แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ สถาปัตยกรรมสมัยกลาง แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ สถาปัตยกรรมสมัยกลาง แสดงบทความทั้งหมด

มหาวิหารเซนต์สตีเฟน จิตวิญญาณแห่งเวียนนา (Stephansdom)

โดย  ทะนงลักษณ์   ยศกลาง

เมื่อใดก็ตามที่มีการกล่าวถึงกรุงเวียนนาเมืองหลวงของประเทศออสเตรีย เชื่อได้ว่าหลายๆคนคงจะจินตนาการถึงภาพแห่งความโรแมนติก ศิลปะอันงดงาม เสียงดนตรีคลาสสิคอันไพเราะ และสถาปัตยกรรมมากมายที่ล้ำค่า ซึ่งหนึ่งในสิ่งก่อสร้างที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของกรุงเวียนนาคือ มหาวิหารเซนต์สตีเฟน (St. Stephen) อันศักดิ์สิทธ์และยังนับว่าเป็นสัญลักษณ์ของกรุงเวียนนาที่ตั้งสูงตระหง่าอยู่ท่ามใจกลางเมืองแห่งเสียงดนตรีอีกด้วย

มหาวิหารเซนต์สตีเฟน ( St. Stephen Cathedral ) มีชื่อเฉพาะที่เป็นภาษาเยอรมันคือ ชเตฟานส์โดม( Stephansdom ) เป็นโบสถ์นิกายโรมันคาทอลิกที่สำคัญที่สุดของออสเตรีย ซึ่งตั้งอยู่บริเวณจุดศูนย์กลางของกรุงเวียนนา มหาวิหารแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1137 เพื่ออุทิศให้แก่นักบุญสตีเฟน ในสมัยโรมันนั้นถูกใช้เป็นสถานที่สำหรับฝังศพ และบรรจุศพของทั้งขุนนางและคนธรรมดา โดยมีความเชื่อว่าการได้รับการบรรจุศพภายในมหาวิหารแห่งนี้นับว่าเป็นสิ่งที่มีเกียรติอย่างยิ่งเพราะได้ใกล้ชิดกับนักบุญ ส่วนผู้ที่ไม่ค่อยมีเกียรติยศเท่าใดนักก็จะได้รับการฝังใกล้มหาวิหารแห่งนี้


ที่มา:  http://www.planetware.com/

มหาวิหารเซนต์สตีเฟนถือว่าเป็นสิ่งก่อสร้างเก่าแก่ที่อยู่คู่บ้านคู่เมืองมานานแสนนานถูกสร้างตามสถาปัตยกรรมยุโรปแบบกอทิก ที่มีความอ่อนช้อยงดงามเป็นอย่างมาก ซึ่งจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าตัวโบสถ์นั้นมีขนาดใหญ่ ทรงสูง มียอดปลายแหลมหลายยอด ซึ่งถูกสร้างด้วยหินปูนที่มีความยาว 107 เมตร กว้าง 70 เมตร สูง 136.7 เมตร และมีทางเดินกลางที่ยาว 38.9  เมตร

อาสนวิหารนี้มีหอที่ชาวเวียนนาเรียกว่า สเตฟเฟิล (Steffle) ซึ่งแผลงมาจากคำว่า Stephen เป็นหอใต้ขนาดใหญ่ที่สูงเด่นสง่าถึง 136.7 เมตร ใช้เวลาสร้างทั้งสิ้น 65 ปี ระหว่าง ค.ศ. 1368 ถึง ค.ศ. 1433 ระหว่างการล้อมกรุงเวียนนา ในปี ค.ศ. 1529 และอีกครั้งในยุทธการเวียนนาปี ค.ศ. 1683 หอใต้ขนาดมหึมานี้ใช้เป็นหอสังเกตการณ์อีกทั้งยังเป็นที่ตั้งของกองบังคับการต่างๆเพื่อใช้ในการป้องกันกรุงเวียนนาโดยมีกำแพงล้อมรอบ ภายในตัวหอนี้มีห้องพักสำหรับผู้ที่ทำหน้าที่สังเกตการณ์อีกด้วย ซึ่งหอสเตฟเฟิลนั้นมีผู้ประจำการตอนกลางคืนมาจนถึงปี ค.ศ. 1956 ถ้าเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน เช่น ไฟไหม้ในเมือง ผู้ประจำการหอก็จะสั่นระฆังเพื่อเป็นการแจ้งเตือนให้กับประชาชน บนยอดของหอนั้นจะเป็นที่ตั้งของราชอินทรีสองหัว ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ตราอาร์มของราชวงศ์ฮับส์บรูก – ลอแรน ซึ่งบริเวณหน้าอกจะเป็นกางเขนอัครบิดรที่หมายถึง Apostolic Majesty ของพระมหากษัตริย์แห่งฮังการี

