ตำนานชายรักชายในประวัติศาสตร์จีนยุคโบราณ

โดย จารุวรรณ  สังฆะจารย์

เมื่อพูดถึงประเทศจีน เป็นหนึ่งในไม่กี่ชาติที่มีประวัติความเป็นมาที่เก่าแก่และยาวนานนับเป็น “อู่อารยธรรม” แห่งหนึ่งของโลกที่เผยแพร่ความเจริญมายังดินเเดนต่างๆ นอกจากนี้จีนยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ถูกพบอยู่ในประวัติศาสตร์จีนเป็นที่แรกๆ ซึ่งถูกปกปิดไว้ในฐานที่เป็นเรื่อง "ต้องห้าม" แต่รู้กันทั่วไปในจีนเเละมีการใช้ถ้อยคำมากมายที่สื่อถึงความรักในเพศเดียวกัน ตามตำนานที่จะกล่าวดังต่อไปนี้



มีตำนานเล่าว่า เมื่อ 500 ปีก่อนคริสตกาลในช่วงราชวงศ์โจวที่พระราชอำนาจของเทียนจื่อหรือพระเจ้าแผ่นดินโอรสแห่งสวรรค์ตกต่ำลงมาก บรรดานครรัฐทั้งหลายต่างพยายามตั้งตัวเป็นรัฐมหาอำนาจเพื่อบังคับบัญชานครรัฐอื่นๆ แทนพระเจ้าแผ่นดิน ขงจื๊อเรียกยุคนี้ว่ายุคชุนชิว ที่นครรัฐเหว่ยอันเป็นรัฐชั้นสาม กษัตริย์หรือเจ้านครรัฐมีพระนามว่า เหว่ยหลิงกง พระองค์ทรงโปรดขันทีคนหนึ่ง มีชื่อว่า จื่อเสีย ทรงคลอเคลียกับคนผู้นี้ไม่ได้ห่าง นอนด้วยกัน กินด้วยกัน

และในการเสด็จประพาสคราวหนึ่งจื่อเสียได้กินลูกท้อแล้วรู้สึกมีรสชาติอร่อยดีก็ส่งลูกท้อที่กินเหลือนั้นให้เหว่ยหลิงกงรับไปเสวยต่อการกระทำเช่นนี้นับว่าเป็นเรื่องเสียมารยาทมาก โดยเฉพาะเมื่ออยู่ต่อหน้าคนจำนวนมาก แต่แทนที่เหว่ยหลิงกงจะทรงพิโรธ พระองค์กลับรับลูกท้อนั้นมาเสวยต่อหน้าต่อตา พร้อมกับตรัสว่าจื่อเสียช่างมีน้ำใจดีต่อพระองค์เหลือเกินที่กินของดีๆ แล้วก็ยังมีแก่ใจเหลือไว้ให้พระองค์กินด้วย ตั้งแต่นั้นมาคำว่า แบ่งลูกท้อ จึงกลายเป็นสำนวนอย่างหนึ่งที่หมายความถึงเรื่องความรักของผู้ชายที่ผิดปกติ

และอีกตำนานหนึ่งได้เล่าเรื่องราวที่เกิดในสมัยกว๋อ คือ สมัยรัฐสงครามที่ต่อจากยุคชุนชิว วุ่ยอ๋องหรือวุ่นหวางเจ้านครรัฐวุ่ยทรงโปรดปรานขันทีชื่อ หลงหยางจวุน ในการเสด็จประพาสทางชลมารคคราวหนึ่งวุ่ยอ๋องทรงเพลินกับการตกปลามาก เมื่อตกปลาตัวใหม่ขึ้นมาได้อีกพระองค์ก็โยนปลาตัวเก่าที่ตกมาได้ก่อนนั้นทิ้งไป ทำอย่างนี้อยู่นาน ครั้นเเล้วก็ได้ยินเสียงร้องไห้ตีอกชกหัวจากหลงหยางจวุนขันทีคนโปรด  วุ่นอ๋องตกพระทัยว่าเกิดอะไรขึ้น ทันทีผู้นั้นจึงจึงกล่าวอ้อนว่า ตัวเขาคงมีสภาพเหมือนปลาในไม่ช้าที่วุ่ยอ๋องตกตัวใหม่ได้เเล้วก็โยนเขาทิ้งไปเหมือนกัน วุ่ยอ๋องจึงรีบตรัสปลอบประโลมว่าไม่มีทางที่พระองค์จะทำอย่างนั้นเเน่นอน พร้อมกับรับสั่งเป็นประกาศิตว่าห้ามผู้หญิงหรือขันทีมาถวายอีก ผู้ฝ่าฝืนมีโทษประหารสถานเดียว

