เกาะโพเวกเลีย (Poveglia Island)

โดย บังอร ชิณะวิ

กล่าวกันว่า มีเกาะแห่งหนึ่งในยุโรปที่เป็นที่กล่าวขานกันมาเป็นระยะเวลาที่ยาวนานว่า เป็นสถานที่ที่น่ากลัว ที่เชื่อว่ามีผีสิงและผีดุมากที่สุดในโลก นั่นก็คือ “เกาะโพเวกเลีย (Poveglia Island)” ซึ่งเป็นเกาะเล็กๆ มีเนื้อที่ประมาณ 42 ไร่ ตั้งอยู่ในทะเลสาบ Venetian ระหว่างเมืองเวนิส (Venice) และ เมืองลิโด้ (Lido) ในเวเนเชี่ยน ลากูน (Venetian Lagoon) ทางตอนเหนือของ อิตาลี (Italy)

เกาะแห่งนี้ได้จารึกในประวัติศาสตร์ครั้งแรกเมื่อครั้งที่ผู้คนจาก Pauda และ Este หนีจากการรุกรานของชาวบาร์บาเรี่ยนเข้ามาอาศัยอยู่บนเกาะ และเกาะแห่งนี้ยังเคยเป็นสถานที่สู้รบกันระหว่างชาวเวนิเทียกับชาวเจนัวโดยผู้ที่เสียชีวิตจะถูกเผาและฝัง แต่เมื่อจำนวนผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจึงเปลี่ยนวิธีการ Burning Ground และ Plague Field แทน

ที่มา : http://world.kapook.com/

ในช่วงที่กาฬโรคระบาดในยุโรป (Black Death) ในช่วงศตวรรษที่ 18 มีผู้ติดเชื้อกาฬโรคถูกส่งมากักกันที่เกาะแห่งนี้ ซึ่งผู้ติดเชื้อจะต้องนั่งเรือมากับหมอที่ใส่หน้ากาก ส่วนจมูกจะใส่สมุนไพรไว้เพื่อป้องกันการติดเชื้อ (แน่นอนว่าไม่ได้ผล) จึงมีผู้เสียชีวิตจากกาฬโรคบนเกาะนี้เป็นจำนวนกว่า 160,000 คน

ต่อมาเกาะนี้ถูกใช้เป็นสถานที่ตรวจสุขภาพคนที่จะเข้าไปในเวนิซ และยังคงถูกใช้เป็นสถานที่กักกันผู้ต้องสงสัยว่าจะเป็นโรคติดต่ออยู่เรื่อยมา

ครั้นในปี 1922 อาคารที่เคยใช้เป็นศูนย์ตรวจสุขภาพได้ถูกเปลี่ยนเป็นโรงพยาบาลสำหรับผู้มีอาการทางประสาทและเปิดดำเนินการจนถึงปี 1968 โดยเล่าต่อกันว่าการรักษาผู้ป่วยทางจิตในสมัยนั้น เต็มไปด้วยวิธีที่โหดร้ายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเจาะกะโหลกทางเบ้าตา การจับผู้ป่วยกดน้ำ เครื่องมือที่ใช้ในการรักษาอาการป่วยทางจิต ไม่ว่าจะเป็น ค้อน สว่าน ลิ่ม ก็ยังคงมีหลงเหลือให้เห็นอยู่บนเกาะนี้ในปัจจุบัน โดยว่ากันว่ามีผู้ป่วยทางจิตประมาณ 5,000 คน ที่เสียงชีวิตและถูกฝังในเกาะนี้เช่นกัน



ทั้งนี้ก็มีเรื่องเล่าต่าง ๆ มากมายเกี่ยวกับเกาะนี้ หนึ่งในเรื่องเล่าที่รู้จักกันมากที่สุดเรื่องหนึ่งคือ ในช่วงที่เกาะโพเวกเลียได้เป็นโรงพยาบาลสำหรับผู้ป่วยทางจิต ได้มีผู้ป่วยรายหนึ่ง (บ้างก็ว่าเป็นหมอคนหนึ่งที่ทำการทดลองอย่างร้ายกาจกับคนไข้จนไปกระตุ้นความเจ็บแค้นของวิญญาณบนเกาะนั้น) ขึ้นไปบนหอระฆังและกระโดด หรือถูกเหวี่ยงลงมา แต่จากปากคำของผู้เห็นเหตุการณ์ คนผู้นั้นไม่ได้ตายเพราะตกจากหอระฆัง แต่ในขณะที่เขานอนเจ็บอยู่บนพื้นนั้นเอง ได้มีหมอกสีขาวปรากฏขึ้น และบีบคอคนผู้นั้นจนตาย หอระฆังนั้นถูกปิดลงแต่ยังมีผู้คนได้ยินเสียงระฆังดังอยู่บอยครั้งในเวลาค่ำคืน แม้กระทั่งในปัจจุบัน

หลังจากโรงพยาบาลได้ปิดตัวลงใน ปี 1968 ช่วงเวลาหนึ่งเกาะนี้ตกเป็นของรัฐบาล แต่ต่อมาได้มีกลุ่มคนกลุ่มสุดท้ายซึ่งพยายามอยู่อาศัยบนเกาะนี้ โดยครอบครัวนี้ได้ซื้อเกาะนี้มาเพื่อตั้งใจว่าจะสร้างบ้านพักตากอากาศบนเกาะ แต่ท้ายที่สุดครอบครัวนั้นก็จำต้องออกไปทันทีตั้งแต่คืนแรกที่อยู่บนเกาะ โดยแม้ปฏิเสธที่จะให้ความเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นในคืนนั้น แต่สิ่งที่หลงเหลือจากค่ำคืนนั้นมีเพียงสิ่งเดียวคือ คนลูกสาวมีแผลใบหน้าฉีกขาดและต้องเย็บถึง 14 เข็ม


ซากโครงกระดูกผู้ติดเชื้อกาฬโรคบางส่วนที่ขุดเจอ

นอกจากนี้จากการสำรวจโดยนักโบราณคดีค้นพบว่า ซากศพที่พบบนเกาะนั้นมีบางส่วนที่ไม่ได้เสียชีวิตจากกาฬโรค แต่คาดว่าเสียชีวิตจากการต้องสงสัยว่าเป็นแวมไพร์ เนื่องจากบางโครงกระดูกนั้นยังอยู่ในสภาพที่คาบก้อนอิฐอยู่ซึ่งเป็นวิธีที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในศพที่ต้องสงสัยว่าจะเป็นแวมไพร์ โดยเชื่อว่าวิธีนี้จะทำให้แวมไพร์นั้นหิวตาย

เมื่อเร็วๆนี้ทางรัฐบาลอิตาลี่ ได้ประกาศขายเกาะแห่งนี้เพื่อหาเงินเข้ารัฐ โดยทางรัฐบาลอิตาลีหวังว่าจะมีข้อเสนอจากผู้สนใจปรับเปลี่ยนมันจากโรงพยาบาลเป็นโรงแรมหรูภายใต้ข้อตกลงสัญญาเช่าเพื่อพัฒนาสินทรัพย์เป็นเวลา 99 ปี ขณะที่เกาะแห่งนี้ก็ยังเป็นทรัยพ์สินของรัฐอยู่ กระนั้นก็ดีโฆษกรัฐอิตาลี ยังไม่ได้กำหนดว่าจะตั้งราคาประมูลขายเกาะโพเวกเลียไว้ที่เท่าใด

แต่อย่างไรก็ตามในปัจจุบันนี้เกาะโพเวกเลียนั้นก็ยังถูกทิ้งร้างและปิดตาย หากจะเข้าไปในเกาะต้องทำหนังสือขอความยินยอมจากรัฐบาลอิตาลีก่อน ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะเป็นรายการท้าพิสูจน์เรื่องลึกลับต่าง ๆ และเหล่านักชีววิทยา เนื่องจากระบบนิเวศน์บนเกาะนั้นปราศจากการรบกวนจากมนุษย์โดยสิ้นเชิง


อ้างอิง

เกาะโพเวกเลีย เกาะผีดุ..คนกลัวผีห้ามไป!. สืบค้นเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2560 , จาก : http://travel.thaiza.com/

ศาสตร์ดำมืดที่โพเวกเลีย. สืบค้นเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2560, จาก : https://my.dek-d.com/

อิตาลีประมูลขายหนึ่งในเกาะผีดุที่สุดในโลก. สืบค้นเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2560, จาก : http://www.tnnthailand.com/news_detail.php?id=27999&t=news

ว่ากันว่า เกาะนี้ผีดุ !!?.สืบค้นเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2560, จาก : http://www.soccersuck.com/boards/topic/1331021


อ่านเพิ่มเติม »

เชอร์ล็อก โฮมส์ (Sherlock Holme)

โดย ธัญพิชชา  ประพัศรางค์

เชอร์ล็อก โฮมส์ อมตะนวนิยายแนวสืบสวนที่โด่งดังไปทั่วโลก เนื่องด้วยบุคลิกของโฮมส์ ที่นักเขียนนิยาย สร้างขึ้นมาให้มีบุคลิกที่น่าหลงใหล ทั้ง ฉลาด สุขุม ถึงขนาดที่มีกลุ่มแฟนคลับคนรักเชอร์ล็อก โฮมส์ เกือบพันกลุ่มทั่วโลก โดยถูกนำมาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ ซีรีย์ ละครวิทยุ และสื่ออื่นๆ จำนวนมาก จนกระทั่งบันทึกสถิติโลกกินเนสส์ระบุว่า เชอร์ล็อก โฮมส์เป็นตัวละครที่มีผู้แสดงมากที่สุด ถึง 75 คน ซึ่งนวนิยายเรื่องนี้ทำให้ผู้อ่านจำนวนมากเชื่อว่าเชอร์ล็อก โฮมส์มีตัวตนจริงๆ และได้เขียนจดหมายถึงโฮมส์ตามที่อยู่ที่ปรากฏในนิยาย เชอร์ล็อก โฮมส์ จึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของนักสืบ

เชอร์ล็อก โฮมส์ ประพันธ์โดย เซอร์อาเธอร์ โคนัน ดอยล์ เป็นนักเขียนและนายแพทย์คนสำคัญของสกอตแลนด์ โดยได้แรงบันดาลใจมาจากนายแพทย์โจเซฟ เบลล์ โดยเขาสามารถระบุอาการและโรคของคนไข้ได้เพียงจากการสังเกตสภาพภายนอก หรือสามารถอธิบายเรื่องราวได้มากมายจากข้อสังเกตเพียงเล็กน้อย ซึ่งทำให้โคนัน ดอยล์ ทึ่งมาก อีกทั้งนายแพทย์เบลล์ยังเคยช่วยเหลือการสืบสวนคดีของตำรวจบางคดีอีกด้วย

ภาพวาด เชอร์ล็อก โฮมส์
ในนิตยสารสแตรนด์ ค.ศ. 1891
ที่มา : https://th.wikipedia.org/wiki/

โคนัน ดอยล์ ได้แต่งเรื่องเชอร์ล็อก โฮมส์ ไว้ทั้งสิ้น 60 เรื่อง เป็นเรื่องยาว 4 เรื่อง และเรื่องสั้น 56 เรื่อง โดยวางเรื่องให้นายแพทย์จอห์น เอช. วอตสัน หรือหมอวอตสัน เพื่อนสนิทคู่หูของโฮมส์ เป็นผู้บรรยายเรื่อง แต่ก็มีอีก 2 เรื่องที่โฮมส์เล่าเอง และอีก 2 เรื่องเล่าโดยผู้อื่น โดยเหตุการณ์ในนิยายจะอยู่ในช่วงปี ค.ศ.1878 – 1903 และคดีสุดท้ายเกิดในปี ค.ศ. 1914

