แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ อารยธรรมจีน แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ อารยธรรมจีน แสดงบทความทั้งหมด

ซินเจียง-อุยกูร์ จีนที่ไม่ใช่จีน

โดย กฤษดา โศกดุล
                   
ดินแดนในโลกนี้ถ้ามองถึงความหลากหลายทางชาติพันธุ์ประเพณีและวัฒนธรรม หนึ่งในนั้นต้องมีประเทศจีนซึ่งถือเป็นประเทศขนาดใหญ่หลากหลายผู้คนอีกทั้งยังเป็นประเทศที่มีอารยธรรมที่เก่าแก่ ทำให้แผ่นดินจีนตกเป็นจุดหมายปลายทางของนักสำรวจนักเดินทางรวมถึงนักผจญภัยหลายท่าน ที่จะต้องไปศึกษาในมิติต่างๆในดินแดนมังกรแห่งนี้ซักครั้งหนึ่ง วันนี้ผมจะขอพาทุกคนไปทำความรู้จักกับดินแดนแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ในเขตการปกครองตนเองที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในจีนมีประชากรทั้งชาวพื้นเมืองและชนกลุ่มน้อยอาศัยอยู่ร่วมกันราว 19 ล้านคน ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ซึ่งเป็นพื้นที่ชนบทและทุรกันดารของจีน แต่ทำไมพื้นที่แห่งนี้ถึงมีความเป็นจีนแบบชาวจีนฮั่นซึ่งถือว่าเป็นประชากรหลักของจีนน้อยมากๆ วันนี้ผมจะพามาไขข้อสงสัยกัน ว่าดินแดนแห่งนี้ถึงไม่มีเอกลักษณ์แนวทางประเพณีและวัฒนธรรมเป็นจีนดั่งที่คนส่วนใหญ่ประจักษ์



ประวัติศาสตร์

“ซินเจียง” เป็นดินแดนที่ตั้งอยู่ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของจีนเป็นพื้นที่ที่มีอาณาเขตใหญ่ที่สุดในเขตการปกครองของจีน ดินแดนแห่งนี้มีความสำคัญมาตั้งแต่สมัยเส้นทางสายไหมยังรุ่งโรจน์ ซินเจียงมีเมืองท่าหรือเมืองเอกที่มีความสำคัญมาตั้งแต่ยังเป็นอาณาจักรนั่นคือเมืองคัชการ์ ถือว่าเป็นจุดที่เชื่อมอารยธรรมตะวันตกและตะวันออกเข้าด้วยกัน ทำให้เราเห็นความแตกต่างในหลายสิ่ง ที่ดินแดนแห่งนี้ดูต่างไปมากเมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่นๆของจีน ซินเจียงตั้งแต่ยุคแรกๆถือว่าเป็นเมืองที่มีอาณาจักรโบราณมาตั้งแต่ 2,000ปีก่อน โดยมีชาวอุยกูร์เป็นชาวพื้นเมือง เป็นกลุ่มชาติพันธุ์เดียวกับชาวเตอร์ก (Turkic peoples) เหมือนกับประชากรส่วนใหญ่ในตุรกีอีกทั้งยังมีภาษาที่คล้ายคลึงกัน ถ้าอ้างตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์แล้วถือว่าชาวอุยกูร์เป็นกลุ่มที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในดินแดนแห่งนี้ก่อนชาวฮั่นอีกด้วย และชาวอุยกูร์ยังได้รับอิทธิพลจากศาสนาอิสลาม ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะที่ตั้งอยู่ติดกับกลุ่มประเทศตะวันออกกลางแทบทั้งสิ้น ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นหน้าต่างที่เปิดรับศาสนาอิสลามเข้ามารวมถึงอารยธรรมบางส่วนของกรีก-โรมันเข้ามาอีกด้วย ทำให้สภาพบ้านเรือน สังคม การแต่งกาย วิถีชีวิตและการกินออกไปทางตะวันออกกลางและยุโรปมากกว่า



การเข้ามาของรัฐบาลจีน

ดินของชาวอุยกูร์ซึ่งถือว่าเป็นประชากรหลักในเขตปกครองซินเจียงอุยกูร์ที่ได้มีอารยธรรมมานาน ก่อนที่ดินแดนแถบนี้จะถูกขีดเส้นแบ่งเขตในยุครัฐชาติสมัยใหม่ไม่นานมานี้ทำให้วัฒนธรรมของดินแดนแห่งนี้ถูกตัดขาดออกจากวัฒนธรรมตะวันออกกลางอย่างสิ้นเชิง ด้วยเหตุผลของอำนาจความมั่นคงของแต่ละประเทศที่ต้องการมีอิทธิพล เพื่อให้ชาติของตนมีพลังอำนาจจึงทำให้ดินแดนของชาวอุยกูร์ซึ่งเชื่อว่าเป็นดินแดนของบรรพบุรุษหรือ”สาธารณรัฐเตอร์กิสถานตะวันออก” ถูกผนวกเข้ากับจีนแผ่นดินใหญ่โดยปริยาย

ดินแดนแถบนี้ตกอยู่ภายใต้อำนาจของจีนมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 และรวมอำนาจไว้ที่กรุงปักกิ่งแต่ยังมีการปกครองแบบผ่อนปรน ซึ่งให้ชาวอุยกูร์ปกครองกันเองในระยะแรก พอถึงช่วงสมัยที่รัสเซียแข่งกับจีนเพื่อขยายอิทธิพลในตะวันออกกลางรวมถึงอังกฤษเริ่มแพร่ขยายอาณานิคมมาทางอินเดียยิ่งทำให้จีนแสดงแสงยานุภาพทางทหารถึงความเป็นเจ้าของซินเจียงมากขึ้น และรัฐบาลจีนก็ได้สร้างเมืองหลวงใหม่ให้เป็นเมืองเอกนั่นคือ “นครอุรมชี” ซึ่งเป็นศูนย์กลางการปกครองของซินเจียง ทำให้ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตในหลายด้านของชาวอุยกูร์ ตั้งแต่สมัยที่เหมาเจ๋อตุงเป็นประธานาธิบดีสมัยคอมมิวนิสต์และมีนโยบายปฎิวัติวัฒนธรรมซึ่งอุดมการณ์นี้มีผลกระทบต่ออความเชื่อทางด้านศาสนาสั่งให้มีการทำลายมัสยิดทำลายคัมภีร์ รวมถึงกลุ่มผู้นำที่รัฐบาลจีนส่งมาปกครองยังมีการปกครองแบบกดขี่ประชาชนและละเมิดสิทธิ์หลายด้าน เช่น สั่งให้ชาวอุยกูร์ทำแท้งเพื่อควบคุมประชากร ออกกฎหมายห้ามแต่งกายปกปิดหน้าตาจึงสร้างความไม่พอใจแก่ชาวอูยกูร์เป็นอย่างมาก



จึงก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างชาวอูยกูร์กับทางการจีนอยู่เป็นประจำ จนขยายวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้รัฐบาลจีนมีการปราปรามอย่างหนักหน่วงแต่ผลก็ไม่เป็นอย่างที่คาดไว้ จนกระทั่งปี 1933 ชาวอูยกูร์และชนกลุ่มน้อยก็เริ่มเคลื่อนไหวเพื่อที่จะแยกตัวเป็นเอกราช ยิ่งทำให้รัฐบาลจีนเร่งเคลื่อนกองทัพเข้าควบคลุมซินเจียงมากขึ้น

ในปี 1983 รัฐบาลเริ่มเปลี่ยนแนวคิดใหม่โดยการยกเลิกกฏข้อห้ามที่เคยบัญญัติไว้เพื่อผ่อนปรนและให้เสรีภาพแก่ชาวอูยกูร์มากขึ้น มีการซ่อมบำรุงมัสยิดอีกครั้ง ให้เสรีทางด้านศาสนาอีกครั้งและรัฐบาลจีนยังผลักดันให้ชาวฮั่นเข้าไปตั้งถิ่นฐานเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจรวมถึงวัตถุประสงค์ด้านการเมืองเหมือนนโยบาย “กลืนชาติ” แต่ด้วยเหตุผลต่างๆ ก็ไม่ได้ทำให้ชาวอุยกูร์รู้สึกดีต่อรัฐบาลจีนเลยแถมยังมีการขัดแย้งทางเชื้อชาติระหว่างชาวจีนฮั่นกับชาวอูยกูร์ก่อเป็นสงครามกลางเมืองขึ้น
                                         
ปี ค.ศ.1949 รัฐบาลจีนได้สถาปนาซินเจียงเป็นเขตบริหารระดับมณฑลที่มีอำนาจปกครองตนเองอีกเขตหนึ่ง แต่อดีตจนถึงปัจจุบันชาวอุยกูร์ยังฝันว่าซักวันพวกเขาจะได้ปลดแอกจากจีน จึงทำให้มีกลุ่มชาวอุยกูร์พลัดถิ่นยังเดินหน้าเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องเอกราชจากจีนจนถึงปัจจุบัน และยังมีอีกกลุ่มที่ยอมพลีชีพใช้แนวทางสุดโต่งเพื่อทวงดินแดนแห่งนี้กลับสู่การปกครอง โดยอิสรภาพของพวกเขา ซึ่งคนกลุ่มนี้ถูกทางการจีนมองว่าเป็นกลุ่ม”หัวรุนแรง” เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ

ทำไมจีนถึงไม่ยอมปล่อยซินเจียง

ซินเจียงคือดินแดนที่มีความสำคัญมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้วโดยบริเวณแห่งนี้เคยเป็นเส้นทางสายไหมจากเอเชียสู่ยุโรป จึงทำให้มีความมั่งคั่งมาตั้งแต่สมัยโบราณ ประกอบกับปัจจุบันพื้นที่ซินเจียงแห่งนี้ได้ซบเซาลงมากเมื่อเทียบกับอดีตจนกลายเป็นพื้นที่ยากจนของจีนเลยก็ว่าได้ แต่ด้วยพื้นที่ที่ติดกับกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง รัสเซีย และอินเดียจึงทำให้ซินเจียงยังคงสำคัญมากต่อยุทธศาสตร์จีนและความมั่นคงของชาติ อีกทั้งยังมีเนื้อที่ใหญ่ที่สุดในจีนรวมถึงบริเวณแห่งนี้ที่เต็มไปด้วยทะเลทรายที่แห้งแล้งมีภูเขาสูงแต่กลับเป็นแหล่งทรัพยากรหลักทั้งน้ำมันและแก๊ซธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดของจีนที่ส่งผลต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจและความมั่นคงของชาติเป็นอย่างมากทำให้ซินเจียงแห่งนี้ยังสำคัญกับมหาอำนาจอย่างจีนมากเลยทีเดียว


                                 
ซินเจียง-อุยกูร์ ปัจจุบัน 

ซินเจียง-อุยกูร์ในวันเวลาที่แปรเปลี่ยนไปกับหลายเหตุการณ์ทำให้ปัจจุบันในสังคมของชาวอูยกูร์มีการผสมผสานปรับเปลี่ยนไปบ้าง นับตั้งแต่นโยบายอพยบชาวฮั่นเข้าไปตั้งถิ่นฐานในซินเจียงพร้อมกับนำวัฒนธรรมและกฏเกณฑ์ต่างๆเข้าไปปรับใช้ เช่นทางการจีนบัญญัติกฎการเรียนภาษาจีนเข้าไปในหลักสูตรพื้นฐานแทนที่ภาษาอูยกูร์ที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย ซึ่งก็ไม่ต้องแปลกใจที่เห็นผู้คนที่หน้าตาออกแนวตะวันออกกลางและยุโรปแต่สามารถพูดภาษาจีนกลางได้อย่างคล่องแคล่ว

ในด้านเศรษฐกิจส่วนใหญ่ชาวจีนฮั่นเป็นเจ้าของกิจการขนาดใหญ่ในเมืองแต่ชาวอูยกูร์กลับประกอบธุรกิจเล็กและเกษตรกรรม เช่น ขายอาหาร ขายสมุนไพร เพาะปลูก ซึ่งมีฐานะค่อนข้างต่างกัน รวมถึงสิทธิ์ทางการศึกษารัฐบาลจีนจะให้สิทธิชาวฮั่นก่อนชาวอูยกูร์