ช่วงก่อนราชวงศ์ฮั่นพฤติกรรมรักร่วมเพศในชายมีให้เห็นไม่มากนักผิดกับผู้หญิงที่มีพฤติกรรมนี้ค่อนข้างแพร่หลาย จนมาถึงราชวงศ์ฮั่นพฤติกรรมรักร่วมเพศจึงได้ระบาดอย่างกว้างขวาง ดังตำนาน ต้วนโจ้ว ที่เล่าถึงในสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันตก อายตี้ (漢哀帝) หรือพระนามเดิมว่าหลิวซิน (劉欣) เป็นจักรพรรดิยุคปลายราชวงศ์ฮั่นตะวันตก ทรงโปรดขันทีชื่อ ต่งเสียน วันหนึ่งเมื่อเสพเมถุนด้วยกันจนเหน็ดเหนื่อยแล้วก็หลับไปด้วยกันทั้งคู่ อายตี้ทรงตื่นบรรทมขึ้นก่อน เมื่อลืมพระเนตรขึ้นเห็นว่าต่งเสียนยังหลับสนิทอยู่แต่นอนทับแขนเสื้อฉลองพระองค์อยู่ ด้วยความเสน่ห์หาที่พระองค์มีต่อต่งเสียนล้นเหลือนักจึงไม่รบกวนคนรักในยามนิทราค่อยๆ ขยับพระวรกาย โดยใช้พระแสงดาบตัดแขนเสื้อฉลองพระองค์นั้นทิ้งเสียปล่อยให้ต่งเสียนหลับอย่างมีความสุขต่อไป คำว่า ตัดแขนเสื้อ จึงเป็นอีกคำที่หมายถึงความรักในผู้ชายด้วยกัน
 

ที่มา: https://hornet.com/stories/

ในช่วงแรกของหกราชวงศ์ เรียกได้ว่าเป็นยุคที่เฟื่องฟูอย่างมาก แต่ในเวลาต่อมาเมื่อสังคมจีนได้ผูกยึดอยู่กับความเชื่อเกี่ยวกับมูลธาตุดั้งเดิมของจักรวาลที่ไม่เกี่ยวกับพระเจ้า โดยเชื่อว่าสิ่งต่างๆ ในสากลจักรวาลเกิดมาจากธาตุคู่ คือ ธาตุอ่อนกับธาตุแข็ง และบัญญัติเรียกการรวมตัวของธาตุคู่นี้ว่า หยิน-หยาง หยิน หมายถึง ธาตุอ่อนซึ่งก็คือธาตุดินหรือ ธาตุแม่ ส่วนหยาง หมายถึง ธาตุแข็ง ซึ่งก็คือ ธาตุฟ้าหรือธาตุพ่อ เมื่อธาตุทั้งสองนี้ผสมผสานกันจึงก่อให้เกิดธาตุต่างๆในจักรวาลขึ้น เนื่องจากเกิดมาจากธาตุคู่ สิ่งต่างๆในโลกจึงมีลักษณะเป็นคู่ เช่น หญิงกับชาย เป็นต้น ในความคิดของชาวจีนสรรพสิ่งบนโลกดำรงอยู่ได้จะต้องหยินและหยางในสภาพที่สมดุลกัน ดังนั้นการอุบัติและคงอยู่ของสรรพสิ่งที่ผิดไปจากคู่ทั้งสองจึงถูกมองว่าเป็นสิ่งผิดปกติ



