาสตร์เป็นเกาะที่แยกตัวออกมาจากแผ่นดินใหญ่  วางตัวตั้งแต่เหนือจรดใต้ด้วยความยาวกว่า 3,000 กิโลเมตร  ประกอบไปด้วยเกาะเล็กเกาะน้อยกว่า 6,800 เกาะ  ซึ่งถ้าสังเกตให้ดีก็จะมีรูปร่างหน้าตาคล้าย “ม้าน้ำ”  ซึ่งมีส่วนหัวของม้าน้ำเป็นเกาะฮอกไกโด และส่วนลำตัวยาว ๆ เป็นเกาะฮอนชู   มีส่วนหางและครีบเป็นเกาะชิโกกุและเกาะคิวชู และหนึ่งในนั้นก็มีเรื่องเล่าถึงความลี้ลับความน่ากลัวเกี่ยวกับอาถรรพ์  เหมือนต้องคำสาปแห่งท้องทะเล ให้เป็นเกาะร้างมาจนถึงปัจจุบันและกระทั่งเกาะนี้ ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกแห่งใหม่  เกาะแห่งนั้นมีชื่อว่า “เกาะฮาชิมะ はしま”


เกาะฮาชิมะ

เกาะฮาชิมะเป็นเกาะที่ตั้งอยู่นอกชายฝั่งห่างจากเมืองนางาซากิ ประมาณ 15 กิโลเมตร มีลักษณะทางภูมิศาสตร์เป็นเกาะที่แยกตัวออกมาจากแผ่นดินใหญ่  สมัยที่เกาะฮาชิมะรุ่งเรือง ถูกตั้งชื่อว่า เกาะเรือรบ เกาะแห่งนี้เป็นเกาะที่ไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่ถูกมนุษย์สร้างขึ้นใน ค.ศ.1887 และเสร็จใน ค.ศ.1890 ใช้ระยะเวลาในการสร้างในระยะเวลา 3 ปี โดยบริษัทมิตซูบิชิ เกาะนี้มีคุณสมบัติโดดเด่นในด้านอุตสาหกรรมถ่านหิน และจุดประสงค์ของการสร้างเกาะ ก็เพราะต้องการใช้ทรัพยากรทางธรรมชาติมาใช้ประโยชน์นั่นก็คือ “แร่ถ่านหินธรรมชาติ” เพื่อนำมาใช้งานและส่งออก ดังนั้นการทำแร่ถ่านหินจึงเกิดขึ้น แน่นอนว่าสิ่งสำคัญในการทำงานก็ต้องมีแรงงาน ผู้คนเริ่มเข้ามาอยู่ ตั้งถิ่นฐานอาศัยทำมาหากินเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งครอบครัวของคนงานจนเริ่มหนาแน่น ต่อมาในปี 1890 บริษัท Mitsubishi เห็นว่าเกาะนี้ น่าจะสร้างรายได้มหาศาล จึงตัดสินใจซื้อเกาะแห่งนี้ โดยมีโครงการว่าจะขุดถ่านหินจากทะเลขึ้นมา


ทางขวาของภาพ คือซากสะพานทางเชื่อมสู่ปากทางเข้าอุโมงค์ที่ 2 ของเหมือง 

ในช่วงปลายของสมัยเอโดะ มีการค้นพบถ่านหินคุณภาพดี หลังจากนั้นตั้งแต่ ค.ศ. 1890 เป็นต้นมา ทั่วพื้นที่ของเกาะแห่งนี้ก็กลายเป็นแหล่งวัตถุดิบสำหรับอุตสาหกรรมเหล็ก ในช่วงยุคทองของอุตสาหกรรมถ่านหินนั้นเป็นที่ภาคภูมิใจกันว่าเกาะแห่งนี้มีผู้คนอาศัยอยู่กันอย่างหนาแน่น เพราะว่าพื้นที่ครึ่งหนึ่งของเกาะเป็นเหมือง จึงมีการใช้ประโยชน์จากที่ว่างอันน้อยนิด สำหรับเป็นที่อยู่อาศัย และถือเป็นเกาะที่มีการก่อสร้างอาคารคอนกรีตเสริมเหล็กเป็นแห่งแรกของประเทศญี่ปุ่นเลยทีเดียว พร้อมกับที่เทคโนโลยีการขุดเจาะพัฒนาขึ้นพื้นที่โดยรอบเกาะก็ขยายขึ้นเช่นกัน

เกาะฮาชิมะ มีวัสดุที่ใช้สร้างที่อยู่อาศัย แบบคอนกรีตเสริมเหล็ก และยังเป็นที่แรกในประเทศญี่ปุ่น โดยโครงสร้าง การก่อสร้างในระยะแรกเป็นการสร้างอาคารเพียง 4 ชั้น แต่ต่อมาก็ต่อเติมจนเป็นอาคาร 7 ชั้น ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่มาก ๆ เมื่อเทียบกับตึกในสมัยนั้น และด้วยตัวอาคารที่ยังหลงเหลือซากมาให้พบเห็นจนตอนนี้นี่เองที่เป็นเหมือนตัวจุดประกายให้เห็นถึงภาพชีวิตความเป็นอยู่ของชาวเกาะเมื่อวันวานสำหรับผู้คนที่มองเข้ามา ซึ่งถ้ามองออกมาจากข้างนอกเกาะ จะพบว่า ลักษณะเด่นของเกาะ ฮาชิมะ เป็นเกาะกลางทะเลที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยว ถ้ามองจากด้านบนจะเห็นภาพเกาะ ที่มีการตกแต่ง คล้ายกับเรือรบลำใหญ่ลอยลำอยู่กลางทะเล เล่ากันว่า ในสมัยสงครามโลก ทางสหรัฐฯ ได้ส่งเรือดำนำมาเพื่อจะเข้าโจมตีญี่ปุ่น แต่ทางทหารอเมริกาได้เห็นเกาะฮาชิมะเป็นเรือรบขนาดใหญ่เลยไม่กล้าเข้าโจมตี และล่าถอยกลับไป ปัจจุบัน เกาะฮาชิมะ ได้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของญี่ปุ่นและเป็นสิ่งก่อสร้าง ที่ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมของญี่ปุ่น

เกาะฮาชิมะนี้เป็นเกาะที่มีทั้งเทคโนโลยีล้ำสมัยที่สุดของญี่ปุ่นในยุคนั้นและมีลักษณะเหมือนเมืองหลวง แต่เพราะการสั่งปิดเหมืองใน ค.ศ. 1974 ตามนโยบายจัดระบบเรื่องพลังงานของรัฐบาลทำให้เกาะนี้กลายเป็นเกาะร้าง อาคารบ้านเรือนก็เก่าทรุดโทรมลงและถูกสั่งห้ามเข้าใช้ อย่างไรก็ตามในปัจจุบันส่วนหนึ่งของเกาะกำลังได้รับการฟื้นฟูและมีความเป็นไปได้ที่จะเปิดให้เข้าไปอีกครั้ง จากความสำเร็จในการรณรงค์ให้อนุรักษ์กุนคังจิมะที่ถูกผลักดันมาตลอดจากกลุ่มชาวเกาะที่เคยอาศัยอยู่ในอดีตทำให้ในปี 2015 เกาะร้างแห่งนี้ก็ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลก


มรดกโลกแห่งใหม่ของญี่ปุ่น เกาะเรือรบฮาชิมะ
ที่มา: https://www.marumura.com/

โรงงานและเหมืองต่างๆ ที่ถูกปล่อยร้างมาช้านานในญี่ปุ่น รวมถึงเกาะร้างที่เสมือนป้อมปราการใกล้เมืองนางาซากิ ได้กลายเป็นความภาคภูมิใจของประชาชนทั้งประเทศ เพราะเขตอุตสาหกรรมนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ซึ่งเกาะฮาชิมะหรือเกาะเรือรบ เป็น 1 ใน 23 เขตอุตสาหกรรมเก่าแก่ที่ทาง องค์การยูเนสโกยอมรับและขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ซึ่งมรดกโลกแห่งใหม่นี้ มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า มรดกของการปฏิวัติอุตสาหกรรมในยุคเมจิ

เกาะฮาชิมะ จึงเป็นตัวอย่างของการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในญี่ปุ่นจากสังคมศักดินาเป็นสังคมอุตสาหกรรมสมัยใหม่  และเคยเป็นสถานที่ที่ชาวเกาหลีกับชาวจีนหลายหมื่นคน ถูกบังคับใช้แรงงานอย่างหนัก เพื่อผลประโยชน์ของรัฐบาลญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่ 2  อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการมรดกโลกได้รับรองสถานะของเกาะฮาชิมะเป็นมรดกโลก ด้วยเงื่อนไขที่ว่า ญี่ปุ่นยอมรับในการ กระทำอันโหดร้ายที่เคยก่อไว้กับแรงงานต่างชาตินับหมื่นคนในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2

สำหรับเกณฑ์การจดทะเบียนสิ่งก่อสร้างเพื่อเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมนั้น การที่สิ่งก่อสร้างสักอย่าง จะได้รับการจดทะเบียนนั้น มีหลากหลายเหตุผล มีสิ่งก่อสร้างต่างๆ มากมาย ที่มีคุณค่า ไม่ว่าจะเป็นด้านจิตใจ ด้านสังคมต่อผู้คนในประเทศญี่ปุ่น เป็นสิ่งก่อสร้างมรดกโลกทางวัฒนธรรม อย่างเช่น สะพานทางเชื่อมสู่ปากทางเข้าอุโมงค์ที่ 2 ของเหมือง ตอม่อของสายพานขนส่งถ่านหินที่ได้จากการขุดเจาะ โรงเรียน และโรงพยาบาล หรือแม้กระทั่งร้านค้าขายของ ที่สะท้อนถึงบริบทสังคมในยุคนั้น เกาะฮาชิมะได้รับการจดทะเบียนครั้งนี้ถือว่าเป็นสถานที่ที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ เนื่องจากเป็นหลักฐานอย่างดีที่แสดงให้เห็นถึงความพยายามและความสำเร็จของการปฏิวัติทางอุตสาหกรรมในสมัยเมจิของญี่ปุ่น และสามารถต่อยอดไปถึงเรื่องราวความสัมพันธ์ของญี่ปุ่นกับชาติตะวันตก ที่นำเทคโนโลยีเข้ามาญี่ปุ่นในยุคนั้นได้นั่นเอง

ถึงแม้ว่าเกาะฮาชิมะ จะเป็นเกาะร้าง และถูกทิ้งร้างไว้ จนเกิดความรู้สึกถึงความเฮี้ยน รวมทั้งมีเรื่องเล่าลือถึงอาถรรพ์ต่างๆ มากมาย อย่างไรก็ตามผู้คนหรือนักท่องเที่ยว ก็ยังอยากเข้ามาสัมผัสและเก็บภาพกับสถานที่สุดเฮี้ยนแห่งนี้ ทำให้เกาะฮาชิมะ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวของญี่ปุ่น ที่ต้องมาเยี่ยมชม ด้วยความที่โครงสร้างของเกาะ ถ้ามองจากด้านบนจะเห็นภาพเกาะ ที่มีการตกแต่ง คล้ายกับเรือรบลำใหญ่ลอยลำอยู่กลางทะเล ซึ่งลักษณะเด่นที่สำคัญ ด้วยความที่โครงสร้าง และวัสดุที่ใช้สร้างเป็นคอนกรีต บวกกับการตกแต่ง ที่มีความอลังการ มหึมา โดดเด่นออกมามากกว่า เกาะอื่นๆ ที่อยู่ใจกลางทะเล ทำให้ เกาะฮาชิมะ เป็นสถานที่สำคัญที่น่ามาเยือนอีกแห่งหนึ่งของโลก


อ้างอิง  

รัชวุฒิ www.marumura.com./(2015).มรดกโลกแห่งใหม่ของญี่ปุ่น เกาะเรือรบฮาชิมะ (ออนไลน์).สืบค้นเมื่อ 3 กุมภาพันธ์ 2563 , จาก : https://www.marumura.com/

Anngle.(2020). “กุนคังจิมะ” เกาะแห่งซากปรักหักพัง มรดกโลกของนางาซากิ (ออนไลน์).สืบค้นเมื่อ 5 กุมภาพันธ์ 2563 , จาก : https://anngle.org/th/j-culture/gunkanjimasekaiisan.html

Dailynews.(2558).เกาะฮาชิมะมรดกโลก (ออนไลน์).สืบค้นเมื่อ 3 กุมภาพันธ์ 2563 , จาก : https://www.dailynews.co.th/article/335746

Hashimaisland.เกาะผีสิง เมืองร้างสุดหลอน ฮะชิมะ หรือ กุงกันจิมะ (Ghost Island หรือ Battleship Island) (ออนไลน์).สืบค้นเมื่อ 7 กุมภาพันธ์ 2563 , จาก : https://hashimaisland.blogspot.com/2013/08/blog-post.html?m=1

