โดย อธิปัตย์ รัตนะ
ในบรรดากษัตริย์ยอดนักรบในตำนาน เชื่อว่าหลายท่านคงนึกถึงชื่อของกษัตริย์อาเธอร์ (King Arthur) แห่งหมู่เกาะบริเทน มาเป็นอันดับต้นๆ เรื่องราวของกษัตริย์อาเธอร์นั้นเป็นหนึ่งในตำนานที่คนทั่วโลกรู้จักกันดี และได้ถูกเล่าขานนับเนื่องกันมาตั้งแต่สมัยกลาง (หรือยุคมืด) ซึ่งเชื่อกันว่าพระองค์ทรงเป็นวีรบุรุษที่กอบกู้ดินแดนอันวุ่นวายให้กลับมาเป็นปึกแผ่นอีกครั้งหนึ่ง
แม้ว่านามของกษัตริย์อาเธอร์จะมีชื่อเสียงโด่งดังจากเกาะอังกฤษก็ตาม แต่จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์กลับบอกว่าพระองค์เป็นผู้นำของชาวเวลส์และไอริชที่เข้าต่อสู้กับชาวแองโกลแซกซอนหรือชาวอังกฤษในปัจจุบัน นอกจากนั้นตัวตนที่แท้จริงของพระองค์นั้นยังไม่ปรากฏชัดเจนว่าเป็นกษัตริย์หรือนักรบจากชนชาติใดกันแน่ แต่อย่างไรก็ตามตำนานของกษัตริย์อาเธอร์ก็ได้ปรากฏในหนังสือประวัติศาสตร์กษัตริย์แห่งบริเทน ซึ่งถูกเขียนขึ้นโดยเจฟฟรีย์ แห่งมอนมัท (Geoffry of Monmouth) นักบวชชาวอังกฤษแห่งศตวรรษที่สิบสอง ซึ่งถือเป็นเอกสารที่เป็นลายลักษณ์อักษรชิ้นแรกที่มีการกล่าวถึงพระนามของ กษัตริย์อาเธอร์
เรื่องราวของตำนานนี้คาดว่าเกิดขึ้นในช่วงยุคกลางของยุโรป ราวคริสต์ศตวรรษที่ 5 โดยเริ่มจากยูเทอร์ เพนดรากอน (Uther Pendragon) กับพี่ชายนามว่าออเรลิอานัส แอมโบรซิอุส ได้นำทัพข้ามมาจากฝรั่งเศสเพื่อทำสงครามกับราชาวอร์ติเกิร์นผู้ครองอังกฤษในตอนนั้น หลังจากได้รับชัยชนะ ออเรลิอานัสจึงได้ขึ้นครองบัลลังก์แทน แต่หลังจากนั้นไม่นานออเรลิอานัสก็ถูกชาวแซกซอนลอบปลงพระชนม์ ทำให้ยูเทอร์ขึ้นปกครองอังกฤษ ต่อมายูเทอร์ได้แอบมีความสัมพันธ์กับเลดี้ไอเยอร์น่า ภริยาของดยุกแห่งคอร์นวอลล์ และได้ลูกนอกสมรสขึ้นมาคนหนึ่ง ซึ่งเด็กคนนั้นก็คือ อาเธอร์นั่นเอง
ต่อมาเมอร์ลิน พ่อมดแห่งยุคผู้เป็นที่ปรึกษาของยูเทอร์ ได้พายูเทอร์ไปเอาดาบศักดิ์สิทธิ์เอ็กซ์คาลิเบอร์จากทะเลสาบ โดยเทพธิดาแห่งทะเลสาบได้ชูดาบนี้ขึ้นเหนือน้ำเพื่อมอบดาบให้ ด้วยพลังของดาบทำให้ยูเทอร์เกือบจะรวบรวมแผ่นดินทั้งหมดมาไว้ได้ หากแต่ยูเทอร์ไม่ได้ดูแลบ้านเมืองอย่างที่กษัตริย์ควรจะเป็น พ่อมดเมอร์ลินจึงใช้เวทมนตร์นำดาบเอ็กซ์คาลิเบอร์ไปปักไว้บนแท่งหินและได้จารึกคำไว้ว่า ‘ผู้ใดที่สามารถชักดาบขึ้นจากแท่งหินนี้ได้ เขาผู้นั้นจะได้ครอบครองแผ่นดินทั้งปวงบนเกาะอังกฤษ’