 แต่แม้นิยายเรื่องนี้จะโด่งดังไปทั่วโลก ก่อนที่จะได้ตีพิมพ์เป็นหนังสือนั้น นิยายเชอร์ล็อก โฮมส์ ตอนแรก เรื่อง แรงพยาบาท (A Study in Scarlet) เคยถูกหนังสือพิมพ์ต่างๆปฏิเสธถึง 3 แห่ง โคนัน ดอยล์ จึงได้ส่งนิยายเรื่องนี้ให้สำนักพิมพ์ Ward Lock & Co แล้วหัวหน้ากองบรรณาธิการจึงเอาต้นฉบับให้ภรรยาตัดสิน ปรากฏว่าภรรยาเขาชอบผลงานนี้มาก เชอร์ล็อก โฮมส์จึงถือกำเนิดในที่สุด เรื่องแรก ตีพิมพ์ในหนังสือ Beeton’s Christ mas Annual ในปี ค.ศ. 1837 เรื่องที่สองตีพิมพ์ในหนังสือ Lippincoff’s Monthly Magazine ในปี ค.ศ. 1890 หลังจากนั้น ปี ค.ศ. 1891 ได้ตีพิมพ์ลงในคอลัมน์ประจำ นิตรสาร The Strand ทำให้นิยายเรื่องนี้มีผลตอบรับดีมากจนคาดไม่ถึง

ในตอนแรก ตอน แรงพยาบาท (A Study in Scarlet) ได้เล่าถึงการเจอกันของตัวละครเอกทั้งสองคือ โฮมส์ และ หมอวอตสัน โฮมส์เป็นนักสืบ ส่วนหมอวอตสันต้องการพักผ่อนหลังจากเกษียนตัวเองจากสงครามอัฟกานิสถาน ทั้งสองรู้จักกันครั้งแรกเนื่องจากทั้งสองต้องการหาผู้ร่วมเช่าห้องพักด้วยกันในกรุงลอนดอน เพื่อลดค่าใช้จ่าย ทั้งสองได้เช่าชั้นสองของบ้านมิสซิสฮัดสัน ตั้งอยู่ที่ 221B ถนนเบเกอร์  แรกนั้นๆหมอวอตสันได้รู้สึกถึงความแปลกของโฮมล์ แต่เมื่อคุ้นเคยกันก็เริ่มเข้าใจในตัวโฮมส์ และมองเห็นความสำคัญของสิ่งที่โฮมส์ทำ นับจากนั้นมาหมอวอตสันก็ได้ร่วมในการสืบคดีของโฮมส์


รูปแผนผังบ้าน 221B
ที่มา : http://www.dazui.com/Web/

เชอร์ล็อก โฮมส์ มีชื่อเต็มว่า วิลเลียม เชอร์ล็อก สก๊อต โฮลมส์ เป็นชาวอังกฤษ  มีนิสัยรักสันโดษ แต่ก็ยังไม่เท่าพี่ชาย คือ ไมครอฟต์ โฮมส์ ที่คอยช่วยเหลือในบางคดี เชอร์ล็อก มีรูปร่างผอมสูง จมูกโด่งเป็นสันเหมือนเหยี่ยว มีความรู้รอบตัวในหลาย ๆ ด้าน ทั้งเคมี ฟิสิกส์ และความรู้เกี่ยวกับพืชมีพิษตระกูลต่าง ๆ และเขายังเก่งเรื่องเล่นไวโอลิน แต่ไม่มีความรู้เรื่องเกี่ยวกับดาราศาสตร์เลย โฮมส์มีศัตรู ชื่อ ศาสตราจารย์เจมส์ มอริอาร์ตี ผู้ที่ปราดเปรื่องด้านอาชญากรรม อีกทั้งยังเป็นตัวการเบื้องหลังในบางคดีที่เกิดขึ้นอีกด้วย

โคนัน ดอยล์ ได้บรรยายถึงพื้นฐานการศึกษาและทักษะของโฮมส์ไว้ในนิยายตอนแรก แรงพยาบาท ว่าเขาเคยเป็นนักศึกษาสาขาเคมี ที่สนใจไปสารพัด โดยเฉพาะวิชาความรู้ในการคลี่คลายคดีอาชญากรรม บันทึกคดีแรกของโฮมส์ที่ได้เขียน เรื่อง เรือบรรทุกนักโทษ (Gloria Scott) ได้เล่าถึงถึงสาเหตุที่ทำให้โฮมส์หันมายึดถืออาชีพนักสืบ คือเขามักใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ตรรกศาสตร์ การสังเกตและการทดลอง มาใช้ประกอบในการพิจารณาคดีอาชญากรรมเสมอ แม้ว่าเขาจะชอบปกปิดเอาไว้ และมักสร้างความประหลาดใจแก่ผู้อื่นโดยค่อยๆเผยปมคดีให้ทราบทีละน้อย

ในเรื่องยาว แรงพยาบาท (A Study in Scarlet) หมอวอตสันเคยประเมินทักษะต่าง ๆ ของโฮมส์ไว้ ดังนี้
1. ความรู้ด้านวรรณกรรม — น้อยมาก
2. ความรู้ด้านปรัชญา — ไม่มี
3. ความรู้ทางดาราศาสตร์ — ไม่มี
4. ความรู้ด้านการเมือง — น้อยมาก
5. ความรู้ด้านพฤกษศาสตร์ — ไม่แน่นอน ชำนาญพิเศษด้านพืชมีพิษและฝิ่น แต่ไม่รู้ด้านการทำสวน
6. ความรู้ด้านธรณีวิทยา — ชำนาญ แต่มีข้อจำกัด สามารถบอกความแตกต่างระหว่างดินแต่ละชนิด เช่นหลังจากออกไปเดินเล่น สามารถระบุตำแหน่งที่ได้รับรอยเปื้อนดินบนกางเกงได้ว่ามาจากส่วนไหนของลอนดอน โดยดูจากสีและลักษณะของดิน
7. ความรู้ด้านเคมี — ยอดเยี่ยม
8. ความรู้ด้านกายวิภาค — แม่นยำ แต่ไม่เป็นระบบ สันนิษฐานได้ว่ามาจากการศึกษาด้วยตนเอง
9. ความรู้ด้านอาชญวิทยา — กว้างขวาง ดูเหมือนจะรู้จักเหตุสะเทือนขวัญอย่างละเอียดทุกเรื่องในรอบศตวรรษ
10. ความรู้ด้านดนตรี — เล่นไวโอลินได้ดีมาก และยังเป็นเจ้าของไวโอลินสตราดิวาเรียส อันมีชื่อเสียง
11. เป็นนักมวยและนักดาบ
12. มีความรู้กฎหมายอังกฤษเป็นอย่างดี
ในนิยายตอนอื่นๆเช่น ตอน ความลับที่หุบเขาบอสคูมบ์ (The Boscombe Valley Mystery) โฮมส์ก็แสดงให้เห็นถึงความรู้เกี่ยวกับยาสูบเป็นอย่างดี ตอน รหัสตุ๊กตาเต้นรำ (The Dancing Man) โฮมส์ได้แสดงถึงทักษะในการถอดรหัส ส่วนความสามารถในการปลอมตัวของโฮมส์ได้ใช้ประโยชน์หลายครั้ง เช่น การปลอมเป็นกะลาสีในตอน จัตวาลักษณ์ (The Sign of the Four) เป็นนักบวชผู้ถ่อมตนใน เหตุอื้อฉาวในโบฮีเมีย (A Scandle in Bohemie) เป็นคนติดยาใน ตอน ชายปากบิด (The Man with the Twisted Lip) เป็นพระชาวอิตาลีในตอน ปัจฉิมปัญหา (The Final Problem) หรือแม้แต่ปลอมเป็นผู้หญิงในตอน เพชรมงกุฎ (The Mazarin Stone) เป็นต้น

โฮมส์มีความสามารถในการวิเคราะห์หลักฐานทางกายภาพอย่างถูกต้องแม่นยำ กระบวนการตรวจสอบหลักฐานของเขามีหลายวิธี เช่น การเก็บรอยรองเท้า รอยเท้าสัตว์ หรือรอยล้อรถจักรยาน เพื่อวิเคราะห์สิ่งที่อาจเกิดขึ้นในระหว่างการเกิดอาชญากรรม หรือการวิเคราะห์ประเภทของยาสูบเพื่อระบุตัวตนของอาชญากร อีกทั้งโฮมส์เคยตรวจสอบร่องรอยผงดินปืน และเปรียบเทียบกระสุนที่พบในที่เกิดเหตุ ทำให้แยกแยะได้ว่าฆาตกรมีสองคน นอกจากนี้ โฮมส์ยังเป็นคนแรกๆ ที่มีแนวคิดในการตรวจสอบลายนิ้วมือ

โฮมส์มีอารมณ์แปลก บางทีก็เศร้าซึม พูดน้อย บางทีก็ร่าเริง หมอวอตสัน เพื่อนสนิทของเชอร์ล็อก โฮมส์ ได้บรรยายถึงลักษณะต่างๆของโฮมส์ไว้ในบันทึกคดี อย่างเช่น ในเวลาที่กำลังครุ่นคิดเรื่องคดี จะไม่ทานข้าวเช้า ชอบทดลองเคมี แล้วทิ้งข้าวของในห้องกระจัดกระจายไม่เป็นระเบียบ โฮมส์สูบไปป์จัดมาก ชอบแกล้งตำรวจโดยการให้ข้อมูลปลอมหรือปกปิดหลักฐานบางอย่าง แต่แม้โฮมส์จะชอบกลั่นแกล้งตำรวจ เขาก็ยกความดีความชอบในคดีให้แก่ฝ่ายตำรวจอยู่เสมอ เขาเป็นมิตรที่ดีของสกอตแลนด์ยาร์ดโดยเฉพาะสารวัตรเลสเตรด มีความเป็นสุภาพบุรุษและให้เกียรติผู้หญิงมาก

แต่นิสัยที่หมอวอตสันเห็นว่าเลวร้ายและรับไม่ได้เลยของโฮมส์ ก็คือ การที่โฮมส์ชอบเสพโคเคนกับมอร์ฟีน ซึ่งวอตสันเห็นว่าเป็นความชั่วประการเดียวของเขาโฮมส์ยังเป็นนักแสดงที่เก่งมาก เพื่อดึงความสนใจของผู้ต้องสงสัย เพื่อไม่ให้เห็นหลักฐานบางอย่าง นอกจากนี้ ยังมีอีกหลายเหตุการณ์ที่แสดงให้เห็นว่า โฮมส์เป็นนักอ่าน นักศึกษา มีความรู้ด้านอาชญวิทยาอย่างกว้างขวาง และให้ความนิยมนับถือบรรดานักสืบผู้ชำนาญเป็นอย่างมาก คำพูดของโฮมส์ที่ทำให้ผู้อ่านติดปากกันดี ก็คือ "ถ้าเราตัดสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ทั้งหมดออกไป สิ่งที่เหลืออยู่ ไม่ว่ามันจะดูเหลือเชื่อเพียงใด แต่มันก็เป็นความจริง"

มีบางเหตุการณ์ที่แสดงให้เห็นว่า หมอวอตสันประเมินโฮมส์ผิดไปบ้าง เช่น เหตุการณ์ในตอน เหตุอื้อฉาวในโบฮีเมีย ซึ่งโฮมส์สามารถตระหนักถึงความสำคัญของเคานต์ฟอนแครมได้ทันที หรือในหลาย ๆ คราวที่โฮมส์มักเอ่ยอ้างถึงถ้อยคำในพระคัมภีร์ไบเบิล เชกสเปียร์ หรือเกอเธ่ และโฮมส์เคยบอกกับหมอวอตสันว่า เขาไม่สนใจว่าโลกหรือดวงอาทิตย์จะหมุนรอบใครกันแน่ เพราะมันไม่มีประโยชน์ต่อการคลี่คลายคดีสักนิด

เชอร์ล็อก โฮมส์ ไม่ว่าบุคลิกต่างต่างๆของโฮมส์ ความฉลาด ความมีเสน่ห์ของตัวละครและนิยาย  จึงทำให้เป็นนิยายที่ทรงอิทธิพลต่อวรรณกรรมและการแสดงในประเภทรหัสคดีจำนวนมาก อย่างเช่น การ์ตูนยอดฮิต เรื่อง ยอดนักสืบจิ๋วโคนัน ผู้แต่งการ์ตูนเรื่องนี้ยังปรากฏให้เห็นว่า คุโด้ ชินอิจิ ตัวเอกของการ์ตูนเรื่องนี้คลั่งไคล้เชอร์ล็อก โฮมส์มาก แม้แต่ชื่อตัวการ์ตูนยอดนักสืบจิ๋ว ชื่อ เอโดงาวะ โคนัน ก็มาจากชื่อผู้แต่งเชอร์ล็อก โฮมส์ นั่นก็คือ เซอร์อาเธอร์ โคนัน ดอยล์ นั่นเอง รวมทั้งยังมีการสร้างพิพิธภัณฑ์เชอร์ล็อก โฮมส์ ตั้งขึ้นในตำแหน่งที่น่าจะเป็นบ้านในนวนิยายในกรุงลอนดอน นับเป็นพิพิธภัณฑ์แห่งแรกที่สร้างขึ้นสำหรับตัวละครในนิยาย