The 29th Ronin www.marumura.com./(2012).เกาะฮาชิมะ..เกาะเรือรบ อาถรรพ์เมืองบนเกาะร้าง (ออนไลน์).สืบค้นเมื่อ 3 กุมภาพันธ์ 2563 , จาก : https://www.marumura.com/hashima-island

Travel.trueid.net.(2561).เกาะฮาชิมะ ตำนานเกาะร้าง อาถรรพ์ สุดเฮี้ยน ในญี่ปุ่น(ออนไลน์).สืบค้นเมื่อ 6 กุมภาพันธ์ 2563 , จาก : https://travel.trueid.net/detail/34a75nrEBQ6

อ่านเพิ่มเติม »

ทอมัส อัลวา เอดิสัน (Thomas Alva Edison) พ่อมดแห่งเมนโลพาร์ก

โดย ปริญญา วานิช

หลายคนคงเคยได้ยินคำคมที่ถูกพูดถึงกันมากจากการสร้างแรงบันดาลใจที่ว่า “genius is one percent inspiration and ninety-nine percent perspiration” หรือที่แปลเป็นภาษาไทยอย่างไพเราะคือ “อัจฉริยะเกิดจากแรงบันดาลใจเพียง 1 เปอร์เซ็นต์ และอีก 99 เปอร์เซ็นต์คือความอุตสาหะ” วาทะดังกล่าว  Thomas Alva Edison หรือ โทมัส อัลวา เอดิสัน ยอดนักประดิษฐ์ผู้เป็นต้นแบบที่สร้างสรรค์งานประดิษฐ์ต่างๆ

ผลงานหลายชิ้นของเขาได้สร้างแรงบันดาลใจให้ใครหลายคนเชื่อว่า ความอุตสาหะ พากเพียร จะทำให้เกิดความเป็นอัจฉริยะขึ้นได้ในตัวเอง เฉกเช่นกับ โทมัส อัลวา เอดิสัน ที่ทำงานอย่างหนักด้วยความอุตสาหะ พากเพียร จนได้ชื่อว่าเป็นผู้มีความสามารถหลากหลายหรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นบุคคลที่มีความเป็นอัจฉริยะคนหนึ่งก็ว่าได้ อีกทั้งยังเป็นนักประดิษฐ์และนักธุรกิจชาวอเมริกัน ที่ประดิษฐ์อุปกรณ์สำคัญๆมากมาย จนได้รับฉายาว่า “พ่อมดแห่งเมนโลพาร์ก” (The Wizard of Menlo Park ) เป็นหนึ่งในผู้ริเริ่มนำหลักการของ การผลิตจำนวนมาก และกระบวนการประดิษฐ์ มาประยุกต์รวมกันได้อย่างลงตัว


ที่มา :  https://www.compgamer.com/

โทมัส อัลวา เอดิสัน (Thomas Alva Edison) เกิดเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1847 ณ เมืองมิลาน (Milan) รัฐโอไฮโอ สหรัฐอเมริกา เป็นลูกคนที่ 7 และคนสุดท้าย ของนายแซมมวล เอดิสัน (Samuel “The Iron Shovel” Edison, Jr.) และนางแนนซี แมทธิวส์ เอลเลียต (Nancy Matthews Elliott) ขณะที่เขาเกิด บิดาของเขามีอายุ 43 ปี และมารดาของเขามีอายุ 37 ปี ในช่วงวัยเด็ก ทุกคนมักเรียกเอดิสันว่า “อัล” วัยเด็กของอัลเขาเป็นคนที่สนใจในเรื่องรอบตัวไม่ใช่แต่ตำราคร่ำครึเพียงเท่านั้น และมีนิสัยที่ชอบถามคนอื่นๆเมื่อเกิดความสงสัย เพื่อที่จะทำให้เกิดความเข้าใจในเรื่องต่างๆอย่างถ่องแท้ และนอกจากนี้เขายังชอบทดลองทำอะไรใหม่ๆด้วยตัวเอง จนบางครั้งก็นำความเดือดร้อนมาให้แก่เขาเองและคนรอบข้างอยู่เสมอๆ เช่น เมื่อเขาทดลองเกี่ยวกับไฟด้วยตนเองก็ทำให้เกิดเพลิงไหม้ในที่สุด แต่ยังโชคดีที่ชาวบ้านสามารถดับเพลิงไว้ได้ทัน

เอดิสันมีนิสัยรักการอ่านหลงใหลในหนังสือที่มีภาพเนื้อหาและการทดลองทางวิทยาศาสตร์ จึงทำให้เขาสนใจและทดลองตามหนังสือที่ได้อ่าน บิดามารดาของเขาจึงสร้างห้องใต้ดินเพื่อให้เขาได้ทดลองต่างๆตามหนังสือ และเขาก็ได้ทำการทดลองมากมายในห้องใต้ดินนั้น  เมื่อเอดิสันอายุได้เพียง 12 ขวบ ใน ค.ศ. 1859 เอดิสันตัดสินใจออกหางานทำเพื่อหารายได้พิเศษโดยการขายลูกอมและหนังสือพิมพ์บนรถไฟ ต่อมา ค.ศ. 1860 เอดิสันประสบอุบัติเหตุซึ่งส่งผลให้การได้ยินของเขาเสื่อมลง เขาจึงมีปัญหาด้านการได้ยิน ทำให้หูชั้นในของเขาติดเชื้อและมีลักษณะเกือบจะเป็นหูหนวก ต่อมาในขณะที่ได้ทำการทดลองในรถไฟก็เกิดเพลิงไหม้ขึ้นเขาจึงถูกไล่ออกและถูกทำร้ายร่างกายก็ยิ่งส่งผลต่อการได้ยินของเขาไปอีก

ค.ศ. 1863 เอดิสันเข้าเป็นพนักงานส่งโทรเลข และในปีเดียวนั้น เขาเปลี่ยนบริษัททำงานถึง 4 ครั้ง ตามสถานที่ต่าง ๆ ในอเมริกาและแคนาดา ค.ศ. 1864 เขาประดิษฐ์เครื่องบันทึกการนับคะแนน และยื่นขอจดสิทธิบัตร แต่เครื่องนั้นไม่ได้ถูกนำไปใช้งานแต่อย่างใด ในปี ค.ศ. 1869 เขาเดินทางไปยังนิวยอร์ก และเปิดบริษัทวิศวกรไฟฟ้าขึ้น บริษัทนี้ถือได้ว่าประสบความสำเร็จและเจริญรุ่งเรืองอย่างมาก ต่อมาไม่นานใน ค.ศ. 1871 เขาสร้างอาคารซึ่งเปิดเป็นโรงงานและศูนย์วิจัย และได้พบรักและแต่งงานกับ แมรี สติลเวลล์ (Mary Stilwell) ผู้มีอายุน้อยกว่าเอดิสันถึง 8 ปี และในปีนั้น แนนซีผู้เป็นมารดาของเอดิสัน ก็เสียชีวิตลงในวัย 61 ปี

ค.ศ. 1876 เขาสร้างอาคารโรงงานและศูนย์วิจัยใหม่ที่เมนโลพาร์ก (Menlo Park) รัฐนิวเจอร์ซีย์ และเริ่มลงมือประดิษฐ์โทรศัพท์ ในปี ค.ศ. 1877 เอดิสันประดิษฐ์เครื่องบันทึกเสียงขึ้น และเป็นที่มาของฉายา “พ่อมดแห่งเมนโลพาร์ก” ที่เขาสามารถประดิษฐ์เครื่องบันทึกเสียงนี้ขึ้นมาได้สำเร็จ


เอดิสันใน ค.ศ. 1877
ที่มา : https://upload.wikimedia.org/w

ต่อมาในปี ค.ศ. 1878 เอดิสันเริ่มศึกษาค้นคว้าคิดที่จะทำหลอดไฟ เพราะไฟส่องสว่างในสมัยนั้นสามารถก่อให้เกิดไฟไหม้ได้ง่าย เขาจึงมีความคิดที่ประดิษฐ์หลอดไฟขึ้นมา

ค.ศ. 1879 เขาประดิษฐ์หลอดไฟไส้คาร์บอนสำเร็จ และเริ่มออกแบบสวิตช์เปิด-ปิดหลอดไฟให้ติดตั้งในบ้านเรือนได้ง่าย นับเป็นจุดเริ่มต้นของหลอดไฟบนโลกใบนี้ที่เราอาศัยอยู่
ค.ศ. 1880 เขาเปลี่ยนไส้หลอดไฟจากคาร์บอนเป็นไม้ไผ่ญี่ปุ่น เพราะหลอดคาร์บอน ส่องสว่างได้นาน 40 ชั่วโมง แต่หลอดไม้ไผ่ญี่ปุ่น ส่องสว่างได้นานถึง 900 ชั่วโมง
ค.ศ. 1882 เขาสร้างโรงจ่ายกระแสไฟฟ้าขึ้นที่นิวยอร์ก และเริ่มประกาศเทคโนโลยีหลอดไฟให้เป็นที่รู้จัก
ค.ศ. 1883 เขาประดิษฐ์หลอดไฟรุ่นใหม่ที่ใช้ในครัวเรือนทั่วไปได้ ทำให้หลอดไฟแพร่กระจายไปตามจุดต่าง ๆ ของโลกเร็วขึ้น
ค.ศ. 1884 แมรี ภรรยาของเขาเสียชีวิตลงด้วยโรคไทฟอยด์ในวัยเพียง 29 ปีเท่านั้น
ค.ศ. 1886 เอดิสันจึงแต่งงานใหม่กับมินา มิลเลอร์ (Mina Miller) ผู้มีอายุน้อยกว่าเอดิสันถึง 19 ปี
ค.ศ. 1891 เขาประดิษฐ์เครื่องถ่ายภาพตัดต่อสำเร็จ บันทึกภาพเคลื่อนไหว ซึ่งนำไปสู่การสร้างภาพยนตร์ ในปี ค.ศ. 1893 ที่สร้างโรงถ่ายภาพยนตร์แห่งแรกของโลกได้
ในปี ค.ศ. 1896 บิดาของเอดิสันเสียชีวิตลงในวัย 92 ปี และในปีนั้น เอดิสันรู้จักกับ เฮนรี ฟอร์ด (Henry Ford) ซึ่งต่อมาทั้งคู่ก็เป็นเพื่อนสนิทกัน
ค.ศ. 1898 เขาเริ่มประดิษฐ์แบตเตอรี่ และประดิษฐ์สำเร็จใน ค.ศ. 1909 ใช้เวลานานถึง 11 ปี
ค.ศ. 1912 เกิดการใช้เครื่องถ่ายภาพตัดต่อและเครื่องบันทึกเสียงพร้อมกัน ทำให้เกิดเป็น ภาพยนตร์ที่มีทั้งภาพและเสียงในยุคสมัยนั้น

หลังจากนั้น เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม ค.ศ. 1931 ทอมัส อัลวา เอดิสัน ยอดนักประดิษฐ์ชาวอเมริกันแห่งศตวรรษที่ 19 ก็ได้เสียชีวิตลงด้วยโรคเบาหวานและไตวาย ถือเป็นการจบชีวิตของผู้ประดิษฐ์หลอดไฟฟ้า และเจ้าของสิทธิบัตรสิ่งประดิษฐ์กว่า 1,000 รายการ นอกจากนั้นนักประดิษฐ์ผู้นี้ยังได้ก่อตั้งบริษัทผลิตภาพยนตร์ ชื่อ Edison Trust ต่อมานิตยสารไลฟ์ (Life) ได้ยกย่องให้นักประดิษฐ์ผู้มีนามว่า ทอมัส อัลวา เอดิสัน เป็น “หนึ่งใน 100 คนที่สำคัญที่สุดในช่วง 1,000 ปีที่ผ่านมา” ถือเป็นนักอัจฉริยะทางความคิดที่เป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญของโลกเลยก็ว่าได้

ตลอดระยะเวลากว่า 84 ปีที่เอดิสันมีชีวิตอยู่บนโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาอยู่ตลอดเวลา แม้ชีวิตจะประสบกับปัญหาต่างๆ มากมายมาโดยตลอด แต่สิ่งหนึ่งที่เอดิสันไม่เคยละทิ้งคือความพยายามความมุ่งมั่นและอุตสาหะ กระทำในสิ่งที่ตนเองชื่นชอบและมองว่าเป็นสิ่งที่ดี นั่นคือ การค้นคว้าและทดลองทางวิทยาศาสตร์เพื่อคิดค้นพัฒนาสิ่งต่างๆอยู่ตลอดเวลา แม้กระทั่งช่วงหนึ่งของชีวิตที่ต้องขึ้นไปขายของเพื่อยังชีพหรือกระทั่งการทดลองทางเคมีหลายอย่างที่ทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ หรือการถูกทำร้ายร่างกาย ทั้งหมดทั้งมวลล้วนเกิดขึ้นจากความล้มเหลวทั้งสิ้น เอดิสันเกิดความล้มเหลวในการทดลองค้นคว้าสร้างสิ่งประดิษฐ์ต่างๆมานับครั้งไม่ถ้วน ขณะที่คนอื่นมองว่าการที่ได้ทดลองมาเกือบพันครั้งแล้วยังไม่ประสบความสำเร็จ และยิ่งทำให้ชีวิตล้มเหลว แต่เอดิสันกลับมองว่า “เขาได้เรียนรู้มากกว่าใครคนอื่น”  ความล้มเหลวของชีวิตของนักประดิษฐ์ผู้นี้ถือเป็นบทเรียนที่สามารถสร้างราคาให้แก่ใครหลายคนได้ หรืออาจสร้างแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตของมนุษย์ไม่มากก็น้อย สมควรอย่างยิ่งที่จะยกฉายา ให้กับ Thomas Alva Edison หรือ โทมัส อัลวา เอดิสัน สุดยอดนักประดิษฐ์ผู้สร้างประโยชน์ให้แก่มวลมนุษย์ว่าเป็น “พ่อมดแห่งเมนโลพาร์ก” อย่างที่สุด


อ้างอิง

คัสซินส์ มาร์กาเร็ต. (2511). โธมัส อัลวา เอดิสัน. พระนคร: ก้าวหน้า.