เมื่อยูเทอร์พลาดท่าให้กับเมอร์ลินก็ไม่ได้ดูแลบ้านเมืองอีกต่อไปจนกระทั่งยูเทอร์เสียชีวิตลง บัลลังก์จึงไร้ผู้ครอง มีผู้คนหลายคนอยากขึ้นเป็นกษัตริย์มากมายและได้ไปลองดึงดาบเอ็กซ์คาลิเบอร์จากแท่งหิน หากแต่ไม่มีใครสามารถดึงดาบเล่มนั้นขึ้นมาได้ จนเวลาผ่านไปถึง 15 ปี พ่อมดเมอร์ลินได้พาเด็กหนุ่มคนหนึ่งมาดึงดาบโดยหวังจะให้เขาเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ ซึ่งเด็กหนุ่มคนนั้นสามารถดึงดาบขึ้นมาได้อย่างง่ายดายจนได้ขึ้นเป็นกษัตริย์และเด็กหนุ่มคนนั้นก็คือ อาเธอร์ นั่นเอง
เมื่ออาเธอร์ได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ พระองค์ทรงปราบอริราชศัตรูจนหมดสิ้น ไม่ว่าจะเป็นพวกแซกซอน สกอตแลนด์ ไอร์แลนด์ นอร์เวย์ เดนมาร์ก ฝรั่งเศส ฯลฯ โดยมีเมอร์ลินเป็นที่ปรึกษาคนสำคัญ นอกจากนั้นอาเธอร์ยังได้ก่อตั้งกลุ่มทหารกลุ่มหนึ่งขึ้นมา โดยเรียกว่า กลุ่มอัศวินโต๊ะกลม (Knights of the round table) ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่ได้รับเกียรติยศสูงสุดในราชสำนักของกษัตริย์อาเธอร์ โดยโต๊ะกลมที่ประชุมของพวกเขาแสดงให้เห็นถึงความเท่าเทียมกันของสมาชิกทุกคน ไม่มีหัวโต๊ะหรือท้ายโต๊ะ
ซึ่งเรื่องราวสำคัญของตำนานนี้ก็คือ การผจญภัยของเหล่าอัศวินโต๊ะกลมที่ออกตามหาจอกศักดิ์สิทธิ์ (The holy grail) ของพระเยซู ซึ่งเป็นจอกที่พระองค์ได้ใช้ดื่มไวน์ร่วมกับศานุศิษย์ในพระกระยาหารมื้อสุดท้าย (The last supper) และจอกใบนี้ยังใช้รองรับพระโลหิตของพระเยซูในยามถูกตรึงกางเขน เล่ากันว่าจอกใบนี้มีอำนาจวิเศษสถิตย์อยู่ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้อัศวินทั้งหลายได้ออกตามหาจอกศักดิ์สิทธิ์เพื่อให้ได้ครอบครองตำแหน่งอภิอัศวินอันทรงเกียรติ
การค้นหาจอกศักดิ์สิทธิ์ของอัศวินมีหลายตำนาน โดยบางตำนานบอกว่าอัศวินที่พบคือ เซอร์เปอร์ซิวาล ซึ่งเขาได้รับจอกศักดิ์สิทธิ์จากลุงของเขาเอง โดยลุงของเขาทำหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์จอก แต่อีกตำนานบอกว่า เซอร์กาลาฮัด อัศวินผู้มาถึงโต๊ะกลมในช่วงหลังต่างหากที่เป็นผู้ได้รับจอกใบนี้ โดยได้รับจากญาติอาวุโสเช่นเดียวกัน
หลังจากอัศวินโต๊ะกลมนามว่าแลนเซล็อตกลับจากการค้นหาจอกศักดิ์สิทธิ์อย่างผิดหวังนั้น เขาได้แอบมีความสัมพันธ์กับกวินีเวียร์ มเหสีของพระเจ้าอาเธอร์ ซึ่งบางตำนานบอกว่าทั้งคู่รักกันมาตั้งแต่กวินีเวียร์ยังไม่ได้สมรสกับพระองค์ แต่ทว่ามอร์เดร็ดอัศวินโต๊ะกลมอีกคนได้บังเอิญเห็นเข้าจึงนำเรื่องไปบอกกับพระเจ้าอาเธอร์ ทำให้กลายเป็นเรื่องใหญ่โตขึ้น