รูปพิพิธภัณฑ์เชอร์ล็อก โฮมส์
ที่มา : http://bookmole.blogspot.com/ 

เชอร์ล็อก โฮมส์ ได้ให้ข้อคิดหลายๆอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการศึกษา การขยันหาความรู้เพื่อพัฒนาอาชีพตนเอง การสังเกต การทดลองผิดถูก ความพยายามของโฮมส์และความตั้งใจของโฮมส์ทำให้เขาสามารถคลี่คลายคดีได้สำเร็จ ในชีวิตจริงก็เช่นกัน หากนำความตั้งใจศึกษาหาความรู้มาพัฒนาตนเอง ตั้งใจทำงาน  งานทุกอย่างก็จะสำเร็จราบรื่น เหมือนดั่งการคลี่คลายบันทึกคดี เชอร์ล็อก โฮมส์


อ้างอิง

วิกิพีเดีย. (2559).  เชอร์ล็อก โฮมส์. ค้นข้อมูล 4 มีนาคม 2560, จาก https://th.wikipedia.org/wiki/เชอร์ล็อก_โฮมส์

เด็กดีดอทคอม. (2558). 19 ข้อที่คุณไม่รู้เกี่ยวกับ "ยอดนักสืบเชอร์ล็อก โฮล์มส์". ค้นข้อมูล 4 มีนาคม 2560, จาก https://www.dek-d.com/writer/37230/

ดูนี่. (ม.ป.ป.). สาวก Sherlock Holmes ห้ามพลาด สิ่งที่ไม่เคยรู้ และพิพิธภัณฑ์ Holmes. ค้นข้อมูล 4 มีนาคม 2560, จาก https://www.doonee.com/inside/100

อ่านเพิ่มเติม »

แซนเดอร์ส (Sanders) ผู้พันไก่ทอด

โดย กาญจนา พรหมโคตร

“ความสำเร็จไม่จำกัดอายุ ความพยายามไม่เคยทรยศใคร ”  ผู้พันแซนเดอส์เป็นบุคคลหนึ่งที่ยืนยันคำพูดนี้ได้ดี คุณลุงหน้ายิ้ม ใส่สูทขาว ที่อยู่บนโลโก้ของเคเอฟซี ไก่ทอดชื่อดังที่ใครๆต่างชื่นชอบและติดใจรสชาติ ว่าครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นนักล้มเหลวมาก่อน…..

ฮาร์แลนด์ ดี แซนเดอร์ส หรือที่เรารู้จักกันดีในชื่อ ผู้พันแซนเดอส์ เกิดเมื่อวันที่ 9 กันยายน ค.ศ. 1890 ที่เฮนรีวิล รัฐอินดีแอนา สหรัฐอเมริกา เป็นบุตรชายของ วิลเบอร์ เดวิด แซนเดอส์ กับ มาร์กาเร็ท แอน แซนเดอส์ แซนเดอส์เป็นลูกชายคนโตของครอบครัว มีพี่น้องทั้งหมด 3 คน


ภาพผู้พันแซนเดอส์ (Colonel Sanders)

เมื่ออายุได้ 6 ปีบิดาของแซนเดอร์ได้เสียชีวิต ทำให้แซนเดอส์ได้อาศัยอยู่กับแม่มาโดยตลอด และได้เรียนรู้วิธีทำอาหารจากแม่เพื่อดูแลน้อง แซนเดอส์มีฝีมือด้านการทำอาหารมาก จนสามารถชนะเลิศการประกวดทำอาหารประจำหมู่บ้านเมื่อมีอายุเพียง 7 ปี

เมื่อมีอายุได้ 10 ปี แซนเดอร์สเริ่มรับจ้างทำงาน เพื่อช่วยเหลือครอบครัวโดยเริ่มจาก การทำงานในฟาร์มใกล้บ้าน จนกระทั้งอายุ 12 ปี แม่ของเขาแต่งงานใหม่ พ่อเลี้ยงของเขาทำร้ายเขาเป็นประจำ ดังนั้นเขาจึงออกจากบ้านไปอาศัยอยู่กับลุงในเมืองอัลบานี (Albany) ไปทำงานที่ฟาร์มในหมู่บ้านเฮนรี วิลล์ ซึ่งนับเป็นจุดเริ่มต้น ของชีวิตการทำงานหลาย ๆ อย่าง ที่เขาเคยทำ เช่น เป็นนักดับเพลิง ฝึกงานที่ศาล ขายประกัน ขายยาง ทำงานที่สถานีขนส่ง หรือแม้แต่การโกหกเรื่องอายุเพื่อเข้าสมัครเป็นทหารตั้งแต่อายุ 16 ปี แต่ก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จเท่าไรนัก และเมื่ออายุ 17 ปี ชีวิตของแซดเดอร์สเหมือนจะต้องลำบากขึ้น เพราะ เขาก็ตกงานติดต่อกันถึง 4 ครั้ง

แซนเดอร์สแต่งงานมีครอบครัวในวัย 18 ปี และในปีถัดมาเขาได้เป็นพ่อคน แซนเดอร์ส แต่งงานกับ โจเซฟีน คิง (Josephine King) ในปี ค.ศ.1908  และหวังจะเริ่มชีวิตครอบครัว แต่เขาก็ถูกเจ้านายไล่ออกจากงานเพราะทำงานนอกคำสั่ง ซ้ำร้ายภรรยาทิ้งเขาไปอีก แซนเดอร์สมีบุตรชายหนึ่งคนชื่อฮาร์แลนด์               (Harland, Jr) เช่นกัน ซึ่งได้เสียชีวิตตั้งแต่ยังเล็ก ภายหลังแซนเดอร์สได้กลับมาคืนดีกับภรรยา และมีบุตรสาวด้วยกันอีก 2 คน ชื่อ Margaret Sanders และ Mildred Sanders Rugglesc และถูกภรรยาของเขาพาลูกสาวหนีไปอีกครั้งเพราะทนใช้ชีวิตกับเขาไม่ได้

ดูเหมือนว่าการทำอาหารจะเป็นสิ่งเดียวที่แซนเดอร์สทำมันได้ดี เขาจึงไปทำงานเป็นพ่อครัวและคนล้างจานในร้านกาแฟเล็กๆ แห่งหนึ่ง และพยายามปรับความเข้าใจกับภรรยาอยู่หลายครั้ง ถึงขนาดมีความคิดที่จะลักพาลูกสาวตัวเอง แต่ก็ทำไม่สำเร็จ  จนในที่สุดเขาก็สามารถโน้มน้าวภรรยาให้กลับมาอยู่ด้วยกันได้    พวกเขาทำงานด้วยกันในร้านกาแฟแห่งนั้น จนกระทั้งเกษียณอายุ ในวัย 65 ปี

การเกษียณอายุนี้เอง ที่แสดงให้เห็นว่าเขาจะไม่สามารถทำงานเพื่อเลี้ยงดูตัวเองและครอบครัวได้    ถึงขนาดที่มีความคิดที่จะฆ่าตัวตายเกิดขึ้น และมันก็เป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้เข้าตระหนักถึงชีวิตที่ผ่านมาของตัวว่าไม่เคยทำอะไรสำเร็จสักอย่างในชีวิต และตระหนักว่าการทำอาหารเป็นถนัดและทำได้ดีเขารู้วิธีปรุงอาหารมาตลอดชีวิต เขาจึงตัดสินใจกับตัวเองอีก มุ่งหน้าไปยังธนาคารในเมือง เพื่อขอยืมเงินจำนวน 87 ดอลลาร์จากเช็คประกันสังคมของเขา ไปซื้อกล่องเปล่าและไก่จำนวนหนึ่งกลับไปที่บ้านและลงมือทอดไก่ที่ซื้อมาด้วยสูตรพิเศษ ที่เขาได้คิดค้นขึ้นในช่วงหลายปีที่ทำงานที่ร้านกาแฟ และเริ่มขายไก่ทอดของตัวเองตามบ้านต่างๆ ในเมืองคอร์บิน รัฐเคนตั๊กกี้ แซนเดอร์สต้องเดินไปเคาะประตูบ้านและร้านอาหาร เพื่อนำเสนอไก่ทอด แต่กลับถูกปฏิเสธถึง 1,009 ครั้ง และในครั้งที่ 1,010 นั่นเองที่ไก่ทอดของเขาได้รับการยอมรับ

จนกระทั้งชื่อผู้พันแซนเดอร์สเริ่มเป็นที่รู้จัก ในปี 1939 พันเอก ฮาร์แลนด์ ดี แซนเดอร์ส ได้รับเกียรติจากมลรัฐเคนตั๊กกี้แต่งตั้งให้ท่านเป็นผู้พัน เคนตั๊กกี้ แทนความยินดีจากผู้ว่ามลรัฐ เคนตั๊กกี้ ที่ผู้พันแซนเดอร์สได้สร้างชื่อเสียงให้แก่รัฐ เพราะท่านได้ทุ่มเทแรงกาย แรงใจ เพื่อคิดค้นสูตรไก่ทอดที่แสนอร่อย โดยนำไก่ มาคลุกเคล้ากับเครื่องเทศ 11 ชนิด และใช้วิธีพิเศษ ของการทอดด้วยเตาทอดระบบ ความดัน เพื่อรักษา รสชาติ หอมอร่อยของไก่  ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของร้าน Kentucky Fried Chicken หรือ KFC แห่งแรกของโลก ที่รัฐเคนตั๊กกี้ สหรัฐอเมริกา

ผู้พันแซนเดอส์เสียชีวิตลงในวัย 90 ปีจากมะเร็งเม็ดเลือดขาว และโรคปอดบวม วันที่ 16 ธันวาคม ค.ศ. 1980 ที่หลุยส์วิล รัฐเคนทักกี สหรัฐอเมริกา ศพแซนเดอส์ได้รับการตั้งไว้ ที่ทำการเมืองหลวง รัฐเคนทักกี แล้วนำศพไปฝังไว้ที่สุสานเคฟฮิลล์ ในเมืองหลุยส์วิล ในปัจจุบัน KFC มีเครือข่ายของร้านอาหารที่ใหญ่ที่สุดของโลก โดยมีร้านที่ให้บริการอาหาร และของว่างมากกว่า 29,500 แห่ง ในกว่า 92 ประเทศทั่วโลก

หากคุณรู้สึกเศร้า คิดว่าตนเองทำอะไรก็ไม่ได้เรื่อง ทำอะไรก็ไม่สำเร็จสักอย่าง ขอให้คุณอย่ากลัวที่จะเริ่มต้น สิ่งที่คุณทำไม่ได้ สิ่งที่คุณทำแล้วล้มเหลว อาจเป็นเพราะคุณไม่ถนัด ทำในสิ่งที่คุณรักและถนัดจงล้มเหลวให้ถึง 1,009 ครั้ง และในครั้งที่ 1,010 จะเป็นความสำเร็จของคุณ


อ้างอิง

เรื่องจริง ผู้พันแซนเดอร์ส ชายผู้ล้มเหลว(เกือบ)ทั้งชีวิต สู่ตำนานไก่ทอด.ค้นเมื่อ 2 มีนาคม 2560,จาก https://th.wikipedia.org/ผู้พันแซนเดอส์

ประวัติ KFCพันเซนเดอร์ส.ค้นเมื่อ 2 มีนาคม 2560,จาก http://9leang.com/2010/05/29/ประวัติ-kfc-ผู้พันเซนเดอร์/

ประวัติผู้พันแซนเดอร์ส เจ้าของ KFC กว่าจะฝ่าฟันได้จนทุกวันนี้ เขาผ่านอะไรมาบ้าง. ค้นเมื่อ 2 มีนาคม 2560, จาก http://www.onenee.com/?p=2378

ผู้พันแซนเดอส์.ค้นเมื่อ 2 มีนาคม 2560,จาก http://www.brandbuffet.in.th/

อ่านเพิ่มเติม »

เทพี เฮรา (Hera)