แพลตต์ ริชาร์ด. (2549). สิ่งประดิษฐ์ของโลก. กรุงเทพฯ: พิมพ์ดี.

วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี.(2562).ทอมัส เอดิสัน. (ออนไลน์). สืบค้นเมื่อ 18 กุมพาพันธ์ 2561, จาก: https://th.wikipedia.org/wiki/ทอมัส_เอดิสัน

สุรศักดิ์  พงศ์พันธุ์สุข. (2553). 20 ยอดนักวิทยาศาสตร์ผู้ทรงอิทธิพล (5). (ออนไลน์). สืบค้นเมื่อ 22 กุมพาพันธ์ 2561, จาก: http://www0.tint.or.th/nkc/nkc53/content/nstkc53-022.html

อ่านเพิ่มเติม »

ชองกเยชอน (Cheonggyecheon) คลองแห่งประวัติศาสตร์เกาหลี

โดย อารยา วานิชกร

เชื่อว่าผู้ที่ชื่นชอบการดูหนังและซีรีส์เกาหลี หลายๆ คน ณ ที่นี้ คงจะเคยพบเห็นผ่านตามากันบ้างแล้วแน่ๆ หรือบางคนที่เคยมีโอกาสได้ไปเที่ยวประเทศเกาหลีก็คงจะรู้จักกับสถานที่แห่งประวัติศาสตร์เกาหลีแห่งนี้เป็นอย่างดี สถานที่แห่งนี้มีชื่อว่า คลองชองกเยชอน เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจยอดฮิตของชาวเกาหลี นักท่องเที่ยวที่ผ่านไปมามักจะแวะถ่ายรูปเพื่อบันทึกเรื่องราวภาพความทรงจำกับคลองที่มีทัศนียภาพแสนสวยงามแห่งนี้

คลองชองกเยชอน (청 계 천) เป็นพื้นที่สาธารณะขนาดใหญ่ที่มีชื่อเสียงโด่งดังอีกหนึ่งแห่งของประเทศเกาหลี ปรากฏในภาพยนตร์ ซีรีส์ มิวสิควิดีโอต่างๆ มากมาย และคลองชองกเยชอนแห่งนี้ก็ได้เคยปรากฏในฉากหนึ่งทั้งในภาพยนตร์ไทยเรื่องกวนมึนโฮ ซึ่งหากใครจำได้ คลองแห่งนี้คือคลองเดียวกับในฉากที่พระเอกและนางเอกตะโกนอยู่บนพะสาน โดยข้างล่างนั่นก็คือคลองชองกเยชอนนั่นเอง และนอกจากนี้ยังได้ปรากฏในซีรีส์ไทยเรื่อง Full House วุ่นนักรักเต็มบ้านอีกด้วย ซึ่งนอกจากจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำหรับพักผ่อนหย่อนใจแล้ว คลองใจกลางเมืองแห่งนี้ยังเป็นสถานที่เต็มเปี่ยมไปด้วยเรื่องราวประวัติศาสตร์สำคัญของประเทศเกาหลีมากมาย


ภาพคลองชองกเยชองในปัจจุบัน
ที่มา: http://www.cityclock.org/

คลองชองกเยชอน เป็นแม่น้ำสายย่อมๆตั้งอยู่ใจกลางกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งมีความยาวประมาณ 5.84 กิโลเมตร โดยไหลจากทางทิศตะวันตกไปยังทิศตะวันออก คลองชองกเยชอนนี้จะไหลไปรวมกับคลองอีกหนึ่งสายที่ชื่อว่า จุงนังชอล (중랑천) คลองทั้งสองสายจะไหลรวมกันลงไปสู่แม่น้ำฮัน  ซึ่งเป็นแม่น้ำสายหลักที่ไหลผ่านใจกลางกรุงโซลประเทศเกาหลีใต้นั่นเอง

อาจกล่าวได้ว่าคลองชองกเยชอนเป็นคลองแห่งประวัติศาสตร์ของเกาหลีก็ว่าได้ เนื่องจากคลองแห่งนี้เป็นถิ่นที่อยู่ร่วมกับคนเกาหลีมาหลายยุคหลายสมัย ถูกปรับปรุงพัฒนามาหลายครั้งจนกระทั่งกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันสวยงามอย่างเช่นในปัจจุบัน คลองชองกเยชอนนี้มีอายุเก่าแก่กว่า 600 ปี นับตั้งแต่สมัยกษัตริย์แทจงแห่งราชวงศ์โชซอน

ในอดีตนั้นคลองชองกเยชอนเป็นลำน้ำที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ แต่เนื่องจากกรุงโซลในสมัยนั้นประสบปัญหาน้ำท่วมและปัญหาขาดแคลนน้ำสลับไปมาอยู่เสมอ คลองแห่งนี้จึงได้รับการบูรณะเพื่อใช้เป็นคลองระบายน้ำ ประกอบกับช่วงที่เกิดสงคราม ประเทศญี่ปุ่นได้เข้ามาเข้ายึดครองเกาหลี ผู้คนมากมายอพยพมาอาศัยอย่างแน่นหนาบริเวณพื้นที่ริมคลอง น้ำในคลองที่เคยใสสะอาดนั้นเริ่มเน่าเสียและส่งกลิ่นเหม็นเป็นอย่างมาก ญี่ปุ่นในช่วงนั้นจึงได้เปลี่ยนชื่อคลอง จากคลองชองกเยชอนซึ่งมีความหมายว่าสายน้ำที่ใสสะอาด เป็นคลองทาเกซอน หมายถึง สายน้ำที่เน่าเหม็นแทน และภายหลังเมื่อคลองแห่งนี้ได้รับการปรับปรุงสภาพน้ำให้ดีขึ้นแล้วจึงกลับมาใช้ชื่อ คลองชองกเยชอนดังเดิมจนถึงปัจจุบัน

ในปี 1948-1960 กรุงโซลหนาแน่นและเต็มไปด้วยประชากรจำนวนมากที่ได้อพยพเข้ามาตั้งรกรากในเมืองหลวง โดยได้ตั้งบ้านเรือนชั่วคราวบริเวณริมลำคลอง มีการทิ้งขยะของเน่าเสียและสิ่งปฏิกูลต่าง ๆ  คลองแห่งนี้จึงมีสภาพเสื่อมโทรม เกิดมลพิษทางน้ำ ซึ่งเป็นผลมาจากชุมชุนแออัดที่มาอยู่อาศัยบริเวณริมน้ำนั่นเอง

นอกจากนี้ประเทศเกาหลีในช่วงนั้นได้อยู่ในช่วงเข้าสู่ยุคแห่งการพัฒนา มีการสร้างร้านค้า ธุรกิจขนาดเล็กใหญ่และอาคารบ้านเรือนมากมายถูกสร้างขึ้นตลอดริมลำคลอง มีการสร้างถนนทับพื้นที่คลองและสร้างทางด่วนยกระดับคร่อมทับคลองในปี 1968 นอกจากคลองแห่งนี้จะรับขยะและของเสียจากบ้านเรือนที่ตั้งริมคลองแล้ว คลองแห่งนี้ได้กลายเป็นที่รองรับมลพิษของเสียจากทางด่วนด้วย น้ำในคลองถูกทิ้งให้เน่าเสีย สกปรก ไม่น่าอยู่ ซึ่งนับว่าเป็นปัญหาใหญ่หลวงที่ส่งผลกระทบต่อหลายๆด้าน โดยเฉพาะคุณภาพชีวิตของคนในเมือง ในแต่ละปีเกาหลีใต้ต้องใช้งบประมาณจำนวนมากเพื่อซ่อมแซมและแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมโดยรอบ
 

ภาพคลองชองกเยชอนในอดีต

จากสภาพที่เสื่อมโทรมดังกล่าว ในปี 2003 คลองชองกเยชอนได้รับการบูรณะ เพื่อเป็นการยกระดับและพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในเมือง โครงการนี้จึงริเริ่มโดยนายกเทศมนตรีอีมยอง บัก (이명박) โดยการรื้อทางด่วนและถนนโดยรอบออก พร้อมกับมีการฟื้นฟูธรรมชาติและสภาพแลดล้อมทั้งทองฝั่งของคลอง  โครงการบูรณะคลองนี้ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์รวมถึงได้รับแรงคัดค้านมากมายจากผู้ประกอบการธุรกิจต่าง ๆ เนื่องจากผู้ที่อาศัยอยู่ต้องย้ายออกจากบริเวณพื้นที่เลียบคลอง  แรงคัดค้านส่งผลให้มีการประชุมเจรจาเพื่อร่วมกันแก้ไขหาทางออกหลายครั้ง จนในที่สุดโครงการบูรณะคลองชองกเยชอนก็บรรลุผล และมีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2005 ได้ใช้งบประมาณไปกว่า 1 หมื่นล้านบาท

ภาพคลองชองกเยชอนในปัจจุบัน
ที่มา: http://blog.hwa2u.com/

คลองชองกเยชอนโฉมใหม่นี้มีน้ำใสสะอาด ธรรมชาติโดยรอบได้ถูกฟื้นฟู บริเวณคลองแห่งนี้ถูกปกคลุมไปด้วยความร่มรื่น มีน้ำพุตลอดแนว มีทางเดินเลียบริมคลอง พร้อมทั้งมีระบบระบายน้ำที่ทันสมัย มีนกและปลาต่างๆ อาศัยอยู่และมีจำนวนมากขึ้นทุกปี คลองชองกเยชอนยังได้ช่วยลดอุณหภูมิของพื้นที่เมืองโดยรอบลงกว่า 36 % มีตึกเก่าแก่อายุราว 40-50 ปี เรียงรายอยู่จำนวนมาก มีลานศิลปวัฒนธรรม นับว่าเป็นพื้นที่ทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญ นอกจากนี้ยังเพียบพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกสบายต่างๆ ถือเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของเมืองต่างๆ


ภาพคลองชองกเยชอนเมื่อยามค่ำคืนเต็มไปด้วยแสงสีงดงามตระการตา
ที่มา: http://www.govivigo.com/

ปัจจุบันลำน้ำคลองชองกเยชอนนี้ไหลผ่านย่านธุนกิจ ทั้งชองเกพลาซ่า และมีสะพาน 22 แห่งข้ามคลอง มอบบรรยากาศที่ผ่อนคลายและสดชื่นให้ผู้ที่ได้แวะเวียนไปเที่ยวชม ด้วยทัศนียภาพในยามราตรีนั้นมีความตระการตา เป็นสวรรค์แห่งธรรมชาติที่อยู่ท่ามกลางความคึกคักของใจกลางเมือง เป็นพื้นที่ที่มีมิติประวัติศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรม ธุรกิจการเงินและสิ่งแวดล้อมที่ทันสมัย ทำให้คลองชองกเยชอนนั้นเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในหมู่คนเมืองและนักท่องเที่ยวต่างถิ่นเป็นอย่างดี


อ้างอิง 

ส้ม มินโฮ. (2553). เกาหลีสุดที่รัก : คู่มือเที่ยวเกาหลีใต้ตามรอยซีรี่ส์ตลอดกาล. กรุงเทพฯ : ซันมูนทรี

สถานที่ท่องเที่ยวในเกาหลี. [เว็บบล็อก] สืบค้นเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2561, จาก:
http://www.jidapaenter.com/

 Cheonggyecheon. วิกิพีเดีย. สืบค้นเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2561, จาก:
 https://en.wikipedia.org/wiki/Cheonggyecheon

อ่านเพิ่มเติม »

โกลด มอแน (Claude Monet) ศิลปินแห่งลัทธิความประทับใจ

โดย อนัญญา กุลไธสง

โกลด มอแน เป็นหนึ่งในศิลปินคนสำคัญของฝรั่งเศสในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 ถึง 20  และยังเป็นหนึ่งในศิลปินผู้ร่วมก่อตั้งศิลปะลัทธิความประทับใจหรืออิมเพรสชันนิสม์ (Impressionism) ผู้เป็นแรงขับเคลื่อนในการสร้างผลงานศิลปะในรูปแบบใหม่โดยไม่จำเป็นที่จะต้องสร้างผลงานให้ออกมาเสมือนตามที่ตาเห็นและตามแบบฉบับของคนทั่วไปนิยมกัน แต่เน้นความรู้สึกที่เกิดจากความประทับใจครั้งแรกในสิ่งที่เห็นของตัวศิลปิน
                       

