ฟลอเรนซ์ (Florence) : เรเนสซองส์ที่ไม่มีวันตาย

โดย อุไรวรรณ นุ่นนาแซง

ฟลอเรนซ์ที่เป็นต้นกำเนิดของยุคเรเนสซองซ์ที่ดำเนินมาจนถึงปัจจุบัน  จากเป็นศูนย์กลางของยุคเรเนสซองส์หรือยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาในอดีตกลายมาเป็นเมืองท่องเที่ยวอันดับต้นๆ ของโลก ที่ผู้คนใฝ่ฝันอยากมา โดยมีประวัติความเป็นมาของเมืองโดยสังเขปและสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ ดังนี้



ก่อนคริสตกาล อิตาลีตอนกลางในขณะนั้นอยู่ภายใต้การปกครองของพวกอีทรัสคาน ต่อมาจูเลียส ซีซ่าร์ แห่งจักรวรรดิโรมันได้บุกรุกเข้ามายึดครองอิตาลี ทำการขับไล่พวกอีทรัสคานออกไปจากดินแดนนี้ ซีซ่าร์ตั้งเมืองฟลอเรนซ์เป็นเมืองในอาณานิคมของโรมันขึ้นในบริเวณช่วงแคบที่สุดของแม่น้ำอาณ์โน (Arno River) จุดมุ่งหมายแรกสร้างขึ้นเพื่อเป็นเมืองพักผ่อนของคนชรา

ต่อมาศตวรรษที่ 3 ฟลอเรนซ์ได้กลายเป็นเมืองสำคัญในฐานะศูนย์กลางของการค้าของโรมัน เมื่อจักรวรรดิโรมันเสื่อมอำนาจลง ฟลอเรนซ์ถูกบุกรุกโดยพวกยุโรปเหนือ ทำให้ฟลอเรนซ์สูญเสียความเป็นอิตาลีไปนานกว่าพันปี ศตวรรษที่ 8 กองทัพแฟรงกิชเยอรมันยึดดินแดนยุโรปในแถบนี้ได้โดยกษัตริย์ชาร์ลมาญ และสถาปนาตนเป็นจักรพรรดิจากการแต่งตั้งของพระสันตะปาปา ความขัดแย้งระหว่างประมุขทั้ง 2 ฝ่ายก่อให้อิตาลีเกิดสงครามกลางเมือง

ฟลอเรนซ์จึงอยู่ภายใต้การปกครองของคน 2 กลุ่มข้างต้น และเป็นช่วงกลียุคของฟลอเรนซ์มีการสู้รบในสงครามกลางเมือง ขณะที่ตระกูลต่างๆ สนใจแต่การค้าขายไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง จนถึงปลายศตวรรษตระกูลเหล่านี้กลายเป็นพวกมีอิทธิพลทางเศรษฐกิจและการเมือง จนสามารถให้การสนับสนุนศิลปิน กวี และนักวิชาการทีมีความรู้ในศิลปะแขนงต่างๆ ส่งผลให้ฟลอเรนซ์กลายเป็นเมืองศูนย์กลางศิลปะและวัฒนธรรรมของอิตาลีนับตั้งแต่นั้น


คอสิโม เดอเมดิชี นายธนาคารผู้ริเริ่มนำศิลปะมาใช้กับศาสนา

ฟลอเรนซ์รุ่งเรืองมากที่สุดในระหว่างศตวรรษที่ 11-15 ในฐานะเมืองอิสระที่แบ่งแยกการปกครองระหว่างศาสนจักรกับอาณาจักร ในปลายศตวรรษที่ 15 ฟลอเรนซ์อยู่ใต้การปกครองของตระกูลเมดิชี (Medici) ซึ่งปกครองฟลอเรนซ์ถึง 300 ปี ตระกูลเมดิชีได้เป็นแกรนด์ดยุคของแคว้นทัสคานี (Tuscany) คอสิโม เดอเมดิชี เป็นนายธนาคารผู้ริเริ่มนำศิลปะมาปรับใช้กับศาสนา มีโครงการก่อสร้างโบสถ์วิหาร และศาสนสถานที่สำคัญหลายแห่งในฟลอเรนซ์