ในด้านวิถีชีวิติความเป็นอยู่ โดยเราจะสามารถสังเกตได้ง่ายในตัวเมืองคือ ตึกสูง ซึ่งบ่งบอกถึงอำนาจของรัฐบาลจีนที่มีอิทธิพลเหนือชาวพื้นเมืองอย่างชัดเจนและรัฐบาลจีนยังใช้ตัวอักษรจีนเข้าไปผสมกับตัวอักษรออร์กอน ซึ่งเป็นตัวอักษรของชาวอูยกูร์ แต่สังคมชาวอูยกูร์ถือว่ายังรักษาประเพณีวัฒนธรรมไว้อย่างแนบแน่นถึงแม้รัฐบาลจีนจะพยายามทำให้กลายเป็นแบบเดียวกับชาวฮั่นก็ตาม แต่ชาวอูยกูร์ก็ยังใช้

ตัวกลางผ่านศาสนาอิสลามในการรวมกลุ่มพบปะกันทางสังคมซึ่งทำให้ประเพณีของชาวอูยกูร์ยังแข็งแกร่งดั่งเดิม ซึ่งชาวอูยกูร์ส่วนใหญ่ก็ยังจะร่วมกิจกรรมต่างๆแต่ในกลุ่มของตน อาจจะเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ยังทำให้วัฒนธรรมประเพณีของบรรพบุรุษยังคงเหลือ เหมือนดั่งคุณได้ไปเยือนแล้วคุณจะไม่เชื่อว่าคุณกำลังอยู่ในแผ่นดินจีน


อ้างอิง

คม ชัด ลึก.(2560).ประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์'อุยกูร์-ฮั่น'.สืบค้นเมื่อ 30 สิงหาคม 2561.จาก: http://www.komchadluek.net/news/scoop/209845

ประชาไทย.(2015).ความเป็นมาของชาวอุยกูร์.สืบค้นเมื่อ 30 สิงหาคม 2561.จาก: https://prachatai.com/journal/2015/07/60380

มุสลิมไทยโพสต์.(2558).ความขัดแย้งชาวอูยกูร์ในซินเจียง มีความเป็นมาเช่นไร?.สืบค้นเมื่อ 30 กันยายน 2561.จาก: http://news.muslimthaipost.com/news/24539

วิกิพีเดีย.(มปป).เขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์.สืบค้นเมื่อ 25 กันยายน 2561.จาก: https://th.wikipedia.org/wiki/

BBC.(2017).จีนห้ามมุสลิมในซินเจียงไว้เครายาว-คลุมหน้า.สืบค้นเมื่อ 30 กันยายน 2561.จาก: https://www.bbc.com/thai/international-39465278

อ่านเพิ่มเติม »

ตำนานชายรักชายในประวัติศาสตร์จีนยุคโบราณ

โดย จารุวรรณ  สังฆะจารย์

เมื่อพูดถึงประเทศจีน เป็นหนึ่งในไม่กี่ชาติที่มีประวัติความเป็นมาที่เก่าแก่และยาวนานนับเป็น “อู่อารยธรรม” แห่งหนึ่งของโลกที่เผยแพร่ความเจริญมายังดินเเดนต่างๆ นอกจากนี้จีนยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ถูกพบอยู่ในประวัติศาสตร์จีนเป็นที่แรกๆ ซึ่งถูกปกปิดไว้ในฐานที่เป็นเรื่อง "ต้องห้าม" แต่รู้กันทั่วไปในจีนเเละมีการใช้ถ้อยคำมากมายที่สื่อถึงความรักในเพศเดียวกัน ตามตำนานที่จะกล่าวดังต่อไปนี้



มีตำนานเล่าว่า เมื่อ 500 ปีก่อนคริสตกาลในช่วงราชวงศ์โจวที่พระราชอำนาจของเทียนจื่อหรือพระเจ้าแผ่นดินโอรสแห่งสวรรค์ตกต่ำลงมาก บรรดานครรัฐทั้งหลายต่างพยายามตั้งตัวเป็นรัฐมหาอำนาจเพื่อบังคับบัญชานครรัฐอื่นๆ แทนพระเจ้าแผ่นดิน ขงจื๊อเรียกยุคนี้ว่ายุคชุนชิว ที่นครรัฐเหว่ยอันเป็นรัฐชั้นสาม กษัตริย์หรือเจ้านครรัฐมีพระนามว่า เหว่ยหลิงกง พระองค์ทรงโปรดขันทีคนหนึ่ง มีชื่อว่า จื่อเสีย ทรงคลอเคลียกับคนผู้นี้ไม่ได้ห่าง นอนด้วยกัน กินด้วยกัน

และในการเสด็จประพาสคราวหนึ่งจื่อเสียได้กินลูกท้อแล้วรู้สึกมีรสชาติอร่อยดีก็ส่งลูกท้อที่กินเหลือนั้นให้เหว่ยหลิงกงรับไปเสวยต่อการกระทำเช่นนี้นับว่าเป็นเรื่องเสียมารยาทมาก โดยเฉพาะเมื่ออยู่ต่อหน้าคนจำนวนมาก แต่แทนที่เหว่ยหลิงกงจะทรงพิโรธ พระองค์กลับรับลูกท้อนั้นมาเสวยต่อหน้าต่อตา พร้อมกับตรัสว่าจื่อเสียช่างมีน้ำใจดีต่อพระองค์เหลือเกินที่กินของดีๆ แล้วก็ยังมีแก่ใจเหลือไว้ให้พระองค์กินด้วย ตั้งแต่นั้นมาคำว่า แบ่งลูกท้อ จึงกลายเป็นสำนวนอย่างหนึ่งที่หมายความถึงเรื่องความรักของผู้ชายที่ผิดปกติ

และอีกตำนานหนึ่งได้เล่าเรื่องราวที่เกิดในสมัยกว๋อ คือ สมัยรัฐสงครามที่ต่อจากยุคชุนชิว วุ่ยอ๋องหรือวุ่นหวางเจ้านครรัฐวุ่ยทรงโปรดปรานขันทีชื่อ หลงหยางจวุน ในการเสด็จประพาสทางชลมารคคราวหนึ่งวุ่ยอ๋องทรงเพลินกับการตกปลามาก เมื่อตกปลาตัวใหม่ขึ้นมาได้อีกพระองค์ก็โยนปลาตัวเก่าที่ตกมาได้ก่อนนั้นทิ้งไป ทำอย่างนี้อยู่นาน ครั้นเเล้วก็ได้ยินเสียงร้องไห้ตีอกชกหัวจากหลงหยางจวุนขันทีคนโปรด  วุ่นอ๋องตกพระทัยว่าเกิดอะไรขึ้น ทันทีผู้นั้นจึงจึงกล่าวอ้อนว่า ตัวเขาคงมีสภาพเหมือนปลาในไม่ช้าที่วุ่ยอ๋องตกตัวใหม่ได้เเล้วก็โยนเขาทิ้งไปเหมือนกัน วุ่ยอ๋องจึงรีบตรัสปลอบประโลมว่าไม่มีทางที่พระองค์จะทำอย่างนั้นเเน่นอน พร้อมกับรับสั่งเป็นประกาศิตว่าห้ามผู้หญิงหรือขันทีมาถวายอีก ผู้ฝ่าฝืนมีโทษประหารสถานเดียว

ช่วงก่อนราชวงศ์ฮั่นพฤติกรรมรักร่วมเพศในชายมีให้เห็นไม่มากนักผิดกับผู้หญิงที่มีพฤติกรรมนี้ค่อนข้างแพร่หลาย จนมาถึงราชวงศ์ฮั่นพฤติกรรมรักร่วมเพศจึงได้ระบาดอย่างกว้างขวาง ดังตำนาน ต้วนโจ้ว ที่เล่าถึงในสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันตก อายตี้ (漢哀帝) หรือพระนามเดิมว่าหลิวซิน (劉欣) เป็นจักรพรรดิยุคปลายราชวงศ์ฮั่นตะวันตก ทรงโปรดขันทีชื่อ ต่งเสียน วันหนึ่งเมื่อเสพเมถุนด้วยกันจนเหน็ดเหนื่อยแล้วก็หลับไปด้วยกันทั้งคู่ อายตี้ทรงตื่นบรรทมขึ้นก่อน เมื่อลืมพระเนตรขึ้นเห็นว่าต่งเสียนยังหลับสนิทอยู่แต่นอนทับแขนเสื้อฉลองพระองค์อยู่ ด้วยความเสน่ห์หาที่พระองค์มีต่อต่งเสียนล้นเหลือนักจึงไม่รบกวนคนรักในยามนิทราค่อยๆ ขยับพระวรกาย โดยใช้พระแสงดาบตัดแขนเสื้อฉลองพระองค์นั้นทิ้งเสียปล่อยให้ต่งเสียนหลับอย่างมีความสุขต่อไป คำว่า ตัดแขนเสื้อ จึงเป็นอีกคำที่หมายถึงความรักในผู้ชายด้วยกัน
 

ที่มา: https://hornet.com/stories/

ในช่วงแรกของหกราชวงศ์ เรียกได้ว่าเป็นยุคที่เฟื่องฟูอย่างมาก แต่ในเวลาต่อมาเมื่อสังคมจีนได้ผูกยึดอยู่กับความเชื่อเกี่ยวกับมูลธาตุดั้งเดิมของจักรวาลที่ไม่เกี่ยวกับพระเจ้า โดยเชื่อว่าสิ่งต่างๆ ในสากลจักรวาลเกิดมาจากธาตุคู่ คือ ธาตุอ่อนกับธาตุแข็ง และบัญญัติเรียกการรวมตัวของธาตุคู่นี้ว่า หยิน-หยาง หยิน หมายถึง ธาตุอ่อนซึ่งก็คือธาตุดินหรือ ธาตุแม่ ส่วนหยาง หมายถึง ธาตุแข็ง ซึ่งก็คือ ธาตุฟ้าหรือธาตุพ่อ เมื่อธาตุทั้งสองนี้ผสมผสานกันจึงก่อให้เกิดธาตุต่างๆในจักรวาลขึ้น เนื่องจากเกิดมาจากธาตุคู่ สิ่งต่างๆในโลกจึงมีลักษณะเป็นคู่ เช่น หญิงกับชาย เป็นต้น ในความคิดของชาวจีนสรรพสิ่งบนโลกดำรงอยู่ได้จะต้องหยินและหยางในสภาพที่สมดุลกัน ดังนั้นการอุบัติและคงอยู่ของสรรพสิ่งที่ผิดไปจากคู่ทั้งสองจึงถูกมองว่าเป็นสิ่งผิดปกติ



ในยุคของปรัชญา นักปรัชญานามว่า “ขงจื๊อ” ได้วางกฎเกณฑ์ความสัมพันธ์ของมนุษย์ขึ้น 5 กลุ่ม เรียกว่าอู่หลุน 1 ใน 5 นั่นคือ ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยา ลัทธิขงจื๊อมีบทบาทอย่างมากในการเน้นฐานะคนในสังคม ผู้หญิงในฐานะขงจื๊อมีบทบาทอย่างมากในการเน้นฐานะคนในสังคม ผู้หญิงในทัศนะคติของขงจื๊อจะได้รับการยกย่องต่อเมื่อได้ทำหน้าที่เป็นมารดาอย่างสมบูรณ์ หญิงต้องเชื่อฟังบุรุษ เมื่อยังไม่แต่งงานต้องเชื่อฟังบิดา เมื่อแต่งงานแล้วต้องเชื่อฟังสามี ถ้าปราศจากสามีต้องเชื่อฟังบุตรชาย แสดงให้เห็นถึงสถานภาพอันต่ำต้อยของผู้หญิงจีนตามความเชื่อที่ว่าเพศหญิงนอกจากจะต้องคู่กับเพศชายแล้วยังต้องเป็นผู้นอบน้อมต่อผู้ชายเสมอ ไม่ว่าผู้ชายนั้นจะเป็นบิดา สามี หรือบุตร นอกจากนั้นคำสั่งสอนของลัทธิขงจื๊อยังระบุว่าความอกตัญญูนั้นมีอยู่สามประการ ที่สุดของความอกตัญญูนั้นคือ การไร้ทายาทสืบตระกูล ก็เป็นสิ่งที่ชวนให้ตระหนักได้ว่าผู้หญิงชอบพอกับผู้หญิงด้วยกันเองแล้ว นอกจากจะถูกตราหน้าว่าเป็นสิ่งผิดปกติแล้วยังเป็นผู้ที่มีความอกตัญญูในสังคมจีนด้วย

หลังจากที่รับเอาความเชื่อทั้งสองลัทธิเข้ามารักร่วมเพศในช่วงนี้ก็ค่อยๆ หายไป ต่อมาสมัยราชวงศ์ซ่งเหนือ (พ.ศ.1503-1670) จึงได้กลับมาเฟื่องฟูอีกครั้งจนถึงช่วงปลายราชวงศ์หมิง (พ.ศ.2187)  แต่เมื่อเข้าสู่ยุคราชวงศ์ชิงในช่วงปี 1600 จนถึง 1900 ได้มีกฏหมายที่ต่อต้านเพศทางเลือกนั้นเกิดขึ้นซึ่งเป็นเรื่องที่ทางราชการทำการสอดส่องดูแลความสัมพันธ์ต่างๆ เมื่อถึงช่วงสงครามโลกครั้งที่สองที่ความกลัวเพศทางเลือกจากทางตะวันตกได้ถาโถมเข้ามา LGBT ในประเทศจีนก็ได้กลายเป็นเรื่องผิดกฏหมายที่ต้องพบกับการล่วงละเมิดและการถูกตัดสิน

อย่างไรก็ตามพฤติกรรมรักร่วมเพศทั้งในเพศชายและเพศหญิงไม่ได้เป็นที่รังเกียจของคนในสมัยนั้น เนื่องจากคนจีนใช้ท่าที "เอาหูไปนาเอาตาไปไร่" มากกว่าการที่จะมาทุกข์ร้อนกับเรื่องแบบนี้ เพราะสิ่งที่คนจีนให้ความสำคัญจริงๆคือความสัมพันธ์ทางเพศระหว่างเพศชายกับหญิงมากกว่า ซึ่งถือว่าเป็นการสืบทอดเผ่าพันธุ์


อ้างอิง

อดุลย์  รัตนมั่นเกษม. (2548). เรื่องเพศในวัฒนธรรมจีน 400 ปี. กรุงเทพ:สุขภาพใจ.