 ภาพเขียนสีน้ำมันมอแน

โกลด มอแน  (Claude Monet) หรือ อ็อสการ์ โกลด มอแน เป็นศิลปินชาวฝรั่งเศส เกิด ณ กรุงปารีส เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม ค.ศ. 1840 เมื่ออายุได้ 5 ปีได้ย้ายตามครอบครัวไปอาศัยที่เมืองเลออาฟวร์ แคว้นนอร์มังดี ทางตอนเหนือของประเทศฝรั่งเศส โดยมอแนเป็นบุตรชายคนที่สองของนายโกลด อาดอลฟ์ และนางลุย จุสตีน โอเบร ครอบครัวของมอแนประกอบอาชีพร้านขายของชำและอุปกรณ์เรือ โดยพ่อของเขามีความต้องการที่จะให้ลูกชายมาช่วยดูแลกิจการของครอบครัวต่อ หากแต่ความปรารถนาของมอแนนั้นคือการเป็นศิลปิน โดยมีแม่ที่เป็นอดีตนักร้องเก่าเข้าใจในความปรารถนาของเขาและให้การสนับสนุนความฝันในการเป็นศิลปินของมอแน มาตลอด

มอแนนั้นมีความสนใจในด้านศิลปะมาตั้งแต่เด็ก เขาได้ให้ความสำคัญและทุ่มเทให้กับงานศิลปะมากกว่าการศึกษา ซึ่งในปี ค.ศ.1851 มอแนได้เข้าศึกษาในโรงเรียนศิลปะที่เมืองเลออาฟวร์  ขณะที่อาจารย์กำลังสอนหนังสือ เขากลับใช้ช่วงเวลาดังกล่าววาดรูปการ์ตูนล้อเลียนอาจารย์ผู้สอน โดยใช้ถ่านไม้ในการสร้างภาพเขียนการ์ตูนล้อเลียน ทำให้มอแนเป็นที่รู้จักและสร้างรายได้ให้กับเขาจากการขายภาพล้อเลียนได้ราวๆ 20 ถึง 30 ฟรังก์

ต่อมามอแนได้มีโอกาสเรียนรู้เทคนิคการการวาดภาพกับศิลปินที่มีชื่อเสียงหลายคนเช่น ณาร์ค ฟรองซัวโอชาร์ด ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของ ณาร์ค หลุยเดวิด ศิลปินผู้มีชื่อเสียงมากที่สุดคนหนึ่งในประเทศฝรั่งเศส จนกระทั่งในปี 1856 ได้เรียนเทคนิคการวาดภาพโดยใช้สีน้ำมันและเทคนิคการเขียนภาพ “กลางแจ้ง” จาก ยูจีน บูแดง ผู้เป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญในการเขียนภาพภูมิทัศน์กลางแจ้งเพียงไม่กี่คนที่ใช้เทคนิคการเขียนภาพกลางแจ้ง ทำให้มอแนหลงใหลในการเขียนภาพภูมิทัศน์กลางแจ้งเป็นอย่างมาก

จุดเปลี่ยนที่ทำให้โมเนต์เริ่มหันมาใช้เทคนิคการวาดภาพที่แตกต่างจากศิลปินคนอื่นในยุคเดียวกัน คือ ความไม่มีอิสระในการออกแบบผลงาน ดังเช่นที่ศิลปินคนอื่นๆ ในยุคเดียวกันที่นิยมวาดภาพในห้องสตูดิโอและมักจะวาดภาพให้ออกมาเสมือนจริงตามที่ตาเห็น นอกจากนี้ยังมีการใช้สีที่ทึบระบายลงไปในผลงาน ซึ่งมอแนคิดว่ามันเป็นการจำกัดกรอบความคิดมากเกินไป ด้วยเหตุนี้จึงทำให้มอแนหาแรงบันดาลใจใหม่ๆ ในการสร้างผลงานศิลปะ เขาได้ไปยังพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์เพื่อหาแนวทางในการเขียนภาพของเขา เมื่อโมเนต์ไปชมผลงานภายในพิพิธภัณฑ์ มอแนพบว่าภาพวาดส่วนมากที่ศิลปินเอามาแสดงผลงานนั้น มีการลอกเลียนผลงานภาพวาดจากครูสมัยเก่า ซึ่งเขาไม่เห็นด้วยที่จะสร้างผลงานศิลปะด้วยวิธีการลอกเลียนผลงานของคนอื่น อีกทั้งมอแนยังไม่ชอบเกี่ยวกับทฤษฎีการวาดภาพที่ทางมหาวิทยาลัยสอน

ต่อมาในปี 1862 มอแนจึงได้ย้ายเข้ามาศึกษาศิลปะต่อในโรงเรียนของ ชาร์ล เกรย์ ทำให้เขาได้พบกับ ออกุสต์ เรอนัวร์ เฟรเดริก บาซีย์ และอัลเฟรด ซิสลีย์ ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่มีแนวคิดในการสร้างผลงานศิลปะที่เหมือนกันนั้นคือ การเน้น แสง สี อารมณ์และความรู้สึกในขณะนั้น อีกทั้งมีการใช้แปรงที่หยาบในการวาดภาพเหมือนกัน ทำให้กลายเป็นทั้งเพื่อนและผู้ร่วมก่อตั้งศิลปะลัทธิอิมเพรสชันนิสม์ร่วมกันในเวลาต่อมา

ภาพวาดของมอแนจึงมักจะเกิดจากความประทับใจในสิ่งที่ตนเองเห็นในครั้งแรก และไม่เน้นให้ภาพที่วาดออกมาเสมือนจริงตามที่ตาเห็น แต่จะคำนึงถึงการใช้สีเพื่อแสดงให้เห็นถึงแสงที่เปลี่ยนไปในแต่ละช่วงเวลาที่แตกต่างกัน จากมุมมองต่างๆ และใช้แปรงที่หยาบตะหวัดสีเข้มๆ ทับกันหลายๆครั้ง  โดยมากภาพวาดของมอแนมักเป็นภาพเขียนกลางแจ้งที่เน้นทิวทัศน์และบรรยากาศต่างๆ ที่มอแนได้พบเห็น

ในปลายปี 1871 มอแนและครอบครัวได้ย้ายมาอยู่ที่เมือง อาร์ฌ็องเตย หลังจากสงครามระหว่างฝรั่งเศสและปรัสเซีย และได้ตั้งกลุ่ม Anonymous Society of  Painter , Sculptors และ Engravers กับศิลปินรุ่นใหม่หลายคน เช่น ปีแยร์ โอกุสต์ เรอนัวร์ ,อัลเฟรด ซิสเลย์,กามีย์ ปีซาโร และ เอดัวร์ มาเนต์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงผลงานศิลปะได้อย่างเป็นอิสระเสรี

ต่อมาในปี 1894  เป็นปีแรกที่กลุ่มศิลปินรุ่นใหม่จัดนิทรรศการแสดงศิลปะขึ้นมา ซึ่งมอแนได้ส่งภาพ  “Impression, Sunrise” (ความประทับใจของพระอาทิตย์ขึ้น) ซึ่งเป็นภาพเกี่ยวกับภาพบรรยากาศที่ท่าเรือท่ามกลางสายหมอกในยามเช้า ณ เมืองเลออาฟวร์  โดยภาพนี้ถูกวาดขึ้นในปี 1872  ได้เป็นที่มาของชื่อกลุ่มลัทธิของศิลปินรุ่นใหม่ นั้นคือ ลัทธิแห่งความประทับใจหรืออิมเพรสชันนิสม์นั้นเอง

ตลอดช่วงชีวิตการเป็นศิลปินของมอแน ได้สร้างผลงานภาพวาดศิลปะไว้มากกว่า 2,500 ภาพ ซึ่งยังไม่รวมภาพที่ถูกเขาทำลายไปเพราะยังไม่เป็นที่พอใจในผลงานของตัวเอง ซึ่งผลงานที่สำคัญของมอแน ได้แก่ ภาพ "ผู้หญิงในสวน" ในปี 1867 มอแนได้ใช้เทคนิคการวาดภาพโดยเน้นให้เห็นแสงแดดที่ส่องลงมายังสวนดอกไม้  และพยายามแสดงให้เห็นถึงเปลวแสงแดดที่ส่องประกายกระทบกับเสื้อของหญิงสาวที่อยู่ภายในสวน
                  

ภาพ“ผู้หญิงในสวน”  ในปีค.ศ. 1867

ภาพ “พอพพลาบนฝั่งแม่น้ำเอฟ” ในปี 1900 เป็นภาพวาดที่บรรยายบรรยากาศชนบทของประเทศฝรั่งเศส ซึ่งมอแนใช้เทคนิค การเล่นแสงและสีในช่วงเวลาที่ต่างกันออกไปในสถานที่เดิมเพื่อแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างและการเปลี่ยนแปลงของแสงและฤดูกาลที่ผ่านมา และภาพที่มีชื่อเสียงและมีความนิยมมากที่สุดของมอแน คือ ภาพ “บัวน้ำ” ในปี 1916 มอแนได้เน้นให้เห็นถึง แสง สี น้ำและบัวที่อยู่ในสระ เมื่อโดนแสงอาทิตย์ที่ส่องลงมาในแต่ละฤดูกาล แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของแสงแดดที่ส่องลงมายังสระบัว  นอกจากนี้ยังมีผลงานอื่นๆ อีกมายมาย  เช่น ภาพวาดบนฝั่งแม่น้ำเซน, เบเนคอรท์, ภาพวาดหน้าผาที่เอทเทรทาท์ และ ภาพวาดลุ่มแม่น้ำเซนกับอาร์ฌ็องเตย
             

ภาพ“บัวน้ำ” ในปี ค.ศ. 1916

ในบั้นปลายชีวิตของมอแนเขาเป็นศิลปินที่ได้กลายเป็นศิลปินที่ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายในประเทศฝรั่งเศสและมีฐานะร่ำรวยมากขึ้นจากการขายภาพวาด นอกจากนี้มอแนยังได้ผ่านเหตุการณ์ครั้งสำคัญของโลกนั้นคือ สงครามโลกครั้งโลกครั้งที่ 2  เขาได้วาดภาพ “วิลโลร้องไห้ (Weeping Willow)” ขึ้นเพื่อไว้อาลัยแก่ทหารชาวฝรั่งเศสที่เสียชีวิตจากสงครามโลก  ต่อมามอแนเป็นต้อกระจกส่งผลทำให้ผลงานในช่วงหลังๆของเขามักจะมีสีโทนแดง ซึ่งเกิดจากการมองเห็นสีที่ผิดไปจากเดิมจากการผ่าตัดตา และมอแนเสียชีวิตในปี 1926 ด้วยโรคมะเร็งปอด ขณะที่อายุได้ 86 ปี
                                         

Claude Monet - Weeping Willow (วิลโล่ร้องไห้) (1918)

จะถือได้ว่ามอแนก็เป็นอีกหนึ่งในศิลปินที่มีความสำคัญคนหนึ่งของโลกผู้เป็นแรงขับเคลื่อนในการสร้างสรรผลงานศิลปะแบบใหม่ขึ้นมาจนทำให้เกิดศิลปะแสงสีแห่งความประทับใจหรืออิมเพรสชั่นนิสต์ ที่เน้นการใช้สีเพื่อแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของแสงในแต่ละช่วงเวลา นอกจากนี้ยังเป็นแรงกระตุ้นให้กลุ่มศิลปินรุ่นใหม่ๆ มีการสร้างสรรค์ผลงานให้มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้นจนนำไปสู่ศิลปะในแบบต่างๆ เช่น ศิลปะนามธรรรม และป๊อบอาร์ต ในช่วงเวลาต่อมา


อ้างอิง

โกลด มอแน (Claude Monet). (2561). ค้นข้อมูล 15กันยายน2561, จาก
https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=klongrongmoo&month=24-01-2018&group=29&gblog=16

โกลด มอแน ศิลปินอิมเพรสชั่นนิสต์ผู้โด่งดังเจ้าของภาพเขียนสุดประทับใจตลอดกาล. (2561). ค้นข้อมูล 15กันยายน2561, จาก https://www.takieng.com/stories/8659

มอแน (Monet) ชื่อนี้ สะเทือนวงการศิลปินวาดภาพสีน้ำมัน. (2559). ค้นข้อมูล 15กันยายน2561, จาก https://www.takieng.com/stories/8659

Claude Monet. (2017). ค้นข้อมูล 15กันยายน2561, จาก https://www.greatstarsartshow.com/art/3910

Impressionism ศิลปะอิมเพรสชันนิสม์. (2011). ค้นข้อมูล 15กันยายน2561, จาก https://aunart.wordpress.com/2011/09/21/impressionism/

อ่านเพิ่มเติม »