ส่วนหอเหนือนั้นมีการสร้างยอดหอในลักษณะที่เป็นแบบเรอเนสซองที่เรียกกันว่า “ยอดหอน้ำ” ( Water tower top ) โดยหอเหนือนี้มีความสูง 68 เมตร ซึ่งเทียบได้ราวครึ่งหนึ่งของความสูงของหอใต้เลยทีเดียว

ประตูยักษ์ ( Riesentor ) หมายถึงกระดูกต้นขาของ Mastodon ซึ่งเป็นทางเข้าหลักของมหาวิหารแห่งนี้ หน้าบันไดเหนือประตูนั้นเป็นภาพพระเยซูในท่า “ พระเยซูผู้ทรงอานุภาพ ” ประดับด้วยทูตสวรรค์ที่มีปีก 2 องค์ ซึ่งทางด้านซ้ายและขวาของประตูยักษ์จะมีหอโรมันอยู่ 2 หอ ซึ่งถูกขนานนามว่า “ หอไฮเดน ” แต่ละหอนั้นมีความสูง 65 เมตร

อีกหนึ่งจุดเด่นของอาสนวิหารนักบุญสตีเฟน คือลวดลายอันวิจิตรงดงามของหลังคาที่ปูด้วยกระเบื้องหลากสี ซึ่งมีความยาว 111 เมตร โดยใช้กระเบื้องเคลือบทั้งหมด 230,000 แผ่น การวางกระเบื้องถูกออกแบบให้เป็นรูปอินทรีสองหัวที่อยู่เหนือบริเวณร้องเพลงสวดทางด้านใต้ของสิ่งก่อสร้าง ส่วนทางด้านเหนือเป็นสัญลักษณ์ตราอาร์มของกรุงเวียนนาและของสาธารณรัฐออสเตรีย ในช่วงปีค.ศ 1945  โครงไม้ของหลังคาได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์เพลิงไหม้ที่ข้ามมาจากสิ่งก่อสร้างอื่น การซ่อมแซมหลังคาโบสถ์ในครั้งนี้ไม่สามารถบูรณะด้วยไม้ได้เพราะต้องใช้ไม้เป็นจำนวนมหาศาล จึงได้ใช้โครงสร้างเหล็กหล่อ 600 เมตริกตันแทนที่


ที่มา:  http://www.planetware.com/

ภายในอาสนวิหารนักบุญสตีเฟนนั้นจะประกอบไปด้วยแท่นบูชาทั้งสิ้น 18 แท่น ซึ่งฉากแท่นบูชาน็อยชตัดท์จัดว่าเป็นแท่นบูชาที่เด่นที่สุด ถูกสร้างขึ้นในปีค.ศ. 1447 โดยจักรพรรดิฟรีดริชที่ 3 ซึ่งปัจจุบันนี้ภายในตัวโบสถ์นั้นมีระบบทำความร้อนในช่วงฤดูหนาวโดยใช้เครื่องมือตามจุดต่างๆเพื่อลดการหมุนเวียนของอากาศให้น้อยที่สุดซึ่งเป็นวิธีที่จะช่วยให้สิ่งก่อสร้างหรืองานศิลปะไม่ให้ถูกทำลายโดยจะรักษาอุณหภูมิในโบสถ์ให้อยู่ในระดับประมาณ 10 องศาเซลเซียส

ปัจจุบันนี้นักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมความสวยงามของมหาวิหารแห่งนี้ได้ในช่วงวันจันทร์ ถึง วันเสาร์ ตั้งแต่เวลา 6:00-22:00 นาฬิกา และในวันอาทิตย์รวมไปถึงวันหยุดราชการ ได้ตั้งแต่เวลา 7:00 -22:00 นาฬิกา