ลอเรนโซ่ อิลมัคนิฟีโค่ เป็นผู้ปกครองเมืองฟลอเรนซ์เป็นคนต่อมา เป็นผู้นำความเจริญมาให้ฟลอเรนซ์มากที่สุดทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง ศิลปะและวัฒนธรรม ซึ่งต่อมาทัสคานีรวมเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับอาณาจักรอิตาลี ฟลอเรนซ์จึงกลายเป็นเมืองหลวงของอิตาลี ในระหว่างปี ค.ศ. 1865-1871 และเมื่อโรมรวมเข้ากับอิตาลีในเวลาต่อมา โรมได้กลายเป็นเมืองหลวงแห่งใหม่ แม้ฟลอเรนซ์จะลดฐานะลงแต่ก็ยังชื่อเสียงในฐานะเมืองศูนย์กลางศิลปะและวัฒนธรรมของอิตาลีมาโดยตลอด

ใจกลางเมืองเก่าของเมืองฟลอเรนซ์ได้รับเลือกให้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดย องค์การยูเนสโก (Unesco) เมื่อ ค.ศ. 1982 (พ.ศ. 2525) เนื่องจากเป็นสัญลักษณ์ของยุคเรอเนสซองส์ ที่เติบโตทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมภายใต้การปกครองของตระ กูลเมดิชี ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 15 -16 รวมไปถึงมีกิจกรรมทางศิลปะที่พิเศษอันดำเนินไปในช่วง 600 ปี

สถานที่ท่องเที่ยว โบราณสถาน และอื่นๆ ในเขตเมืองเก่าฟลอเรนซ์ที่เป็นที่นิยมในหมู่นักท่องเที่ยวที่จะหยิบยกมากล่าวถึงในที่นี้มี 6 แห่ง ได้แก่

1. The Academia Gallery


ที่มา: https://www.expedia.com/

ประติมากรรมหินอ่อน เดวิด (David) ของ มิเกลันเจโล (Michelangelo Buonarroti) ศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ของโลกชาวอิตาลี เปิดแสดงเป็นครั้งแรกที่กรุงฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี ประติมากรรมเดวิดเป็นหินอ่อนแกะสลักรูป พระเจ้าเดวิด (King David) ตามตำนานในคำภีร์ไบเบิล ลักษณะเป็นชายหนุ่มยืนเปลือยกาย แสดงให้เห็นถึงความแข็งแรงและความงดงามของร่างกายมนุษย์ มีความสูง 5.17 เมตร หนักราว 6 ตัน มิเคลันเจโล แกะสลักขึ้นระหว่างปี 2044-2047 โดยนำหินอ่อนสีขาวมาจากเมืองคาร์รารา (Carrara) แคว้นทัสคานีของอิตาลี ในคราวที่นำออกแสดงครั้งแรกเป็นที่ฮือฮาของชาวเมืองอย่างมาก ส่งผลให้ชื่อเสียงของมิเคลันเจโนโด่งดังไปทั่วอิตาลี ประติมากรรมเดวิดเป็นรูปปั้นนับเป็นผลงานชิ้นเอกที่แสดงถึงความรุ่งเรืองทางศิลปะในยุค "ฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ” (Renaissance) เป็นหนึ่งในประติมากรรมชิ้นเอกสองชิ้นของมิเคลันเจโล อีกชิ้นหนึ่งคือประติมากรรม "ปิเอตา" (Pieta) ปัจจุบันประติมากรรมเดวิดตั้งแสดงอยู่ที่ The Accademia Gallery กรุงฟลอเรนซ์ นอกจากนี้ยังมีรูปจำลองประติมากรรมเดวิดตั้งแสดงอยู่หลายประเทศ

2. เปียซซาเดลซิญญอเรีย (Piazza Della Signoria)