นโปเลียน โบนาปาร์ต (Napoleon Bonaparte) มหากษัตริย์แห่งฝรั่งเศสผู้ขยายอำนาจไปทั่วยุโรป

โดย  ธินิดา ห้วยจันทร์

ผู้มีชัยชนะในเกือบทุกสมรภูมิรบ...มีกลยุทธที่ไม่เหมือนใคร...แม้บางครั้งที่มีกองกำลังทหารน้อยกว่าข้าศึก แต่ก็ยังได้คงรับชัยชนะ จนได้ครอบครองแผ่นดินส่วนใหญ่ในทวีปยุโรป...ความอัจฉริยภาพในการทำสงครามนี้ ทำให้เขาเป็นที่รู้จักและจดจำในนาม จักรพรรดิ นโปเลียนที่ 1 หรือ นโปเลียน โบนาปาร์ตแห่งฝรั่งเศส


napoleon bonaparte
ที่มา : https://www.thoughtco.com/

นโปเลียน โบนาปาร์ต (Napoleon Bonaparte) หรือ นโปเลียนมหาราช เกิดเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม ค.ศ.1769 ณ เมืองอาฌัคซีโอ หรือ อายาชโช (ในภาษาอิตาลี) บนเกาะคอร์ซิกา ซึ่งเป็นเวลาเพียง 1 ปี ภายหลังจากที่ฝรั่งเศสได้ครอบครองเกาะนี้จากสาธารณรัฐเจนัวใน ค.ศ. 1768 ครอบครัวของเขาเป็นหนึ่งในตระกูลผู้ดีจำนวนน้อยนิดบนเกาะคอร์ซิก้า บิดาของเขาชื่อ ชาร์ลส์ มาเรีย โบนาปาร์ตหรือ คาร์โล มาเรีย บัวนาปาร์เต (สำเนียงอิตาลี) นโปเลียนถูกมองว่าไม่ใช่ชาวฝรั่งเศสโดยแท้ เมื่อเยาว์วัยได้ย้ายเข้าไปรับการศึกษาวิชาทางทหาร ที่โรงเรียนนายร้อยทหาร กรุงปารีส และได้เข้าร่วมกองพลปืนใหญ่ ภายใต้กองกำลังของลาแฟร์ ทำให้ในปี 1787 เขาได้รับแต่งตั้งให้เป็นร้อยตรี นโปเลียนเป็นคนที่มีความถนัดในการใช้สติปัญญามากกว่าทางใช้กำลัง

ต่อมาเกิดการปฏิวัติฝรั่งเศสขึ้นในปี 1789 นโปเลียนได้เดินทางกลับไปปฏิบัติหน้าที่ที่เกาะคอร์ซิกา ในตำแหน่งพันโทและได้ต่อสู้กับขบวนการกู้ชาติคอร์ซิกา โดยมี ปาสกาล ดิเพาลี เป็นหัวหน้ากองทัพ ผลปรากฏว่ากองทัพฝั่งของนโปเลียนเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ จึงเป็นเหตุให้ครอบครัวโบนาปาร์ตต้องอพยพออกจากเกาะคอร์ซิกาไปอาศัยอยู่ในฝรั่งเศสกลายเป็นโอกาสที่ทำให้นโปเลียนได้เข้าร่วมกับขบวนการปฏิวัติ


ภาพเหตุการณ์การปราบปรามการก่อความไม่สงบในกรุงปารีส

เมื่อหลังการปฏิวัติใหญ่ในประเทศฝรั่งเศส ในยุคที่ฝรั่งเศสกำลังระส่ำระสาย และถูกข้าศึกรุมล้อมรอบด้าน นโปเลียนได้รับมอบหมายให้ยกกองทหารไปตีเมืองตูลอง (Toulon) ซึ่งอังกฤษยึดได้ ในปี 1793 ผลสุดท้ายคือนโปเลียนสามารถยึดเมืองตูลองคืนกลับมา ถือเป็นความดีความชอบ ส่งผลให้ได้รับการแต่งตั้งเป็นนายพลปืนใหญ่ในเวลาต่อมา

ในปี 1795 ปอล บาร์ราส์ ผู้บัญชาการรักษาความสงบแห่งชาติของฝรั่งเศสในขณะนั้น ได้สั่งการให้นโปเลียนผู้ที่มีผลงานดีเด่นจากชัยชนะที่ตูลอง กลับมาปราบปรามกลุ่มผู้สนับสนุนราชวงศ์ที่ลุกฮือขึ้นมาต่อต้านสมัชชาแห่งชาติของฝรั่งเศส วิธีการของนโปเลียนคือการนำปืนใหญ่มาใช้เพื่อให้เกิดความเด็ดขาดและรุนแรงทำให้ยุติการก่อความไม่สงบได้ทันที มีผลให้ชื่อเสียงของนโปเลียนเป็นที่นิยมอย่างมากในกลุ่มประชาชน 

ในช่วงเวลานี้เอง บาร์ราส์ก็ได้แนะนำให้เขารู้จักกับ “โจเซฟิน โบฮาร์เนส” หญิงหม้ายวัย 33 ปี ซึ่งมีลูกติด 2 คน และมีอายุมากว่านโปเลียนถึง 6 ปี นโปเลียนได้ตกหลุมรักโจเซฟินตั้งแต่ครั้งแรกที่พบเห็น ต่อมาในค.ศ. 1796 นโปเลียนจึงได้แต่งงานกับโจเซฟิน เนื่องจากโจเซฟิน เป็นหญิงสาวที่อยู่ในสังคมชั้นสูงและได้รู้จักกับบุคคลในทางการเมืองเป็นจำนวนมาก จึงทำให้นโปเลียนมีความก้าวหน้าในหน้าที่ราชการเร็วยิ่งขึ้น

ผลของการปราบปรามกลุ่มก่อความไม่สงบในครั้งก่อนทำให้นโปเลียนได้รับการขนานนามว่าเป็นวีรบุรุษและได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งแม่ทัพแห่งกองกำลังอิตาลี ในเดือนมีนาคม ค.ศ.1796 (หลังจากแต่งงานกับโจเซฟินได้ไม่นาน) เพื่อยึดอิตาลีกลับคืนมาจากออสเตรีย 

การทำสงครามของนโปเลียนในขณะนั้น กองกำลังของเขาได้ประสบกับปัญหามากมายทั้งเรื่องของอาวุธที่ไม่เพียงพอและเสบียงอาหารมีน้อย ทำให้ต้องอดมื้อกินมื้อแต่ด้วยการที่ทหารและตัวของนโปเลียนถูกฝึกฝนมาเป็นอย่างดี ทำให้การรบกับอิตาลีในครั้งนี้ ได้รับชัยชนะในที่สุด และนโปเลียนก็ยังสามารถทำให้อิตาลียอมทำสนธิสัญญาสงบศึก ที่เสียเปรียบต่อฝรั่งเศสได้นั่นก็คือสนธิสัญญา “กัมโป-ฟอร์มิโอ”  ว่าด้วยเรื่องการให้ฝรั่งเศสเข้าครอบครองเบลเยียม และยึดพรมแดนไปติดแม่น้ำไรน์ ส่วนออสเตรียได้ถือครองแคว้นเวเนเซีย (มหาราชผู้ครองโลก.2554:270)

ในปี 1798 สมัชชาแห่งชาติฝรั่งเศส ได้มีความกังวลต่อกระแสความนิยมที่ประชาชนมีต่อนโปเลียนเพิ่มสูงขึ้น จึงได้บัญชาให้นโปเลียนนำทัพเข้าบุกอียิปต์โดยอ้างว่าฝรั่งเศสต้องการเข้าครอบครองดินแดนตะวันออกใกล้และตะวันออกกลางเพื่อตัดเส้นทางลำเลียงของอังกฤษไปยังอินเดีย ในช่วงเวลานั้นถือว่าประเทศอังกฤษกับฝรั่งเศสเป็นศัตรูกัน เพราะอังกฤษถือเป็นประเทศที่มีอำนาจและมีเครื่องมือในการรบที่เหนือกว่าฝรั่งเศสก็ว่าได้ (นโปเลียนเคยคิดจะทำสงครามเพื่อยึดอังกฤษอยู่หลายครั้งแต่ไม่เป็นผลสำเร็จ) สุดท้ายนโปเลียนก็ยึดอียิปต์มาเป็นของฝรั่งเศสได้ เมื่อยึดอียิปต์ได้นโปเลียนก็ไม่ได้เดินทางกลับปารีสโดยทันที แต่ยังคงอยู่ปกครองที่อียิปต์ต่อ

มาในปี 1799 นโปเลียนได้ทราบข่าวความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในฝรั่งเศส ทำให้นโปเลียนตัดสินใจเดินทางกลับไปยึดอำนาจในฝรั่งเศสทันทีโดยการล้มรัฐบาล ไดเรคทอรี่ ในขณะนั้น และได้เปลี่ยนแปลงการปกครอง มาเป็นระบอบกงสุล นโปเลียนได้แต่งตั้งตนเองเป็นกงสุลที่ 1 ปกครองประเทศร่วมกับกงสุลอีก 2 คน คือ โรเจอร์ ดูโกส์ และ ซีแยส์

ใน ค.ศ. 1802 มีการวางแผนล้มอำนาจของนโปเลียนจากกลุ่มนิยมกษัตริย์ โดยคนกลุ่มนี้ได้ร่วมมือกับอังกฤษบุกเข้ามาในปารีสแต่ผลสุดท้ายก็กระทำการไม่สำเร็จ เพื่อไม่ให้ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก นโปเลียนจึงใช้เหตุผลนี้เป็นข้ออ้างในการจัดตั้งจักรวรรดิขึ้นในฝรั่งเศส เพื่อให้กลุ่มนิยมกษัตริย์เหล่านี้หมดโอกาสขึ้นมามีอำนาจอีกครั้ง สองปีต่อจากนั้น สภานิติบัญญัติจึงได้มีมติเห็นชอบ มีผลให้สาธารรัฐฝรั่งเศสที่ 1 เปลี่ยนมาเป็นจักรวรรดิฝรั่งเศส และนโปเลียนก็ได้เปลี่ยนสถานภาพของตนมาเป็นจักรพรรดินโปเลียนที่ 1



ในเดือน ธันวาคม ค.ศ. 1804 สันตะปาปาไพอัสที่7 เสด็จไปกรุงปารีสเพื่อทำพิธีราชาภิเษกอย่างเป็นทางการเพื่อเปลี่ยนสถานภาพให้นโปเลียนและโจเซฟิน (จักรพรรดิและราชินี) จากเดิมที่พระสันตะปาปาจะเป็นคนที่สวมมงกุฎให้กษัตริย์ แต่ปรากฏว่า นโปเลียนทรงรับมงกุฎจากสันตะปาปามาสวมด้วยพระหัตถ์ของพระองศ์เองทำให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า นโปเลียนให้ความสำคัญของศาสนจักรลดน้อยลง

ในยุคจักรพรรดินโปเลียน ได้ทำสงครามกับดินแดนต่างๆ มากมายจนสามารถเข้าปกครองดินแดนส่วนใหญ่ของยุโรปได้ แล้วแต่งตั้งให้แม่ทัพและญาติพี่น้องของตนขึ้นครองบัลลังก์ในราชอาณาจักรยุโรปหลายแห่ง ประเทศอื่นเมื่อเห็นว่า นโปเลียนได้ครอบครองหลายประเทศ ก็เกิดความต้องการที่จะหยุดยั้งอำนาจของนโปเลียน ทำให้ในประเทศที่มีอำนาจได้ร่วมมือกัน (เกิดเป็นฝ่ายพันธมิตร) และเข้าบุกกรุงปารีสในเวลาต่อมา ใน ค.ศ. 1814 ประเทศที่เป็นฝ่ายพันธมิตรของฝรั่งเข้ายึดครองกรุงปารีสได้สำเร็จ ผลของการแพ้สงครามในครั้งนี้ทำให้ นโปเลียนถูกบังคับให้สละราชบัลลังก์ที่พระราชวังฟ่อนเทนโบ

เมื่อสละราชบัลลังก์ได้ไม่นานนโปเลียนก็ถูกเนรเทศไปอยู่ที่เกาะเอลบา (ELBA) ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน พร้อมทหารรักษาพระองศ์ ก่อนจะหวนคืนสู่อำนาจอีกครั้ง แต่อยู่ได้ไม่นานก็พ่ายแพ้ในสงครามอีกครั้ง สงครามสุดท้ายของนโปเลียนก็คือ “สงครามวอเตอร์ลู” เป็นที่รู้จักกันในนามของสมัยร้อยวันแห่งการกลับคืนสู่อำนาจของนโปเลียน (Hundred Days) สุดท้ายนโปเลียนก็ถูกเนรเทศไปอยู่ที่เกาะเซนต์ เฮเลนนา (Saint Helena) และได้สิ้นพระชนม์ด้วยโรคแผลในกระเพาะอาหาร เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม ค.ศ. 1821