ในยุคของปรัชญา นักปรัชญานามว่า “ขงจื๊อ” ได้วางกฎเกณฑ์ความสัมพันธ์ของมนุษย์ขึ้น 5 กลุ่ม เรียกว่าอู่หลุน 1 ใน 5 นั่นคือ ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยา ลัทธิขงจื๊อมีบทบาทอย่างมากในการเน้นฐานะคนในสังคม ผู้หญิงในฐานะขงจื๊อมีบทบาทอย่างมากในการเน้นฐานะคนในสังคม ผู้หญิงในทัศนะคติของขงจื๊อจะได้รับการยกย่องต่อเมื่อได้ทำหน้าที่เป็นมารดาอย่างสมบูรณ์ หญิงต้องเชื่อฟังบุรุษ เมื่อยังไม่แต่งงานต้องเชื่อฟังบิดา เมื่อแต่งงานแล้วต้องเชื่อฟังสามี ถ้าปราศจากสามีต้องเชื่อฟังบุตรชาย แสดงให้เห็นถึงสถานภาพอันต่ำต้อยของผู้หญิงจีนตามความเชื่อที่ว่าเพศหญิงนอกจากจะต้องคู่กับเพศชายแล้วยังต้องเป็นผู้นอบน้อมต่อผู้ชายเสมอ ไม่ว่าผู้ชายนั้นจะเป็นบิดา สามี หรือบุตร นอกจากนั้นคำสั่งสอนของลัทธิขงจื๊อยังระบุว่าความอกตัญญูนั้นมีอยู่สามประการ ที่สุดของความอกตัญญูนั้นคือ การไร้ทายาทสืบตระกูล ก็เป็นสิ่งที่ชวนให้ตระหนักได้ว่าผู้หญิงชอบพอกับผู้หญิงด้วยกันเองแล้ว นอกจากจะถูกตราหน้าว่าเป็นสิ่งผิดปกติแล้วยังเป็นผู้ที่มีความอกตัญญูในสังคมจีนด้วย

หลังจากที่รับเอาความเชื่อทั้งสองลัทธิเข้ามารักร่วมเพศในช่วงนี้ก็ค่อยๆ หายไป ต่อมาสมัยราชวงศ์ซ่งเหนือ (พ.ศ.1503-1670) จึงได้กลับมาเฟื่องฟูอีกครั้งจนถึงช่วงปลายราชวงศ์หมิง (พ.ศ.2187)  แต่เมื่อเข้าสู่ยุคราชวงศ์ชิงในช่วงปี 1600 จนถึง 1900 ได้มีกฏหมายที่ต่อต้านเพศทางเลือกนั้นเกิดขึ้นซึ่งเป็นเรื่องที่ทางราชการทำการสอดส่องดูแลความสัมพันธ์ต่างๆ เมื่อถึงช่วงสงครามโลกครั้งที่สองที่ความกลัวเพศทางเลือกจากทางตะวันตกได้ถาโถมเข้ามา LGBT ในประเทศจีนก็ได้กลายเป็นเรื่องผิดกฏหมายที่ต้องพบกับการล่วงละเมิดและการถูกตัดสิน

อย่างไรก็ตามพฤติกรรมรักร่วมเพศทั้งในเพศชายและเพศหญิงไม่ได้เป็นที่รังเกียจของคนในสมัยนั้น เนื่องจากคนจีนใช้ท่าที "เอาหูไปนาเอาตาไปไร่" มากกว่าการที่จะมาทุกข์ร้อนกับเรื่องแบบนี้ เพราะสิ่งที่คนจีนให้ความสำคัญจริงๆคือความสัมพันธ์ทางเพศระหว่างเพศชายกับหญิงมากกว่า ซึ่งถือว่าเป็นการสืบทอดเผ่าพันธุ์


อ้างอิง

อดุลย์  รัตนมั่นเกษม. (2548). เรื่องเพศในวัฒนธรรมจีน 400 ปี. กรุงเทพ:สุขภาพใจ.

อดิเทพ พันธ์ทอง. (2561).เว็บเกย์อ้าง “ฮ่องเต้ฮั่น” ส่วนใหญ่เคยผ่านประสบการณ์ทางเพศกับผู้ชายด้วยกัน.

สืบค้น 23 กันยายน พ.ศ. 2561, จาก : https://www.silpa-mag.com/club/art-and-culture/article_1442

เปิดหน้าประวัติศาสตร์จีน "ชายรักชาย" ฉบับวังต้องห้าม. (ม.ป.ป.). สืบค้น 27 กันยายน พ.ศ. 2561, จาก: https://board.postjung.com/743058.html 

1 ความคิดเห็น:

  1. เฮง 666 อาจเป็นคำว่า เฮง ที่มีความหมายตามคำนิยามทั่วไปของภาษาไทย ซึ่งหมายถึงสิ่งที่โชคดีหรือมีโชคร้ายตามบางกรณี และตัวเลข "666" เกม สล็อต อาจมีความหมายเชื่อมโยงกับศาสนา

    ตอบลบ