อดิเทพ พันธ์ทอง. (2561).เว็บเกย์อ้าง “ฮ่องเต้ฮั่น” ส่วนใหญ่เคยผ่านประสบการณ์ทางเพศกับผู้ชายด้วยกัน.

สืบค้น 23 กันยายน พ.ศ. 2561, จาก : https://www.silpa-mag.com/club/art-and-culture/article_1442

เปิดหน้าประวัติศาสตร์จีน "ชายรักชาย" ฉบับวังต้องห้าม. (ม.ป.ป.). สืบค้น 27 กันยายน พ.ศ. 2561, จาก: https://board.postjung.com/743058.html 

อ่านเพิ่มเติม »

สตรีชั้นสูงในพระราชวังต้องห้าม

โดย วนิดา  บานเย็น

สตรีเป็นความสวยงามของโลกใบนี้ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเติมแต่งสีสันให้สังคมหรืออารยธรรมหนึ่งๆ ให้สามารถที่จะดำเนินต่อไปได้ สตรีไม่ได้เป็นเพียงสัญลักษณ์ของเพศที่อ่อนแอแต่กลับมีอำนาจมากมายที่จะทำให้อารยธรรมนั้นเจริญหรือถูกทำลายได้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการมีอำนาจในการครอบครองจักรพรรดิและประชาชนทั่วไปหรือการมีอำนาจในหมู่สตรีด้วยกัน จะเห็นได้ชัดเจนในสังคมจีนโบราณ โดยเฉพาะจะขอกล่าวถึงสมัยราชวงศ์ชิงของจีน พระราชวังต้องห้ามนั้นขึ้นชื่อเรื่องการมีนางกำนัล นางสนม ข้าราชบริพานที่เป็นสตรีเป็นจำนวนมาก ทำให้เกิดการแก่งแย่งชิงดี แบ่งชนชั้นหรือการทำร้ายกันเองในหมู่สตรีด้วยกัน ทำให้พระราชินีที่มีอำนาจในการดูแลฝ่ายในต้องจัดการดูแล เพื่อให้เกิดความมีระเบียบในพระราชวัง


รูปที่ 1. พระราชวังต้องห้ามหรือกู้กง

สตรีเป็นองค์ประกอบหลักที่อาศัยอยู่ในวัง ซึ่งในสมัยราชวงศ์ชิงภายในวังได้แบ่งหน้าที่การดูแลองค์จักรพรรดิออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่ พระราชินี นางสนม นางกำนัลและข้าราชบริพาร โดยพระราชินีเป็นประมุขฝ่ายในที่มีอำนาจมากที่สุดและยังเป็นบุคคลที่ได้รับความรัก ความเมตตา และเป็นที่โปรดปรานมากที่สุดขององค์จักรพรรดิ ตำแหน่งราชินี หรือ Hoàng hậu (หว่าง เหิ่ว) ได้รับการพระราชทานจากจักรพรรดิ ซึ่งพระราชินีมีหน้าที่ในการช่วยองค์งจักรพรรดิดูแลกิจการต่างๆ ภายในพระราชวัง ถึงแม้ว่าจะดำรงตำแหน่งสูงสุดของฝ่ายใน แต่ก็ต้องทรงงานหนักด้วย เช่น ในทุกๆ วัน จะต้องดูแลงานในพระราชวังทั้งหมด ดูแลนางสนม นางกำนัลและข้าราชบริพารที่อยู่ใต้อำนาจการปกครอง อีกทั้งคอยปรนนิบัติองค์จักพรรดิในเรื่องต่างๆ

ต่อมาตำแหน่งของนางสนมหรือผู้ที่กำลังเข้ารับการฝึกฝนก่อนถูกยกฐานะให้เป็นนางสนม ภาพสะท้อนอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงอำนาจขององค์จักรพรรดิคือ การเลือกและแต่งตั้งสตรีที่เป็นที่โปรดปรานขึ้นมาเป็นพระสนม ซึ่งจะอยู่ภายใต้การดูแลและการแต่งตั้งของพระราชินี นอกจากนี้แล้วตำแหน่งพระสนมสามารถแบ่งได้ 7 ระดับ ได้แก่ หวงกุ้ยเฟย กุ้ยเฟย เฟย ผิน กุ้ยเหริน ฉางจ้ายและตาอิ้งตามลำดับการโปรดปรานขององค์จักรพรรดิซึ่งการจัดลำดับเหล่านี้มีผลต่อชีวิตความเป็นอยู่ของพระสนมในวังเช่น จำนวนข้าวหรือเงินเบี้ยหวัดประจำปีที่จะได้รับตามระดับชั้นของตำแหน่งซึ่งส่งผลต่อข้าทาสบริวารและผู้รับใช้ในแต่ละตำหนักที่จะได้รับมาก น้อยลดหลั่นแตกต่างกันไป ทั้งนี้การจัดลำดับของพระสนมนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่าบิดาของเหล่าสตรีเหล่านี้จะมีตำแหน่งสูงเพียงใด

นอกเหนือจากตำแหน่งสนมทั้ง 7 ระดับแล้ว ยังมีสตรีอีกจำนวนหนึ่งที่รอการพระราชทานลำดับ พระสนม ซึ่งเป็นสตรีที่อยู่ในทะเบียนที่ยังอยู่ระหว่างการรอถวายตัว โดยมักมาจากครอบครัวชาวบ้านสามัญ ซึ่งแน่นอนว่าต้องมีความงามเป็นที่ประจักษ์ บรรดาสตรีที่เข้ามาใหม่จะยังไม่ได้ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มของสนม 7 ระดับนั้น จะถูกเรียกว่าเป็นโฉมงามที่ไม่อยู่ในลำดับชั้น ซึ่งสตรีที่จะมาเป็นข้าหลวงในวังนั้นแม้จะเป็นตระกูลไพร่หลวง แต่ก็มีฐานะที่ต่างกันบางคนอาจจะเป็นลูกขุนนางชั้นสูง


รูปที่ 2. ข้าหลวงในราชวงศ์ชิง

ถ้าเป็นลูกขุนนางมีหน้ามีตาก็จะได้รับตำแหน่งถวายงานนางในระดับกุ้ยเหรินขึ้นไป หรือเจ้านายชั้นสูง ก็จะได้รับตำแหน่งพระสนมสูงศักดิ์ มีชีวิตที่สบายกว่า แต่ว่าถ้าเป็นลูกของขุนนางระดับล่าง อาทิ ทหารล้อมวัง ข้าราชการน้อย ๆ ก็จะไปถวายงานในระดับเจ้าจอมหรืออาจจะต้องทำงานหนัก นางในแต่ละคนนั้นจะมีนางข้าหลวงมาคอยรับใช้ในจำนวนต่างกันไป  สำหรับที่มาของเหล่าสตรีทั้งหลายที่อยู่ในพระราชวังนั้น ส่วนใหญ่มาจากบุตรของขุนนางในราชสำนัก และตามเมืองต่างๆ การส่งตัวบุตรีเข้าพระราชวังของเหล่าขุนนางนั้นถือเป็นเกียรติอย่างสูง เป็นความภาคภูมิใจ ตลอดจนความสำเร็จของวงค์ตระกูล ในการที่บุตรีของตนมีโอกาสเข้ามารับใช้โอรสแห่งสวรรค์ เป็นไปได้ว่าขุนนางเหล่านี้มุ่งจะใช้เป็นเครื่องปูทางเพื่อเป็นฐานทางอำนาจของเหล่าขุนนาง

การเป็นข้าหลวงในวังของราชวงศ์ชิงนั้นจะต้องเรียนประเพณีในวังกับท้าวนางผู้ใหญ่ก่อน ที่เรียกว่า “โมโม่” หรือ “กู้กู” ซึ่งมีกฎระเบียบที่รัดตัว เช่น ห้ามยิ้มเห็นฟัน ห้ามหัวเราะเสียงดัง ถ้าอยู่เวรตอนถวายงานห้ามกินอาหารที่มีกลิ่นแรง ห้ามกินจนอิ่มหรือน้อยเกินไปก็และห้ามกินทุกอย่างที่จะทำให้ผายลม เมื่อถึงเวลานอนห้ามนอนหงาย ต้องนอนตะแคงเท่านั้น เพราะถือว่าถ้านอนหงายจะเป็นการดูถูกเทวดารักษาวัง ห้ามพูดคำหยาบ ห้ามพูดคำไม่เป็นมงคลเช่นตาย ฆ่า เป็นต้น เวลาโกรธคนห้ามด่า เรื่องการด่าเป็นธรรมเนียมที่เคร่งครัดมากในวังจีนสามารถที่จะตีได้แต่ด่าไม่ได้เพราะถือว่าคนในวังล้วนแล้วแต่สืบเชื้อสายมาจากต้นสกุลแมนจูเหมือน ๆ กัน ดังนั้นเมื่อนางข้าหลวงทำผิดจึงถูกหวดเป็นประจำ

แม้ชีวิตนางข้าหลวงจะดูหนักเพราะการมีกฎระเบียบข้อบังคับที่มากเกินไป แต่การใช้ชีวิตอยู่ในวังก็ถือว่าสุขสบายเช่นเดียวกันเพราะทางพระราชวังได้จัดให้มีการเรียนหนังสือการเรียนวิชาชีพชั้นสูงในด้านต่างๆ พร้อมได้รับเงินเดือนทุกเดือน และได้กินอยู่อย่างสุขสบาย

จะเห็นได้ว่าสตรีที่อยู่ในพระราชวังต้องห้ามนั้นมีทั้งนางสนม นางกำนัล ข้าราชบริพารในระดับต่างๆ อีกทั้งพระราชินีที่ทำหน้าที่ในการดูแลพระราชวังฝ่ายในโดยทำหน้าที่ดูแลความเรียบร้อย อาจจะทำให้เกิดความวุ่นวายจากการที่มีสตรีเป็นจำนวนมาก ซึ่งการจะเข้ามาเป็นสตรีในวังได้จะต้องมีคุณสมบัติครบถ้วนจึงจะผ่านการคัดเลือกให้เข้ามาอยู่ในวังและเมื่อเข้ามาแล้วจะต้องเรียนรู้กฎระเบียบต่าง ๆ ของพระราชวัง เพื่อที่ทุกคนจะได้ปฎิบัติตามและดำเนินตามแบบแผนเดียวกัน แม้ว่าชีวิตความเป็นอยู่ในช่วงแรกๆ จะดูลำบากและอดทนกับสิ่งต่างๆ มากมาย แต่สตรีเหล่านี้ก็ได้รับสิ่งตอบแทนที่มีคุณค่าทั้งภายในและภายนอกที่พวกนางตั้งใจไว้นั่นเอง


อ้างอิง 

นิลพัท. (2558).   กว่าจะเป็นนางใน – ยศนางในสมัยราชวงศ์ชิงและการคัดเลือกเข้าสู่วัง. สืบค้นเมื่อ25 กันยายน 2561, จาก: http://www.reurnthai.com/index.php?topic=6201.0

