แจ๊คกี้ โรบินสัน (Jackie Robinson) #42 นักเบสบอลผู้ยิ่งใหญ่

โดย สไมพร อุทัยเรือง

ก่อนอื่นต้องบอกก่อนเลยนะคะว่า ตัวผู้เขียนนั้นได้แรงบันดาลใจมาจากการดูภาพยนตร์เรื่อง 42 American Legend หรือชื่อไทย 42  ตำนานนักหวดสะท้านโลก ใช่แล้วล่ะค่ะ เพราะชื่อภาษาไทยนี่แหละ ที่ทำให้เราสนใจและเลือกที่จะดูภาพยนตร์เรื่องนี้และนำมาเขียนให้ทุกๆคนได้อ่านกัน โดยในวันนี้เราจะมาเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องราวที่หลายคนปฏิเสธไม่ได้เลยว่านี่ก็เป็นหนึ่งในเรื่องราวของประวัติศาสตร์ที่น่าจดจำ เราจะยกเรื่องราวของ “บุคคล” ท่านหนึ่งที่ให้แรงบันดาลใจเป็นอย่างมากมาให้ทุกคนได้อ่านกัน บุคคลผู้นั้นก็คือ แจ๊คกี้ โรบินสัน นักเบสบอลผิวสีคนแรกที่เริ่มการก้าวเท้าเดินจากจุดเล็กๆ ไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ของวงการกีฬาเบสบอล


ที่มา: https://www.pinterest.com/

แจ๊คกี้ โรบินสัน (Jackie Robinson) ชื่อเต็มคือ Jackie Roosevelt Robinson เกิดเมื่อวันที่ 31 มกราคม 1919 เป็นคนเชื้อสายแอฟริกันอเมริกัน  อาศัยอยู่ในครอบครัวของคนงานในไคโรจอร์เจีย เขาเป็นน้องคนสุดท้องของเด็กทั้งห้าคนที่คลอดมาจาก Mallie (McGriff) และ Jerry Robinson ชื่อกลางของเขาถูกตั้งขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่อดีตประธานาธิบดีทีโอดอร์รูสเวลต์ผู้เสียชีวิต 25 วันก่อนเกิดโรบินสัน หลังจากที่พ่อของโรบินสันทิ้งครอบครัวในปี 1920 พวกเขาย้ายไปพาซาดีนาแคลิฟอร์เนีย ครอบครัวเขาขยายตัวเป็นที่อยู่อาศัยที่มีบ้านหลังเล็ก ๆ อยู่ที่ 121 Pepper Street ใน Pasadena แม่ของเขาทำงานต่าง ๆ เพื่อเลี้ยงดูครอบครัว เขาเติบโตขึ้นมาในความยากจนในชุมชนร่ำรวย ทำให้เขาและเพื่อน ๆ ของชนกลุ่มน้อยของเขาได้รับการยกเว้นจากหลายโอกาสดำรงชีวิตเป็นผลให้เข้าร่วมแก๊งย่าน แต่เพื่อนของเขาคาร์ลแอนเดอเกลี้ยกล่อมให้เขาละทิ้งมัน

ในปีพ. ศ. 2478 โรบินสันจบการศึกษาจากโรงเรียนมัธยมในวอชิงตันและลงทะเบียนเรียนที่โรงเรียนจอห์นมูเยอร์ (Muir Tech) เขาตระหนักถึงความสามารถของเขาแข็งแรงโรบินสันพี่ชายของแม็ค และแฟรงก์แรงบันดาลใจแจ๊คกี้ที่จะไล่ตามความสนใจของเขาในการเล่นกีฬา

เส้นทางสู่การได้รับการยอมรับจากผู้คนที่เคยถูกเหยียดหยาม

ด้วยความที่โรบินสันนั้นให้ความสนใจในด้านการกีฬาอย่ามาก โดยเฉพาะไม้ว่าจะเป็นฟุตบอล บาสเกตบอล และกีฬาเบสบอล ทำให้เขานั้นได้เริ่มต้นการเดินทางของเขาจากการเล่นกีฬาเบสบอลในช่วงต้นปี 1945 ขณะที่โรบินสันอยู่ที่ Sam Huston College แคนซัสซิตีพระมหากษัตริย์ส่งข้อเสนอให้เขาเล่นเบสบอลมืออาชีพในลีกนิโกรโดยนั่นเป็นจุดเริ่มต้นเล็กๆของเขาในการก้าวเข้ามาในวงการกีฬาเบสบอลที่เขาให้ความสนใจ โดยโรบินสันยอมรับสัญญา 400 ดอลลาร์ต่อเดือน ในช่วงกลางทศวรรษ 1940