และเหล่าอัศวินก็ถูกแบ่งออกเป็นสองกลุ่มโดยกลุ่มแรกจงรักภักดีต่อพระเจ้าอาเธอร์เหมือนเดิม ส่วนอีกกลุ่มเข้าข้างแลนเซล็อต และเกิดศึกกลางเมืองขึ้น อัศวินโต๊ะกลมส่วนใหญ่ต่างเสียชีวิตในศึกครั้งนี้ และมอร์เดร็ดที่ต้องการครอบครองบัลลังก์ ก็ได้หักหลังพระเจ้าอาเธอร์ โดยเข้าต่อสู้กับพระองค์ที่คัมลานน์ แต่เขากลับถูกพระเจ้าอาเธอร์สังหารด้วยหอกทำให้เสียชีวิต ทว่าพระเจ้าอาเธอร์เองก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการต่อสู้เช่นกัน
และก่อนที่พระเจ้าอาเธอร์จะสิ้นพระชนม์พระองค์ได้มอบดาบเอ็กซ์คาลิเบอร์ให้ เซอร์เบเดเวียร์ อัศวินโต๊ะกลมที่ยังเหลืออยู่ ให้นำดาบไปคืนที่ทะเลสาบที่เดิมและได้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะกลับมาเกิดใหม่เพื่อปกป้องแผ่นดินของเกาะบริเทนอีกครั้ง เมื่อเบเดเวียร์ไปยังทะเลสาบและขว้างดาบศักดิ์สิทธิ์ลงไปได้มีแขนของเทพธิดาแห่งทะเลสาบชูขึ้นจากน้ำมารับดาบไป สุดท้ายแล้วพระเจ้าอาเธอร์ก็ได้สิ้นพระชนม์ลง พระศพของพระองค์ได้ถูกนำไปล่องแพไปสู่เกาะอวาลอน อันเป็นดินแดนแห่งสรวงสวรรค์ โดยมีเหล่าเทพธิดาห้อมล้อมแพไว้ เป็นอันจบตำนานกษัตริย์อาเธอร์
เรื่องราวของกษัตริย์อาเธอร์แม้ว่าจะมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์กล่าวอ้างถึง แต่ก็ไม่สามารถระบุได้ว่าแท้จริงแล้วพระเจ้าอาเธอร์เป็นใครกันแน่ อย่างไรก็ตามตัวตนที่แท้จริงของพระองค์อาจเป็นนักรบผู้กล้าหาญที่ทรงอำนาจและมีคุณธรรม ซึ่งผู้คนในยุคมืด อาจระลึกถึงช่วงเวลาอันสงบสุขในอดีต และโหยหาวีรบุรุษที่จะนำความสงบสุขกลับมาอีกครั้ง และ พระเจ้าอาเธอร์ อาจเป็นตัวแทนของสิ่งนั้นก็เป็นได้ และนี่อาจเป็นที่มาที่แท้จริงของกษัตริย์ยอดนักรบผู้นี้
อ้างอิง
Rookie Blacksmith. (2558). Excalibur ประวัติของสุดยอดดาบในตำนานจากอังกฤษ. ค้นเมื่อ 10 กันยายน 2558, จาก : http://www.metalbridges.com/excalibur-story/
กษัตริย์อาเธอร์กับอัศวินโต๊ะกลม. (2556). ค้นเมื่อ 10 กันยายน 2558, จาก : http://guru.sanook.com/6050/
ตำนานอาเธอร์ กษัตริย์ในตำนานแห่งหมู่เกาะบริเทน. (2558). ค้นเมื่อ 10 กันยายน 2558, จาก : http://writer.dek-d.com/souleater01/story/viewlongc.php?id=554165&chapter=84
อัศวินโต๊ะกลม. (2557). ค้นเมื่อ 10 กันยายน 2558, จาก : https://th.wikipedia.org/wiki/อัศวินโต๊ะกลม