มรกตวงศ์ ภูมิพลับ. (2553). สตรี และชีวิตในพระราชวังต้องห้าม. สืบค้นเมื่อ 25 กันยายน 2561, จาก: http://www.thaiworld.org/th/thailand_monitor/answer.php?question_id=1010

Natsuo. (2556).   ระดับขั้นตำแหน่งนางในและตำแหน่งเชื้อพระวงศ์แบบละเอียดของราชวงศ์ชิงแห่งจีน. สืบค้นเมื่อ23 ธันวาคม 2561, จาก: https://pantip.com/topic/30613438

Sahaburapa.(2560). สาวจีนยุคโบราณกับการเข้าวังเป็นนางข้าหลวง. สืบค้นเมื่อ 25 กันยายน 2561, จาก: http://plodlock.com/2017/08/10/saojeen/


อ่านเพิ่มเติม »

ตุนหวง (Dunhuang) มนต์เสน่ห์พุทธศิลป์กลางทะเลทราย

โดย พิชชาพร มงคลวงศ์โรจน์

ประเทศจีนเป็นประเทศหนึ่งที่มีเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่ยาวนานและน่าสนใจ และมีวัฒนธรรมที่โดดเด่นต่างจากที่อื่นๆ   นอกจากนี้ประเทศจีนในอดีต ยังเคยเป็นเส้นทางที่เชื่อมโลกตะวันตกกับตะวันออกเข้าด้วยกัน  เส้นทางประวัติศาสตร์นั้นก็คือ “เส้นทางสายไหม” โดยมี “ตุนหวง” เป็นเมืองสำคัญเมืองหนึ่งบนเส้นทางสายไหมแห่งนี้ ที่ตั้งอยู่ในทะเลทรายอันเวิ้งว้างและร้อนระอุ   แต่เป็นแหล่งอารายธรรมและประวัติศาสตร์อันมีค่ายิ่ง และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมของจีน และยังเป็นแหล่งพุทธศิลป์ที่มีความยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศจีนอีกด้วย

ตุนหวง  (敦煌)  มีความหมายว่า ดวงไฟที่เจิดจ้า เป็นเมืองเล็กๆ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของมณฑลกานซู   ห่างจากกรุงปักกิ่งราว 1,900 กิโลเมตร   ล้อมรอบด้วยทะเลทรายโกบี    ในอดีตที่แห่งนี้เคยเป็นสถานีสุดท้ายในการแวะพักการเดินทางในจีน เป็นศูนย์รวมเศรษฐกิจและวัฒนธรรมจากหลายๆ ชนชาติ รวมทั้งเป็นเส้นทางหนึ่งที่ทำให้พระพุทธศาสนาได้เข้ามาเผยแพร่ในประเทศจีน

ตามตำนานกล่าวว่า  มีพระธุดงค์องค์หนึ่งนามว่า “Le Zhun”  ได้เดินทางข้ามทะเลทรายโกบี และข้ามภูเขาไปเจอโอเอซิสที่เมืองตุนหวง  จึงได้พักผ่อนในที่แห่งนี้ ในช่วงเย็นขณะที่ท่านกำลังนั่งมองพระอาทิตย์อยู่  ก็เห็นรูปพระพุทธเจ้า 1,000 องค์บนท้องฟ้า  และรอบๆ มีนางฟ้าแสดงดนตรีที่ไพเราะ ต่อมา Le Zhun ได้ไปเรียนรู้การวาดภาพและการแกะสลัก และนำสิ่งที่ได้เรียนรู้มาสร้างผลงานไว้ หลังจากนั้นมีพระธุดงค์อีกท่านนามว่า “Fa Jiang” ได้เดินทางมาสถานที่แห่งนี้และเพิ่มเติมภาพวาดและรูปแกะสลักในถ้ำโม่เกา การสร้างวัดแห่งนี้เพื่อสักการะพระพุทธเจ้า และรวบรวมหลักฐานทางโบราณคดี โดยใช้เวลาสร้างนานมากตั้งแต่สมัยราชวงศ์ฉินถึงราชวงศ์หยวน

วัดถ้ำของตุนหวง ตั้งห่างจากเมืองตุนหวง ทางด้านตะวันออกเฉียงใต้ราว  25 กิโลเมตร ประกอบด้วยผาหินที่ถูกเจาะทั้งหมด 492 ถ้ำ โดยในบรรดาถ้ำทั้งหมด มีถ้ำที่ใหญ่ที่สุดคือ ถ้ำโม่เกา หรือที่รู้จักกันในนามว่า “ถ้ำพระพุทธรูปพันองค์” สร้างอยู่บนหน้าผาทางซีกตะวันออกของภูเขาหมิงซา ภายในถ้ำจะประกอบด้วย ภาพวาดและรูปสลักต่างๆที่ล้ำค่าทางพระพุทธศาสนาและประวัติศาสตร์  จนได้รับขนานนามว่า “ห้องสมุดบนผนัง” 

เนื่องจากวัดถ้ำโม่เกา เป็นสถานที่ที่สะสมพุทธศิลป์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นแหล่งรวบรวมหลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีที่สำคัญ จึงได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม จากองค์การยูเนสโก เมื่อ ค.ศ.1987 จากลักษณะที่สำคัญคือ มีศิลปะที่เป็นเอกลักษณ์และเป็นผลงานชิ้นเอกของศิลปะจีน  เป็นหลักฐานที่แสดงถึงการแลกเปลี่ยนศิลปะระหว่างจีนและอินเดีย มีภาพวาดในราชวงศ์ซ่งและสุย และต้นฉบับภาษาฮิบรู นอกจากนี้ ยังมีถ้ำพระพุทธรูปหนึ่งพันองค์ซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่โดดเด่นในพระพุทธศาสนา เป็นตัวอย่างในการสร้างวัดที่มีเอกลักษณ์  รวมทั้งมีความเชื่อมโยงประวัติศาสตร์ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา และยังแสดงให้เห็นว่าเส้นทางสายไหมไม่ได้เกี่ยวข้องในเรื่องการค้าเท่านั้น

จุดเด่นของวัดถ้ำโม่เกา เป็นถ้ำที่มีความเก่าแก่ มีพระพุทธรูป 1,000 พระองค์ประดิษฐานอยู่ ภายในถ้ำจะมีภาพวาดแกะสลักผนังถ้ำ และรูปปั้นดินที่เป็นจุดเด่นทำให้สถานที่แห่งนี้มีชื่อเสียง นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งเก็บรวบรวมหลักฐานต่างๆทางประวัติศาสตร์และตำราทางศานาพุทธจำนวนมาก


ประติมากรรมในถ้ำโม่เกาที่สร้างในสมัยราชวงศ์ถัง 

สิ่งก่อสร้างภายใน ใช้วัสดุที่ทำจากไม้ ในสมัยราชวงศ์ถังและราชวงศ์ซ้อง สร้างวัดจำนวน 5 หลัง คัมภีร์และหนังสือต่าง ๆ 50,000 ชิ้น และประติมากรรมเกือบ 2,500 ชิ้น  ใช้เวลาสร้างตั้งแต่ราชวงศ์ฉินถึงราชวงศ์หยวน แต่มีความรุ่งเรืองอย่างมากในยุคสมัยราชวงศ์ถัง มีหอคอย 9 ชั้นอยู่บริเวณด้านหน้าของถ้ำ สร้างในสมัยอู่ เจ๋อ เทียน เพื่อปกป้องพระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่ประดิษฐานอยู่ด้านใน ที่สร้างเพื่อทดแทนหอคอยเดิม 4 ชั้น  ซึ่งทนต่อสภาพอากาศและภัยธรรมชาติไม่ไหว

สถาปัตยกรรม ในยุคแรก เป็นถ้ำที่มีเจดีย์หนุนอยู่ตรงกลาง มีที่ประดิษฐานแท่นบูชาพระพุทธรูปแกะสลัก ยุคกลาง ได้สร้างหลังคาโค้งแบบพีระมิด มีแท่นบูชาใหญ่ชิดผนังถ้ำ และที่สำหรับประดิษฐานพระพุทธรูป และหลังคาที่เขียนด้วยภาพวาดสีสดใส ในยุคหลัง ได้สร้างเป็นถ้ำโถง ทำเป็นห้องเพื่อเก็บโบราณวัตถุและประติมากรรมต่างๆ

ประติมากรรม พบหลายรูปแบบอาทิ เช่น รูปปั้นกลม ปั้นนูน ปั้นเงา และอื่นๆ เนื้อหาในการปั้นมักเกี่ยวข้องกับพุทธองค์ พระโพธิสัตว์ นักปราชญ์ ราชาแห่งสรวงสวรรค์ ผู้พิทักษ์สวรรค์ จอมพลัง นักรบ เทพต่างๆ. มีทั้งรูปปั้นขนาดใหญ่และเล็ก  มีการใช้ดินเหนียวปั้นรูปประติมากรรมระบายหลากสี ทำให้ประติมากรรมของที่นี่มีความโดดเด่นเป็นอย่างมาก

จิตรกรรม มีภาพวาดฝาผนัง เป็นศิลปะในสมัยราชวงศ์ถัง   เป็นเรื่องราวของพุทธประวัติ  ทิวทัศน์  เก๋ง ศาลาชมวิว หอชมวิว    รูปแบบการใช้ชีวิตและวัฒนธรรม ความดี - ความชั่ว  เป็นต้น


ภาพจิตรกรรมในถ้ำโม่เกา 

เนินทรายหมิงซาซาน คำว่า “หมิงซา” มีความหมายว่า ทรายที่ก้องกังวาน ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมือง 6 กิโลเมตร เป็นทะเลทรายที่มีพื้นที่กว้างใหญ่  จากตำนานเล่าว่า พ่อค้าและนักเดินทางทั้งหลายจะได้ยินเสียงเพลงที่หลอกหลอนจากทะเลทรายแห่งนี้ ซึ่งเกิดจากเสียงลมที่พัดผ่านเนินทรายแล้วมีเสียงทรายนุ่มๆ จุดที่เป็นไฮไลท์คือ “ทะเลสาบรูปพระจันทร์เสี้ยว” ในทะเลทรายที่มีอายุมากว่า 2000 ปีอันสวยงาม


ทะเลสาบรูปพระจันทร์เสี้ยวในทะเลทรายหมิงซาซาน

สถานที่สำคัญที่ควรไปแวะชม คือ วัดถ้ำตุนหวงและเนินทรายหมิงซาซาน นอกจากนี้ ยังมีสถานที่เที่ยวอื่นๆ ที่น่าสนใจอีกในเมืองตุนหวง อาทิ วัดม้าขาว ด่านประตูหยก เป็นต้น

ข้อแนะนำการเข้าชม ควรเตรียมร่างกายให้พร้อมก่อนการเข้าชม ควรพกหมวก แว่นกันแดด  ครีมกันแดด รวมทั้งผ้าปิดตา สำหรับในการเข้าชมวัดถ้ำโม่เกานั้น มีค่าเข้าชมคนละ 80 หยวน ปัจจุบันทางการจีนเปิดให้เข้าชมไม่กี่ถ้ำ และห้ามถ่ายรูปภายในถ้ำและไม่เปิดไฟภายในถ้ำ  เพื่อเป็นการรักษาสภาพถ้ำให้สมบูรณ์ที่สุด  ส่วนค่าเข้าชมเนินทรายหมิงซาซาน ราคาจะแบ่งออกเป็น 2 ช่วง  ได้แก่  ช่วงเดือน พ.ค - ต.ค อยู่ที่ 120 หยวน และเดือน พ.ย - เม.ย อยู่ที่ 80 หยวน เด็กที่สูงต่ำกว่า 120 เซนติเมตร เข้าชมฟรี สามารถใช้ตั๋วเข้าชมเนินทรายและทะเลสาบได้หลายครั้งภายใน 3 วัน

วิธีการเดินทาง สามรถเดินทางมายังเมืองตุนหวงโดยสะดวก ได้ทั้งทางรถไฟ รถประจำทาง และเครื่องบิน กิจกรรม ในช่วงฤดูร้อนเดือนมิถุนายน-ตุลาคม จะมีการแสดงร้องเพลงและเต้นรำในเทศกาลเส้นทางสายไหม และที่เนินทรายหมิงซาซาน มีบริการอูฐไว้สำหรับขี่ รถไฟฟ้า รถวิบาก เครื่องร่อน   เบาะนั่งสไลด์  สำหรับบริการนักท่องเที่ยว