จากบุคคลธรรมดา ที่เกิดอยู่ภายในเกาะเล็กๆแห่งหนึ่งของฝรั่งเศส สู่การเป็นจักรพรรดิที่ยิ่งใหญ่และได้ปกครองยุโรปเกือบทั้งหมด ทำให้วีรประวัติที่พระองค์ทรงปฏิบัติมาตลอด รัชสมัยนั้นได้รับการสรรเสริญและยกย่องให้พระองค์ เป็นมหาราช ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกตะวันตกในเวลาต่อมา

นโปเลียนมหาราช ได้รับการยกย่องว่าเป็นแม่ทัพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์แม้ด้านหนึ่งจะได้ชื่อว่าทรงเป็นผู้ที่กระหายในอำนาจและ ชัยชนะ แต่นโปเลียนก็เป็นที่ยอมรับว่าในสมัยของพระองค์ พระองค์ได้ทรงทำให้ประเทศฝรั่งเป็นประเทศที่มีอำนาจอย่างมาก และเป็นที่เกรงกลัวของประเทศอื่นๆ นอกจากการขยายอำนาจของพระองค์แล้ว พระองค์ก็ยังได้สร้างรัฐธรรมนูญและปฏิรูประบบกฎหมายฝรั่งเศสขึ้นอย่างเป็นระบบ ให้การอุปถัมภ์ทางด้านการศึกษา วิทยาศาสตร์ ศิลปะและวรรณคดี...นโปเลียนเคยกล่าวไว้ว่า

“I love power. But it is as an artist that I love it. I love it as a musician loves his violin, to draw out its sounds and chords and harmonies.” (ฉันรักอำนาจ แต่รักแบบที่ศิลปินรักดนตรี รักแบบที่นักดนตรีรักไวโอลิน)


อ้างอิง 

ปัญญา วิวัฒนานันต์.มหาราชผู้ครองโลก.พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพฯ : ยิปซี สำนักหิมพ์,2554
 
สิริ เปรมจิตต์.นโปเลียนมหาราช.พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพฯ :โรงพิมพ์เฟื่องอักษร,2509

เอี่ยม ฉายางาม.ประวัติศาสตร์ฝรั่งเศส ค.ศ 1789-1884.พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพาณิช, 2523

NapoleonBonaparteQuotes.[ออนไลน์]. เข้าถึงเมื่อ 20 กันยายน 2561, จาก: https://www.brainyquote.com/quotes/napoleon_bonaparte_15018
อ่านเพิ่มเติม »

ญี่ปุ่นในยุคเอโดะ

โดย ธัญชนก บุญประคม

ประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีอารยธรรมและวัฒนธรรมหลากหลายที่มีชื่อเสียง มีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตนสูง มีพัฒนาการตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ตามยุคสมัยต่างๆ จนกลายเป็นประเทศที่มีความเจริญรุ่งเรืองมากในปัจจุบัน สามารถทัดเทียมประเทศตะวันตกได้และเป็นที่ชื่นชมกันทั่วโลก ซึ่งการพัฒนาในด้านต่างๆ ในแต่ละยุคสมัยมีการเปลี่ยนแปลงแตกต่างกันออกไปตามผู้ปกครองหรือปัจจัยอื่นๆ ซึ่งในบทความนี้จะนำเสนอเกี่ยวกับยุคสมัยเอโดะ เป็นยุคที่มีการเกิดขึ้นของหลายสิ่งหลายอย่าง และมีความน่าสนใจอย่างยิ่ง


โทะกุงะวะ อิเอะยะซุ โชกุนคนแรกของตระกลูโทกุงะวะ 

1. ประวัติศาสตร์และการเมืองการปกครอง

ยุคเอโดะเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ยุคโทกุงาวะ ซึ่งปกครองด้วยไดเมียวโทกุงาวะเป็นโชกุน ได้รวบอำนาจและตั้งรัฐบาลโชกุนขึ้นที่เอโดะ (ปัจจุบันคือโตเกียว) ใน ค.ศ. 1603 รัฐบาลเอโดะได้ลิดรอนอำนาจจากจักรพรรดิ เชื้อพระวงศ์ และพระสงฆ์จนหมดสิ้น และปกครองเกษตรกรไปทีละเล็กละน้อย ส่งต่ออำนาจต่อเนื่องเป็นเวลานานกว่าสองร้อยปี ซึ่งตลอดระยะเวลานั้นองค์จักรพรรดิยังคงประทับอยู่ที่เมืองหลวงที่เกียวโตแต่ไม่มีพระราชอำนาจใดๆ

ในช่วงยุคสมัยเอโดะ  เป็นช่วงที่ญี่ปุ่นได้หยุดพักสงครามภายในประเทศที่มีมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน ต้องยกให้เป็นความดีความชอบของตระกูลโทะกุงะวะ ที่ออกกฏ สันคินโคไท ตามกฎนี้ไดเมียวของแต่ละเมืองจะต้องมาประจำการอยู่ที่เอโดะปีเว้นปี โดยครอบครัว ภรรยาและบุตรจะต้องอยู่ในเอโดะตลอดเวลา นั่นทำให้ไดเมียวของแต่ละเมืองไม่กล้าคิดต่อต้านรัฐบาลกลาง การที่ไดเมียวของทุกเมืองต้องมาประจำที่เมืองเอโดะ ทำให้ไดเมียวแต่ละเมืองต้องนำซามูไรและคนของตนเองติดตามมาอยู่ด้วย ทำให้ช่วงเวลาดังกล่าวเอโดะกลายเป็นเมืองที่มีประชากรหนาแน่นที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ประมาณถึงหนึ่งล้านคน

2. สภาพสังคม

สังคมญี่ปุ่นในยุคเอโดะแตกต่างจากสังคมญี่ปุ่นในยุคอื่น ๆ เนื่องจากลัทธิขงจื๊อใหม่เข้ามามีอิทธิพล สังคมยุคเอโดะแบ่งออกเป็นสี่ชนชั้นเรียกว่าชิโนโกโช ประกอบด้วย ชนชั้นซามูไร ชนชั้นชาวนา ชนชั้นช่างฝีมือ และชนชั้นพ่อค้า แต่ละชนชั้นมีบทบาทและหน้าที่ของตนเองอย่างชัดเจนเคร่งครัด และการเปลี่ยนแปลงทางชนชั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยาก

การแบ่งชนชั้นในยุคเอโดะ เรียกกันว่า "มิบุงเซ" ประกอบด้วย
1. นักรบ หรือ ซามูไร (ประมาณร้อยละ 5 ของประชากรทั้งหมด)
2. ชาวไร่ชาวนา (ประมาณร้อยละ 80 ของประชากรทั้งหมด)
3. ช่างฝีมือ
4. พ่อค้า

ภาพ การครองแผ่นดินของตระกูลโทกุงาวาในยุคเอโดะ

ในช่วงเวลานี้มีการหลั่งไหลเข้ามาของชาวยุโรป ซึ่งมีผลกระทบต่อญี่ปุ่นอย่างมาก คณะผู้สอนศาสนาทำให้ชาวญี่ปุ่นเปลี่ยนศาสนากันมาก โดยเฉพาะทางตอนใต้ของญี่ปุ่น โชกุนตระหนักดีว่าศาสนาคริสต์อาจจะมีอานุภาพในการทำลายทัดเทียมกับอาวุธปืนที่เข้ามาในญี่ปุ่น ในที่สุดได้มีการสั่งห้ามเผยแพร่ศาสนาคริสต์ในญี่ปุ่น และโชกุนโทะกุงะวะได้ออกคำสั่งห้ามชาวต่างชาติทุกคนเข้าประเทศญี่ปุ่น ปิดประเทศญี่ปุ่นอนุญาตให้เฉพาะพวกดัทช์ (ฮอลันดา) เข้ามาค้าขายได้แค่บนเกาะเล็กๆ ชื่อเดจิมะ ซึ่งอยู่ริมฝั่งท่าเรือนะงะซะกิห้ามออกจากเกาะมาเหยียบแผ่นดินใหญ่เด็ดขาด ส่วนคนญี่ปุ่นก็ห้ามข้ามไปเกาะนี้เช่นกันยกเว้นช่างหรือล่าม เป็นต้น

แต่กฎนี้ผ่อนปรนสมัยโชกุนโยะชิมุเนะเปิดทางให้พวกปัญญาชนข้ามไปเรียนวิชาฝรั่งแบบชั่วคราว ตลอดจนชาวจีนจำนวนหนึ่งที่อาศัยอยู่ที่ นะงะซะกิ และทูตจากราชวงศ์ลีของประเทศเกาหลีที่เดินทางมาญี่ปุ่นเป็นครั้งคราว เป็นเวลา 250 ปีที่ญี่ปุ่นได้ติดต่อกับโลกภายนอกผ่านกลุ่มคนเหล่านี้เท่านั้น นักวิชาการญี่ปุ่นได้รับความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการแพทย์ตะวันตกและวิทยาศาสตร์แขนงอื่นๆ

การศึกษาและวิชาการก็เจริญรุ่งเรือง ชนชั้นนักรบเล่าเรียนปรัชญาของขงจื๊อและหลักคำสอนจูจื่อ ซึ่งเป็นปรัชญาพื้นฐานที่ค้ำจุนการปกครองของรัฐบาลเอโดะ การศึกษาเกี่ยวกับญี่ปุ่นและดัทช์ เจริญรุ่งเรืองตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 เป็นต้นมา มีการเปิดโรงเรียนตามหัวเมืองต่างๆ เพื่อลูกหลานของชนชั้นนักรบ ราษฎรสามัญเองก็นิยมส่งลูกหลานเรียนหนังสือเช่นกัน

3.ภูมิปัญญา

ผู้คนจากหลากหลายที่มาอยู่ร่วมกันจึงทำให้เกิดการสร้างภูมิปัญญาในด้านต่างๆ วัฒนธรรมการบริโภคในรูปแบบต่างๆ ทำให้ยุคเอโดะเป็นยุคที่วัฒนธรรมราษฏรสามัญเจริญรุ่งเรืองที่สุด และกลายเป็นวัฒนธรรมญี่ปุ่นที่ชาวต่างชาติรู้จักและคุ้นเคยกันดี เช่น ซูชิ ละครคาบูกิ และภาพพิมพ์แกะไม้ที่เรียกว่าภาพอุกิโยะ มีการต่อเรือตามแบบตะวันตกเพื่อใช้ในการค้าขาย เป็นต้น

4.การเปลี่ยนผ่านยุคสมัย

ปลายสมัยเอโดะสภาพเศรษฐกิจและสังคมเริ่มเห็นถึงการล่มสลาย ของระบอบโชกุนตระกูลโทะกุงะวะ  โดยชาวนาเสียภาษีให้กับรัฐบาลบะกุฟุมากแต่ได้รับส่วนแบ่งที่น้อย เกิดความไม่เท่าเทียมกันระหว่างชนชั้น  ทำให้เกิดกบฏชาวนาที่โอซากะและเอโดะ ในปี ค.ศ.1788 ชนชั้นซามูไรเองก็เกิดความขัดสนโดยหันไปประกอบอาชีพอื่น  ในยุคนี้เป็นช่วงที่เกิดภัยธรรมชาติครั้งใหญ่ทั่วญี่ปุ่น เรียกว่า “ทุพพิกขภัยแห่งปีเท็นโป” การเกิดภัยธรรมชาติครั้งใหญ่ในปีเท็นโป  ทำให้เกิดปัญหาทางเศรษฐกิจตามมา

ต่อมาญี่ปุ่นถูกบังคับให้เปิดประเทศเพื่อให้ชาติตะวันตกเข้าไปค้าขายได้มากขึ้น โดยสหรัฐอเมริกาได้ส่งได้นายพลเพอรี่ พร้อมเรือรบเหล็กเพื่อเข้ามากดดันให้ญี่ปุ่นทำการเปิดประเทศ  ในที่สุดรัฐบาลบะกุฟุก็ยอมทำสนธิสัญญาคะนะกะวะ ขึ้นในปี ค.ศ.1854  จึงถือเป็นการเปิดประเทศของญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการ

หลังจากการทำสนธิสัญญากับชาติตะวันตก  ทำให้เกิดความขัดแย้งทางความคิดของบรรดาข้าราชการอย่างรุนแรงตามมา  ความคิดเห็นแตกออกเป็น 2 ฝ่าย คือ ฝ่ายที่เห็นว่าจำเป็นต้องทำตามข้อเรียกร้องของชาติตะวันตกและฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับข้อเรียกร้อง  ต่อมาไม่นานจึงเกิดกระแสต่อต้านรัฐบาล  โดยรัฐบาลได้ทำการกวาดล้างอย่างรุนแรง  เรียกว่า “การกวาดล้างในปีอันเซ” ในปีค.ศ.1858-1859  โดยทำการปลดข้าราชการออกจากตำแหน่งหลายคน และเกิดการปะทะกันหลายครั้งระหว่างรัฐบาลญี่ปุ่นกับชาติตะวันตก แต่อย่างไรก็ตามญี่ปุ่นก็ไม่อาจต้านทานแสนยานุภาพจากชาติตะวันตกได้  ในปี ค.ศ.1865 เกิดการต่อต้านรัฐบาล รัฐบาลบะกุฟุทำให้โชกุน