มหาวิหารเซนต์สตีเฟนยังคงตั้งตระหง่าอย่างโดดเด่นมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้ แม้ว่าบางส่วนจะเคยถูกทำลายด้วยเพลิงไฟ แต่ก็ไม่สามารถเผาทำลายศิลปะความงดงามของมหาวิหารแห่งนี้ไปได้ ความยิ่งใหญ่ของมหาวิหารเป็นจุดเด่นที่มีชื่อเสียงอย่างมากทำให้นักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกหลั่งไหลเข้ามาเที่ยวชมความงดงามของสถาปัตยกรรมแบบโรมานเนสก์ กอทิก อย่างล้มหลาม ถ้าหากท่านใดมีโอกาสได้ไปเยือนกรุงเวียนนาจึงมิควรพลาดที่จะไปเที่ยวชมความยิ่งใหญ่และความงดงามของมหาวิหารแห่งนี้


อ้างอิง

จัตุรัสสเตฟาน- มหาวิหารเซนต์สตีเฟน. สืบค้นเมื่อ 20 กันยายน 2559, จาก: http://www.europefanclub.com/stephansplatz-st-stephens-cathedral/

วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี. (2559).  ชเตฟันสโดม.  สืบค้นเมื่อ 20 กันยายน 2559, จาก: https://th.wikipedia.org/wiki/ชเตฟันสโดม

MGR Online.  (2553).  “เวียนนา” นครแห่งเสียงดนตรี งดงาม โรแมนติก.  สืบค้นเมื่อ 19 กันยายน 2559. จาก: http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9530000102956


อ่านเพิ่มเติม »

มหาวิหารดูโอโม่ (Duomo de Milano)

โดย กมลชนก อินทะกนก

ใครที่ได้มาเยือนอิตาลี สถานที่อันศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่งที่เรามักจะไม่พลาดต้องไปเยือนให้ได้ นั่นคือ มหาวิหารอันศักดิ์สิทธิ์อย่าง Duomo de Milano หรือมหาวิหารดูโอโม่ ในเมืองมิลานประเทศอีตาลีนั่นเอง

มหาวิหารสไตล์กอธิคแห่งนี้ได้ชื่อว่ามีระยะเวลาในการสร้างนานถึง 579 ร้อยปี ซึ่งถือเป็นการสร้างสรรค์งานสถาปัตกรรมที่นานที่สุดแห่งหนึ่งเลยก็ว่าได้ มหาวิหารดูโอโม่มีความสูงถึง 108.5 เมตร ยาว 148 เมตร และความกว้าง 88 เมตร ซึ่งมีขนาดใหญ่รองลงมาจากมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ ในนครรัฐวาติกันและสามารถจุคนได้มากถึง 40,000 คน


ที่มา: https://www.ilovetogo.com/

ด้วยศรัทธาอันแรงกล้าของเหล่ามหานักบุญจึงร่วมกันรับบริจาคจากคริสตชนทั้งหลายสร้างมหาวิหารขนาดใหญ่แห่งนี้ ขึ้นในปี ค.ศ.1386 โดยการนำของ พระอัครสังฆราชอันโตนิโอ ดาซารุสโซ่  (Antonio da Saluzzo)และการสนับสนุนของ เจียน กัลเลอัซโซ วิสกอนติ ( GianGaleazzo Visconti) พระญาติของพระอัครสังฆราช อันโตนิโอและมีวิศวกรคนแรกคือ  ซโมเนดาร์เออเซนิโก (Simone da Orsenigo) โดยวางแผนสร้างมหาวิหารแห่งนี้ด้วยอิฐในแบบ กอธิค ลอมบาร์ค ตามแบบฝรั่งเศส Rayonnant  Gothic ไม่ใช่ในแบบ อิตาลี โครงการนี้ได้รับการควบคุมออกแบบอย่างเคร่งครัดภายใต้ชื่อ “Fabbrica del Duomo”

ศิลปะแบบกอธิคของมหาวิหารดูโอโม่สะท้อนให้เห็นถึงความสามารถของสติปัญญาและอัฉริยะภาพของสถาปนิกในสมัยกลาง โดยเฉพาะประเทศฝรั่งเศสที่มีสถาปัตยกรรมกอธิคมากมาย ประมาณว่าหินที่นำมาสร้างนั้นมีมากกว่าการสร้างพิรามิดในอียิปต์เสียอีก มหาวิหารดูโอโม่แห่งนี้จึงสะท้อนให้เห็นถึงความน่าทึ่งของสถาปัตยกรรมกอธิคที่มีระยะเวลาการสร้างที่ยาวนานและความสามารถของช่างฝีมือที่เก่งกาจที่สามารถสร้างสรรค์ผลงานอันน่าเกรงขามแสดงถึงพลังอำนาจของคริสตจักรได้เป็นอย่างดี