จัตุรัสที่คึกคักแห่งนี้คือบ้านของเดวิดของมิเกลันเจโล รวมถึงคาเฟ่มากมาย อุฟฟิซีที่มีชื่อเสียงระดับโลก และแกลเลอรีรูปสลักกลางแจ้ง การก่อสร้างปาลาซโซเวคคิโอในปี 1302 ทำให้เปียซซาแห่งนี้กลายเป็นศูนย์กลางของชีวิตของชาวฟลอเรนซ์ เช่นเดียวกับในปัจจุบัน ปาลาซโซยังเป็นที่ว่าการเมืองหลักของฟลอเรนซ์ การเลือกตั้งสาธารณะ จลาจลและการประหารเกิดขึ้นที่นี่ ของรูปสลักเดวิดจำลองของมิเกลันเจโล ตั้งอยู่หน้าประตู รูปสลักดั้งเดิมถูกย้ายไปที่แกลเลอรีอัคคาเดเมีย (Galleria dell'Accademia) ในปี 1873 ที่นี่ยังเป็นแหล่งรวมประติมากรรมชื่อดังหลายรูป

3. หอศิลป์อุฟฟิซิ (Galleria Degli Uffizi)


ที่มา: https://sites.google.com/

หอศิลป์อุฟฟิซิ (ภาษาอิตาลี: Galleria degli Uffizi) เป็นพิพิธภัณฑ์ที่เก่าที่สุดและมีชื่อเสียงที่สุดในบรรดาพิพิธภัณฑ์ศิลปะในโลก ตัวพิพิธภัณฑ์เป็นส่วนหนึ่งของ “พาลัซโซ เดกลิ อุฟฟิซิ” ซึ่งเป็นพาลัซโซ (Palazzo) ในเมืองฟลอเรนซ์ ตัวสิ่งก่อสร้างของวังเริ่มโดยจอร์โจ วาซารีในปี ค.ศ. 1560 สำหรับโคสิโมที่ 1 เดอเมดิชิ (Cosimo I de' Medici) เพื่อเป็นสำนักงานของผู้พิพากษาฟลอเรนซ์ - จึงได้ชื่อว่า “uffizi” หรือ “ออฟฟิส” การก่อสร้างทำตามแบบที่วางโดยวาซารีโดย อัลฟองโซ ปาริจิ (Alfonso Parigi) และ เบอร์นาร์โด บวนตาเล็นติ (Bernardo Buontalenti) และเสร็จเมื่อปี ค.ศ. 1581 “cortile” ยาวและแคบและเปิดไปทางแม่น้ำอาร์โนทางด้านหนึ่งเป็นแบบดอริคที่แสดงช่องว่างโดยไม่บังทิวทัศน์ที่นักประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรมใช้เป็นตัวอย่างในการวางแบบถนนทัศน์ในยุโรป วาซารีผู้เป็นทั้งจิตรกรและสถาปนิกเน้นทัศนมิติของความยาวโดยการใช้บัวที่ต่อเนื่องตลอดแนวบนหลังคาของฟาซาด เช่นเดียวกับบัวต่อเนื่องที่ใช้ระหว่างชั้น และใช้บันไดสามชั้นที่ต่อเนื่องกันด้านหน้า

พาลัซโซ เดกลิ อุฟฟิซิใช้เป็นสำนักงานการบริหารทางการยุติธรรมและเป็นที่เก็บเอกสารสำคัญของรัฐ (Archivio di Stato) แผนที่โคสิโมที่ 1 เดอ เมดิชิวางไว้ในการจัดงานแสดงศิลปะที่เป็นของตระกูลเมดิชิมาถูกเปลี่ยนโดย ฟรานเชสโคที่ 1 เดอ เมดิชิ ที่รวมงานชิ้นเด่นๆ ในหอศิลป์ที่กลายมาเป็นจุดดึงดูดของ “Grand Tour” งานเขียนก็เพิ่มมากขึ้นตลอดมาจากการสะสมของตระกูลเมดิชิบ้าง หรืองานที่จ้างทำบ้าง หลังจากตระกูลเมดิชิสิ้นอำนาจ งานสะสมก็ยังเป็นของฟลอเรนซ์ภายใต้ข้อตกลง “Patto di famiglia” ที่ต่อรองกับแอนนา มาเรีย โลโดวิคาทายาทคนสุดท้ายของตระกูล ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของพิพิธภัณฑ์สมัยใหม่ หอศิลป์เปิดให้เข้าชมโดยการยื่นคำร้องตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 16 และในปี ค.ศ. 1765 ก็เริ่มเปิดให้สาธารณชนเข้าชม