โดย นายกรวิชญ์   เจริญ

อารยธรรมกรีกสมัยโบราณ มีความเชื่อเกี่ยวกับการนับถือเทพเจ้าหลายองค์ ซึ่งเชื่อว่าเทพเจ้า
เป็นผู้สร้างโลก สร้างมนุษย์ มีชีวิตเป็นอมตะ ไม่มีวันตาย และเชื่อว่าเทพเจ้านั้นมีหน้าตา มีอารมณ์ ความรู้สึกเช่นเดียวกับมนุษย์ แต่มีพลังอำนาจเหนือกว่า  และจะสถิตอยู่ ณ เทือกเขาโอลิมปัส ซึ่งมีอยู่ทั้งหมด 12 องค์ โดยหนึ่งในนั้นก็คือ เทพีเฮรา

เทพีฮีรา หรือ เฮรา พระนางเป็นเทพีแห่งหญิงสาวและชีวิตสมรส เป็นผู้ปกป้องสตรีที่แต่งงานแล้วในตำนานโบราณสัตว์ประจำองค์ของเทพีเฮราคือวัว แต่ในตำนานยุคใหม่คือ นกยูง ซึ่งเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ประจำพระองค์ และจะตามเสด็จอยู่ไม่ห่าง และพฤกษาประจำตัวของพระนางคือผลทับทิม กับนกแขกเต้า


เทพีเฮรากับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ประจำพระองค์

เทพีเฮราเป็นบุตรองค์ที่ 3 เป็นมเหสีและเชษฐภคินี (พี่สาว)ของซูส เป็นธิดาของโครนัส และเรีย
พระนางถูกโครนัสกลืนลงท้องไปตั้งแต่เพิ่งถือกำเนิดเนื่องจากคำสาปของไกอาที่ว่าบุตรของโครนัส
จะโค่นอำนาจของโครนัสเหมือนกับที่โครนัสได้โค่นอำนาจของยูเรนัส แต่ต่อมาเทพีเรียได้ซ่อนซูส
ผู้เป็นบุตรองค์สุดท้องไว้และนำซูสกลับมาเพื่อแก้แค้นโครนัส และนำพี่ ๆ ที่ถูกกลืนเข้าไปอยู่ในท้อง
ของโครนัสออกมา เทพีเฮราจึงปรากฏกายขึ้น

ซูสคลั่งไคล้เทพีเฮรา ต้องการได้นางเป็นภรรยา แต่ทว่าเทพีเฮร่าไม่ต้องการเช่นนั้น เนื่องจาก
ต้องติดอยู่ในท้องของบิดามาตลอดชีวิตวัยเยาว์ เฮร่าจึงต้องการใช้ชีวิตให้คุ้มค่า ไม่รีบร้อนที่จะคิดมีพันธะใดๆเมื่อแรกที่ซูสขอแต่งงาน เฮร่าปฏิเสธ และ ปฏิเสธเรื่อยมาจนถึง 300 ปี วันหนึ่งซูสคิดทำอุบายปลอมตัวเป็น นกกาเหว่า เปียกพายุฝน ไปเกาะที่หน้าต่าง เทพีเฮราสงสารก็เลยจับนกมาลูบขน
พร้อมกับพูดว่า “ฉันรักเธอ” ทันใดนั้นซูสก็กลายร่างกลับคืน และบอกว่า เทพีเฮราต้องแต่งงานกับพระองค์ แต่ทว่าชีวิตการครองคู่ ของเทวีเฮรากับเทพซูส ไม่ค่อยราบรื่นเท่าใดนัก มักจะทะเลาะเบาะแว้งมีปากเสียงกันตลอดเวลา จนเป็นเหตุให้ชาวกรีกโบราณเชื่อกันว่า ในเวลาที่เกิดฟ้าคะนองดุเดือดขึ้นเมื่อใด นั่นคือ สัญญาณว่า ซูสกับเฮรา ต้องทะเลาะกัน เพราะเทพทั้งสองเป็นสัญลักษณ์ของสรวงสวรรค์


ซูส และเทพีเฮรา

แม้ว่าเทพีเฮรามีศักดิ์เป็นถึงราชินีแห่งสวรรค์ หรือเทพมารดาแทนรีอา แต่ความประพฤติ และอุปนิสัย ของเทพีเฮราก็ไม่อ่อนหวานมีเมตตาสมกับเป็นเทพมารดาเลย โดยประวัติของเทพีเฮรานั้นมีทั้งโหดร้าย
ไร้เหตุผล เจ้าคิดเจ้าแค้น และอาฆาตพยาบาท เทพีเฮราเป็นที่รู้จักกันดีในด้านของอารมณ์ดุร้าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อชายาองค์อื่นๆของซูส และบุตรที่เกิดจากชายาเหล่านั้น ไม่ว่าพวกนางจะเป็นเทพี หรือเป็นมนุษย์ก็ตาม ตัวอย่างของผู้ที่ถูกเทพีเฮราปองร้ายมีมากมาย เช่น เทพีลีโต มารดาของเทพอพอลโล่ และเทพีอาร์ทีมิส เฮอร์คิวลิส ไอโอ ลามิอา เกรานา ซิมิลี มารดาของเทพไดโอนิซัส ยูโรปา เป็นต้น ก็จะเจอจุดจบแบบไม่สวยงาม

แต่อย่างไรก็ตามองค์เทพซูสเองก็เคยร้ายกาจกับเทพีเฮราเหมือนกัน โดยลงโทษทัณฑ์แก่เทพีเฮราอย่างไม่ไว้หน้าอยู่บ่อยๆ นอกจากทุบตีอย่างรุนแรงแล้ว ยังใส่โซ่ตรวนที่เท้าของเทพีเฮรากับผูกข้อมือ
มัดโยงอยู่บนท้องฟ้า

เทพีเฮรา นอกจากขี้หึงแล้ว ยังช่างริษยามากอีกด้วย ครั้งหนึ่งเมื่อซูสทรงมีราชธิดานามว่า เอเธน่า ออกมาได้โดยไม่ต้องพึ่งใคร ซึ่งกระโดดออกมาจากเศียรของซูสเอง เทพีเฮราก็ริษยา ทรงตรัสว่าเมื่อซูส
ทรงมีกุมารีด้วยตัวเองได้ นางเองก็มีได้ เช่นกัน ทว่าบุตรที่เกิดจากตัวเทพีเฮรานั้น กลับมิได้สะสวย เรืองฤทธิ์เช่นเอเธน่า แต่เป็นอสูรร้าย น่าเกลียดน่ากลัวยิ่ง คืออสูรร้าย ไทฟีอัส (Typheus) ซึ่งผู้ใดเห็นก็หวาดกลัว เลยทำให้เทพซูสโกรธเป็นอย่างมาก และเกิดการทะเลาะบาดหมางกันอีก

ชีวิตของเทพีเฮรา ถึงแม้จะเป็นเทพเจ้า มีอำนาจเหนือมนุษย์ แต่ในชีวิตก็ยังประสบปัญหา อุปสรรคต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ปัญหาการใช้ชีวิตกับซูส ปัญหาความเจ้าชู้ของซูส เป็นต้น ดังนั้นการที่เราเจอปัญหา อุปสรรคต่างๆ ในชีวิตก็จงคิดว่าปัญหา และอุปสรรคนั้นคือบททดสอบหนึ่ง ที่ทุกคนต่างก็ต้องเผชิญ
และต้องผ่านพ้นปัญหานั้นไปให้ได้ ซึ่งเมื่อเราสามารถผ่านปัญหานั้นไปได้ ก็จะทำให้เราสามารถมีภูมิคุ้มกันที่พร้อมจะรับมือปัญหาต่างๆได้ดี


อ้างอิง

ณัฐรัตน์ เสนชัย. (ม.ป.ป.). เทพนิยายกรีก. ค้นข้อมูล 26 กุมภาพันธ์ 2560, จาก
https://etcphotoploi.wikispaces.com

พรพิมล พรมทา. (2556). เจาะลึกอารยธรรมกรีก-โรมัน. ค้นข้อมูล 25 กุมภาพันธ์  2560, จาก
https://pornpimolpromta.wordpress.com/about/

มาลัย (จุฑารัตน์). (2547). ตำนานกรีก-โรมัน (ฉบับสมบูรณ์). กรุงเทพฯ : บริษัท พิมพ์ดี จำกัด.

อังสุมารินทร์ ศรีกลชาญ. (2556). จุดกำเนิดเทพเจ้าปกรณัมกรีก และเทพเจ้ากรีกโรมันแห่งยอดเขาโอลิมปัส. ค้นข้อมูล 25 กุมภาพันธ์ 2560, จาก https://angsumarin.wordpress.com

แอนโธนี ฮอโรวิทซ์. (2546). ตำนานเทพ และปรัชญากรีก. กรุงเทพฯ : Good morning

Phuketindex. (ม.ป.ป.). เฮร่า (Hera) หรือจูโน่ (Juno) ราชินีของเทพธิดา. ค้นข้อมูล 25 กุมภาพันธ์ 2560, จาก http://variety.phuketindex.com/faith/-juno-393.html


อ่านเพิ่มเติม »

วัฒนธรรมเคป็อป (K-Pop)

โดย ชัยดิลก อัสสพันธ์

ยุคโลกาภิวัฒน์โลกไร้พรมแดนทำให้เกิดการติดต่อสื่อสารได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว สินค้าและวัฒนธรรมจากประเทศหนึ่งหลั่งไหลสู่อีกประเทศหนึ่ง หรือจากซีกโลกหนึ่งไปสู่อีกซีกโลกหนึ่งอย่างมากมายและง่ายดาย กระแสอเมริกานิยม (Americanization) ที่เคยเกิดขึ้นหลายสิบปีก่อนอาจกล่าวได้ว่าคือ ตัวอย่างแรกๆ ของกระบวนการผ่อนถ่ายขายสินค้าผ่านการแทรกซึมของวัฒนธรรมอเมริกัน โดยมีสินค้าฮอลลีวูด (Hollywood Product) เป็นตัวนำร่อง

เมื่อลมพัดหวนกลับมายังฝั่งตะวันออก วัฒนธรรมเอเชียกลายเป็นจุดสนใจของชาวโลกมากขึ้นเรื่อยๆ ประเทศจีนกลายเป็นพี่ใหญ่แห่งเอเชียที่ดูจะเป็นตัวเต็ง เพราะเป็นประเทศแรกของเอเชียที่เริ่มเผยแพร่วัฒนธรรมจีนผ่านภาพยนตร์ ละครโทรทัศน์ ส่งไปจำหน่ายในประเทศต่างๆ ทั่วโลก ต่อมาก็กระแสนิยมญี่ปุ่น ที่เริ่มมาแรงในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา สร้างมูลค่าและค่านิยมอันดีต่อภาพลักษณ์ของประเทศญี่ปุ่นได้มากขึ้น และกลายเป็นประเทศที่ได้รับความนิยมในโลกอีกประเทศหนี่ง

จนกระทั่งในปัจจุบันที่จะปฏิเสธไม่ได้เลยว่าวัฒนธรรมเคป็อป หรือที่เรียกกันว่า  Korean pop culture ในปัจจุบันได้รับความนิยม มีอิทธิพล และแพร่กระจายไปทั่วเอเชีย จากเดิมที่เกาหลีใต้เป็นเพียงประเทศเล็กๆ ที่ยูเนสโกเคยจัดอันดับให้เป็นหนึ่งประเทศยากจนเมื่อหลายสิบปีก่อน เพราะเป็นประเทศที่ผ่านสงครามซ้ำแล้วซ้ำเล่า อีกทั้งยังมีวัฒนธรรมที่ไม่โดดเด่นเท่ากับประเทศเพื่อนบ้านจีน หรือญี่ปุ่นที่มีต้นทุนทางวัฒนธรรมสูง แต่เกาหลีใต้ได้พยายามประชาสัมพันธ์ตัวเอง และเผยแพร่วัฒนธรรมให้เป็นที่รู้จักแพร่หลายไปทั่วเอเชีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแปลงต้นทุนทางวัฒนธรรมที่มีอยู่ให้เป็นสินค้าทางวัฒนธรรมผ่านการวางแผนยุทธศาสตร์ มีการเตรียมความพร้อมที่ชัดเจนและจริงจัง จนกลายเป็นแบรนด์สินค้าวัฒนธรรมที่มีศักยภาพอย่างยิ่งในการเจาะตลาดเอเชีย สร้างรายได้เข้าประเทศอย่างมหาศาล โดยมีวัฒนธรรมหรือกระแส K-Pop ที่เต็มไปด้วยศิลปินหรือนักร้องเกาหลี (Idol) ไม่ว่าจะเป็นศิลปินเดี่ยวหรือศิลปินกลุ่ม และเป็นที่นิยมอย่างถึงขีดสุดในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา จัดเป็นผลผลิตชั้นยอดของเกาหลีใต้ที่พัฒนาให้ศิลปินเหล่านี้กลายเป็น “แบรนด์ทางวัฒนธรรม”