ที่มา: https://www.ilovetogo.com/

นับตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 11  เป็นต้นมาที่ยุโรปฟื้นตัวจากสภาวะเศรษฐกิจและการเมือง การสร้างมหาวิหาร (Cathedral) ซึ่งเป็นโบสถ์ที่ประทับของบิชอปประจำเมืองต่างๆ ก็เกิดขึ้นไปทั่วยุโรปในยุคกลาง ถือเป็นงานสร้างสรรค์ที่เป็นความโดดเด่นในสมัยกลาง โดยพัฒนามาจากศิลปะแบบโรมาเนสถ์ซึ่งประกอบด้วยหน้าต่างเล็กเรียวยาว คูหาโค้ง (Vault) กำแพงหนาใช้เป็นโครงสร้างในการรับน้ำหนักของอาคารและหลังคา โดยศิลปะกอธิคมีลักษณะโปร่งบางและชดช้อย สถาปนิกได้พัฒนาเทคนิคโดยการใช้ค้ำยันหรือครีบ (Buttress) หรือครีบยันชั้นลอย (flying buttress) เพื่อยันน้ำหนักของอาคารทั้งสองข้าง ทั้งมีเสาหิน (Column) เพื่อรองรับน้ำหนักของหลังคาและเพดานหรือโค้งคูหาสันไขว้ (cross vault) จึงทำให้อาคารในรูปแบบสถาปัตยกรรมกอธิคไม่ต้องอาศัยกำแพงที่หนาเพื่อรองรับน้ำหนักของหลังคาและโครงสร้างอีกต่อไป หน้าต่างเป็นลักษณะโค้งแหลม (Pointed arch) ขนาดกว้างที่แสงสว่างสามารถลอดผ่านได้มากขึ้น นอกจากนี้ยังมีการประดับกระจกสีต่างๆ มาตัดต่อประกอบกันเป็นภาพหรือลวดลายภายในกรอบช่องแสงหรือหน้าต่างเล็ก เหนือประตูทางเข้ายังประดับการแกะสลักลวดลายวิจิตรบรรจงของแม่พระ พระเยซู ตลอดจนนักบุญต่างๆ เป็นการฟื้นฟูการสร้างปะติมากรรมศิลาสลักแบบลอยตัว (Bas relief) ที่เป็นนิยมกันในสมัยจักรวรรดิโรมันทั้งภายนอกและภายในอาคาร (อนันต์ชัย เลาหะพันธุ, 2553)


ที่มา : https://www.ilovetogo.com/

ในคริสต์ศตวรรษที่ 17 ได้มีการต่อเติมยอดเสาของมหาวิหาร โดยหล่อรูปปั้นเคลือบทองทั้งองค์ เป็นรูปพระแม่มาเรีย บนยอดเสาระดับความสูง 108.5 เมตร ในชื่อ มาดอนนิน่า (madonnina) ความสูงของรูปปั้นนี้สูงถือ 4 เมตร เป็นปะติมากรรมเคลือบทองคำที่สูงเท่าตึกสามชั้นจวบจนกระทั้งผ่านช่วงเวลาอันยาวนานการก่อสร้างแห่งนี้ก็แล้วเสร็จในวันที่ 6 มกราคม ปีค.ศ. 1965 โดย นโปเลียนโบนาพาร์ท (Napoleon Bonaparte) ได้ตัดสินใจปิดประตูบานสุดท้ายลง จบการสร้างสรรค์สถาปัตกรรมอันยาวนานกว่าห้าร้อยปีได้สำเร็จ

ดูโอโม่ จึงนับได้ว่าเป็นมหาวิหารที่ใช้ระยะเวลาในการก่อสร้างและซ่อมแซมยาวนานมากที่สุด เป็นระยะเวลาถึง 579 ปี จึงนับเป็นอีกสถานที่แห่งหนึ่งที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานและควรค่าแก่การเยี่ยมชมของผู้ที่ชื่นชอบงานศิลปะเป็นอย่างมาก

อ้างอิง

iLovetogo.  2558.  มหาวิหารแห่งมิลาน (Duomo di Milano).  (ออนไลน์) สืบค้นเมื่อ 1 กันยายน 2558, จาก https://www.ilovetogo.com/

Kwangtourcenter.  2558. มิลาน (Milano).  (ออนไลน์).  แหล่งทีมา: http://www.letsseeholiday.net/. 1กันยายน 2558.