“ตุนหวง” นอกจากจะเป็นเมืองตั้งต้นในเส้นทางสายไหม  ที่ทำหน้าที่เป็นศูนย์แลกเปลี่ยนสินค้าแล้ว  ยังเป็นจุดยุทธศาสตร์แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างโลกตะวันตกและตะวันออก สะท้อนให้เห็นถึงการเชื่อมโยงกันระหว่างเศรษฐกิจ และวัฒนธรรม รวมทั้งอิทธิพลของศาสนาพุทธที่เปี่ยมไปด้วยพลังศรัทธาก่อให้เกิดพุทธศิลป์ที่ยิ่งใหญ่ และโดดเด่นไม่เหมือนใคร เป็นร่องรอยหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่มีค่ายิ่ง ควรแก่การเข้าชม จีงอยากเชิญชวนผู้ที่สนใจให้มาเยี่ยมชม


อ้างอิง

ทริปเดินทาง.(2016).ถ้ำมั่วเกาแห่งตุนหวง (敦煌莫高窟) – มณฑลกานซู่.สืบค้นเมื่อ 10 กันยายน 2561, จาก: https://tripderntang.com/ถ้ำมั่วเกาแห่งตุนหวง/

Expedia TH. (2017) . ตามหาทะเลสาบพระจันทร์เสี้ยว เที่ยวทะเลทรายโกบี .สืบค้นเมื่อ 10 กันยายน2561, จาก: https://travelblog.expedia.co.th/travel-abroad/bd05_november17/

ktcworld .(มปป).ตุนหวง...เมืองอารยธรรมโบราณกลางทะเลทราย  THE ANCIENT CITY OF DUNHUANG .สืบค้นเมื่อ 10 กันยายน 2561, จาก: ttps://www.ktcworld.co.th/th/Service/TravelGuide/

oporshady .(2013).วัดถ้ำแห่งตุนหวง พุทธศิลป์สุดยิ่งใหญ่ กลางทะเลทรายของจีน.สืบค้นเมื่อ 10 กันยายน 2561 ,จาก: https://travel.mthai.com/world-travel/65224.html

ANNELISA STEPHAN .(2015). 14 Fascinating Facts about the Cave Temples of Dunhuang . Retrieved September 10, 2018, from: http://blogs.getty.edu/iris/14-facts-cave-temples-dunhuang/

BBC News.(2015). Dunhuang: a city on the old Silk Road - in pictures. Retrieved September 10, 2018, from: https://www.bbc.com/news/in-pictures-34276009

Shenyunperformingarts.(n.d.). The Mogao Caves of Dunhuang .Retrieved September 10, 2018, from: http://www.shenyunperformingarts.org/learn/article/read/item/zkEPlF7CSao/mogao-caves-dunhuang-chinese-stories-history.html

UNESCO.(n.d.).Mogao Caves. Retrieved September 10, 2018, from: https://whc.unesco.org/en/list/440

Wikitravel.(n.d.). Dunhuang . Retrieved September 10, 2018, from: https://wikitravel.org/en/Dunhuang

อ่านเพิ่มเติม »

จูล่ง สุภาพบุรุษแห่งเสียงสาน

โดย เดชาธร จียะพันธ์

ประวัติศาสตร์ของจีนในยุคสมัยที่เกิดความแบ่งแยก บ้านเมืองต่างพากันแบ่งออกเป็นก๊กเป็นฝ่าย ที่เรียกว่า ยุคสามก๊ก ประกอบด้วย วุยก๊ก จ๊กก๊ก และง่อก๊ก ระหว่างนี้เกิดการแย่งชิงอำนาจเพื่อความเป็นใหญ่ในดินแดนจีน เกิดความอิจฉาริษยา ความอาฆาต และสงครามขึ้นบ่อยครั้ง ทั้งนี้ก๊กไหนที่มีกำลังพลที่เข้มแข็ง มีกำลังรบที่ยอดเยี่ยมก็จะเอาชนะก๊กอื่นๆ ได้โดยสิ้นเชิง ซึ่งจะปฏิเสธไม่ได้เลยว่าจ๊กก๊กของพระเจ้าเล่าปี่ก็เป็นหนึ่งในก๊กที่มีทหารเก่งกาจมากมาย หนึ่งในนั้นที่เรารู้จักกันดีก็คือ จูล่ง


ที่มา : https://www.samkok911.com/

เตียวหยุน หรือที่รู้จักกันในนาม จูล่ง เกิดในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 2 ประมาณปี ค.ศ. 161 ที่อำเภอเจินติ้ง เมืองเสียงสาน หรือมณฑลเหอเป่ย ในปัจจุบัน มีแซ่เตียว (จ้าว) ชื่อ หยุน (แปลว่าเมฆ) ชื่อรอง จูล่ง หรือ จื่อหลง (แปลว่าบุตรมังกร) มีรูปร่างลักษณะสูงประมาณ 8 เซียะ (1.89 เมตร) ใบหน้าขาวโพลน หน้าผากกว้างดั่งเสือ ตาโต คิ้วดก กรามใหญ่กว้างบ่งบอกถึงนิสัยซื่อสัตย์ สุภาพเรียบร้อย น้ำใจกล้าหาญ สวมเกราะเงินสีขาว ใช้ทวนยาวเป็นอาวุธ ใช้ม้าสีขาว เป็นพาหนะคู่ใจ

จูล่งเดิมเป็นชาวเมืองเสียงสาน ต่อมาได้มาเป็นทหารของอ้วนเสี้ยว แต่อ้วนเสี้ยวเป็นคนหยาบช้า ไร้น้ำใจ จูล่งจึงหนีไปอยู่กับกองซุนจ้านเจ้าเมืองปักเป๋ง โดยที่ขณะนั้นกองซุนจ้านได้ทำศึกกับอ้วนเสี้ยว จูล่งยังได้ช่วยชีวิตกองซุนจ้านไว้ แล้วสู้กับบุนทิวถึง 60 เพลง จนบุนทิวหนีไป ต่อมาจูล่งได้มีโอกาสรู้จักกับเล่าปี่ ทั้งสองต่างเลื่อมใสซึ่งกันและกัน

เมื่อกองซุนจ้านฆ่าตัวตายเพราะแพ้อ้วนเสี้ยว จูล่งจึงได้ร่อนเร่พเนจรจนมาถึงเขาโงจิวสัน ซึ่งมีโจรป่ากลุ่มหนึ่งมีหุยง่วนเสียวเป็นหัวหน้า หุยง่วนเสียวคิดชิงม้าจากจูล่ง จูล่งจึงฆ่าหุยง่วนเสียวตายแล้วได้เป็นหัวหน้าโจรป่าแทน ต่อมากวนอูได้ใช้ให้จิวฉองมาตามหุยง่วนเสียวและโจรป่าไปช่วยรบ จิวฉองเมื่อเห็นจูล่งคุมโจรป่าจึงคิดว่าจูล่งคิดร้ายฆ่าหุยง่วนเสียว จิวฉองจึงตะบันม้าเข้ารบกับจูล่ง ปรากฏว่าจิวฉองต้องกลับไปหากวนอูในสภาพเลือดโทรมกาย ถูกแทงถึง 3 แผล (สำนวนสามก๊กฉบับวณิพกของ ยาขอบ)

จิวฉองเล่าว่าคนผู้นี้มีฝีมือระดับลิโป้ ดังนั้นกวนอูกับเล่าปี่จึงต้องรุดไปดูด้วยตนเอง แต่เมื่อได้พบกันจูล่งก็เล่าความจริงทั้งหมด ตั้งแต่นั้นมาจูล่งก็ได้เป็นทหารเอกคนสนิทของเล่าปี่ เคยรบชนะม้าเฉียวในการประลองยุทธตัวต่อตัว และยังเคยทะเลาะกับเตียวหุยตอนอยู่กับกองซุนจ้านจนเกือบสังหารเตียวหุยแต่กวนอูมาขวางไว้ และถึงแม้ว่านายอย่างเล่าปี่จะตายจากไปจูล่งก็ยังคงอาสารบให้แก่ขงเบ้งเพื่อทำประโยชน์ให้กับทายาทเล่าปี่สืบไป


ที่มา : https://www.samkok911.com/

รวมวีรกรรมที่น่ายกย่องของจูล่ง 

1. สมรภูมิที่เป็นเกียรติยศสูงสุดของจูล่งคือเนินเตียงปัน ในศึกครั้งนี้จูล่งแสดงความแกล้วกล้าปรีชาชาญของตนออกมาเต็มเปี่ยม เนื่องจากถูกโจโฉตามโจมตีตลอดคืน เล่าปี่จึงแตกพ่ายยับที่เนินเตียงปัน ทิ้งลูกเมียหนีไปกับลูกน้องไม่กี่คน จูล่งช่วยภรรยาทั้งสองของเล่าปี่ออกมาแล้วฝ่าวงล้อมข้าศึกกลับเข้าไปช่วยอาเต๊าซึ่งยังเป็นทารกใส่อกเสื้อเกราะรบฝ่าออกมาได้โดยสวัสดิภาพ เป็นความดีความชอบยิ่งใหญ่ จึงได้เลื่อนตำแหน่งเป็น “หยาเหมินเจียงจวิน-ขุนพลประจำทำเนียบ” แต่ก็เป็นตำแหน่งไม่สูงนัก

2. เตียวหอมเจ้าเมืองฮุยเอี๋ยงจะยกนางฮวนซี พี่สะใภ้ของตน(เตียวหอม)ให้เป็นภรรยาจูล่ง จูล่งเมื่อแรกเห็นหญิงงามก็สนใจ แต่เมื่อทราบว่าเป็นพี่สะใภ้ก็โกรธเตียวหอม เพราะเป็นการผิดธรรมเนียม และให้เหตุผลในภายหลังว่า “เล่าปี่นายของข้าพเจ้าคิดอ่านทำการทั้งปวงหวังจะทำนุบำรุงแผ่นดินก็ยังไม่สำเร็จก่อน เล่าปี่นั้นก็ยังนอนตาไม่หลับลงเป็นปรกติ ซึ่งข้าพเจ้าจะมามีภรรยานั้นไม่ควร เหมือนหนึ่งชิงสุกก่อนห่าม คนทั้งปวงจะครหานินทาได้”

3. ก่อนพระเจ้าเล่าปี่จะสิ้นใจได้ฝากจูล่งให้ช่วยทำนุบำรุงเล่าเสี้ยน จูล่งร้องให้แล้วกราบทูลว่า “พระองค์อย่าได้ปรารมภ์เลย ถ้ามีการสงครามข้าพเจ้าจะขอตายก่อนพระราชบุตร” แต่ในสามก๊กภาษาอังกฤษกล่าวเพิ่มเติมไว้กินใจกว่าว่า “The fidelity of the dog and horse is mine to give and shall be theirs.” แปลว่า “ความจงรักภักดีของข้าพเจ้าจักเป็นดั่งเช่นสุนัขและอาชา ที่มีต่อนายของมัน”

4. ในตอนขงเบ้งถอยทัพที่เกเต๋ง จูล่งเป็นเป็นคนคุมทัพหลังและนำทหารกลับมาได้อย่างปลอดภัยไม่เสียกำลังพลแม้แต่นายเดียว ขงเบ้งจึงยกย่องและนำรางวัลมามอบให้ แต่จูล่งไม่รับ แล้วกล่าวว่า “ตัวข้าพเจ้าเป็นทัพแตกเสียการมา ก็หาความชอบสิ่งใดมิได้ ซึ่งข้าพเจ้าจะรับเอาสิ่งของทั้งนี้มิบังควร ขอมหาอุปราชให้เอาคืนเข้าไว้ในท้องพระคลังเถิด ถ้าถึงกำหนดเบี้ยหวัดแล้วจงเอาแจกทหารทั้งปวง” ความในตอนนี้ยาขอบเขียนยกย่องจูล่งไว้อย่างไพเราะว่า “คนยาก แต่มิใช่เห็นเงินตาลุก ชาวเสียงสานต้องการดื่มเกียรติ”

มนุษย์เรานั้นเมื่อตายลงสิ่งต่าง ๆ ทรัพย์สินเงินทอง เกียรติยศ หรือชื่อเสียง ก็จะหายตายตามไปด้วย จะมีเพียงไม่กี่คนนักที่จะมีบุคคลนึกถึงเมื่อครั้นเราตายจากไป แต่สิ่งที่จะยังคงอยู่ให้บุคคลรุ่นหลังได้กล่าวและรำถึงนั้นก็คงจะมีแต่วีกรรมอันน่าจดจำ รวมถึงคุณงามความดีที่เคยได้ทำครั้งยังมีชีวิตอยู่ ดังเช่นวีรกรรมและการกระทำที่ยกย่องของนักรบชาวเสียงสานผู้นี้


อ้างอิง 

ทำไมเล่าปี่ไม่ใช้จูล่งทำงานใหญ่. (2560). สืบค้นเมื่อ 9 กันยายน 2561,จาก: https://www.silpa-mag.com/club/art-and-culture/article_7265

จูล่ง. (2560). สืบค้นเมื่อ 9 กันยายน 2561,จาก: https://th.wikipedia.org/wiki/จูล่ง

Hall of Fame จูล่งแห่งเสียงสาน. สืบค้นเมื่อ 9 กันยายน 2561, จาก: https://www.samkok911.com/2013/01/Zhao-Yun-Hall-of-Fame.html

ยาขอบ. (2553). สามก๊กฉบับวณิพก. กรุงเทพฯ: ศรีปัญญา.