4. สะพานเวคคิโอ (Ponte Vecchio)



ปอนเตเวคคิโอ (สะพานเก่า) คือสะพานที่เก่าแก่ที่สุดของฟลอเรนซ์ บันทึกของสะพานในสถานที่แห่งนี้ย้อนกลับไปในปี 1996 ถึงแม้ว่าสะพานที่คุณเห็นอยู่นี้จะถูกสร้างขึ้นในปี 1345 ก็ตาม สะพานนี้มีโค้งสามอันคร่อมแม่น้ำ ร้านรวงสีเหลืองสดใสและหน้าต่างสี่เหลี่ยมจัตุรัสเล็กๆ ที่สะท้อนบนผิวน้ำเป็นหนึ่งในภาพที่เป็นเอกลักษณ์ของฟลอเรนซ์ มีเพียงสะพานเท่านั้นที่ไม่ได้ถูกเยอรมันระเบิดไปในสงครามโลกครั้งที่สอง เนื่องจากถอยทัพออกไปเสียก่อน ตำนานกล่าวว่า นั่นเป็นคำสั่งโดยตรงจากฮิตเลอร์

5. มหาวิหารซานตามาเรีย เดลฟิโอเร (Cathedral Of Santa Maria Del Fiore)



บาซิลิกาดิซานตามาเรียเดลฟิโอเร หรือ มหาวิหารฟีเรนเซ (อิตาลี: Basilica di Santa Maria del Fiore หรือ Duomo di Firenze; อังกฤษ: Florence Cathedral) เป็นมหาวิหาร ในเมืองฟีเรนเซ จังหวัดฟีเรนเซ แคว้นตอสกานา ประเทศอิตาลี สร้างขึ้นในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 13 ออกแบบโดย ฟีลิปโป บรูเนลเลสกี ด้านหน้าโบสถ์ประดับตกแต่งด้วยหินอ่อนสีขาว เขียว และชมพู  มหาวิหารแห่งนี้ใหญ่เป็นลำดับที่ 4 ของทวีปยุโรป รองลงมาจาก มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ มหาวิหารเซนต์พอล และ มหาวิหารมิลาน มีความยาว 153 เมตร และฐานของโดมกว้างถึง 90 เมตร

6. โบสถ์ซานลอเรนโซ (Basilica di San Lorenzo)



ที่รูปลักษณ์ภายนอกที่เป็นหินตัดหยาบๆ แต่กลับซ่อนความงดงามแห่งศิลปะและการออกแบบไว้ภายใน  ซึ่งเป็นผลงานของ มิเกลันเจโล โดนาเตลโล และบรูเนลเลสชีได้ทุ่มเทกับการออกแบบและการตกแต่งโบสถ์แห่งนี้ ซึ่งกลายเป็นที่พำนักชั่วนิรันดร์ของสมาชิกในตระกูลเมดิชีที่ครองฟลอเรนซ์มาเป็นเวลานาน ตระกูลผู้ปกครองที่ร่ำรวยนี้เป็นแหล่งเงินทุนของอาคารยุคเรอเนสซองส์ของฟลอเรนซ์หลายแห่ง

โบสถ์ซานลอเรนโซเป็นหนึ่งในสถานที่ว่ากันว่าเก่าแก่ที่สุดของเมือง ได้รับการเจิมในปี 1393 และถูกก่อสร้างต่อมาอีกหลายปี ตั้งแต่ปี 1419 บรูเนลเลสชีผู้เป็นสถาปนิกรับผิดชอบการออกแบบดั้งเดิม และโค้งสูง เสาโครินเธียน และใส่ใจกับความสมมาตร และเป็นตัวอย่างช่วงต้นๆ ของสิ่งที่กลายเป็นสไตล์เรอเนสซองส์คลาสสิกรวมทั้งธรรมาสน์สำริดที่เป็นผลงานชิ้นสุดท้ายของโดนาเตลโล รูปนูนต่ำบนธรรมาสน์แสดงฉากจากการคืนชีพและชีวิตของพระเยซู