นักสังคมวิทยา จอห์น ลี ได้อธิบายถึงการได้รับความนิยมของวัฒนธรรมเคป็อปนั้นเกิดขึ้นได้ด้วยลักษณะการรวมแนวทางดนตรีที่ทันสมัยเหมือนฝั่งตะวันตกไม่ว่าจะเป็น อิเล็กทรอนิกส์ อาร์แอนบี และ       ฮิปฮอบ เข้าด้วยกันจนเกิดเป็นลักษณะดนตรีที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง การเต้นที่พร้อมเพรียงกันของ         วงเกิร์ลกรุ๊ปและบอยแบรนด์ อีกทั้งเพลงยังมีท่วงทำนองที่เข้าถึงง่ายผ่านการร้องโดยศิลปินที่มีหน้าตาสวยหล่อ และจะไม่มีเรื่องเซ็ก รอยสัก, เจาะ, ยาเสพติด เหมือนศิลปินฝั่งทางด้านตะวันตก สิ่งเหล่านี้ได้กลายเป็นลักษณะของวัฒนธรรมเกาหลีสมัยใหม่  จึงทำให้วัฒนธรรมเคป็อปนั้นได้รับความนิยมไปทั่วทั้งเอเชียและทั่วโลกในปัจจุบัน โดยผ่านความร่วมมือระหว่าง รัฐบาล สื่อ และผู้ประกอบการด้านบันเทิงต่างๆ ซึ่งมีนโยบายการจัดการที่จริงจัง ในการนำเอาวัฒนธรรมเคป็อปเผยแพร่ไปยังมุมต่างๆ ของโลก ทำให้จากหลายปีที่ผ่านมาวัฒนธรรมเคป็อปได้รับความนิยมและการตอบรับที่ชัดเจน ถือได้ว่าเป็นความประสบความสำเร็จที่สำคัญของเกาหลีใต้ก็ว่าได้ เพราะนอกเหนือไปจากความนิยมและผลตอบรับอย่างมากจากแฟนๆ ในเอเชียแปซิฟิก ยังพบว่าในส่วนของยุโรป อเมริกา หรือแม้แต่ตะวันออกกลาง ก็ได้รับความนิยมและการตอบรับจากกระแสวัฒนธรรมเคป็อปที่ได้แพร่กระจายมาเช่นเดียวกัน

หากพิจารณามองสังคมและวัฒนธรรมของเกาหลีใต้เมื่อ 20 ปีก่อน ก็จะสามารถอธิบายการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมที่ได้ไหลผ่านสังคมของเกาหลีใต้ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา รวมทั้งการลดลงของจริยธรรมขงจื้อ การปฏิเสธพิธีกรรมและค่านิยมที่ดั้งเดิมที่มองว่าเราควรที่จะให้เกียรติกับร่างกายที่เป็นสิ่งที่พ่อแม่ให้มา ไม่ควรที่จะแสดงร่างกายของตน ยึดถือใบหน้า รูปร่างที่ดั้งเดิมของตนเองโดยไม่ตกแต่งหรือศัลยกรรมเพื่อความงาม แต่ในปัจจุบันผู้คนในเกาหลีใต้นิยมความสวยความงามเพิ่มมากขึ้น โดยจะสังเกตได้จาก ดารา นักร้องหรือไอดอล ต่างมีหน้าตาที่สวยหล่อ สูง ผอม ด้วยการทำศัลยกรรมจนกลายเป็นอุตสาหกรรมอย่างหนึ่งที่ดึงดูดให้คนทั่วโลกต้องการเข้ามาทำศัลยกรรมที่เกาหลีใต้ จากการพิจารณาสังคมและวัฒนธรรมข้างต้น ก็จะสามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน ผ่านการพัฒนาในกระบวนการทำให้วัฒนธรรมเป็นสินค้าของเกาหลีใต้ ซึ่งมีการวิเคราะห์ความเป็นมาของวัฒนธรรมเกาหลีใต้สมัยใหม่ว่า พวกเขาได้รับอิทธิพลอย่างมากจากการตกเป็นอาณานิคมของประเทศญี่ปุ่น และการได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมอเมริกาและโลกาภิวัฒน์ที่ผ่านมา สิ่งเหล่านี้ได้ทำให้เกิดการพัฒนาและหลอมรวมเกิดเป็นวัฒนธรรมเกาหลีสมัยใหม่ ผ่านระบบการทำงานของนวัตกรรมทางเศรษฐกิจและการผลิตสินค้าทางวัฒนธรรม ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบของ เพลง ละครโทรทัศน์ ภาพยนตร์ ฯลฯ  นอกจากการหลอมรวมวัฒนธรรมจนเกิดเป็นลักษณะของวัฒนธรรมเกาหลีสมัยใหม่แล้ว ยังมีการพัฒนาที่ได้รับอิทธิพลด้านกลยุทธ์และการวางแผนที่ทำให้เกาหลีใต้นำมาปรับปรุงและพัฒนามาตลอด ทั้งการออกแบบสินค้าจากประเทศเดนมาร์ก เทคโนโลยีการผลิตจากประเทศเยอรมัน และกลยุทธ์การตลาดจากประเทศญี่ปุ่น



ดังนั้นวัฒนธรรมเคป็อปจึงถือได้ว่าเป็นวัฒนธรรมสมัยใหม่ ซึ่งเป็นผลผลิตของกระบวนการครอบโลกที่เรียกว่า โลกาภิวัฒน์ และเป็นวัฒนธรรมที่เกิดจากการผลิตของสื่อมวลชนและสินค้าในระบบทุนนิยมที่ได้รับการผลิตคิดค้น นำเสนอและเผยแพร่ในสังคมหนึ่งเพื่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและสังคม โดยหากเรามองวัฒนธรรมสมัยใหม่เพียงผิวเผินก็อาจทำให้เราเกิดความไม่เข้าใจ มีอคติกับวัฒนธรรมสมัยใหม่ แต่อย่าลืมว่าวัฒนธรรมที่สูญสลายไปในอดีต สาเหตุหนึ่งก็เพราะว่าไม่สามารถปรับตัวกับกระแสปัจจุบันได้ ดังนั้นเราต้องรู้เท่าทันและเข้าใจมัน ในเนื้อแท้ มิใช่เปลือกนอกที่กลวงเปล่า วัฒนธรรมสมัยใหม่จึงเป็นสีสันของยุคสมัยใหม่ เป็นความเคลื่อนไหวที่น่าจับตามอง เพราะวัฒนธรรมไม่ใช่ค่านิยม อุดมคติ หรือความใฝ่ฝัน วัฒนธรรมไม่ใช่สิ่งประเสริฐหรือเครื่องมือบอกถึงความเจริญงอกงามในวิถีชีวิตของคน วัฒนธรรมคือสิ่งที่เป็นธรรมดาสามัญหรือวิถีธรรมดาสามัญของโลกและชีวิตเท่านั้นเอง


อ้างอิง 

Sohn Ji-young.  2557.  “Understanding contemporary South Korea through K-pop.”[ออนไลน์].     สืบค้นเมื่อ 17 มกราคม 2560, จาก: http://www.koreaherald.com/view.php?ud=20140714000987  .

“เบื้องหลังความสำเร็จแห่กระแส K-POP กับมนตรา 3 ประการ.”[ออนไลน์].  2552.  สืบค้นเมื่อ 17 มกราคม 2560, จาก http://forums.soshifanclub.com/index.php?showtopic=24772 

สุภัทรา สุชชู.  2549.  “Hallyu คลื่นความมั่งคั่งของเกาหลี.”[ออนไลน์].  สืบค้นเมื่อ 17 มกราคม 2560, จาก http://www.positioningmag.com/ 

อ่านเพิ่มเติม »

จุดจบราชวงศ์ชิง

โดย นายโสรัตน์  สันหา

เป็นเวลากว่า 268 ปี ที่ราชวงศ์ชิงได้ปกครองแผ่นดินจีน มันเป็นยุคที่จีนมีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลที่สุด และทรงอิทธิพลอย่างมาก เเต่เมื่อมองให้ลึกลงไปอย่างละเอียด ราชวงศ์ชิงเป็นยุคที่เสื่อมถอยความเจริญอย่างมาก อีกทั้งภัยจากมหาอำนาจตะวันตกได้เริ่มแผ่ขยายอิทธิพลมายังโลกตะวันออก นำไปสู่เหตุการณ์ที่ทำให้ระบบจักรพรรดิที่ใช้มากว่า 2000 ปีต้องปิดฉากลง

ราชวงศ์ชิงเป็นราชวงศ์ของชาวแมนจู เดิมที่นั้นชาวแมนจูเป็นชนเผ่าเร่รอนที่อาศัยอยู่ในเขตเเมนจูเรีย หรือทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศจีนในปัจจุบัน ซึ่งเป็นพื้นที่สภาพแห้งเเล้งและมีอากาศหนาวเย็น

เมื่อครั้งช่วงปลายราชวงศ์หมิง แผ่นดินเกิดความวุ่นวาย เกิดกบฏขึ้นในหลายพื้นที่ ผู้นำเผ่าแมนจู ชื่อ นู่เอ๋อร์ฮาชื่อ ได้ถือโอกาสรวบรวมกำหลังพล ยกทัพเข้าพิชิตกรุงปักกิ่งอันเป็นราชธานีของราชวงศ์หมิง เปิดศักราชชาวแมนจูปกครองแผ่นดินจีน

ในช่วงต้นราชวงศ์ชิงปกครองจีนอยู่นั้น ได้เกิดกบฏอยู่บ่อยครั้งอันเนื่องมาจากชาวฮั่น ไม่พอใจที่ราชวงศ์ชิงซึ่งเป็นชาวเเมนจูเข้ามาเป็นใหญ่ ดังนั้นในช่วงแรกจึงได้มีการใช้นโยบายที่ประนีประนอมเพื่อให้เกิดสันติสุข และแข็งกร้าว เพื่อควบคุมไม่ให้เกิดการกบฏ

ในช่วงต้นของการเข้าปกครอง จักรพรรดิหลายพระองค์ได้แสดงให้เห็นถึงแสนยานุภาพของกองทัพแมนจู ได้มีการขยายอาณาเขตของจักรวรรดิไปอย่างกว้างใหญ่ไพศาล ทางทิศเหนือมีพื้นที่ครอบคลุมเขตแมนจูเรีย มองโกเลีย ทางตะวันตกสามารถพิชิตดินแดนของชาวทิเบต และชาวอุยกูร์  ดังนั้นในช่วงยุคต้นของราชวงศ์ชิงจึงเป็นช่วงที่มีความรุ่งเรืองอย่างมาก

แต่แล้วราชวงศ์ชิงก็ไม่อาจควบคุม และรักษาเสถียรภาพของประเทศไว้ได้ ดังคำโบราณว่าไว้ สถานการณ์ในแผ่นดินนี้ เมื่อแตกแยกมานานก็จะรวมสมาน รวมสมานมานานก็จะแตกแยก หลังรัชสมัยของพระเจ้าเฉียนหลง

(1711–1799) ราชวงศ์ชิงเริ่มอ่อนแอและความเจริญรุ่งเรืองลดลง เกิดปัญหาในประเทศมากมายทั้งปัญหาการทุจริตของข้าราชการ ท้องพระคลังเริ่มขัดสนอันเนื่องมาจากการทำสงครามในช่วงยุคแรกๆ ปัญหาภัยธรรมชาติและขาดที่ดินทำกิน ประกอบกับชาติมหาอำนาจในยุคล่าอาณานิคม ที่ราชวงศ์ชิงไม่อาจทานได้เพราะระบบการปกครอง และเศรษฐกิจที่ล้าสมัย

ประเด็นสำคัญที่ทำให้ราชวงศ์ตกต่ำลงนั้น เห็นจะเป็นความล้าหลังทั้งด้านการปกครอง เศรษฐกิจ การทหาร เทคโนโลยี เหตุการณ์ที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนคือ สงครามฝิ่นครั้งที่ 1 (1711–1799) ผลของสงครามคือจีนพ่ายแพ้ต่ออังกฤษ อย่างหมดรูป แสดงให้เห็นว่า กองทัพของจีนล้าหลัง และไร้ประสิทธิภาพกว่าของทัพอังกฤษ