อนันค์ชัย เลาหะพันธุ.  (2553).  เรื่องน่ารู้ในยุโรปสมัยกลาง (3).  กรุงเทพฯ : ศูนย์หนังสือจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

อ่านเพิ่มเติม »

มหาวิหารฟลอเรนซ์ (Florence Cathedral)

โดย ทิพยรัตน์ แสวงสาย

อิตาลี เมืองที่ใครหลายๆคนก็ฝันที่อยากจะไปท่องเที่ยวสักครั้งหนึ่งในชีวิต  เพราะอิตาลีนั้นมีดีตรงที่มีสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นและหลากหลาย   จึงดึงดูดนักท่องเที่ยวที่มีความสนใจทางด้านศิลปะและสถาปัตยกรรมได้อย่างมากมาย และ วิหารฟลอเลนซ์ก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจ สำหรับนักท่องเที่ยวเช่นกัน วิหารฟลอเรนซ์นั้นตั้งอยู่ในจตุรัสเปียซซ่า เดล ดูโอโม (Piazza del Duomo) ซึ้งเป็นศูนย์กลางของเมืองฟลอเรนซ์ เมืองที่ขึ้นชื่อแห่งศิลปะและสถาปัตยกรรมเกี่ยวกับ ในสมัยยุคกลาง หรือยุคสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา

มหาวิหารฟลอเรนซ์ (Florence Cathedral) หรือ อาสนวิหารแม่พระแห่งดอกไม้ (Cattedrale di Santa Maria del Fiore) เป็นอาสนวิหารประจำอัครมุขมณฑลฟลอเรนซ์ ตั้งอยู่ที่เมืองฟลอเรนซ์ มณฑลฟลอเรนซ์ แคว้นทัสกานี ประเทศอิตาลีเป็นมหาวิหารที่งดงามที่สุดแห่งหนึ่ง มีอายุกว่า 800 ปี ใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ในอิตาลี รองจากมหาวิหารเซ็นต์ปีเตอร์และที่วาติกัน และ ที่มีขนาดใหญ่เป็นลำดับที่ 4 ของทวีปยุโรป    สร้างขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่13 ออกแบบโดย ฟิลิปโป บรูเนลเลสกี



จุดเด่นของมหาวิหารแห่งนี้คือโดมสีส้มขนาดใหญ่  ตัวอาคารภายนอกเป็นลวดลายหินอ่อนสีขาว เขียว ชมพู และหินสลัก ด้านหน้าโบสถ์ประดับตกแต่งด้วยหินอ่อนสีขาว เขียว ชมพู  และหินแกะสลัก  มีความยาว 153 เมตร และฐานของโดมกว้างถึง 90 เมตร  โบสถ์นี้ได้รับการสร้างขึ้นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1296 ออกแบบโดย อาร์โนโฟ ดิ แกมบิโอ้(Arnolfo di Cambio) เป็นสถาปัตกรรมที่สร้างในแบบ นีโอโกธิค มี ภาพโมเสคเหนือซุ้มประตู มีหอระฆังสูง 85m อยู่ด้านข้างบริเวณภายนอกตกแต่งด้วยหินอ่อนสีแดง ขาว เขียว และ หินแกะสลัก ภายหลังจากที่ ดิแกมบิโอ้ เสียชีวิตลงแล้วนั้น

ในปี ค.ศ. 1334 ศิลปินนาม จิออตโต้ ได้เข้ามาทำการสร้างต่อหากแต่ว่าสร้างได้เพียงส่วนที่เป็นหอระฆังเท่านั้น จิออตโต้ก็เสียชีวิตลง จากนั้นเกิดความวุ่นวายทางการเมืองภายในยุโรปจึงทำให้การก่อสร้างโบสถ์หยุดชะงักลงไปถึง 27 ปี จนกระทั่ง ค.ศ. 1418 วิศวกรบรูนัสเลสกี้ ได้เข้ามาออกแบบตัวโดมของโบสถ์ที่เป็นมุมโค้งสูงพาดผ่านส่วนปีกของโบสถ์ ในที่สุดโบสถ์แห่งฟลอเรนซ์มีโครงสร้างพื้นฐานแล้วเสร็จปี ค.ศ. 1436 แต่ภายนอกของโบสถ์นั้นสมบูรณ์ในอีก 400 ปีต่อมา