ในบรรดากษัตริย์ยอดนักรบในตำนาน เชื่อว่าหลายท่านคงนึกถึงชื่อของกษัตริย์อาเธอร์ (King Arthur) แห่งหมู่เกาะบริเทน มาเป็นอันดับต้นๆ เรื่องราวของกษัตริย์อาเธอร์นั้นเป็นหนึ่งในตำนานที่คนทั่วโลกรู้จักกันดี และได้ถูกเล่าขานนับเนื่องกันมาตั้งแต่สมัยกลาง (หรือยุคมืด) ซึ่งเชื่อกันว่าพระองค์ทรงเป็นวีรบุรุษที่กอบกู้ดินแดนอันวุ่นวายให้กลับมาเป็นปึกแผ่นอีกครั้งหนึ่ง
แม้ว่านามของกษัตริย์อาเธอร์จะมีชื่อเสียงโด่งดังจากเกาะอังกฤษก็ตาม แต่จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์กลับบอกว่าพระองค์เป็นผู้นำของชาวเวลส์และไอริชที่เข้าต่อสู้กับชาวแองโกลแซกซอนหรือชาวอังกฤษในปัจจุบัน นอกจากนั้นตัวตนที่แท้จริงของพระองค์นั้นยังไม่ปรากฏชัดเจนว่าเป็นกษัตริย์หรือนักรบจากชนชาติใดกันแน่ แต่อย่างไรก็ตามตำนานของกษัตริย์อาเธอร์ก็ได้ปรากฏในหนังสือประวัติศาสตร์กษัตริย์แห่งบริเทน ซึ่งถูกเขียนขึ้นโดยเจฟฟรีย์ แห่งมอนมัท (Geoffry of Monmouth) นักบวชชาวอังกฤษแห่งศตวรรษที่สิบสอง ซึ่งถือเป็นเอกสารที่เป็นลายลักษณ์อักษรชิ้นแรกที่มีการกล่าวถึงพระนามของ กษัตริย์อาเธอร์
รูปภาพ กษัตริย์อาเธอร์และเหล่าอัศวินโต๊ะกลม
เรื่องราวของตำนานนี้คาดว่าเกิดขึ้นในช่วงยุคกลางของยุโรป ราวคริสต์ศตวรรษที่ 5 โดยเริ่มจากยูเทอร์ เพนดรากอน (Uther Pendragon) กับพี่ชายนามว่าออเรลิอานัส แอมโบรซิอุส ได้นำทัพข้ามมาจากฝรั่งเศสเพื่อทำสงครามกับราชาวอร์ติเกิร์นผู้ครองอังกฤษในตอนนั้น หลังจากได้รับชัยชนะ ออเรลิอานัสจึงได้ขึ้นครองบัลลังก์แทน แต่หลังจากนั้นไม่นานออเรลิอานัสก็ถูกชาวแซกซอนลอบปลงพระชนม์ ทำให้ยูเทอร์ขึ้นปกครองอังกฤษ ต่อมายูเทอร์ได้แอบมีความสัมพันธ์กับเลดี้ไอเยอร์น่า ภริยาของดยุกแห่งคอร์นวอลล์ และได้ลูกนอกสมรสขึ้นมาคนหนึ่ง ซึ่งเด็กคนนั้นก็คือ อาเธอร์นั่นเอง
ต่อมาเมอร์ลิน พ่อมดแห่งยุคผู้เป็นที่ปรึกษาของยูเทอร์ ได้พายูเทอร์ไปเอาดาบศักดิ์สิทธิ์เอ็กซ์คาลิเบอร์จากทะเลสาบ โดยเทพธิดาแห่งทะเลสาบได้ชูดาบนี้ขึ้นเหนือน้ำเพื่อมอบดาบให้ ด้วยพลังของดาบทำให้ยูเทอร์เกือบจะรวบรวมแผ่นดินทั้งหมดมาไว้ได้ หากแต่ยูเทอร์ไม่ได้ดูแลบ้านเมืองอย่างที่กษัตริย์ควรจะเป็น พ่อมดเมอร์ลินจึงใช้เวทมนตร์นำดาบเอ็กซ์คาลิเบอร์ไปปักไว้บนแท่งหินและได้จารึกคำไว้ว่า ‘ผู้ใดที่สามารถชักดาบขึ้นจากแท่งหินนี้ได้ เขาผู้นั้นจะได้ครอบครองแผ่นดินทั้งปวงบนเกาะอังกฤษ’
รูปภาพ ดาบเอ็กซ์คาลิเบอร์ ที่ถูกปักไว้บนแท่งหินรอผู้ที่สมควรมาดึงออก