อ่านเพิ่มเติม »

ชายชาวจีนกับการไว้ผมเปีย

โดย ธิติกาญจน์ แสงฤทธิ์

สำหรับคอละครจีนย้อนยุคทั้งหลายหรือใครที่เคยดูหนังจีนแนวโบราณกันมาแล้วคงจะคุ้นตากันดีกับภาพตัวละครชายในเรื่องที่ส่วนมากมักจะไว้ทรงผมประหลาดตากันใช่มั้ยคะ โดยเป็นทรงผมที่มีลักษณะการโกนผมด้านหน้าครึ่งศรีษะส่วนด้านหลังจะถักเปียยาวลงมา ซึ่งทรงผมที่เราเคยเห็นนี้เรียกกันว่า “ทรงแมนจู” ซึ่งเป็นทรงผมของชาวแมนจูนั่นเอง หลายๆคนอาจจะสงสัยว่าทำไมผู้ชายชาวจีนในสมัยก่อนนั้นจึงต้องไว้ผมทรงนี้กัน เราจึงได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับที่มาของการไว้ทรงผมแมนจูของชาวจีนไว้ในบทความนี้ค่ะ



ต้องบอกก่อนเลยว่าแต่เดิมนั้นชาวจีนไม่ได้ไว้ผมทรงแมนจูตั้งแต่แรกเริ่ม ในยุคสมัยของราชวงศ์หมิงนั้นชาวจีนยังคงไว้ผมยาวแล้วเกล้าขึ้นมัดเป็นมวยตามความเชื่อลัทธิขงจื้อที่ว่า ผมและอวัยวะอื่นๆของร่างกายนั้นเป็นสิ่งที่พ่อแม่ให้มาไม่อาจทำลายได้และเป็นเช่นนี้มานับพันปี จนกระทั่งแผ่นดินจีนถูกปกครองด้วยราชวงศ์ชิง

ราชวงศ์ชิงซึ่งก่อตั้งโดยชาวแมนจูแต่เดิมเป็นชนเผ่าเร่ร่อนอาศัยอยู่ในเขตแมนจูเรีย ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของสาธารณรัฐประชาชนจีนในปัจจุบัน ชาวแมนจูมีเอกลักษณ์พิเศษคือทรงผมที่โกนผมส่วนหน้าแล้วถักหางเปียเป็นเส้นเดียวยาวลงมา เรียกว่า “เปี้ยนซือ” (辮子; biànzi) จากข้อสันนิษฐานที่ว่าชาวแมนจูนิยมใช้ม้ากันเยอะ จึงนิยมตัดผมทรงนี้เพื่อช่วยในการเคลื่อนไหวบนหลังม้าและเวลายิงธนูเส้นผมจะได้ไม่ปกหน้าอีกทั้งยังสะดวกในการใช้ชีวิตในท้องทุ่ง ส่วนการถักเปียนั้นสันนิษฐานว่ามีไว้พันคอเพื่อให้ความอบอุ่นในยามหนาว คนจีนจึงมองกลุ่มคนเหล่านี้ว่าเป็นคนเถื่อนนอกด่าน


ทรงผมเปียรูปแบบต่างๆของชาวแมนจู
ที่มา: https://th.wikipedia.org/

หลังจากที่ชาวแมนจูสามารถยึดครองแผ่นดินจีนไว้ได้ทั้งหมดและสถาปนาราชวงศ์ชิงขึ้นมาในช่วงค.ศ.1644  ได้มีการออกคำสั่งให้ชาวจีนทั้งหมดโกนผมครึ่งศรีษะและถักเปียแบบชาวแมนจู ในช่วงแรกนั้นมีการต่อต้านอย่างรุนแรงจากชาวจีนจนต้องระงับบคำสั่งนี้ จนกระทั้งค.ศ.1645 ได้ดำเนินนโยบายนี้อีกครั้ง และประกาศว่าหากผู้ใดไม่ปฏิบัติตามภายใน 10 วัน มีโทษถึงประหารชีวิต หลังจากประกาศนโยบายนี้ออกไปทำให้ชาวจีนที่ต่อต้านถูกทหารแมนจูประหารชีวิตไปมากกว่า 200,000 คน ภายในระยะเวลาเพียง 3 วัน โดยถือว่าผู้ที่ขัดขืนถือเป็นคนทรยศ ไม่ซื่อตรงต่อฮ่องเต้  ชาวจีนในยุคนั้นจึงขนานนามนโยบายนี้ว่า “ไว้ผมไม่ไว้หัว ไว้หัวไม่ไว้ผม (留头不留发,留发不留头)” หมายความว่า หากต้องการรักษาชีวิตไว้ก็ให้โกนผมและไว้เปียแบบชาวแมนจู



ส่วนทรงผมของหญิงชาวแมนจูนั้นจะแบ่งเป็น 2 แบบ คือทรงสองแกละ และ ทรงหมวกปีกกว้าง ทรงสองแกละนั้นเริ่มจากการหวีผมไปไว้ด้านหลัง จากนั้นแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนล่างถึงลำคอ  แล้วแบ่งผมออกเป็นสองช่อยกสูง ตอนที่พับนั้นชโลมน้ำยาจัดทรงผมพร้อมกับจัดให้เรียบ ยกสูงขึ้นเล็กน้อย แล้วพับ จากนั้นรวมกันเป็นช่อเดียว  แล้วย้อนกลับไปด้านหน้า  ใช้เชือกมัดให้แน่นจากโคนผม    จากนั้นสอดแถบเหล็กสำหรับจัดทรง   แล้วนำเส้นผมพันรอบแถบเหล็กนั้นไว้  ให้เป็นรูปตัว T แล้วค่อยประดับด้วยดอกไม้ ลูกปัด และพู่ห้อยหรือตุ้งติ้ง ภายหลังในสมัยเสียเฟิงฮ่องเต้ (ก่อนสมัยซูสีไทเฮา) ผมทรงนี้ก็ค่อยๆมีขนาดใหญ่ขึ้น แกละทั้งสองข้างก็มีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จึงนำแถบรูปพัดสีดำมาประดับให้ปีกผมทั้งสองข้างกว้างขึ้นเรียกว่า ฉีโถว หรือ กวนจวง   หรือที่รู้จักกันในชื่อ  ต้าลาเช่อ


ที่มา: https://www.deviantart.com/

จากการที่ผู้ปกครองมีจำนวนน้อยกว่าผู้ถูกปกครอง อีกทั้งชาวจีนยังมีวัฒธรรมที่เหนือกว่า ทำให้ชาวแมนจูต้องการทำลายอัตลักษณ์ดั้งเดิมของชาวจีนทิ้ง จึงได้มีมารตราการหลายอย่างเพื่อเปลี่ยนชาวจีนให้เป็นชาวแมนจู ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือเรื่องทรงผม ทำให้ปัญหาเรื่องทรงผมขยายตัวรุนแรงขึ้นจนกลายเป็นปัญหาทางการเมือง ในช่วงราชวงศ์ชิงปกครองแผ่นดินจีนการไว้ทรงผมแมนจูจึงเป็นสัญลักษณ์ของการถวายความจงรักภักดีต่อราชวงศ์ชิง หากใครตัดผมเปียทิ้งก็หมายถึงการเป็นปฏิปักษ์นั่นเอง แต่ถึงอย่างไรก็ตามก็ยังมีชาวจีนที่ต่อต้านราชวงศ์นี้ก่อกบฎหลายครั้งทำให้ถูกประหารชีวิตไปเป็นจำนวนมาก โดยคาดการณ์กันว่าตลอดการปกครองของราชวงศ์ชิงมีชาวจีนกว่า 1  ล้านคน ถูกประหารชีวิตจากการไม่ไว้ผมทรงแมนจู

แต่หลังจากที่ราชวงศ์ชิงล่มสลายลง โดยถูกโค่นล้มจากขบวนการปฏิวัติซินไฮ่ และประเทศจีนเข้าสู่ระบอบการปกครองแบบสาธารณรัฐ รัฐบาลจึงได้มีคำสั่งให้ชาวจีนทุกคนยกเลิกการไว้ผมทรงแมนจู ในระยะแรกนั้นยังคงมีชาวจีนหลายคนที่ยังคงเลือกไว้ทรงผมแมนจู เนื่องจากการไว้ทรงผมแมนจูกลายเป็นวัฒนธรรมที่ยาวนานกว่า 300 ปีของชาวจีน จนรัฐบาลต้องออกกฎหมายให้ทหาร ข้าราชการและประชาชนทุกคนตัดผมเปียทิ้ง หากใครไม่ปฏิบัติตามถือว่าเป็นการทำผิดกฏหมาย จึงทำให้วัฒนธรรมการไว้ทรงผมแมนจูเริ่มจางหายไปจากสังคมจีน

จากชนเผ่าเร่ร่อนที่อาศัยอยู่ตามชายขอบของประเทศจีนถูกชาวจีนมองว่าเป็นกลุ่มคนเถื่อนนอกด่าน
จนสามารถยึดครองแผ่นดินจีนและสถาปนาราชวงศ์ชิงขึ้นมา นอกจากนี้แล้วยังถ่ายทอดอัตลักษณ์ความเป็นชนเผ่าแมนจูออกไปสู่ชาวจีนผ่านทรงผมโดยการให้ชายชาวจีนทุกคนไว้ทรงผมเดียวกัน ซึ่งก็คือทรงแมนจู สิ่งเหล่านี้นั้นถูกใช้เป็นเครื่องมือในการแสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อราชวงศ์ชิง โดยหากผู้ใดยอมไว้ทรงผมแมนจูถือว่าบุคคลนั้นภักดีต่อราชวงศ์ แต่หากผู้ใดต่อต้านนั่นหมายถึงการเป็นปฏิปักษ์ ซึ่งหมายความว่าลักษณะการไว้ทรงผมของชายชาวจีนนั้นมีอิทธิพลต่อชีวิตความเป็นอยู่ของชาวจีนนั่นเอง


อ้างอิง  

กนกพร. (2007). ทำไมชายจีนต้องไว้ผมเปีย. สืบค้นเมื่อ  14 กันยายน 2018. จาก: http://www.uniserv.buu.ac.th/forum2/topic.asp?TOPIC_ID=1986

กรกิจ. (2017). ทำไมแมนจูต้องไว้เปีย. สืบค้นเมื่อ 14 กันยายน 2018. จาก:
http://www.gypzyworld.com/article/view/859

เอกชัย. (2017). ทรงผมแมนจู.   สืบค้นเมื่อ  14 กันยายน 2018. จาก: https://prachatai.com/journal/2017/11/74184

Ch3Thailand. (ม.ป.ป.). “ทรงผมแมนจู” ตำนานที่เป็นมากกว่าทรงผม. สืบค้นเมื่อ  14 กันยายน 2018. จาก: http://www.ch3thailand.com/news/drama/9953

Shoshui. (2561). ชาวแมนจู. สืบค้นเมื่อ  14 กันยายน 2018. จาก https://th.wikipedia.org/w/index.php?title=ชาวแมนจู&action=history

MGR Online. (2551). “เส้นผม” พลิ้ว...วัฒนธรรมมังกรไหว / อู่วัฒนธรรม. สืบค้นเมื่อ 21 ธันวาคม 2018 จาก: https://mgronline.com/china/detail/9510000112968

จาง จาง จาง จาง. (2013). เครื่องแต่งกายสมัยชิง. สืบค้นเมื่อ 21 ธันวาคม 2018 จาก: https://zhanglipan.wordpress.com/2013/10/16/เครื่องแต่งกายสมัยชิง/