โทะกุงะวะ โยชิโนบุ ได้ลาออกจากตำแหน่งในปี ค.ศ.1867  แต่การลาออกของโชกุนก็ไม่สามารถทำให้ความขัดแย้งลดลงได้ จนลุกลามทำให้เกิดสงครามกลางเมืองครั้งใหม่ เรียกว่า “สงครามโบชิน” ในปี ค.ศ.1868-1869  ฝ่ายโชกุนโยชิโนบุพ่ายแพ้ จึงต้องถอยร่นกองกำลังของตนมาทางใต้ แต่ในที่สุดจึงยอมสละตำแหน่ง ต่อมามีเคลื่อนไหวของบรรดาผู้นำจากแคว้นทางใต้มีเป้าหมายเพื่อการสร้างชาติให้มีความมั่นคงทางเศรษฐกิจ และมีความเข้มแข็งทางทหารและนำไปสู่การปฏิรูปยุคใหม่ หรือ “การฟื้นฟูเมจิ” เป็นยุคสมัยต่อมา

ญี่ปุ่นในยุคเอโดะได้มีการเกิดขึ้นของวัฒนธรรมและวิทยาการใหม่ ๆ มากมาย ซึ่งมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้วิทยาการจากชาวตะวันตก และการหันมาให้ความสำคัญกับการศึกษา รวมถึงอิทธิพลของศาสนาที่มีต่อแนวคิดของชาวญี่ปุ่น ถือได้ว่ายุคเอโดะเป็นยุคที่สร้างความเจริญความเป็นปึกแผ่นไว้ให้ญุี่ปุ่นอย่างมาก  และได้มีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย จนได้กลายเป็นโตเกียวเมืองที่โด่งดังในปัจจุบัน


อ้างอิง

วันอาทิตย์.(2560).ย้อนอดีตไปยุคเอโดะสู่โตเกียว ผ่านพิพิธภัณฑ์เอโดะ-โตเกียว,สืบค้นเมื่อ 25 กันยายน 2560, จาก: www.iurban.in.th/travel/edo_tokyo/

วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี.(2561).ประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น,สืบค้นเมื่อ 25 กันยายน 2561, จาก: https://th.wikipedia.org/wiki/ประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น

วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี.(2561).ยุคเอโดะ,สืบค้นเมื่อ 25 กันยายน 2561, จาก: https://th.wikipedia.org/wiki/ยุคเอโดะ#ประวัติศาสตร์

Pasadon Wittaya-udom.(2556). 100 ปีสุดท้ายของยุคเอโดะ และการล่มสลายของรัฐบาล"บะกุฟุ", สืบค้นเมื่อ 25 กันยายน 2561, จาก: https://th-th.facebook.com/notes/pasadon-wittaya-udom/100-ปีสุดท้ายของยุคเอโดะ-และการล่มสลายของรัฐบาลบะกุฟุ/657125654308037/

อ่านเพิ่มเติม »

พิพิธภัณฑ์โรคประหลาดมัตเตอร์ (The Mütter Museum)

โดย จอมขวัญ ศรีปิยะบุตร

ถ้าให้กล่าวถึงงานเทศกาล นอกจากชิงช้าสวรรค์ กับบ้านผีสิงแล้ว หลายคนน่าจะเคยผ่านหูผ่านตากับซุ้มแสดงคนประหลาดมาบ้าง ร่างกายที่ดูพิลึกพิลั่น ผิดธรรมชาติ ไม่ใช่เพราะพวกเขาเป็นอสูรกายแต่อย่างใด  หากแต่เป็นเพียงมนุษย์ที่ต้องเผชิญกับโรคประหลาดอันเกิดจากความผิดปกติทางพันธุกรรมที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อยมาก และเนื่องด้วยวิทยาการทางการแพทย์ที่ยังไม่เป็นที่แพร่หลายในสมัยก่อน จึงเป็นการยากในการศึกษาค้นคว้าข้อมูล ดังนั้นเพื่อมิให้หลักฐานแสนสำคัญเหล่านี้สูญหาย จึงจำเป็นต้องมีสถานที่เพื่อเก็บรักษา

ด้วยเหตุผลนี้ทำให้มีการก่อตั้ง ‘คลังสะสม’ของพวกนี้ขึ้น และเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาขอต้อนรับทุกท่านเข้าสู่ “The Mütter Museum หรือพิพิธภัณฑ์โรคประหลาด”


ภาพ 1 นายแพทย์โทมัส เดนต์ มัตเตอร์
ที่มา: https://bit.ly/2PYwfgT

พิพิธภัณฑ์โรคประหลาดมัตเตอร์เป็นพิพิธภัณฑ์ทางการแพทย์ของวิทยาลัยการแพทย์ฟิลาเดลเฟีย  ตั้งอยู่ย่านใจกลางเมืองฟิลาเดลเฟีย รัฐเพนซิลเวเนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ก่อตั้งขึ้นในปีค.ศ. 1858  จากการบริจาคของนายแพทย์โทมัส เดนต์ มัตเตอร์ (Thomas Dent Mütter) ถูกใช้เป็นสถานที่สำหรับรวบรวมตัวอย่างของคนที่เป็นโรคประหลาด ข้อมูลทางกายวิภาคและพยาธิวิทยา หุ่นขี้ผึ้ง รวมถึงอุปกรณ์การแพทย์สมัยโบราณไว้มากมายจากทั่วทุกมุมโลก ซึ่งเดิมทีมีจุดประสงค์เพื่อใช้ในการศึกษาและการวิจัยด้านชีวการแพทย์


ภาพ 2 ภายในพิพิธภัณฑ์
ที่มา:https://bit.ly/2P2jFhi

ปัจจุบันพิพิธภัณฑ์มัตเตอร์ถือเป็นคลังสะสมตัวอย่างของคนที่เป็นโรคประหลาดไว้มากที่สุดในโลก ถึงกว่า 20,000 รายการ ไม่นับรวมสิ่งตีพิมพ์ทางการแพทย์ต่าง ๆ ที่ถูกรวบรวมไว้ที่หอสมุดประวัติศาสตร์การแพทย์ ซึ่งตัวอย่างที่จัดแสดงนั้นเป็นเพียง 13% จากของสะสมทั้งหมดเสียด้วยซ้ำ โดยรายการของสะสมแบ่งเป็นประเภทใหญ่ ๆ ได้แก่

ตัวอย่างโครงกระดูก: ซึ่งมีอยู่กว่า 3,000 ตัวอย่าง และที่โด่งดังที่สุดคือ โครงกระดูกของนายเรมอนด์ อีสแลก (Raymond Eastlack) ผู้ต้องทนทุกข์ทรมานกับอาการของโรคกล้ามเนื้อและเอ็นแข็งเป็นกระดูก หรือ Fibrodysplasia Ossificans Progressiva (FOP) และโครงกระดูกยักษ์แห่งอเมริกาเหนือเป็นต้น

ตัวอย่างคนที่เป็นโรคประหลาด: ส่วนใหญ่ถูกเก็บไว้ในโหลดองกว่า 1,500 โหล ที่มีอายุในช่วงระหว่างคริสตศตวรรษที่ 19-21

หุ่นขี้ผึ้ง: หุ่นขี้ผึ้งจำลองมนุษย์ที่ต้องเผชิญโรคร้ายต่าง ๆ

วิทยาการทางการแพทย์: เครื่องมือแพทย์ ยา ภาพถ่าย เอกสาร และตำราวิจัย


ภาพ 3 ของสะสมในพิพิธภันฑ์
ที่มา: https://bit.ly/2QKLK1x

นอกจากนี้ทางพิพิธภัณฑ์ยังแบ่งนิทรรศการออกเป็นประเภทต่าง ๆ ดังนี้

นิทรรศการถาวร: โดยจัดแสดงของสะสมส่วนใหญ่ของพิพิธภัณฑ์ ไม่ว่าจะเป็น สาวสบู่ (ศพของหญิงสาวที่กลายสภาพเป็นสบู่), แผ่นสไลด์สมองของอัลเบิร์ต ไอน์ไสตน์, รูปหล่อแฝดสยามอิน-จัน และของสะสมของนายแพทย์เชอร์วาเลียร์ แจ็คสัน สำหรับส่วนนี้จะจัดแสดงทุกวัน

นิทรรศการพิเศษ: ประกอบด้วยหอศิลป์ทอมป์สันและสวนสมุนไพรของเบญจามิน รัช  เปิดให้บริการในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์แต่ไม่มีการกำหนดตารางเวลาที่ตายตัว ดังนั้นทางผู้เข้าชมต้องติดต่อทางพิพิภัณฑ์ล่วงหน้า โดยหอศิลป์ทอมป์สันจัดแสดงของสะสมในธีมที่ต่างกันและสับเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ  ตัวอย่างของนิทรรศการที่จัดแสดงระหว่างปี 2560-2561 (อ้างอิงจากเว็บไซต์ของพิพิธภัรณฑ์) เช่น กายวิภาคในเทพนิยาย; เวทย์มนตร์ศาสตร์และเวชศาสตร์, มนุษย์ประหลาด, 150 ปีอลิซผจญแดนมหัศจรรย์; ยา·พิษ·อลิซ·ความผิดปกติ เป็นต้น

นิทรรศการออนไลน์: สามารถรับชมผ่านทางเว็บไซต์ของพิพิธภัณฑ์โดยตรงได้ที่ http://muttermuseum.org/

หอจดหมายเหตุ: จัดแสดงนิทรรศการที่ถ่ายทอดเรื่องราวน่าสนใจในอดีตและปัจจุบันมากมาย


ภาพ 4 การจองตั๋วออนไลน์
ที่มา: http://muttermuseum.org/

สำหรับผู้ที่สนใจเข้าชม พิพิธภัณฑ์โรคประหลาดมัตเตอร์เปิดให้บริการทุกวันตั้งแต่เวลา 10.00 - 17.00 น. มีค่าเข้าชมอยู่ที่ 13-18 USD (430-590 บาท) โดยสามารถตรวจสอบเวลาทำการและซื้อตั๋วออนไลน์ได้ที่เว็บไซต์ของพิพิธภัณฑ์ หรือที่เคาท์เตอร์ประชาสัมพันธ์ ยกเว้นนิทรรศการพิเศษ; หอศิลป์ทอมป์สันและสวนสมุนไพรของเบญจามิน รัช ที่ผู้เข้าชมต้องติดต่อทางพิพิธภัณฑ์ล่วงหน้า
ที่อยู่: พิพิภัณฑ์โรคประหลาดมัตเตอร์ เลขที่ 19 ถนนหมายเลข 22 เมืองฟิลาเดลฟีย
รัฐเพลซิลเวเนีย ประเทศสหรัฐอมเริการ รหัสไปรษณีย์ 19103
เว็บไซต์: http://muttermuseum.org/
อีเมล์: info@collegeofphysicians.org
โทร: (1)215.560.8564
*ส่วนลดพิเศษ 2$ เมื่อซื้อตั๋วหน้าเคาท์เตอร์ทุกวันจันทร์แลวันอังคาร
*สมัครสมาชิกจ่ายค่าธรรมเนียมครั้งเดียว เข้าฟรีไม่จำกัดตลอดปี พร้อมสิทธิพิเศษมากมาย
สุดท้ายนี้ สำหรับพิพิธภัณฑ์โรคประหลาดมัตเตอร์แห่งนี้ถือเป็นสมบัติล้ำค่าของวงการแพทย์ เป็นคลังความรู้ที่อัดแน่นไปด้วยกลิ่นอายของของความลึกลับที่ดึงดูดผู้คนได้ทุกช่วงสมัย สถานที่ที่ทุกอย่างผสมผสานอย่างลงตัวเรียกได้ว่าเป็นความสยองที่งดงามเลยทีเดียว


อ้างอิง

วรวุฒิ เจริญศิริ. (2549).โรค“เอฟโอพี”. สืบค้นเมื่อวันที่ 23 ธันวาม 2561, จาก: https://bit.ly/2Sgwl5A

สดชื่สลื่นบาน. (2555).“พิพิธภัณฑ์สุดแปลกและสยอง” จากทั่วทุกมุมโลก. สืบค้นเมื่อวันที่ 23 กันยายน 2561, จาก: http://2g.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X13040316/X13040316.html

Janet Golden. (2557).The Müttet Museum. สืบค้นเมื่อวันที่ 23 ธันวาม 2561, จาก: https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC3483761/

Muttermuseum.The Mütter Museum. สืบค้นเมื่อวันที่ 26 กันยายน 2561, จาก: http://muttermuseum.org/about/

Wikipedia.The Mütter Museum, College of Physicians of Philadelphia, 19 South 22nd Street, Philadelphia, PA 19303, USA. สืบค้นเมื่อวันที่ 26 กันยายน 2561, จาก: https://en.m.wikipedia.org/wiki/Mütter_Museum


อ่านเพิ่มเติม »

หลุยส์ เบรลล์ (Louis Braille) ผู้คิดค้นอักษรเบรลล์ ผู้เปิดโลกอันมืดมิดของผู้พิการทางสายตา