เมื่อยูเทอร์พลาดท่าให้กับเมอร์ลินก็ไม่ได้ดูแลบ้านเมืองอีกต่อไปจนกระทั่งยูเทอร์เสียชีวิตลง บัลลังก์จึงไร้ผู้ครอง มีผู้คนหลายคนอยากขึ้นเป็นกษัตริย์มากมายและได้ไปลองดึงดาบเอ็กซ์คาลิเบอร์จากแท่งหิน หากแต่ไม่มีใครสามารถดึงดาบเล่มนั้นขึ้นมาได้ จนเวลาผ่านไปถึง 15 ปี พ่อมดเมอร์ลินได้พาเด็กหนุ่มคนหนึ่งมาดึงดาบโดยหวังจะให้เขาเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ ซึ่งเด็กหนุ่มคนนั้นสามารถดึงดาบขึ้นมาได้อย่างง่ายดายจนได้ขึ้นเป็นกษัตริย์และเด็กหนุ่มคนนั้นก็คือ อาเธอร์ นั่นเอง
เมื่ออาเธอร์ได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ พระองค์ทรงปราบอริราชศัตรูจนหมดสิ้น ไม่ว่าจะเป็นพวกแซกซอน สกอตแลนด์ ไอร์แลนด์ นอร์เวย์ เดนมาร์ก ฝรั่งเศส ฯลฯ โดยมีเมอร์ลินเป็นที่ปรึกษาคนสำคัญ นอกจากนั้นอาเธอร์ยังได้ก่อตั้งกลุ่มทหารกลุ่มหนึ่งขึ้นมา โดยเรียกว่า กลุ่มอัศวินโต๊ะกลม (Knights of the round table) ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่ได้รับเกียรติยศสูงสุดในราชสำนักของกษัตริย์อาเธอร์ โดยโต๊ะกลมที่ประชุมของพวกเขาแสดงให้เห็นถึงความเท่าเทียมกันของสมาชิกทุกคน ไม่มีหัวโต๊ะหรือท้ายโต๊ะ
ซึ่งเรื่องราวสำคัญของตำนานนี้ก็คือ การผจญภัยของเหล่าอัศวินโต๊ะกลมที่ออกตามหาจอกศักดิ์สิทธิ์ (The holy grail) ของพระเยซู ซึ่งเป็นจอกที่พระองค์ได้ใช้ดื่มไวน์ร่วมกับศานุศิษย์ในพระกระยาหารมื้อสุดท้าย (The last supper) และจอกใบนี้ยังใช้รองรับพระโลหิตของพระเยซูในยามถูกตรึงกางเขน เล่ากันว่าจอกใบนี้มีอำนาจวิเศษสถิตย์อยู่ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้อัศวินทั้งหลายได้ออกตามหาจอกศักดิ์สิทธิ์เพื่อให้ได้ครอบครองตำแหน่งอภิอัศวินอันทรงเกียรติ
รูปภาพ เหล่าอัศวินที่ออกค้นหาจอกศักดิ์สิทธิ์
การค้นหาจอกศักดิ์สิทธิ์ของอัศวินมีหลายตำนาน โดยบางตำนานบอกว่าอัศวินที่พบคือ เซอร์เปอร์ซิวาล ซึ่งเขาได้รับจอกศักดิ์สิทธิ์จากลุงของเขาเอง โดยลุงของเขาทำหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์จอก แต่อีกตำนานบอกว่า เซอร์กาลาฮัด อัศวินผู้มาถึงโต๊ะกลมในช่วงหลังต่างหากที่เป็นผู้ได้รับจอกใบนี้ โดยได้รับจากญาติอาวุโสเช่นเดียวกัน