ศิลปะภายในของโบสถ์จะประกอบด้วยหน้าต่างกระจกสีที่ออกแบบโดยศิลปินยุคเรอเนสซองที่มีชื่อเสียงอย่าง ลอเรนโซ กีแบร์ติ, โดนาเทลโล และภาพเขียนบนผนังแบบปูนเปียกหรือที่เรียกว่าfresco ศิลปะแบบเฟรสโก้ ของเปาโล อุซเซลโล ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นจุดเด่นของศิลปะบนฝาผนังของโบสถ์ฟลอเรนซ์นี้เลยก็ว่าได้ อีกส่วนสำคัญของโบสถ์คือห้องใต้ดิน หรือ เดอะคริสป์ (The Crypt )



ต่อมามารู้จักกับ “จอตโต คามปานีเล่ะ (Campanile di Giotto)” หรือ จอตโต เบล ทาวเวอร์ (Giotto’s bell Tower) หอระฆังที่เป็นส่วนหนึ่งของมหาวิหารฟลอเรนซ์ ถูกสร้างขึ้นในรูปแบบสถาปัตยกรรมโกธิค ด้วยความสูงประมาณ 84.7 เมตร (277.9 ฟุต) ตัวหอคอยถูกตกแต่งด้วยรูปปั้น รูปแกะสลักอย่างดงาม และไม่ไกลจากกันนักจะเป็นที่ตั้งของหอทำพิธีศีลจุ่ม (Florence Baptistery) เป็นอาคารทางศาสนาที่มีสถานะเป็นโบสถ์ขนาดเล็กเป็นหนึ่งในอาคารที่เก่าแก่ที่สุดในเมือง โดยหอแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในช่วงระหว่างปี 1059 – 1128 หากต้องการขึ้นชมบนหอคอยจะต้องเสียค่าเข้าชม และไม่มีลิฟต์บริการจะต้องเดินขึ้นบันไดอย่างเดียว ซึ่งมีทั้งหมด 414 ขั้นเลยทีเดียว  ซึ่งในปัจจุบันมหาวิหารอยู่ภายใต้การดูแลของสังฆมณฑลโรมันคาทอลิกแห่งฟลอเรนซ์(Roman Catholic Archdiocese of Florence) เปียสซ่า เดลลา ซินโยเลีย จัตุรัสรูปตัว Lที่อยู่ด้านหน้า ปาลาสโซ เวชชิโอ เป็นจุดท่องเที่ยวที่มีความเกี่ยวข้องกับศูนย์กลางศูนย์กลางทางการเมือง ทางการเมืองของเมืองฟลอเรนซ์ และบิรเวณด้านหน้าปาลาสโซ เวชชิโอยังเป็นที่ตั้งของน้ำพุรูปเนปจูน (Fountain of Neptune) ที่ถูกสร้างขึ้นในช่วงระหว่างปี 1563-1565 โดย แบร์โตโลมิโอ แอมแมนนาติ

เนื่องจากมหาวิหารแห่งนี้เป็นมหาวิหารเป็นสถานที่สำคัญและศักดิ์สิทธิ์ของเมืองฟลอเรนซ์และนับว่าว่าเป็นจุดที่สวยงามที่สุดของอิตาลี โดมแห่งนี้มีสัดส่วนที่ลงตัว สง่างาม มีขนาดใหญ่และสูงที่สุดในยุคเมื่อ 500 กว่าปีที่แล้ว โดยที่ไม่มีคานหรือเสาค้ำ ถือเป็นนวัตกรรมการออกแบบที่ยิ่งใหญ่สุดๆ ของยุคนั้น และกลายเป็นต้นแบบของโดมอื่นๆในยุคต่อมา เป็นความภาคภูมิใจของชาวเมืองฟลอเรนซ์ทุกวันนี้ทางการฟลอเรนซ์ ห้ามสร้างอาคารสูงกว่าโดมนี้โดยเด็ดขาด เพราะวิหารฟลอเรนซ์มีเสน่ห์อย่างนี้นี่เอง จึงดึงดูดให้นักนักท่องเที่ยวต่างๆ ในทั่วทุกมุมสนใจที่จะเข้ามาเยี่ยมชมความพิเศษต่างๆ และความสวยงามทางศิลปะและสถาปัตยกรรมที่สวยงามแห่งนี้สักครั้งหนึ่ง