ริกกี้ประธานสโมสรและผู้จัดการทั่วไปของ Brooklyn Dodgers ได้เริ่มเสาะหาลีกนิโกรสำหรับการเพิ่มบัญชีรายชื่อของ Dodgers Rickey เนื่องจากผู้เล่นชาวผิวขาวในสังกัดของเขานั้นลาออกจากการเป็นนักกีฬา ริกกี้เล็งไปถึงโรบินสันที่เป็นดาวรุ่งที่มีความสามารถในด้านกีฬาเบสบอลจากรายชื่อผู้เล่นที่มีแนวโน้มสีดำและคำที่เขาให้สัมภาษณ์  ริกกี้ถามโรบินสันว่าเขาจะต้องเผชิญกับความเกลียดชังทางเชื้อชาติโดยต้องไม่ตอบโต้ เขาตกใจและตั้งคำถามว่า "คุณกำลังมองหานิโกรที่กลัวที่จะต่อสู้กลับ?" ริกกี้ตอบว่าเขาต้องการผู้เล่นนิโกร "กับความกล้าพอที่จะไม่สู้กลับ" เพื่อต่อต้านอคติทางเชื้อชาติ ริกกี้ตกลงที่จะเซ็นสัญญากับเขาในราคา 600 ดอลลาร์ต่อเดือน 8,156 ดอลลาร์ และลงเล่นด้วยการสวมเสื้อหมายเลข 42

แม้ว่าริกกี้จะต้องการให้โรบินสันจัดให้เป็นความลับในเวลานั้นก็ตามริกกี้ได้เซ็นสัญญาอย่างเป็นทางการกับโรบินสันก่อนวันที่ 1 พฤศจิกายน ค.ศ. 1945 วันที่ 23 ตุลาคมประกาศต่อสาธารณชนว่าโรบินสันจะได้รับมอบหมายให้เป็นผู้เล่นในทีมดอด โรบินสันเป็นผู้เล่นเบสบอลผิวดำคนแรกในลีกระหว่างประเทศตั้งแต่ยุค 1880 โดยที่เขาไม่จำเป็นต้องเป็นผู้เล่นที่ดีที่สุดในลีก


ที่มา: https://myhero.com/

ผลงานที่โดดเด่นของเขา

โรบินสันนั้นถือว่าเป็นบุคคลอีกบุคคลหนึ่งที่เขาประสบความสำเร็จวงการกีฬาเป็นอย่างมาก เขาได้รางวัลมากมายตั้งแต่เขาเป็นเด็กผิวสีธรรมดาๆคนหนึ่งที่ถูกกีดกันในเรื่องการใช้ชีวิตต่างๆ แต่ด้วยความพยายาม ความสามารถทและพรสวรรค์ของเขาก็ทำให้เขาทำลายกำแพงเหล่านั้นลงได้

ซึ่งเขาเป็นผู้รับรางวัลเอ็มกรุ๊ปแห่งปีในการเปิดสาขาในปีพ. ศ. 2490 เป็นดาวรุ่งทั้งหมดเป็นเวลาหกฤดูกาลติดต่อกันตั้งแต่ปีพ. ศ. 2492 ถึงปีพ. ศ. 2497   

ได้รับรางวัลNational Player Awardในปีพ. ศ. 2492 - ผู้เล่นสีดำคนแรกที่ได้รับเกียรติ

โรบินสันได้ร่วมเล่นในเวิลด์ซีรีส์หกและมีส่วนในการแข่งขันชิงแชมป์ เวิลด์ซีรีส์ 1955ของ Doders '

ในปีพ. ศ. 2540เขาเป็นนักกีฬาอาชีพคนแรกในกีฬาที่ได้รับเกียรติ "Jackie Robinson ‘s day" เป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 15 เมษายน 2547 ซึ่งผู้เล่นในทุกทีมและทุกคนจะร่วมกันสวมเสื้อหมายเลข 42

หลังจากการตายของเขาในปี 1972 มีการจัดให้รางวัลให้แก่ความสำเร็จของเขาทั้งในและนอกสนามโรบินสันเป็นรางวัลรัฐสภาเหรียญทองและเหรียญประธานาธิบดีแห่งอิสรภาพอีกด้วย
           