อ่านเพิ่มเติม »

พระราชวังต้องห้าม (Gu Gong or Imperial palace or Forbidden City)

โดย ธนัชพร พันธุ์เสือ

ประเทศจีนเป็นประเทศที่กว้างใหญ่มากมีสถานที่ท่องเที่ยวให้นักท่องเที่ยวได้แวะไปเยี่ยมชมตั้งมากมาย ทั้งสถานที่ท่องเที่ยวเชิงนิเวศเชิงศิลปวัฒนธรรมและเชิงประวัติศาสตร์ วันนี้ดิฉันมีสถานที่แห่งหนึ่งมาแนะนำ พระราชวังต้องห้าม ณ กรุงปักกิ่ง เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่ห้ามพลาดเมื่อมาเที่ยวที่ประเทศจีน เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก



พระราชวังต้องห้าม (Gu Gong or Imperial palace or Forbidden City) เป็นที่รู้จักในหลากหลายชื่อในภาษาจีนนั้น ชาวจีนจะเรียกพระราชวังต้องห้ามว่า กู้กง (故宫:Gùgōng) ที่แปลว่า พระราชวังเก่า นอกจากนี้คำนี้ยังใช้เรียกพระราชวังเก่าตามเมืองต่างๆในประเทศจีนด้วย ส่วนคำที่เรารู้จักกันดีว่า "พระราชวังต้องห้าม" นั้นแปลมาจากภาษาจีน จื่อจิ้นเฉิง ( 紫禁城; Zǐjìn Chéng) แปลตามตัวอักษรได้ว่า "เมืองต้องห้ามสีเลือดหมู" ด้วยเหตุที่ว่า ห้ามสามัญชนเข้าไปในบริเวณวังหลวงโดยเด็ดขาด แม้ข้าราชการชั้นสูง ยังต้องขออนุญาต เป็นกรณีพิเศษ และสีเลือดหมูนั้นเป็นสีอาคารและหลังคาโดยทั่วไป

พระราชวังต้องห้ามอยู่ใจกลางเมืองปักกิ่ง มีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 450 ไร่ พระราชวังต้องห้ามมีรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า จากเหนือไปใต้กว้าง 961 เมตร และจากตะวันตกไปตะวันออกกว้าง 753 เมตร มีกำแพงวังล้อมรอบทั้งหมด มีประตูวังทั้งสี่ทิศ มีตำหนักน้อยใหญ่ประมาณ 9,000 กว่าห้อง


ที่มา: http://belleairimages.com/

พระราชวังนี้แต่เดิมนั้นเป็นพระราชวังหลวงของราชวงศ์หยวนแห่งมองโกล ต่อมาเมื่อราชวงศ์หยวนล่มสลายลงแล้วมีราชวงศ์หมิงขึ้นมาแทน จักรพรรดิพระองค์แรกของราชวงศ์หมิง จักรพรรดิหงอู่ได้ย้ายเมืองหลวงจากปักกิ่งไปนานกิงและดำริให้รื้อถอนพระราชวังออก ต่อมาเมื่อพระราชโอรสของพระองค์ จักรพรรดิหย่งเล่อได้ขึ้นครองราชย์ พระองค์ก็ได้ย้ายเมืองหลวงกลับปักกิ่งดั่งเดิม และทรงสั่งให้ก่อสร้างพระราชวังใหม่ขึ้นในปี พ.ศ. 1949 ซึ่งได้กลายมาเป็นพระราชวังต้องห้ามแห่งนี้ จนในปี พ.ศ. 2187 ได้เกิดจลาจลขึ้นทำให้พระราชวังสมัยราชวงศ์หมิงเสียหายไป จนเมื่อราชวงศ์ชิงขึ้นครองอำนาจต่อจากราชวงศ์หมิง จึงก็ได้ก่อสร้างพระราชวังขึ้นมาใหม่บนฐานสิ่งก่อสร้างเดิม ทำให้พระราชวังกลายมาเป็นจุดศูนย์กลางอำนาจของจีนอีกครั้งเรื่อยมาจนถึงราชวงศ์ชิงล่มสลาย และเปลี่ยนการปกครองมาเป็นระบอบสาธารณรัฐ

แม้ว่าประเทศจีนจะไม่มีสถาบันพระมหากษัตริย์แล้ว พระราชวังต้องห้ามก็ยังคงเป็นสัญลักษณ์ของประเทศจีน และภาพประตูเทียนอันเหมินก็ยังปรากฏอยู่ในตราประจำสาธารณรัฐประชาชนจีนอีกด้วย ซึ่งไม่นานมานี้ ทางรัฐบาลจีนได้มีนโยบายจำกัดปริมาณนักท่องเที่ยวเพื่อจะอนุรักษ์สภาพของอาคารและสวนหย่อมไว้นอกจากนี้ พระราชวังต้องห้ามยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ซึ่งเมื่อพ.ศ. 2530 (ค.ศ. 1987) ทางยูเนสโกได้ประกาศให้พระราชวังต้องห้ามและพระราชวังสิ่นหยางเป็นหนึ่งในมรดกโลกในนาม พระราชวังหลวงแห่งราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิงในปักกิ่งและเสิ่นหยาง



การก่อสร้างพระราชวังนี้เป็นเรื่องที่โหดมาก เพราะต้องใช้ช่างฝีมือกว่าหนึ่งแสนคน คนงานมากกว่าหนึ่งล้านคน ไม้ที่ใช้นั้นเป็นไม้หนามมู่ เป็นไม้เนื้อแข็งชั้นดี เอามาจากมณฑลซื่อชวน กว่างตง และยูนาน ส่วนไม้ซุงขนมาจากซื่อชวน เจียงซี เจ๋อเจียง ส่านซี และฮูนาน เมื่อตัดไม้แล้วก็จะทิ้งไว้บนเขาอย่างนั้น รอให้น้ำป่าหลากทะลักพัดให้ไม้ลงมาเอง จากนั้นจึงค่อยบรรทุกขึ้นเรือมาปักกิ่ง หินที่ใช้นำมาจากฟ่างซาน ต้องจ้างชาวไร่ ขาวนา ในการขนย้ายหินถึง 20,000 คน ซึ่งหินแต่ละก้อนยาว 10 เมตร กว้าง 3 เมตร หนา 1.6 เมตร ถ้าย้ายผ่านพื้นที่ที่เป็นน้ำแข็ง ต้องราดน้ำลงไปเพื่อให้น้ำแข็งละลาย อิฐนำมาจากหลินจิ้ง ในมณฑลซานตง การสร้างต้องใช้อิฐมากกว่าสิบล้านก้อน เพื่อใช้ปูพื้นพระราชวัง และขั้นตอนในการปูพื้นก็มีกรรมวิธีกว่ายี่สิบขั้นตอน แต่ละพื้นที่ใช้เวลาปูพื้นนานร่วมปี

พระราชวังต้องห้ามได้แบ่งออกเป็น 2ส่วนด้วยกันคือ พระราชวังชั้นใน และพระราชวังชั้นนอก พระราชวังชั้นนอก เป็นที่ที่เอาไว้จัดงานต่างๆเป็นสถานที่ทำงานของฮ่องเต้และเป็นจุดศูนย์กลางของวัง พระราชวังชั้นใน เป็นที่ประทับของฮ่องเต้และพะบรมวงศานุวงค์เป็นส่วนที่ผู้ชายไม่สามารถเข้าไปได้ ยกเว้นขันที


ที่มา: http://www.bareo-isyss.com/

ในเขตพระราชวังชั้นนอกมีตำหนักที่สำคัญอยู่3ตำหนัก คือ ตำหนักไถ่เหอ ตำหนักจงเหอ และตำหนักเป่าเหอ โดยทั้งสามตำหนักนี้ตั้งอยู่บนแท่นหินขนาดใหญ่ ตำหนักไท่เหอ มีขนาดใหญ่ที่สุด เป็นศูนย์กลางอำนาจของฮ่องเต้ล้อมรอบด้วยหินหยกที่สลักเป็นรูปเมฆ มังกร และหงส์ ใช้เป็นสถานที่ว่าราชการของฮ่องเต้ และต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง ตำหนักจงเหอ ขนาดใหญ่รองมาจากไท่เหอ รูปทรงสี่เหลี่ยมมียอดแหลมใช้เป็นสถานที่พักรอก่อนออกว่าราชกาล หรือพระราชพิธีต่างๆ ตำหนักเป่าเหอ อยู่หลังตำหนักจงเหอขนาดใหญ่พอๆกับตำหนักไถ่เหอ ใช้เป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงรับรอง และใช้เป็นสนามสอบจอหงวน

ส่วนพระราชวังชั้นในมีตำหนักที่สำคัญอยู่ 2 ตำหนัก ตำหนักพระราชวังชั้นในนี้มีขนาดเล็กกว่าตำหนักของพระพระราชวังชั้นนอก พระที่นั่งเฉียนชิง ตำหนักหน้าของพระราชวังชั้นใน เป็นที่ประทับฮ่องเต้เพื่อตรวจสอบเอกสารลงนามอนุมัติราชการต่างๆ พระที่นั่งหย่างซินเตี้ยน อยู่บริเวณตะวันตกเฉียงใต้ของพระราชวังชั้นใน เป็นที่ประทับของฮ่องเต้ไว้นัดพบพูดคุยราชการกับข้าราชการชั้นผู้ใหญ่



ปัจจุบันนี้พระราชวังต้องห้ามได้เปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวให้นักท่องเที่ยวได้ไปเยี่ยมชมโดย พระราชวังต้องห้ามเปิดให้เข้าชมตั้งแต่วันอังคาร-วันอาทิตย์และเวลาในการเปิดทำการจะต่างไปตามฤดูกาล คือ เดือนเมษายน-ตุลาคม เปิด 8.30-17.30 ค่าเข้าชม 60 หยวน เดือนพฤศจิกายน-มีนาคม เปิด 8.30-16.30 ค่าเข้าชม 40 หยวน และมีการจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวที่จะเข้าชมไม่เกินวันละ 80,000 คน เพื่อป้องกันไม่ให้มีนักท่องเที่ยวมากเกินไป เพื่อความปลอดภัย และเพื่อต้องการอนุรักษ์โบราณสถานแห่งนี้

โดยการเดินทางไปยังพระราชวังต้องห้ามก็มีให้เลือกหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นนั่งรถโดยสารสาธารณะเดินทางไปยังจัตุรัสเทียนอันเหมินโดนค่าโดยสารเริ่มที่ราคา 2 หยวน รถไฟฟ้าใต้ดิน นั่งสาย1ไปลงสถานีเทียนอันเหมินตะวันออก หรือตะวันตกก็ได้แล้วเดินต่อไปยังพระราชวังต้องห้าม แท็กซี่ เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่นิยมเป็นอย่างมากค่าโดยสารจะอยู่ประมาณ 13หยวน

และนี่คือสถานที่ที่อยากแนะนำให้ทุกคนได้รู้จักค่ะ หากมีโอกาสได้ไปประเทศจีนก็อยากให้ทุกคนไม่พลาดที่จะไปพระราชวังต้องห้ามกันดูสักครั้งนะคะ เพราะที่นี่นอกจากได้ขึ้นทะเบียนจาก UNESCO ให้เป็นมรดกโลกแล้วที่นี่ยังถูกยกให้เป็นสถานที่ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดของโลกอีกด้วย เพราะอย่างนี้แล้วไปประเทศจีนแล้วก็อย่าลืมไปพระราชวังต้องห้ามกันนะคะ


อ้างอิง 

พระราชวังต้องห้าม กู้กงสถานที่เที่ยวเมืองปักกิ่ง . สืบค้นเมื่อ 12 กันยายน 2561 , จาก ; http://www.oceansmile.com/China/Kukong.htm

พระราชวังต้องห้าม . สืบค้นเมื่อ 12 กันยายน 2561 , จาก : https://www.hilllily.com/th-th/explore-beijing1/forbidden-city

พระราชวังต้องห้ามแห่งกรุงปักกิ่ง . สืบค้นเมื่อ 12 กันยายน 2561 , จาก : http://palanla.com/index.php?op=abroadLocation-detail&id=158

 พระราชวังต้องห้าม ความเป็นมา ความหมาย . สืบค้นเมื่อ 11 ธันวาคม 2561 , จาก ; https://guru.sanook.com/7167/

พระราชวังต้องห้าม . สืบค้นเมื่อ 11 ธันวาคม 2561 , จาก : https://th.wikipedia.org/wiki/