กองเรือสหราชอาณาจักรรบกับกองเรือสำเภาของจีน

การที่จีนรบแพ้อังกฤษในสงครามฝิ่นครั้งแรกนั้นทำให้จีนต้องลงนามในสนธิสัญญาไม่เป็นธรรมและต้องสูญเสียฮ่องกงให้แก่อังกฤษ และยกเลิกระบบการค้าแบบกวางตุ้งให้เป็นแบบเสรีในเมืองแถบชายฝั่งทะเล และเสียค่าปฏิกรรมสงครามจำนวนมาก ในช่วงนั้นท้องพระคลังเริ่มขาดแคลนจึงขูดรีดภาษีจากประชาชน ทำให้ประชาชนอดอยาก สังคมเริ่มวุ่นวาย ไร้ความสงบสุข ประชาชนเริ่มรวมตัวต่อต้านอำนาจรัฐกลายเป็นกบฏไท่ผิงขึ้น

รัฐบาลชิงใช้เวลาหลายปีในการจัดการกบฏไท่ผิง จนกระทั่งปี 1864 จึงปราบปรามสำเร็จ แต่ปัญหาใหม่ของรัฐบาลราชวงศ์ชิงก็เริ่มปรากฏให้เห็นอีกมากขึ้นเรื่อยๆ

ช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ญี่ปุ่นเพื่อนบ้านของจีนได้ทำการปฏิรูปประเทศให้ทันสมัย และยังมีความต้องการขยายอิทธิพลเข้าสู่ภาคพื้นทวีป ผ่านทางเกาหลี รัฐบาลราชวงศ์ชิงให้ให้ความคุ้มครองเกาหลีจึงต้องส่งทหารเข้าร่วมการรบในสงครามจีน - ญี่ปุ่น ครั้งที่ 1  ผลของสงครามคือญี่ปุ่นชนะ ราชสำนักชิงต้องยกเกาหลี  ไต้หวัน และชดเชยค่าทำปฏิกรรมสงครามจำนวนมาก ทำให้มีการขูดรีดภาษีจากประชาชนหนักขึ้นไปเรื่อยๆ

จักรพรรดิกวางสู (1875–1908) จึงเริ่มตระหนักถึงความสำคัญที่ต้องปฏิรูปประเทศให้ทันสมัยอย่างยุโรป คังโยวเหวย นักปฏิรูปคนสำคัญชาวจีนในช่วงปลายราชวงศ์ชิง ได้เสนอแผนการปฏิรูปประเทศให้เข้มแข็ง ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากจักรพรรดิกวางสูเป็นอย่างดี แต่ล้มเหลวเนื่องจากพระนางซูสีไทเฮาซึ่งเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน กุมอำนาจว่าราชการมาตั้งแต่รัชสมัยของจักรพรรดิพระองค์ก่อน พระนางทรงคัดค้านเพราะเห็นว่าการปฏิรูปนั้นจะเกิดผลเสียมากว่าผลดี การปฏิรูปจึงดำเนินได้แค่เพียง  100  วัน

ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ย่างเข้าสู่ศตวรรษที่  20 แรงกดดันต่อราชสำนักมีมากขึ้น มีทั้งฝ่ายที่ต้องการให้มีจักรพรรดิภายใต้รัฐธรรมนูญ กับฝ่ายที่ต้องการล้มล้างราชวงศ์  เพื่อเป็นการลดแรงกดดันของประชาชน ราชสำนักชิงเลือกที่จะให้มีการร่างรัฐธรรมนูญเกิดขึ้น อีกทั้งยังได้สถาปนาจักรพรรดิพระองค์ใหม่ “ปูยี”


รูป จักรพรรดิปูยีขณะถ่ายภาพในพระราชวังต้องห้าม
ที่มา : https://www.findagrave.com/

แต่ร่างรัฐธรรมนูญที่ประกาศใช้นั้นกลับสร้างความผิดหวังแก่ประชาชนอย่างมาก เพราะว่าได้กำหนดให้มีการแต่งตั้งบุคคลเข้าดำรงตำแหน่งผู้บริหารที่เป็นเชื้อพระวงศ์ชิงจำนวนมาก สร้างความไม่พอใจแก่ประชาชนอย่างมาก ความกดดันที่ต้องล้มล้างราชวงศ์ชิงจึงมีมากขึ้น

ใน 1911 จึงได้มีการบีบให้จักรพรรดิปูยีสละราชสมบัติ ขณะนั้นทรงมีอายุเพียง 6 พรรษา ถือเป็นการสิ้นสุดของประวัติศาสตร์การปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในจีนที่มีมายาวนานหลายพันปี ส่วนประเทศจีนก็ยังคงเดินหน้าต่อไปภายใต้การปกครองแบบสาธารณะรัฐ มีประธานาธิบดีเป็นผู้นำรัฐบาล

ข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับการล้มล้างราชวงศ์ชิงนั้น มีอยู่หลายประการแต่ประเด็นสำคัญสุดคือการที่ชนชั้นสูงในราชสำนักละเลยต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก ซึ่งหลายคนยังคงยึดมั่นในหลักการแบบขงจื้อในการบริหารบ้านเมือง ตรงกันข้ามกับญี่ปุ่นที่มีความทะเยอทะยานที่จะปฏิรูปประเทศให้ทันสมัยและทัดเทียมกับชาติอื่นๆ จนสามารถกลายเป็นมหาอำนาจได้

การล้มล้างราชวงศ์จึงเป็นความหวังที่จะทำให้ประเทศหลุดพ้นจากความล้าหลัง แต่จีนก็ยังคงไม่ประสบความสำเร็จที่จะพัฒนาตนเองให้ทันสมัยทันเทียมกับนานาชาติ เพราะปัญหาภายในที่ยังคงมีอยู่ประกอบกับเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 และสงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้การพัฒนาประเทศต้องหยุดชะงักไปช่วงหนึ่ง

ตลอดระยะเวลากว่า 260 ปีที่ราชวงศ์ชิงเข้าปกครองประเทศจีน เป็นยุคที่โลกเริ่มมีการติดต่อ แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกันอย่างแพร่หลาย องค์ความรู้ วิทยาการ อุดมการณ์ทางการเมือง จากตะวันตกได้ไหล่บ่ามายังโลกตะวันออก เป็นแรงกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากมาย การปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์โลกจึงเป็นสิ่งสำคัญที่หลายชาติต้องตระหนักอย่างมาก

การปฏิรูปเมจิในญี่ปุ่นช่วงปลายศตวรรษที่ 18 แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าการปรับปรุงตนเองให้เข้ากับสถานการณ์โลกนั้นจึงจะทำให้ชาติบ้านเมือง รวมไปถึงราชวงศ์นั้นอยู่รอดต่อไปได้ ในทางกลับกันราชสำนักชิงกลับไม่ได้ใส่ใจถึงเรื่องการปรับปรุงตนเองให้สอดคล้องกับความเป็นไปของสถานการณ์โลก จึงเป็นเหตุที่ทำให้สิ้นสุดเกียรติยศ ความเกรียงไกรของราชวงศ์ที่บรรพบุรุษได้สั่งสมเอาไว้


อ้างอิง

จันทร์ฉาย ภัคอธิคม. (2553). ประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกสมัยใหม่. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัย รามคำแหง

แฟร์แบงค์, เจ. เค., ไรเชาเออร์, อี. โอ., และ เคร็ก, เอ. เอ็ม. (2525). เอเชียตะวันออกยุคใหม่ เล่ม 1 (เพ็ชรี สุมิตร, ผู้แปล) กรุงเทพฯ: ไทยวัฒนาพาณิชย์. (ต้นฉบับปี 1965)

หวัง, หลง. (2559). ราชสำนักจีนหันซ้าย โลกหันขวา (เขมณัฎฐ์ ทรัพย์เกษมชัย และ สุดารัตน์ วงศ์กระจ่าง, ผู้ แปล). กรุงเทพฯ: มติชน. (ต้นฉบับพิมพ์ปี 2010)

อั้ยชิง เจี่ยวหรอ ฟู่อี้. (2533). จากจักรพรรดิสู่สามัญชน. (ยุพเรศ วินัยธร, ผู้แปล) กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ธรรมสาร.


อ่านเพิ่มเติม »

อาร์เทมิส (Artemis) เทพีแห่งดวงจันทร์และการล่าสัตว์

โดย มะลิวัลย์ ทำทอง

ในอดีตมนุษย์ยังไม่ค้นพบหลักการทางวิทยาศาสตร์ในการพิสูจน์สรรพสิ่งต่างๆในโลกใบนี้ มนุษย์จึงเชื่อว่าปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดขึ้น ล้วนเป็นฝีมือของสิ่งที่เหนือธรรมชาติ จึงทำให้มนุษย์ในสมัยโบราณนับถือเทพเจ้า ภูต ผี ปีศาจ เพื่อที่จะเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ รวมทั้งคอยปกปักรักษาชีวิตของตนเองและบ้านเมือง ชาวกรีกโบราณ ก็เป็นอีกชนชาติหนึ่งที่มีความเชื่อเกี่ยวกับเทพเจ้าเป็นอย่างมาก ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเกี่ยวข้องกับเทพเจ้า


อาร์เทมิส จันทราเทพีแห่งกรีก
ที่มา : http://www.tumnandd.com/

เทพีอาร์เทมิส (Artemis) เป็นหนึ่งในเทพเจ้าที่ชาวกรีกนับถือ พระนางเป็นลูกสาวคนโตของเทพซูส (เทพแห่งท้องฟ้าและสายฟ้า) และเทพีเลโต อีกทั้งยังเป็นน้องสาวฝาแฝดของเทพอะพอลโล (เทพแห่งดวงอาทิตย์) โดยชาวกรีกนับถือพระนางเป็นตัวแทนของดวงจันทร์ การล่าสัตว์ และความรัก

เทพีอาร์เทมิสยังทรงเป็นเทพีผู้ถือพรหมจรรย์เจริญรอยตามเทพีเฮสเทียและเทพีอาธีน่า เพราะพระองค์ทรงเห็นความทุกข์ของเทพีเลโตผู้เป็นมารดาที่ต้องลำบากกับความรักที่เป็นพระชายาของเทพซูสจนถูกเทพีเฮร่าตามราวี จึงทำให้พระนางมิโปรดและกลัวที่จะออกเรือน จึงวิงวอนให้เทพซูสสาบานว่าจะไม่จับคู่สมรสให้พระนางหรือให้พระนางสมรสไม่ว่ากรณีใด และให้พระนางเป็นเทพีผู้ครองพรหมจรรย์ ซึ่งเทพซูสก็ให้พระนางสาบานโดยมีแม่น้ำสติกซ์ ซึ่งไหลรอบนรกเป็นพยานในการปฏิญาณว่าไม่ขอมีครอบครัวและจะรักษาพรหมจรรย์ไว้ยิ่งชีพ

แต่ก็ยังมีตำนานบางตอนที่กล่าวว่าเทพอาร์เทมิสได้ไปหลงรักสหายสนิทของตน ซึ่งมีนามว่า “โอไรออน” เขาเป็นนายพรานผู้ฉมังในการล่าสัตว์ มีสุนัขคู่ใจชื่อว่าซิริอุส ทุกๆวันพระนางและสหายจะร่วมกันล่าสัตว์ด้วยกัน พระนางหลงรักนายพรานหนุ่มและคิดที่จะสละความเป็นเทพีผู้ครองพรหมจรรย์ เพื่อแต่งงานกับโอไรออน เทพอะพอลโลรู้ถึงความคิดนี้เข้าและกลัวว่าพระนางจะต้องรับโทษจากการผิดคำสาบานต่อหน้าแม่น้ำสติกซ์ จึงวางแผนที่จะล้มเลิกความคิดของน้องสาวฝาแฝด จนเกิดเป็นโศกนาฏกรรมขึ้น

