ชายชาวจีนกับการไว้ผมเปีย

โดย ธิติกาญจน์ แสงฤทธิ์

สำหรับคอละครจีนย้อนยุคทั้งหลายหรือใครที่เคยดูหนังจีนแนวโบราณกันมาแล้วคงจะคุ้นตากันดีกับภาพตัวละครชายในเรื่องที่ส่วนมากมักจะไว้ทรงผมประหลาดตากันใช่มั้ยคะ โดยเป็นทรงผมที่มีลักษณะการโกนผมด้านหน้าครึ่งศรีษะส่วนด้านหลังจะถักเปียยาวลงมา ซึ่งทรงผมที่เราเคยเห็นนี้เรียกกันว่า “ทรงแมนจู” ซึ่งเป็นทรงผมของชาวแมนจูนั่นเอง หลายๆคนอาจจะสงสัยว่าทำไมผู้ชายชาวจีนในสมัยก่อนนั้นจึงต้องไว้ผมทรงนี้กัน เราจึงได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับที่มาของการไว้ทรงผมแมนจูของชาวจีนไว้ในบทความนี้ค่ะ



ต้องบอกก่อนเลยว่าแต่เดิมนั้นชาวจีนไม่ได้ไว้ผมทรงแมนจูตั้งแต่แรกเริ่ม ในยุคสมัยของราชวงศ์หมิงนั้นชาวจีนยังคงไว้ผมยาวแล้วเกล้าขึ้นมัดเป็นมวยตามความเชื่อลัทธิขงจื้อที่ว่า ผมและอวัยวะอื่นๆของร่างกายนั้นเป็นสิ่งที่พ่อแม่ให้มาไม่อาจทำลายได้และเป็นเช่นนี้มานับพันปี จนกระทั่งแผ่นดินจีนถูกปกครองด้วยราชวงศ์ชิง

ราชวงศ์ชิงซึ่งก่อตั้งโดยชาวแมนจูแต่เดิมเป็นชนเผ่าเร่ร่อนอาศัยอยู่ในเขตแมนจูเรีย ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของสาธารณรัฐประชาชนจีนในปัจจุบัน ชาวแมนจูมีเอกลักษณ์พิเศษคือทรงผมที่โกนผมส่วนหน้าแล้วถักหางเปียเป็นเส้นเดียวยาวลงมา เรียกว่า “เปี้ยนซือ” (辮子; biànzi) จากข้อสันนิษฐานที่ว่าชาวแมนจูนิยมใช้ม้ากันเยอะ จึงนิยมตัดผมทรงนี้เพื่อช่วยในการเคลื่อนไหวบนหลังม้าและเวลายิงธนูเส้นผมจะได้ไม่ปกหน้าอีกทั้งยังสะดวกในการใช้ชีวิตในท้องทุ่ง ส่วนการถักเปียนั้นสันนิษฐานว่ามีไว้พันคอเพื่อให้ความอบอุ่นในยามหนาว คนจีนจึงมองกลุ่มคนเหล่านี้ว่าเป็นคนเถื่อนนอกด่าน