อ่านเพิ่มเติม »

กองทัพมองโกลและกลศึกของเจงกีสข่าน

โดย พรพิตรา โสมี

ในบรรดายอดนักรบผู้เกรียงไกรในดินแดนเอเชีย เป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่นึกถึง "เจงกีสข่าน" จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักรมองโกล ผู้ที่รวบรวมและสถาปนาชนเผ่าเร่ร่อนในทะเลทรายโกบีให้กลายเป็นอาณาจักรที่โลกต้องจารึก กองทัพมองโกลภายใต้การนำของเจงกีสข่านสามารถพิชิตดินแดนเอเชียตะวันออกไปจนถึงยุโรปตะวันออกได้อย่างไร เจงกีสข่านผู้นี้ใช้กลการศึกใดจึงสามารถเข้ายึดดินแดนต่าง ๆ มาไว้ในปกครองได้ บทความนี้จะตอบคำถามเหล่านั้นได้อย่างชัดเจน


อนุสาวรีย์ เจงกิสข่าน

ในคริสต์ศตวรรษที่ 13 กองทัพที่เกรียงไกรและถูกกล่าวถึงมากที่สุดก็คือกองทัพของอาณาจักรมองโกล ภายใต้การปกครองของจักรพรรดิเจงกีสข่าน เดิมชาวมองโกลเป็นเพียงชนเผ่าเร่ร่อนที่อาศัยอยู่ในเขตทุ่งหญ้าและทะเลทรายโกบี จนถึงเขตตอนกลางของทวีปเอเชีย ซึ่งมีสภาพภูมิอากาศที่ร้อนอบอ้าวในฤดูร้อน และอากาศเย็นจัดจนกลายเป็นน้ำแข็งในฤดูหนาว ชาวมองโกลมีรูปร่างอ้วนเตี้ย แก้มตอบสูง และผิวสีเหลืองออกคล้ำเนื่องจากตากแดดและลมเป็นเวลานาน มีความชำนาญในการขี่ม้า เพราะใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่บนหลังอานม้า

หลังจากเจงกีสข่านได้ขึ้นมาเป็นผู้ปกครองชนเผ่ามองโกลต่อจากบิดาของเขา "เยซูไก" เขาก็ได้นำพากองทัพบุกเขายึดดินแดนต่าง ๆ นับจากเอเชียตะวันออก ถึงเอเชียตะวันตก และดินแดนยุโรปตะวันออกได้บางส่วน กองทัพของเจงกีสข่านเคลื่อนพลโดยใช้ม้าเป็นพาหนะ มีความชำนาญในการใช้อาวุธสู้รบบนหลังม้า สามารถบุกเข้าโจมตีศัตรูและถอยกลับได้อย่างคล่องแคล่วรวดเร็วทั้งในเวลากลางวันและกลางคืน จนได้รับการยกย่องว่าเป็นกองทหารม้าที่เก่งกาจที่สุดในโลกในยุคสมัยนั้น


กองทัพมองโกล
ที่มา: http://topicstock.pantip.com/  

ม้ามองโกลเป็นม้าที่มีลักษณะตัวเล็ก เตี้ย ไม่สูงใหญ่ เมื่อม้าเดินหรือวิ่งจะไม่กระโดกกระเดก หลังม้าจะราบเรียบไปกับพื้น ทำให้สามารถทรงตัวได้ดี อีกทั้งทหารทุกคนต้องมีเสบียงที่เป็นอาหารแห้งติดตัวไว้ เช่นเนื้อรมควัน นมข้นที่ใช้ละลายในน้ำดื่ม ซึ่งเก็บรักษาได้ง่ายและสะดวกต่อการพกพา ไม่เป็นอุปสรรคต่อการเดินทาง ประกอบกับทหารมองโกลมีร่างกายที่แข็งแรงและอดทนต่อความเลวร้ายของสภาพอากาศได้เป็นอย่างดี พวกเขาถูกฝึกให้ขี่ม้า ล่าสัตว์ ตั้งแต่ครั้งยังเป็นเด็ก นอกจากนี้ทหารมองโกลยังมีระเบียบวินัยในตนเองสูง ทำให้ได้เปรียบศัตรูเป็นอย่างมาก

เมื่อกองทัพมองโกลเข้ายึดครองดินแดนใด ก็จะนำเอาความรู้วิทยาการในด้านต่าง ๆ ของดินแดนเหล่านั้นมาปรับและประยุกต์ใช้ให้เข้ากับอาณาจักรของตน โดยเฉพาะด้านอาวุธยุทโธปกรณ์ เช่นเมื่อครั้งที่เจงกีสข่านกรีฑาทัพเข้ายึดอาณาจักรคาเธย์ หรือจีน ก็ได้นำวิธีผลิตดินปืนมาใช้ทำระเบิดเพื่อใช้ในการรบด้วย ดังนั้นกองทัพมองโกลจึงมีอาวุธยุทโธปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพและทันสมัยอยู่ตลอดเวลา ปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้จึงส่งเสริมให้กองทัพมองโกลกลายเป็นกองทัพที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้กองทัพของชนชาติอื่น แต่ปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่งที่ทำให้กองทัพของมองโกลมีความแข็งแกร่ง จนสามารถบุกเข้ายึดดินแดนต่าง ๆ มาไว้ในปกครองได้ก็คือ มีผู้นำกองทัพที่เก่งกาจและมีความสามารถอย่างเจงกีสข่าน และมีกลการศึกที่ชาญฉลาดจนศัตรูไม่อาจต้านทานกองทัพของมองโกลได้


การโจมตีศัตรูของกองทัพมองโกล
ที่มา: http://www.komkid.com/

เจงกีสข่านได้วางแผนการรบอย่างรอบคอบและรัดกุม โดยไม่ได้อาศัยความชำนาญเพียงอย่างเดียว แต่เขายังใช้ปัญญาในการออกกลอุบายต่าง ๆ เพื่อให้ศัตรูพลาดท่าเสียที และทำให้เขาประสบชัยชนะในการออกรบมาโดยตลอด กลการศึกของเจงกีสข่านตามที่มีผู้รวบรวมไว้ดังนี้

1. จู่โจมแบบสายฟ้าแลบ เจงกีสข่านจะอาศัยช่วงที่ศัตรูไม่ทันระวังตัวส่งกองกำลังที่เรียกว่า "คิยัติ" เข้าจู่โจมอย่างรวดเร็ว เนื่องจากกองทัพมองโกลมีความชำนาญในการใช้อาวุธและรบบนหลังม้า จึงทำให้เคลื่อนที่ได้รวดเร็วและคล่องแคล่วกว่าศัตรูที่ใช้ทหารราบ นอกจากนี้ทหารมองโกลยังสามารถนอนหลับบนหลังม้าโดยไม่ต้องใช้เชือกหรือเข็มขัดรัดตัวกับม้า และอยู่บนหลังม้าเป็นเวลาหลายวันโดยไม่ต้องหยุดพัก

2. สร้างความสับสน หากเจงกีสข่านเห็นว่าศัตรูมีกำลังพลมากกว่า เขาจะใช้วิธีการสร้างความสับสนให้แก่ศัตรู โดยมอบหมายให้ทหารส่วนหนึ่งนำธงของมองโกลไปปักไว้ในชัยภูมิที่ศัตรูสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนเพื่อให้ทหารของศัตรูที่กำลังสู้กับทหารมองโกลเกิดความสับสนและคิดว่าตนกำลังจะแพ้ทหารมองโกล จึงยอมให้ทหารมองโกลปลดอาวุธแต่โดยดี และหากกองทัพมองโกลกำลังเพลี่ยงพล้ำให้แก่ศัตรูจะใช้วิธีการให้ทหารม้าฝ่าเข้าไปในกองทัพของศัตรูแล้วโยนระเบิดควันเข้าไป พร้อมทั้งตะโกนเป็นภาษาของฝั่งศัตรูว่าถอย ทำให้ทหารของศัตรูเกิดความสับสนและพยายามถอนทัพกลับจนเสียรูปขบวนการรบ หลังจากนั้นทหารมองโกลก็เข้าโจมตีศัตรูด้วยความรวดเร็วทันที

3. หลอกล่อให้โจมตี เจงกีสข่านจะใช้วิธีการหลอกล่อศัตรูโดยทำทีว่ากองทัพมองโกลไม่สามารถต้านทานศัตรูได้ แล้วล่าถอยออกจากสมรภูมิรบ เมื่อศัตรูตายใจและตามรุกเข้าโจมตี ก็จะรีบสั่งให้กำลังทหารอีกกลุ่มที่รออยู่เข้าโอบล้อมศัตรูและจู่โจมอย่างรวดเร็ว ซึ่งวิธีนี้เรียกว่า กลยุทธ์ตูลักกา

4. หลอกล่อให้ตายใจ วิธีการนี้จะใช้ในกรณีที่ศัตรูตั้งรับการโจมตีอยู่ภายในเมือง เมื่อศัตรูเริ่มทำการรบไปได้สักพัก กองทัพมองโกลจะแสร้งทำเป็นถอยหนีแล้วปล่อยควันดำกำบังจนศัตรูตายใจ และเชื่อว่าสามารถขับไล่ทหารมองโกลได้แล้ว เมื่อศัตรูไม่ทันระวังและเริ่มเฉลิมฉลองชัยชนะก็จะบุกเข้ายึดเมืองทันที

5. สร้างความหวาดกลัว ด้วยการแสดงให้เห็นว่ากองทัพมองโกลโหดร้ายและทารุณ วิธีนี้จะใช้เป็นบางครั้งเท่านั้น โดยเมื่อสามารถยึดครองเมืองได้แล้ว ก็เผาทำลายบ้านเรือนสิ่งก่อสร้างให้สิ้นซาก พร้อมทั้งสังหารชาวเมืองจนหมดสิ้น เพื่อสร้างความหวาดกลัวให้แก่ดินแดนอื่น ๆ ที่คิดจะเป็นปรปักษ์และแข็งข้อกับมองโกล กองทัพมองโกลเป็นหวาดหวั่นและน่าสะพรึ่งกลัวสำหรับดินแดนต่าง ๆ จนถูกเรียกว่า "กองทัพม้าปีศาจ"

จากดินแดนชนเผ่าเร่ร่อนกลายมาเป็นกองทัพม้าที่ยิ่งใหญ่ได้นั้น ต้องใช้เวลายาวนานกว่า 20 ปี กองทัพมองโกลมีทั้งผู้นำที่เชี่ยวชาญการรบอย่างเจงกีสข่าน บรรดาแม่ทัพนายกองก็ล้วนแล้วแต่เป็นบุคคลที่มีความสามารถ และเหล่าทหารมองโกลเองก็ได้รับการฝึกฝนจนเชี่ยวชาญทั้งในด้านการรบและความมีระเบียบวินัย ด้วยปัจจัยหลายประการที่ได้กล่าวมาในข้างต้น จึงทำให้กองทัพมองโกลภายใต้การปกครองของจักรพรรดิเจงกีสข่านมีความเข้มแข็งและเก่งกาจจนสามารถพิชิตดินแดนต่าง ๆ ทั้งในเอเชียและยุโรปมาครอบครองไว้ได้เป็นจำนวนมาก

สำหรับชาวมองโกล เจงกีสข่านไม่ได้เป็นเพียงจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ที่เชี่ยวชาญในการทำศึกสงคราม แต่เป็นบิดาผู้ที่วางรากฐานทางการปกครองไว้ให้อาณาจักรมองโกล คำสั่ง กฎและข้อบังคับ รวมไปถึงกลการศึกของเขาได้กลายเป็นแม่แบบให้กับคนในยุคต่อ ๆ มา ได้นำมาพัฒนาอาณาจักรจนเจริญรุ่งเรืองต่อเนื่องจนกลายเป็นยุคทองภายใต้การปกครองของ "กุบไลข่าน" หลายชายคนโปรดของจักรพรรดิเจงกีสข่านในที่สุด


อ้างอิง

บรรยง บุญฤทธิ์. (2547). เจงกีสข่าน ทหารม้าปีศาจแห่งมองโกล. กรุงเทพฯ: สร้างสรรค์บุ๊คส์.

มณฑิรา. (2558). เจงกีสข่าน Genghis Khan. กรุงเทพฯ: แสงดาว.

ปิยะโชค ถาวรมาศ. (2556). เจงกีสข่าน จักรพรรดิผู้พิชิตโลก. กรุงเทพฯ: ก้าวแรก

อ่านเพิ่มเติม »