โดยอะพอลโลสั่งให้โอไรออนเดินลุยน้ำทะเลไปยังเกาะแห่งหนึ่งกลางทะเล และเมื่อโอไรออนเดินไปถึงยังจุดที่ไกลจนเมื่อมองจากเกาะดีลอสแล้วจะเห็นเพียงศีรษะของโอไรออนที่มองดูเหมือนกับเกาะกลางน้ำ เทพอะพอลโลก็ชวนเทพีอาร์เทมิสมาล่าสัตว์แข่งกัน และท้าพนันให้พระนางยิงธนูทะลุเกาะกลางทะเลที่อะพอลโลชี้ให้ดูให้ได้ พระนางตกหลุมพรางของเทพฝาแฝด เหนี่ยวสายธนูเต็มแรงจนลูกธนูทะลุศีรษะของโอไรออนถึงแก่ความตาย เมื่อพระนางทรงทราบว่าตนได้ฆ่าชายที่รักลงด้วยน้ำมือของตนเองแล้ว จึงนำศพของโอไรออนและซิริอุสสุนัขคู่ใจขึ้นไปไว้บนท้องฟ้าในตำแหน่งของกลุ่มดาวนายพราน และดาวสุนัขใหญ่

เทพีอาร์เทมิส ถือเป็นจันทราเทพีผู้ปกครองช่วงเวลาในตอนกลางคืน และถือเป็นเทพีผู้มอบแสงสว่างให้แก่รัตติกาลอีกด้วย ในขณะเดียวกัน พระนางก็ยังมีแนวทางที่แตกต่างจากเทพีองค์อื่นๆที่รักสวยรักงาม โดยเทพีอาร์เทมิส จะมีลักษณะออกแนวแข็งแกร่ง โปรดการล่าสัตว์ พระนางจะมีอาวุธคู่กายเป็นคันธนูและลูกศรติดตัวเอาไว้อยู่เสมอ มีสัตว์คู่ใจคือกวางหรือหมี พระนางจึงมักถูกนับถือในนามของเทพีผู้คุ้มครองสัตว์ป่าเสียมากกว่า หากมีผู้ใดที่เข้าไปในเขตป่าของพระนางโดยไม่ได้รับการยินยอม หรือเข้ามาทำร้ายสัตว์ป่าที่อาศัยอยู่ในอาณาเขตของพระนางแล้ว หากพระนางทราบเข้าก็จะทำการสังหารบุคคลผู้นั้นจนตายด้วยลูกธนู


มหาวิหารอาร์เทมีส (The Temple of Artemis)
ที่มา : http://www.bloggang.com/

นอกจากนี้ชาวกรีกยังได้สร้างวิหารอาร์เทมิส โดยเป็นวิหารสร้างด้วยหินอ่อน เพื่อถวายเทพีอาร์เทมีส ผู้มาจากสวรรค์ ผู้ช่วยชาวเมืองให้พ้นจากหายนะและภัยพิบัติได้ อยู่ในเมืองอีเฟซุส บนชายฝั่งแห่งหนึ่ง (ซึ่งปัจจุบันนี้ คือประเทศตุรกี) ในรัชสมัยของกษัตริย์อเล็กซานเดอร์ จัดเป็นวิหารที่สวยงามแห่งหนึ่งจนกลายเป็นที่รู้จักว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกในยุคเก่า แต่วิหารแห่งนี้ได้ถูกทำลายสิ้น จนเหลือแต่ซากปรักหักพัง

ถึงแม้วิทยาศาสตร์จะก้าวหน้าไปมากเพียงใดก็ตาม จนสามารถพิสูจน์ว่าเทพเจ้าก็เป็นเพียงแค่ความเชื่อ ไม่มีตัวตนอยู่จริง แต่ผู้คนก็ยังคงเลือกที่จะศรัทธาต่อเทพเจ้า หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ เพราะเทพเจ้าก็เปรียบเสมือนที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ โดยไม่จำเป็นต้องตรงตามหลักเหตุผลใดๆ


อ้างอิง

ชญา ปิยะชาติ. (2556). กรีก-โรมัน ประวัติศาสตร์และอารยธรรม (พิมพ์ครั้งที่ 3). กรุงเทพฯ : ยิปซี กรุ๊ป.

อนันตชัย จินดาวัฒน์. (2552). กำเนิดอารยธรรมโบราณ. กรุงเทพฯ : ยิปซี กรุ๊ป.

ดวงธิดา ราเมศวร์. (2559). ประวัติศาสตร์กรีกโบราณ (พิมพ์ครั้งที่ 1). กรุงเทพฯ : บริษัทยูโรปา เพลส จำกัด

เอดิธ แฮมิลตัน. (2554). ปกรณัมปรัมปรา ตำนานเทพและวีรบุรุษกรีก-โรมัน-นอร์ส. (พิมพ์ครั้งที่ 6). กรุงเทพฯ: อมรินทร์



อ่านเพิ่มเติม »

มหาสฟิงซ์ (The Great Sphinx of Giza)

โดย ชนัญญา วุฒิภิรมย์

อารยธรรมอียิปต์ เป็นอารยธรรมที่เก่าแก่และมีความยิ่งใหญ่อีกแห่งหนึ่งของโลก และยังเป็นอารยธรรมที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เนื่องจากมีมรดกทางสถาปัตยกรรมที่ผู้คนทั่วโลกต่างรู้จัก คือ รูปสลักสฟิงซ์ที่มีความมหัศจจรรย์ งดงาม และลึกลับ  โดยสฟิงซ์ที่ใหญ่และได้รับความสนใจจากนักโบราณคดีมากที่สุด คือ มหาสฟิงซ์ (The Great Sphinx of Giza)



มหาสฟิงซ์ (The Great Sphinx of Giza) คือ รูปสฟิงซ์แกะสลักด้วยหินก้อนเดียวที่ขนาดใหญ่ที่สุด ในโลกชิ้นหนึ่ง ซึ่งพันธุ์ของสฟิงซ์ในอียิปต์ถูกเรียกว่า แอนโดรสฟิงซ์ (Andro-Sphinx) โดยมีตัวเป็นสิงโตและมีหัวเป็นมนุษย์อยู่ในบริเวณพีระมิดแห่งกิซ่า มีความยาววัดจากหัวถึงหางกว่า 240 ฟุต (74 เมตร) มีความสูงประมาณ 66 ฟุต (20 เมตร) และเฉพาะส่วนใบหน้าของ มหาสฟิงซ์ กว้างประมาณ 14 ฟุต หมอบเฝ้าอยู่ใกล้กับพีระมิดคาเฟร โดยหันหน้าไปทางทิศตะวันออก

โครงสร้างก่อหินภายในมหาสฟิงซ์ก่อตัวสูงขึ้นจากด้านทิศตะวันออกไปยังทิศตะวันตก กล่าวคือจากส่วนนอกไปยังส่วนหลัง แล้วลาดลงจากด้านทิศเหนือไปทางทิศใต้ ดังนั้นมหาสฟิงซ์จะหันหน้าไปทางทิศตะวันออกเช่นเดียวกับทิศทางตำแหน่งของมหาพีระมิดดังที่กล่าวไปในข้างต้น



ใบหน้าของมหาสฟิงซ์นับแต่ส่วนหัวลงมาไม่รวมใบหู มีลักษณะเอียงเล็กน้อย ตาด้านซ้ายสูงกว่าตาด้านขวา และตรงกลางริมฝีปากไม่อยู่ในตำแหน่งที่สมดุล กล่าวคือ ค่อนไปทางด้านขวามากกว่า ซึ่งบริเวณใบหน้าของมหาสฟิงซ์นั้นถูกทำลายไปอย่างมาก โดยส่วนจมูกหายไป ดวงตาและบริเวณโดยรอบแตกต่างจากสภาพเดิมที่สร้างในระยะแรก

ชาวอียิปต์โบราณเชื่อว่า สฟิงซ์เปรียบเสมือนเป็นตัวแทนของกษัตริย์ หรือเป็นสัตว์ที่ชาญฉลาดและมีพลังเพื่อปกป้องพระศพและทรัพย์สมบัติภายในพีระมิด และนอกจากสฟิงซ์จะมีหน้าที่เฝ้าพีระมิดแล้ว บริเวณรอบๆด้านหลังและทุกด้านของสฟิงซ์มีพื้นที่ที่เรียกว่า นครมรณะ ซึ่งนครมรณะประกอบไปด้วยอาณาบริเวณที่คลอบคลุมผืนทรายทางใต้ ทางตะวันตกและทางเหนือของสฟิงซ์ ซึ่งเป็นบริเวณที่ถูกขุดเจาะเป็นโพรง เพื่อใส่โลงหินที่บรรจุร่างของพระราชวงศ์ ขุนนาง และนักบวชชั้นสูงโดยผ่านกรรมวิธีการทำมัมมี่มาแล้ว สฟิงซ์จะคอยทำหน้าที่ขจัดวิญญาณชั่วร้ายให้พ้นจากหลุมศพเหล่านั้นด้วย

นักโบราณคดีเชื่อว่า มหาสฟิงซ์แห่งกิซ่าเป็นอนุสาวรีย์ของ ฟาโรห์คาเฟร (Khafre) หรือ คีเฟรน(Chephren) ฟาโรห์ในราชวงศ์ที่ 4 ผู้สร้างพีระมิดคาเฟร เมื่อประมาณ 2600 ปี ก่อนคริสตกาล โดยเชื่อว่าใบหน้าของมหาสฟิงซ์ จำลองมาจากใบหน้า ของฟาโรห์คีเฟรน และสามารถสังเกตว่าส่วนหัวของมหาสฟิงซ์ มีสัญลักษณ์ของฟาโรห์อียิปต์ แสดงเอาไว้อย่างชัดเจน คือมีเคราที่คางซึ่งปัจจุบันถูกนำไปเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์อังกฤษ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ มีงูจงอางแผ่แม่เบี้ยที่หน้าผาก และยังมีเครื่องประดับ รัดเกล้าแบบฟาโรห์ ประกอบเข้ากับผ้าคลุมศีรษะ และคอ อียิปต์โบราณถือกันว่าสฟิงซ์เป็นร่างจำแลงภาคหนึ่งของเทพเจ้า การที่ฟาโรห์คาเฟร ให้แกะสลักใบหน้าสฟิงซ์เป็นใบหน้าของพระองค์ จึงเป็นการแสดงว่าพระองค์เปรียบดังเทพเจ้านั่นเอง

ประมาณ 1 พันปีต่อมา คือ1400 ก่อนคริสตกาล หลังจากยุคสมัยของฟาโรห์คาเฟรที่มหาสฟิงซ์ถูกสร้างขึ้น ซึ่งตรงกับรัชกาลฟาโรห์ทุตโมซิสที่ 4 มหาสฟิงซ์ถูกพายุทรายพัดทับถมจนเหลือให้เห็นเพียงส่วนหัว เล่ากันว่ามีเทพเจ้ามาเข้าฝันเจ้าชายทุตโมส บอกให้พระองค์นำทรายที่ทับถมมหาสฟิงซ์ออก หากทำตามจะส่งผลให้ พระองค์ได้เป็นฟาโรห์ที่ยิ่งใหญ่ มหาสฟิงซ์ จึงได้รับการดูแลรักษาเป็นครั้งแรกต่อมาเจ้าชายทุตโมสได้ขึ้นครองอียิปต์เป็น ฟาโรห์ทุตโมซิสที่ 4 (Thutmosis IV) แห่งราชวงศ์ที่ 18 นับเป็นฟาโรห์ที่ยิ่งใหญ่พระองค์หนึ่ง หลังยุคสมัยของฟาโรห์ทุตโมซิสที่ 4 ในเวลาต่อมา มหาสฟิงซ์ถูกทรายทับถม  แต่ก็ได้รับการดูแลรักษาขึ้นมาใหม่ จนเห็นเต็มตัวอย่างในปัจจุบัน




อย่างไรก็ตามปัจจุบันใบหน้ามหาสฟิงซ์ ถูกทำลายจนแทบสังเกตรายละเอียดไม่ออก เนื่องจาก
การถูกทำลายโดยการสึกกร่อนตามธรรมชาติซึ่งความเสียหายที่ได้เกิดขึ้นนี้ไม่ได้เป็นการถูกทำลาย
โดยการสึกกร่อนตามธรรมชาติเพียงอย่างเดียว แต่มีคำกล่าวขานกันว่าเกิดจากทหารของนโปเลียน ที่มาอียิปต์ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 18 ใช้ใบหน้าของมหาสฟิงซ์ เป็นเป้าซ้อมยิงปืนใหญ่ อย่างไรก็ตามจากหลักฐานภาพวาดเก่าแก่เมื่อ 400 ปีก่อน พบว่าจมูกของมหาสฟิงซ์ชำรุด ตั้งแต่สมัยดังกล่าวแล้ว และมีบันทึกของอาหรับว่า ใบหน้าสฟิงซ์ถูกทำลาย เนื่องจากกลุ่มชาวอาหรับบางกลุ่มทำลายโดยมีความเชื่อว่าเป็นรูปจำลองอัปมงคลของพวกนอกรีต ในคริสต์ศตวรรษที่ 14 ซึ่งเป็นเวลาก่อนหน้ายุคสมัยของนโปเลียนหลายร้อยปี