ทรงผมเปียรูปแบบต่างๆของชาวแมนจู
ที่มา: https://th.wikipedia.org/

หลังจากที่ชาวแมนจูสามารถยึดครองแผ่นดินจีนไว้ได้ทั้งหมดและสถาปนาราชวงศ์ชิงขึ้นมาในช่วงค.ศ.1644  ได้มีการออกคำสั่งให้ชาวจีนทั้งหมดโกนผมครึ่งศรีษะและถักเปียแบบชาวแมนจู ในช่วงแรกนั้นมีการต่อต้านอย่างรุนแรงจากชาวจีนจนต้องระงับบคำสั่งนี้ จนกระทั้งค.ศ.1645 ได้ดำเนินนโยบายนี้อีกครั้ง และประกาศว่าหากผู้ใดไม่ปฏิบัติตามภายใน 10 วัน มีโทษถึงประหารชีวิต หลังจากประกาศนโยบายนี้ออกไปทำให้ชาวจีนที่ต่อต้านถูกทหารแมนจูประหารชีวิตไปมากกว่า 200,000 คน ภายในระยะเวลาเพียง 3 วัน โดยถือว่าผู้ที่ขัดขืนถือเป็นคนทรยศ ไม่ซื่อตรงต่อฮ่องเต้  ชาวจีนในยุคนั้นจึงขนานนามนโยบายนี้ว่า “ไว้ผมไม่ไว้หัว ไว้หัวไม่ไว้ผม (留头不留发,留发不留头)” หมายความว่า หากต้องการรักษาชีวิตไว้ก็ให้โกนผมและไว้เปียแบบชาวแมนจู



ส่วนทรงผมของหญิงชาวแมนจูนั้นจะแบ่งเป็น 2 แบบ คือทรงสองแกละ และ ทรงหมวกปีกกว้าง ทรงสองแกละนั้นเริ่มจากการหวีผมไปไว้ด้านหลัง จากนั้นแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนล่างถึงลำคอ  แล้วแบ่งผมออกเป็นสองช่อยกสูง ตอนที่พับนั้นชโลมน้ำยาจัดทรงผมพร้อมกับจัดให้เรียบ ยกสูงขึ้นเล็กน้อย แล้วพับ จากนั้นรวมกันเป็นช่อเดียว  แล้วย้อนกลับไปด้านหน้า  ใช้เชือกมัดให้แน่นจากโคนผม    จากนั้นสอดแถบเหล็กสำหรับจัดทรง   แล้วนำเส้นผมพันรอบแถบเหล็กนั้นไว้  ให้เป็นรูปตัว T แล้วค่อยประดับด้วยดอกไม้ ลูกปัด และพู่ห้อยหรือตุ้งติ้ง ภายหลังในสมัยเสียเฟิงฮ่องเต้ (ก่อนสมัยซูสีไทเฮา) ผมทรงนี้ก็ค่อยๆมีขนาดใหญ่ขึ้น แกละทั้งสองข้างก็มีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จึงนำแถบรูปพัดสีดำมาประดับให้ปีกผมทั้งสองข้างกว้างขึ้นเรียกว่า ฉีโถว หรือ กวนจวง   หรือที่รู้จักกันในชื่อ  ต้าลาเช่อ


ที่มา: https://www.deviantart.com/

จากการที่ผู้ปกครองมีจำนวนน้อยกว่าผู้ถูกปกครอง อีกทั้งชาวจีนยังมีวัฒธรรมที่เหนือกว่า ทำให้ชาวแมนจูต้องการทำลายอัตลักษณ์ดั้งเดิมของชาวจีนทิ้ง จึงได้มีมารตราการหลายอย่างเพื่อเปลี่ยนชาวจีนให้เป็นชาวแมนจู ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือเรื่องทรงผม ทำให้ปัญหาเรื่องทรงผมขยายตัวรุนแรงขึ้นจนกลายเป็นปัญหาทางการเมือง ในช่วงราชวงศ์ชิงปกครองแผ่นดินจีนการไว้ทรงผมแมนจูจึงเป็นสัญลักษณ์ของการถวายความจงรักภักดีต่อราชวงศ์ชิง หากใครตัดผมเปียทิ้งก็หมายถึงการเป็นปฏิปักษ์นั่นเอง แต่ถึงอย่างไรก็ตามก็ยังมีชาวจีนที่ต่อต้านราชวงศ์นี้ก่อกบฎหลายครั้งทำให้ถูกประหารชีวิตไปเป็นจำนวนมาก โดยคาดการณ์กันว่าตลอดการปกครองของราชวงศ์ชิงมีชาวจีนกว่า 1  ล้านคน ถูกประหารชีวิตจากการไม่ไว้ผมทรงแมนจู