อ้างอิง

วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี7 มีนาคม 2558. “วิหารฟลอเรนซ์.” สืบค้นเมื่อ 8 มีนาคม 2558, จาก http://th.wikipedia.org/wiki/

Newhostelflorence 1 มกราคม2556.“ฟลอเรนซ์ หรือ ฟิเรนเซ่.” สืบค้นเมื่อ 8 มีนาคม 2558, จาก http://www.newhostelflorence.com/about_tha.html

Bloggang 9 มกราคม 2556 . “เที่ยวอิตาลี เมืองFlorence –ชมความงามวิหารฟลอเรนซ์ เดินเที่ยวตลาดนัด แวะทานร้านSelf-service.” สืบค้นเมื่อ 8 มีนาคม 2558, จาก http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=maystyle&group=2&month=01-2013&date=09

Florencecathedralduomo 8 กันยายน 2555. “แหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนในยุโรปตะวันตก.” สืบค้นเมื่อ 8 มีนาคม 2558, จาก http://florencecathedralduomo.blogspot.com/2012/09/florence-cathedral.html

Travel in Italy. “ฟลอเรนซ์ (Firenze).” สืบค้นเมื่อ 8 มีนาคม 2558, จาก http://www.italysmile.com/travel-in-italy/firenze/

sprachcaffe-thai.com. “ชมมหาวิหารแห่งฟลอเรนซ์ จุดกำเนิดของยุคเรอเนซองส์.” สืบค้นเมื่อ 8 มีนาคม 2558, จาก https://www.ilovetogo.com/Article/29/2496/

อ่านเพิ่มเติม »

หอเอนเมืองปิซ่า (Leaning Tower of Pisa)

โดย อรปรียา กัญญาภู

หอเอนปิซ่า 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกในยุคกลาง เป็นมรดกโลกที่หลายคนรู้จักดีและเป็นที่น่าสนใจสำหรับหลายๆคน และมีคำถามตามมาว่า “หอเอนแต่ทำไมไม่ล้ม?” ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องที่อัศจรรย์และน่าค้นหาสำหรับสิ่งมหัศจรรย์นี้ว่าเพราะเหตุใด? และเป็นความผิดพลาดหรือตั้งใจอย่างไร?

อ่านเพิ่มเติม »

ศิลปะโกธิค (Gothic Art)

โดย ภัทรนิศวร์ จันทราธนสิทธิ์

ศิลปะโกธิคเป็นศิลปะที่เกิดขึ้นในช่วงระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 12-15 สะท้อนถึงอิทธิพลของคริสต์ศาสนา มีศูนย์กลางที่ฝรั่งเศสและแพร่หลายไปยังประเทศอื่นๆ และมีลักษณะตามภูมิภาคนั้นๆ ด้วย

อ่านเพิ่มเติม »

โบสถ์ เซนต์ มาร์โคนี หรือ มหาวิหารซันมาร์โก (San Marco)

โดย กุลธิดา หมุนสุข

สถาปัตยกรรมของไบแซนไทน์นั้นมีลักษณะพิเศษคือ มีการสร้างโดมที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางขนาดใหญ่ เพื่อช่วยรับน้ำหนักสิ่งก่อสร้าง โบสถ์เซนต์มาร์โคนีหรือมหาวิหารซันมาร์โก นับว่าเป็นสถาปัตยกรรมสำคัญที่แสดงให้เห็นลักษณะโดดเด่นตามแบบของศิลปะไบแซนไทน์ได้อย่างชัดเจน

อ่านเพิ่มเติม »

มหาวิหารฮาเจียโซเฟีย (Hagia Sophia)

โดย ภานุพงศ์ เกียรติผดุงพงศ์

หากกล่าวถึงสถาปัตยกรรมแบบไบแซนไทน์ในยุคกลาง มีสถานที่หนึ่งที่ต้องนึกถึง คือ มหาวิหารฮาเจียโซเฟีย มหาวิหารฮาเจียโซเฟียเป็นศาสนสถานที่มีชื่อเสียงที่สุดในคริสต์ศาสนานิกายกรีกออร์โธดอกซ์ถือเป็นสิ่งก่อสร้างที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในยุคกลาง
อ่านเพิ่มเติม »