หากต้องการดูผลงานของช่างฝีมือชั้นครูคนอื่นๆ ของอิตาลี ให้ไปที่ห้องสมุดลอเรนเทียน (Biblioteca Medicea Laurenziana) ในส่วนระเบียงของโบสถ์ มิเกลันเจโลออกแบบพื้นที่นี้ และมักได้รับการชื่นชมว่าเป็นความสำเร็จด้านสถาปัตยกรรมที่ดีที่สุดของเขา นอกจากนั้นมิเกลันเจโลยังรับผิดชอบผนังฉาบปูนและเพดานโดมของ New Sacristy (Sagrestia Nuova) อีกด้วย เขาออกแบบหลุมศพของเมดิชีที่อยู่ภายใน หลุมศพประกอบด้วยรูปสลักที่แสดงสี่เวลาของวัน สมาชิกของตระกูลเมดิชีมากกว่า 50 คนได้ถูกฝังอยู่ในหอสวดมนต์เมดิชีที่กว้างขวาง (Cappelle Medicee)

จะเห็นได้ว่าฟลอเรนซ์ยังคงเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมยุคเรอเนสซองส์ที่งดงามล้ำค่าที่มีมาแต่ดั้งเดิมและภาพวาดที่สะสมมาตามกาลเวลา ที่นักท่องเที่ยวผู้รักงานศิลปะและรักการท่องเที่ยวจะต้องไปเยือน รวมทั้งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมติดอันดับหนึ่งในสิบของโลกที่ผู้คนจากทั่วทุกมุมโลกต่างหลั่งใหลไปท่องเที่ยวเพื่อชมความงดงามของสถาปัตยกรรมเรเนสซองส์อันลือชื่อ อีกทั้งยังเป็นเมืองในฝันที่ต้องไปท่องเที่ยวสักครั้งในชีวิต อันเป็นการสืบต่อวัฒนธรรมความเป็นเรเนสซองส์ให้คงอยู่ประกอบกับการท่องเที่ยวที่เป็นการส่งเสริมให้มรดกเหล่านี้ยังคงสืบทอดต่อมา

ทั้งนี้ชาวโลกต้องขอบคุณอันนา มาเรีย ทายาทคนสุดท้ายของตระกูลเมดิชี ก่อนเสียชีวิตเธอได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์สมบัติทั้งหลายของตระกูลเมดิชี ให้เป็นสมบัติของเมืองฟลอเรนซ์ โดยมีเงื่อนไขว่างานศิลปะทั้งหลายที่ตระกูลเมดิชีมอบให้จะต้องเก็บรักษาไว้ที่เมืองฟลอเรนซ์ตลอดไป

นอกจากงานศิลปะแล้วฟลอเรนส์ยังเป็นตลาดเครื่องหนังและเครื่องประดับสวย ๆ ของอิตาลีและยังเป็นเมืองที่ฝังศพบุคคลสำคัญๆของโลกอีกด้วย เช่น มิเกลันเจโล อัครมหาศิลปินผู้เป็นสัญลักษณ์ของเมือง กาลิเลโอ นักวิทยาศาสตร์ผู้มีชื่อเสียง และมัคคิอาเวลลี่ รัฐบุรุษคนสำคัญของอิตาลี จึงอาจกล่าวได้ว่าฟลอเรนซ์เป็นเมืองเรเนสซองศ์ที่ไม่มีวันตายด้วยประการฉะนี้


อ้างอิง

ตระกูลเมดิชี. สืบค้นเมื่อวันที่ 15 กันยายน 2561, จาก: https://th.wikipedia.org/wiki/

ประวัติเมืองฟลอเรนซ์.สืบค้นเมื่อวันที่ 15 กันยายน 2561 , จาก http://www.italysmile.com/florence/

สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของฟลอเรนซ์.สืบค้นเมื่อวันที่ 15 กันยายน 2561, จาก: https://www.thaipackagetour.net/information/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น