แต่หลังจากที่ราชวงศ์ชิงล่มสลายลง โดยถูกโค่นล้มจากขบวนการปฏิวัติซินไฮ่ และประเทศจีนเข้าสู่ระบอบการปกครองแบบสาธารณรัฐ รัฐบาลจึงได้มีคำสั่งให้ชาวจีนทุกคนยกเลิกการไว้ผมทรงแมนจู ในระยะแรกนั้นยังคงมีชาวจีนหลายคนที่ยังคงเลือกไว้ทรงผมแมนจู เนื่องจากการไว้ทรงผมแมนจูกลายเป็นวัฒนธรรมที่ยาวนานกว่า 300 ปีของชาวจีน จนรัฐบาลต้องออกกฎหมายให้ทหาร ข้าราชการและประชาชนทุกคนตัดผมเปียทิ้ง หากใครไม่ปฏิบัติตามถือว่าเป็นการทำผิดกฏหมาย จึงทำให้วัฒนธรรมการไว้ทรงผมแมนจูเริ่มจางหายไปจากสังคมจีน

จากชนเผ่าเร่ร่อนที่อาศัยอยู่ตามชายขอบของประเทศจีนถูกชาวจีนมองว่าเป็นกลุ่มคนเถื่อนนอกด่าน
จนสามารถยึดครองแผ่นดินจีนและสถาปนาราชวงศ์ชิงขึ้นมา นอกจากนี้แล้วยังถ่ายทอดอัตลักษณ์ความเป็นชนเผ่าแมนจูออกไปสู่ชาวจีนผ่านทรงผมโดยการให้ชายชาวจีนทุกคนไว้ทรงผมเดียวกัน ซึ่งก็คือทรงแมนจู สิ่งเหล่านี้นั้นถูกใช้เป็นเครื่องมือในการแสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อราชวงศ์ชิง โดยหากผู้ใดยอมไว้ทรงผมแมนจูถือว่าบุคคลนั้นภักดีต่อราชวงศ์ แต่หากผู้ใดต่อต้านนั่นหมายถึงการเป็นปฏิปักษ์ ซึ่งหมายความว่าลักษณะการไว้ทรงผมของชายชาวจีนนั้นมีอิทธิพลต่อชีวิตความเป็นอยู่ของชาวจีนนั่นเอง


อ้างอิง  

กนกพร. (2007). ทำไมชายจีนต้องไว้ผมเปีย. สืบค้นเมื่อ  14 กันยายน 2018. จาก: http://www.uniserv.buu.ac.th/forum2/topic.asp?TOPIC_ID=1986

กรกิจ. (2017). ทำไมแมนจูต้องไว้เปีย. สืบค้นเมื่อ 14 กันยายน 2018. จาก:
http://www.gypzyworld.com/article/view/859

เอกชัย. (2017). ทรงผมแมนจู.   สืบค้นเมื่อ  14 กันยายน 2018. จาก: https://prachatai.com/journal/2017/11/74184

Ch3Thailand. (ม.ป.ป.). “ทรงผมแมนจู” ตำนานที่เป็นมากกว่าทรงผม. สืบค้นเมื่อ  14 กันยายน 2018. จาก: http://www.ch3thailand.com/news/drama/9953

Shoshui. (2561). ชาวแมนจู. สืบค้นเมื่อ  14 กันยายน 2018. จาก https://th.wikipedia.org/w/index.php?title=ชาวแมนจู&action=history

MGR Online. (2551). “เส้นผม” พลิ้ว...วัฒนธรรมมังกรไหว / อู่วัฒนธรรม. สืบค้นเมื่อ 21 ธันวาคม 2018 จาก: https://mgronline.com/china/detail/9510000112968

จาง จาง จาง จาง. (2013). เครื่องแต่งกายสมัยชิง. สืบค้นเมื่อ 21 ธันวาคม 2018 จาก: https://zhanglipan.wordpress.com/2013/10/16/เครื่องแต่งกายสมัยชิง/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น