โดย สุภารัตน์ ราชวัง
ในส่วนของประวัติศาสตร์สมัยกลางนั้น ได้มีเหตุการณ์ต่าง ๆ หรืออารยธรรมต่างๆ เกิดขึ้นและเสื่อมสูญไปมากมาย และเรื่องราวหนึ่งที่สำคัญในสมัยดังกล่วนี้คือ “ยุดมืด”
ยุคมืด (Dark Age) หมายถึง ช่วงเวลาของความเสื่อมโทรมทั้งทางวัฒนธรรมและทางสังคมในยุโรปหลังจากการล่มสลายของจักรวรรดิโรมัน (Decline of the Roman Empire) มาจนถึงในสมัยที่มีการฟื้นฟูการศึกษากันขึ้นอีกครั้ง แต่ความเข้าใจที่เพิ่มขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ของความสำเร็จต่างๆที่เกิดขึ้นในยุคนี้ทำให้ภาพพจน์ของลักษณะความเป็นยุคมืดเปลี่ยนไป ฉะนั้นคำว่ายุคมืดจึงจำกัดเฉพาะช่วงเวลาหนึ่งภายในยุคกลางที่สำคัญคือยุคกลางตอนต้น (Early Middle Ages) แต่การจำกัดนี้ก็ยังไม่เป็นที่ตกลงกันในหมู่นักวิชาการสมัยใหม่ผู้มักจะเลี่ยงการใช้คำนี้
“ยุคมืด” เป็นความคิดที่เริ่มโดยนักปรัชญาชาวอิตาลีเพทราค ในคริสต์ทศวรรษ 1330 โดยมีความตั้งใจที่จะเป็นการวิจารณ์ลักษณะของวรรณกรรมภาษาละตินโดยทั่วไป นักประวัติศาสตร์รุ่นต่อมาขยายความจนรวมไปถึงช่วงเวลาที่คาบเกี่ยวระหว่างสมัยโรมันโบราณไปจนถึงยุคกลางตอนกลาง (High Middle Ages) ที่รวมทั้งการขาดแคลนวรรณกรรมภาษาละติน ขาดแคลนหลักฐานทางเอกสารทางประวัติศาสตร์ การลดจำนวนของประชากร การลดจำนวนการก่อสร้างทางสถาปัตยกรรม และการหยุดยั้งความเจริญทางวัตถุและทางวัฒนธรรมโดยทั่วไป นอกจากนั้นก็ยังเป็นคำที่ใช้บรรยายถึงความล้าหลังด้วย
ดังนั้นจากข้างต้นจึงอนุมานได้ว่า ยุดมืดเป็นยุคที่เสื่อมโทรมในแทบจะทุกด้านจนทำให้จักรวรรดิมันเสื่อมสูญในยุดดังกล่าวด้วย
อ้างอิง:
ยุคมืด. สืบค้นเมื่อ 7 มกราคม 2557, จาก http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B8%84%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%94
เว็บบล็อกนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา 418110 World Civilization (อารยธรรมโลก) สาขาวิชามนุษยศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ข้อมูลในที่นี้มุ่งเน้นเพื่อให้สาระความรู้และความบันเทิง ไม่ใช่งานเขียนเชิงวิชาการและไม่เหมาะสำหรับการนำไปอ้างอิงต่อ
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น