โดย ชูติมา บัวสงเคราะห์

ดวงตา เป็นอวัยวะสำคัญที่ใช้ในการรับรู้ของมนุษย์ การได้ใช้ดวงตามองสิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบตัว เป็นการใช้ประสาทสัมผัสอย่างหนึ่ง และเป็นความสุขที่ได้มองเห็นรูปร่าง สีสัน และความสวยงาม นอกจากนี้ มนุษย์ยังใช้ดวงตาในการเปิดโลก ทั้งโลกภายนอกและโลกแห่งการอ่าน หรือการหาความรู้จากหนังสือด้วย แต่สิ่งสวยงามเหล่านี้กลับเป็นเพียงแค่ความงามในความมืดในโลกของคนตาบอด แต่เขาผู้นี้ “หลุยส์ เบรลล์” คือผู้ให้แสงสว่างในความมืดมิดแก่ผู้พิการทางการมองเห็น


หลุยส์ เบรลล์  (Louis Braille) 

หลุยส์ เบรลล์  (Louis Braille) เกิดเมื่อวันที่ 4 มกราคม ค.ศ. 1809 ณ หมู่บ้านกูแวร ประเทศฝรั่งเศส บิดาของหลุยส์ เป็นช่างทำอานม้า หลุยส์ชอบเข้าไปดูในเวลาที่พ่อทำงาน และมักจะซักถามและหยิบจับอุปกรณ์ขึ้นมาเล่นตามประสาของเด็ก และพ่อก็คอยเตือนและห้ามหลุยส์เล่นอุปกรณ์เหล่านี้อยู่เสมอ โดยเฉพาะของมีคม ในวันหนึ่งหลุยส์ได้ลองเล่นดอกสว่านของพ่อ

แต่เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อดอกสว่านหักทิ่มดวงตาข้างซ้ายของหลุยส์ แม้จะได้รับการรักษาแต่อาการของหลุยส์ก็ไม่ดีขึ้น หลังจากนั้นไม่นานดวงตาข้างขวาของหลุยส์เกิดอการติดเชื้อ ทำให้โลกของหลุยส์มืดสนิท และกลายเป็นเด็กชายตาบอดด้วยวัยเพียง 4 ขวบ หลุยส์เสียใจมากที่เขาไม่สามารถมองเห็นได้อย่างเมื่อก่อน และเขาไม่ต้องการที่จะมีชีวิตที่ลำบาก เนื่องจากในสมัยนั้น คนตาบอดเป็นผู้ที่น่ารังเกียจของผู้คนในสังคม มีชีวิตเร่ร่อน และไม่ได้รับการเหลียวแลจากใคร แต่หลุยส์โชคดีที่ยังมีครอบครัวที่อบอุ่นและพร้อมช่วยเหลือเขาเสมอ ทุกคนพยายามช่วยให้หลุยส์สามารถใช้ชีวิตได้อย่างคนปกติ ช่วยเหลือตัวเอง ช่วยงานในบ้านบางอย่างได้ และหลุยส์ก็พยายามที่จะเรียนรู้และอยู่กับสิ่งที่เกิดขึ้นให้ได้เช่นกัน

เมื่ออายุได้ 10 ปี หลุยส์ได้เข้าเรียนในสถาบันเพื่อเยาวชนตาบอดแห่งชาติในพระบรมราชูปถัมภ์ ที่กรุงปารีส โดยเข้าเรียนตามคำแนะนำของบาทหลวงชาก ปาลลุย ผู้ที่เข้ามาเผยแผ่ศาสนาในหมู่บ้าน เขาได้ถ่ายทอดวิชาความรู้หลายๆด้านให้กับหลุยส์ และหวังให้หลุยส์ได้เรียนต่อในระดับที่สูงขึ้น เมื่อได้เข้าเรียนในโรงเรียนแห่งนี้ หลุยส์ต้องปรับตัวในหลายเรื่อง แต่หลุยส์ก็มีเพื่อนที่คอยแนะนำและสอนการใช้ชีวิตในโรงเรียน

ในสมัยอดีต คนตาบอดจะอ่านหนังสือจากการใช้นิ้วสัมผัสตัวอักษรนูน แต่ตัวอักษรนูนนี้กลับอ่านยากไปสำหรับคนตาบอด กว่าจะสัมผัสตัวอักษรแต่ละตัวได้นั้นเป็นเรื่องที่ยากลำบาก ใช้เวลานานกว่าจะอ่านหนังสือหนึ่งเล่มจบ และหนังสือในห้องสมุดของคนตาบอดก็มีเพียง 14 เล่มเท่านั้น หลุยส์จึงพยายามหาวิธีที่จะอ่านหนังสือได้ง่ายและเร็วขึ้น

ในปี ค.ศ. 1821 ร้อยเอกชาร์ล บาร์บีเย นายทหารแห่งกองทัพฝรั่งเศส ผู้คิดค้นอักษรไนต์ไรติงที่ใช้ทางการทหาร โดยมีวิธีเจาะรูบนกระดาษตั้งเป็น 2 แถว แถวละ 6 จุด รวมเป็น 12 จุด นายทหารผู้นี้ได้เข้ามาสอนในโรงเรียนคนตาบอด เมื่อหลุยส์ได้เรียนและลองใช้อักษรนี้ พบว่ายากต่อการเข้าใจและใช้ได้แค่ในประโยคสั้นๆ และไม่สามารถเขียนเป็นประโยคยาวๆได้ หลุยส์จึงเริ่มศึกษาและคิดหาวิธีใหม่ที่ง่ายต่อการทำความเข้าใจและง่ายต่อการการประดิษฐ์อักษรเพื่อใช้ทำหนังสือ

หลุยส์ใช้ความพยายามอย่างมากในการคิดหาวิธีประดิษฐ์ตัวอักษรที่คนตาบอดสามาถรถเข้าใจง่ายกว่านี้ แม้ว่าเขาจะถูกบั่นทอนกำลังใจและเหลือความหวังอยู่เพียงน้อยนิด แต่เขาลองผิดลองถูกอยู่นานและก็ยังพยายามต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1824 หลุยส์คิดค้นอักษรจุดที่ใช้แทนตัวอักษรภาษาอังกฤษทั้ง 26 ตัว ด้วยจุดเพียง 6 จุดได้สำเร็จด้วยวัยเพียง 15 ปี และในภายหลังได้รับการตั้งชื่ออย่างเป็นทางการว่า “อักษรเบรลล์ (Braille)


ตัวอย่างอักษรเบรลล์ คำว่า Premier
ที่มา: https://th.wikipedia.org/

หลุยส์ได้ให้เพื่อนในโรงเรียนลองใช้ตัวอักษรของเขา และมีการทำหนังสือขึ้นมา พบว่าอ่านได้ง่าย เข้าใจและรวดเร็ว หลังจากนั้นเมื่ออาจารย์ใหญ่ทราบเรื่องจึงได้ส่งหนังสือของหลุยส์ไปยังที่ต่างๆแต่ก็ถูกตีกลับ หลังจบการศึกษาหลุยส์ได้เข้าเป็นอาจารย์ในโรงเรียนสอนคนตาบอด และได้เขียนหนังสือ แต่กลับไม่ได้รับความสนใจ เพราะทุกคนไม่เชื่อว่าตัวอักษรนี้จะทำให้คนตาบอดอ่านหนังสือได้จริง
หลุยส์ในวัย 30 ปียังคงพยายามสอนอักษรเบรลล์ให้กับนักเรียนและพยายามทำให้ผู้คนยอมรับอักษรเบรลให้ได้ แต่ในระหว่างนั้น สุขภาพของหลุยส์กำลังย่ำแย่ลงด้วยวัณโรคปอด จึงทำให้เขาต้องกลับไปพักฟื้นที่บ้านเกิด

ในปี ค.ศ. 1844 วันแห่งความสำเร็จก็มาถึง เมื่อหลุยส์ได้เปิดตัวอักษเบรลล์ในพิธีเปิดสถาบันเพื่อเยาวชนตาบอดแห่งชาติในพระบรมราชูปถัมภ์ หลุยส์ปลื้มปิติกับสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอย่างมาก ทุกคนได้รู้จักตัวอักษรเบรลล์ อักษรเบรลล์เป็นที่ยอมรับของผู้คนในสังคม เขาได้รับเสียงชื่นชมเป็นอย่างมาก นับว่าความตั้งใจและความพยายามของเขาที่อยากให้คนตาบอดได้อ่านหนังสือออก ได้เปิดโลกที่มืดมิดให้กลับมาสว่างอีกครั้งประสบความสำเร็จแล้ว

แม้หลุยส์จะทำให้คนตาบอดได้มีอักษรไว้ใช้และทำให้ผู้คนรู้จักกับอักษรเบรลล์ แต่ในบั้นปลายชีวิตของหลุยส์นั้น กลับไม่ได้สวยงาม หลุยส์ยังคงทำหนังสือ ทำงานอย่างหนักและต่อสู้กับความลำบากมาโดยตลอด จึงทำให้สุขภาพของเขาย่ำแย่และมีอาการทรุดลงอย่างต่อเนื่อง โรคร้ายได้กล่ำกลายชีวิตของเขา จนมาถึงวันสุดท้ายของชีวิต ในวันที่ 6 มกราคม ปี ค.ศ. 1852 หลุยส์สิ้นลมหายใจอย่างสงบด้วยวัยเพียง 43 ปีจากอาการป่วยโรควัณโรคปอด การเสียชีวิตของหลุยส์เป็นเรื่องที่น่าเศร้า มีเพียงญาติและเพื่อนสนิทไม่กี่คนที่ไปเคารพหลุมศพ หรือแม้แต่สื่อสิ่งพิมพ์ก็ยังไม่มีการตีพิมพ์เรื่องการเสียชีวิตของหลุยส์

หลังจาก 100 ปีผ่านไป ในปี ค.ศ. 1952 มีหนังสือพิมพ์ตีพิมพ์บทความเกี่ยวกับหลุยส์ และอักษร เบรลล์ของเขาก็กลายเป็นสิ่งที่ผู้คนให้ความสนใจและเป็นที่รู้จักของผู้คนทั่วโลก

ศพของหลุยส์ที่ฝังอยู่ในบ้านเกิด ถูกย้ายไปยังสุสานแห่งชาติปองเตอง สุสานสำหรับบุคคลสำคัญเท่านั้นที่จะได้รับการฝังศพ ณ ที่แห่งนี้ และในพีธีเคลื่อนย้ายศพในครั้งนั้น ประธานาธิบดีฝรั่งเศสได้เข้าร่วมขบวน พร้อมกับคนตาบอดมากมายที่มาร่วมเป็นสักขีพยานด้วย

จากเรื่องราวชีวิตของหลุยส์ เบรลล์ ทำให้เห็นว่า เขาเป็นบุคคลที่มีความหวังในชีวิตเสมอ แม้จะเป็นความหวังอันริบหรี่ แต่เขาไม่เคยหมดหวัง เขามีความตั้งใจและมีความพยายามอย่างมากในการที่จะทำให้คนตาบอดได้มีตัวอักษรอ่านและเขียน เขาเข้าใจความรู้สึกที่โลกมืดสนิทไม่มีแม้แต่แสงสว่างนี้ดี หากได้อ่านออกเขียนได้ย่อมทำให้ชีวิตพบกับโลกที่สว่างและกว้างใหญ่ อีกสิ่งหนึ่งที่ผลักดันให้หลยุส์ประสบความสำเร็จนั้น มาจากกำลังใจจากครอบครัวและคนรอบข้าง และอีกหนึ่งแรงขับเคลื่อนของเขานั่นก็คือ คำพูดบั่นทอนจิตใจ แม้จะทำให้หลุยส์เสียใจและแทบหมดสิ้นหวัง แต่คำพูดเหล่านั้นกลับเป็นแรงขับเคลื่อนให้เขาประดิษฐ์อักษรเบรลล์จนประสบความสำเร็จ แสดงให้เห็นว่า ทุกความพยายามในทุกการกระทำมีความหมายเสมอ และผู้ชายตาบอดคนนี้ก็ได้กลายเป็นที่จดจำของคนตาบอดและผู้คนทั่วโลกมาจนถึงทุกวันนี้


อ้างอิง

วรลักษณ์ ผ่องสุขสวัสดิ์. (2560). “หลุยส์ เบรลล์” เปลวไฟ…ในโลกมืด. สืบค้นเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2561, จาก : https://goodlifeupdate.com/healthy-mind/54731.html

สารคดีสุดยอด ผู้คิดค้นอักษรเบรลล์ Louis Braille หลุยส์ เบรลล์ [Video file]. สืบค้นเมื่วันที่ 27 กันยายน 2561, จาก :  https://www.youtube.com/watch?reload=9&v=XfPDII0kSjA

Kang Minhee. (2555). Who? หลุยส์ เบรล (สุรางคนา เก่งสาริกิจ). กรุงเทพฯ : นานมีบุ๊คส์พับลิเคชั่นส์.
อ่านเพิ่มเติม »