การทำลายกำแพงสีผิว

โรบินสันได้พยายามใช้ความสามารถของเขาในการเล่นกีฬาเบสบอลในการพิสูจน์ความสามารถของคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นผิวสี ที่ถูกคนอเมริกันผิวขาวมองว่าเป็นชนชั้นทาสในขณะนั้น ว่าถึงแม้ว่าผิวสีดำแต่ก็ไม่ได้ใจดำ และยังมีความสามารถที่เปี่ยมล้น ไม่แพ้คนผิวขาวที่มองว่าตัวเองนั้นเป็นคนชั้นสูง และเขายังทำให้เราเห็นอีกว่าคนผิวขาวที่มองว่าตัวเองสูงส่งกว่าพวกเขาบางคนยังมีจิตใจที่เป็นสีดำยิ่งกว่าสีผิวบนตัวของเขาซะอีก นอกจากเขาจะต้องต่อสู้กับคนที่คอยเหยียบย่ำเขาแล้ว เขายังต้องต่อสู้กับตัวของเขาเอง เพื่อพิสูจน์ว่า เขาและคนผิวสีทั้งหลายเองก็ไม่ได้เป็นคนที่มีจิตใจที่โหดเหี้ยม ใช้แต่กำลัง ไม่มีความสามารถพอที่จะเทียบเท่าคนผิวขาวได้เลย นอกจากนี้เองเขาเป็นนักกีฬาอาชีพคนแรกในวงการกีฬาที่ได้รับเกียรติให้มี  "Jackie Robinson Day " เป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 15 เมษายน 2547 โดยผู้เล่นทุกทีมทุกคนจะร่วมใจกันสวมเสื้อหมายเลข “42”

โรบินสันนั้นป่วยด้วยภาวะแทรกซ้อนจากโรคหัวใจและโรคเบาหวานทำให้โรบินสันและทำให้เขาเกือบตาบอดในวัยกลางคน ที่ 24 ตุลาคม 2515 และ 9 วันหลังจากนั้นเขาเสียชีวิตจากอาการหัวใจวายที่บ้านของเขาบนถนน Cascade 95 ใน North Stamford , Connecticut; เขาในวัน 53 ปี พิธีศพของโรบินสันที่ 27 ตุลาคม 1972 ที่อัปเปอร์แมนฮัตตัน ริเวอร์ไซด์คริสตจักรที่อยู่ติดกับแกรนท์สุสานในมอร์นิงมีคนมาร่วมไว้อาลัยถึง 2,500 คน โดยอดีตเพื่อนร่วมทีมหลายคนและนักเบสบอลที่มีชื่อเสียงอื่น ๆ  25 ปีหลังจากการเสียชีวิตของโรบินสัน Interboro Parkway ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น Jackie Robinson Parkway ซึ่งเป็นสถานที่ในความทรงจำของเขา

หลังจากการเสียชีวิตของโรบินสันภรรยาของเขาได้ก่อตั้งมูลนิธิแจ็กกี้โรบินสันและเธอยังคงเป็นเจ้าหน้าที่ของที่นั่น ในวันที่ 15 เมษายน 2551 เธอประกาศว่าในปี 2553 มูลนิธิจะเปิดพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับแจ็กกี้ในแมนฮัตตันตอนล่าง

เป็นอย่างไรกันบ้างคะ กับเรื่องที่เราได้ยกมาเขียนให้ทุกคนได้อ่านวันนี้  ชีวิตการเดินทางของโรบินสัน นอกจากจะเริ่มต้นการเดินทางจุดเล็กๆและต้องใช้ความสามารถของเขาเองแล้ว ยังต้องมีการใช้ความอดทน ต่อสู้กับเรื่องราวต่างๆ ทั้งการไม่ได้รับกำลังใจ คำชมเชย ซ้ำยังโดนดูถูกเหยียดหยามโดยที่เขาเองนั้นก็ต้องใช้ความข่มใจของตัวเองในการไม่โต้ตอบกลับด้วยความรุนแรงจนในที่สุดเขาก็สามารทำให้กำแพงที่ทั้งใหญ่และเต็มไปด้วยอคตินั้นพังทลายลงเองด้วยความมุมานะของเขา


อ้างอิง

ไพโรจน์ พลเพชร.(2547).รายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์เรื่องสิทธิเสรีภาพและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์. กรุงเทพฯสำนักงานกองทุนงานวิจัยสถาบันพระปกเกล้า.

นพนิธิ สุริยะ.(2537). สิทธิมนุษยชน. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์วิญญูชน

ศิริชนา สว่างเนตร.(2557).ภาพเชิงลบของคนผิวดำและการวิพากษ์สังคมผ่านภาพเงาดำของคาร่า วอร์คเกอร์.วารสารวิชาการ Veridian E-Journal,7(3). University, 2000. Accessed October 20, 2012.

42 ตำนานนักหวดสะท้านโลก. สืบค้นเมื่อวันที่21 ธันวาคม 2561.จาก: https://mono29.com/program/174030.html

1 ความคิดเห็น:

  1. ขอบคุณสำหรับข้อมูลและขออนุญาติแชร์ เพื่อเป็นประโยชน์แก่บุคคลอื่นๆ ต่อไปนะครับ

    ตอบลบ