หลังจากอัศวินโต๊ะกลมนามว่าแลนเซล็อตกลับจากการค้นหาจอกศักดิ์สิทธิ์อย่างผิดหวังนั้น เขาได้แอบมีความสัมพันธ์กับกวินีเวียร์ มเหสีของพระเจ้าอาเธอร์ ซึ่งบางตำนานบอกว่าทั้งคู่รักกันมาตั้งแต่กวินีเวียร์ยังไม่ได้สมรสกับพระองค์ แต่ทว่ามอร์เดร็ดอัศวินโต๊ะกลมอีกคนได้บังเอิญเห็นเข้าจึงนำเรื่องไปบอกกับพระเจ้าอาเธอร์ ทำให้กลายเป็นเรื่องใหญ่โตขึ้น และเหล่าอัศวินก็ถูกแบ่งออกเป็นสองกลุ่มโดยกลุ่มแรกจงรักภักดีต่อพระเจ้าอาเธอร์เหมือนเดิม ส่วนอีกกลุ่มเข้าข้างแลนเซล็อต และเกิดศึกกลางเมืองขึ้น อัศวินโต๊ะกลมส่วนใหญ่ต่างเสียชีวิตในศึกครั้งนี้ และมอร์เดร็ดที่ต้องการครอบครองบัลลังก์ ก็ได้หักหลังพระเจ้าอาเธอร์ โดยเข้าต่อสู้กับพระองค์ที่คัมลานน์ แต่เขากลับถูกพระเจ้าอาเธอร์สังหารด้วยหอกทำให้เสียชีวิต ทว่าพระเจ้าอาเธอร์เองก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการต่อสู้เช่นกัน
และก่อนที่พระเจ้าอาเธอร์จะสิ้นพระชนม์พระองค์ได้มอบดาบเอ็กซ์คาลิเบอร์ให้ เซอร์เบเดเวียร์ อัศวินโต๊ะกลมที่ยังเหลืออยู่ ให้นำดาบไปคืนที่ทะเลสาบที่เดิมและได้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะกลับมาเกิดใหม่เพื่อปกป้องแผ่นดินของเกาะบริเทนอีกครั้ง เมื่อเบเดเวียร์ไปยังทะเลสาบและขว้างดาบศักดิ์สิทธิ์ลงไปได้มีแขนของเทพธิดาแห่งทะเลสาบชูขึ้นจากน้ำมารับดาบไป สุดท้ายแล้วพระเจ้าอาเธอร์ก็ได้สิ้นพระชนม์ลง พระศพของพระองค์ได้ถูกนำไปล่องแพไปสู่เกาะอวาลอน อันเป็นดินแดนแห่งสรวงสวรรค์ โดยมีเหล่าเทพธิดาห้อมล้อมแพไว้ เป็นอันจบตำนานกษัตริย์อาเธอร์
เรื่องราวของกษัตริย์อาเธอร์แม้ว่าจะมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์กล่าวอ้างถึง แต่ก็ไม่สามารถระบุได้ว่าแท้จริงแล้วพระเจ้าอาเธอร์เป็นใครกันแน่ อย่างไรก็ตามตัวตนที่แท้จริงของพระองค์อาจเป็นนักรบผู้กล้าหาญที่ทรงอำนาจและมีคุณธรรม ซึ่งผู้คนในยุคมืด อาจระลึกถึงช่วงเวลาอันสงบสุขในอดีต และโหยหาวีรบุรุษที่จะนำความสงบสุขกลับมาอีกครั้ง และ พระเจ้าอาเธอร์ อาจเป็นตัวแทนของสิ่งนั้นก็เป็นได้ และนี่อาจเป็นที่มาที่แท้จริงของกษัตริย์ยอดนักรบผู้นี้
อ้างอิง
Rookie Blacksmith. (2558). Excalibur ประวัติของสุดยอดดาบในตำนานจากอังกฤษ. ค้นเมื่อ 10 กันยายน 2558, จาก : http://www.metalbridges.com/excalibur-story/
กษัตริย์อาเธอร์กับอัศวินโต๊ะกลม. (2556). ค้นเมื่อ 10 กันยายน 2558, จาก : http://guru.sanook.com/6050/
ตำนานอาเธอร์ กษัตริย์ในตำนานแห่งหมู่เกาะบริเทน. (2558). ค้นเมื่อ 10 กันยายน 2558, จาก : http://writer.dek-d.com/souleater01/story/viewlongc.php?id=554165&chapter=84
อัศวินโต๊ะกลม. (2557). ค้นเมื่อ 10 กันยายน 2558, จาก : https://th.wikipedia.org/wiki/อัศวินโต๊ะกลม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น