ปัจจุบันได้เปิดให้นักท่องเที่ยวได้เข้าชมมหาสฟิงซ์ นอกจากนั้นแล้วยังได้สัมผัสโลกของอายธรรมอียิปต์โบราณอย่างเต็มรูปแบบ เช่น มหาพีระมิดแห่งกีซาที่ตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกัน

มหาสฟิงซ์ (The Great Sphinx of Giza) จึงถือได้ว่าเป็นสถาปัตยกรรมที่มีความโดดเด่น ลึกลับ งดงาม และยังสะท้อนถึงอารยธรรมของชาวอียิปต์โบราณได้เป็นอย่างดี ทั้งด้านศาสนาและความเชื่อ ด้านสังคมวัฒนธรรม การเมืองการปกครอง และที่สำคัญที่สุดคือความเพียรพยายามและความอดทนของชาวอียิปต์ที่พยายามสร้างสรรค์ และแกะสลักจากหินก้อนใหญ่กลายเป็นสถาปัตยกรรมระดับโลกจนเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน


อ้างอิง

บรรยงค์ บุญฤทธิ์. (ม.ป.ป.). มหาสฟิงซ์ แห่งอาณาจักรไอยคุปต์. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์น้ำฝน

มหาสฟิงซ์. (2557). สืบค้นวันที่ 2 มีนาคม 2560, จาก https://th.wikipedia.org/wiki/มหาสฟิงซ์

สฟิงซ์(Sphinx). (ม.ป.ป.). สืบค้นวันที่ 2 มีนาคม 2560, จาก http://www.tumnandd.com/สฟิงซ์-sphinx/


อ่านเพิ่มเติม »

สงครามอ่าวเปอร์เซีย (Persian Gulf War)

โดย ชุติกาญจน์  ชมภูวัฒนา

ทวีปตะวันออกกลางนับเป็นดินแดนภูมิภาคหนึ่งที่เกิดปัญหาความขัดแย้ง และส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของโลกอย่างต่อเนื่อง ทำให้ประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา และประเทศอื่นๆพยายามเข้าไปแทรกแซงและมีบทบาทในการแก้ไขปัญหา ซึ่งรวมถึงการเข้าไปแสวงประโยชน์จากทรัพยากรน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดของโลกอีกด้วย อย่างเช่นเหตุการณ์ สงครามอ่าวเปอร์เซีย



สงครามอ่าวเปอร์เซีย เกิดขึ้นในปีพ.ศ.2533 เป็นสงครามที่สืบเนื่องมาจากสงครามอิรัก-อิหร่าน ในปีพ.ศ.2523 ซึ่งมีสาเหตุมาจากประเทศอิรักได้รับการสนับสนุนจากประเทศต่างๆ ในตะวันออกกลาง รวมทั้งประเทศในตะวันตกอย่างสหรัฐอเมริกา เนื่องจากความเกรงกลัวในการขยายอิทธิพลการปฏิวัติทางศาสนาของประเทศอิหร่านเข้ามายังประเทศอื่นๆ ในตะวันออกกลาง เพราะประเทศในตะวันออกกลางส่วนใหญ่นับถือนิกายซุนนี แต่ประเทศอิหร่านนับถือนิกายชีอะห์ และยังมีสาเหตุมาจากประเทศอิรักไม่พอใจที่ประเทศอิหร่านเข้ามายึดครองดินแดนเกาะสำคัญในอ่าวเปอร์เซีย ซึ่งเป็นเส้นทางควบคุมการขนส่งออกสู่อ่าวเปอร์เซีย อีกทั้งยังมีปัญหาการแบ่งเขตแดน ปัญหาเรื่องชนกลุ่มน้อย จึงทำให้เกิดสงครามขึ้น และเกิดการค้าขายอาวุธสงครามครั้งใหญ่ สงครามยุติลงด้วยความเสียหายของทั้ง 2 ฝ่าย หลังจากสงครามจบลงทำให้ประเทศอิรักตระหนักว่าประเทศอิรักมีกองทัพที่เข้มแข็ง พร้อมที่จะเปิดศึกกับประเทศอื่นๆ ในตะวันออกกลาง อีกทั้งความสัมพันธ์ระหว่างประเทศระหว่างประเทศอิรัก ประเทศอียิปต์ และประเทศจอร์แดน มีความสัมพันธ์ที่ดี เพราะได้ให้การช่วยเหลือในการสงครามกับประเทศอิรักมาโดยตลอด เมื่อประเทศอิรักตระหนักว่าประเทศอิรักมีกองทัพที่เข้มแข็ง จึงทำให้กล้าที่จะยกกองทัพบุกประเทศคูเวต จนกลายเป็นสงครามอ่าวเปอร์เซีย

จุดเริ่มต้นของสงครามอ่าวเปอร์เซีย คือ เมื่อสงครามอิรัก-อิหร่านยุติลงทำให้ประเทศอิรักล้มละลาย และเผชิญกับหนี้สินจากการทำสงคราม โดยกู้ยืมมาจากประเทศซาอุดิอาระเบียและประเทศคูเวตรวมกันเป็นจำนวนมาก ประเทศอิรักได้เรียกร้องให้ทั้ง 2 ประเทศ ยกหนี้ที่ติดค้างให้ แต่กลับถูกทั้ง 2 ประเทศปฏิเสธ ทำให้ประเทศอิรักกล่าวหาประเทศคูเวตว่าลักลอบขุดน้ำมันในเขตของตน และอ้างความชอบธรรมเหนือประเทศคูเวต ในฐานะที่เคยเป็นจังหวัดหนึ่งของอาณาจักรออตโตมัน ซึ่งประเทศอิรักถือว่าตนมีสิทธิในการปกครองประเทศคูเวตต่อจากออตโตมัน อีกทั้งยังกล่าวหาว่าประเทศคูเวตมีส่วนทำให้ราคาน้ำมันตกต่ำจากช่วงที่ประเทศอิรักยุติสงครามกับประเทศอิหร่าน ซึ่งเป็นช่วงที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกตกต่ำ และยังกล่าวหาว่าประเทศคูเวตสูบน้ำมันมาจากแหล่งประเทศของตน ประเทศอิรักจึงขอเจรจาเรื่องพรมแดนกับประเทศคูเวต ซึ่งประเทศอิรักหวังว่าจะได้ดินแดนที่เป็นแหล่งน้ำมันเพิ่มขึ้น และอาจจะได้ดินแดนที่เป็นทางออกสู่อ่าวเปอร์เซียกว้างขึ้นด้วย แต่ถูกประเทศคูเวตปฏิเสธคำขอ เนื่องจากประเทศคูเวตมีประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาหนุนหลังธุรกิจน้ำมันอยู่

จนเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม พ.ศ.2533 กองกำลังทหารประเทศอิรัก ภายใต้การนำของประธานาธิบดีซัดดัม ฮุสเซน บุกเข้ายึดประเทศคูเวต จึงทำให้สหประชาชาติคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจกับประเทศอิรักในทันที ให้ธนาคารทั่วโลกอายัดทรัพย์สินของประเทศอิรักและประเทศคูเวต และยังมีมติให้ใช้ปฏิบัติการทางทหารเพื่อขับไล่กองทัพอิรักออกจากประเทศคูเวต ทางฝ่ายประธานาธิบดีซัดดัม ฮุสเซน ของประเทศอิรักไม่ยอมถอนกำลังทหารออกจากประเทศคูเวตตามคำสั่งของสหประชาชาติ กองกำลังสหประชาชาติภายใต้การนำของประเทศสหรัฐอเมริกาและพันธมิตรกว่า 30 ประเทศ ได้ร่วมกับกลุ่มสันนิบาตอาหรับ 12 ประเทศ ร่วมปฏิบัติการทางทหารที่เรียกว่า ยุทธการพายุทะเลทราย กองกำลังสหประชาชาติได้เคลื่อนทัพปลดปล่อยประเทศคูเวต และยกทัพเข้าสู่ประเทศอิรักในเวลาต่อมา จนทำให้ประเทศอิรักยอมลงนามยุติการสู้รบ เป็นผลให้ประเทศอิรักถูกควบคุมอย่างเข้มงวด ถูกตรวจสอบอาวุธ รวมถึงการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ

อีกหนึ่งความสูญเสียหลังการถอนกำลังออกจากประเทศคูเวตคือ ประเทศอิรักได้จุดไฟเผาบ่อน้ำมันหลายร้อยบ่อ และปล่อยลงสู่อ่าวเปอร์เซีย เป็นการจงใจทำลายทรัพยากรธรรมชาติและระบบนิเวศ ต่อมาประเทศสหรัฐอเมริกาได้ส่งกองทัพบุกเข้าประเทศอิรักเพื่อปลดปล่อยประเทศอิรักจากระบอบเผด็จการของประธานาธิบดีซัดดัม ฮุสเซน จึงโคนล้มรัฐบาลของซัดดัม ฮุสเซนลง และจัดตั้งรัฐบาลใหม่ที่นิยมตะวันตก ประเทศสหรัฐอเมริกาได้ใช้ทฤษฎีการทำสงครามก่อนที่จะถูกศัตรูโจมตี หรือเรียกว่า สงครามป้องกันตนเอง มีการถล่มทางอากาศครั้งใหญ่ ซึ่งเป็นยุทธวิธีการทำลายขวัญและกำลังใจ สร้างความหวาดกลัว จนฝ่ายตรงข้ามยอมจำนนในรูปของสงครามจิตวิทยา ชนะโดยไม่ต้องสู้รบและสูญเสียน้อยที่สุด

ปฏิบัติการดังกล่าวเสร็จสิ้นลงอย่างรวดเร็ว ด้วยการทหารและอาวุธสงครามที่เหนือกว่าของประเทศสหรัฐอเมริกา สงครามครั้งนี้ ถือเป็นสงครามไฮเทคดิจิตอลของระบบทุนนิยมโลก โดยอ้างความชอบธรรมในนามของความมั่นคงที่ยั่งยืน และสันติภาพที่ถาวรของโลก มีการนำอาวุธที่ทันสมัยออกมาสู้รบ

ต่อมาในวันที่ 13 ธันวาคม 2546 กองกำลังของประเทศสหรัฐอเมริกาสามารถจับตัวซัดดัม ฮุสเซน ได้สำเร็จ และส่งมอบให้แก่รัฐบาลของประเทศอิรัก เพื่อนำตัวไปไต่สวน ซึ่งศาลของประเทศอิรักได้ตัดสินให้ซัดดัม ฮุสเซน มีความผิดในข้อหาอาชญากรสงคราม อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ และฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ และให้ลงโทษประหารชีวิตโดยการแขวนคอ

สงครามที่เกิดขึ้นนี้เป็นปัญหาที่ท้าทายบทบาทของสหประชาชาติ และเป็นปัญหาภาพลักษณ์ของประเทศสหรัฐอเมริกาที่ชี้นำและดำเนินการโดยพลการในนามสหประชาชาติ ถือเป็นการละเมิดกฎบัตรสหประชาชาติและหลักการของประชาคมโลก ผลจากสงครามนี้ทำให้มาตรการคว่ำบาตรของสหประชาชาติได้บีบคั้นเศรษฐกิจของประเทศอิรักมากขึ้นกว่าเดิม ประชาชนอดอยากขาดแคลนอาหารและยารักษาโรค และต้องเผชิญกับภาวะเงินเฟ้ออย่างรุนแรง อีกทั้งยังมีการทำสงครามเล็กๆ และการรอบสังหารทหารและพลเรือน อยู่เป็นประจำ รวมทั้งยังเกิดกลุ่มกบฏตามเขตชายแดน และกลุ่มผู้ก่อการร้ายมาปฏิบัติการในประเทศอิรัก จากเหตุการณ์สงครามอ่าวเปอร์เซียที่เกิดขึ้นทำให้เห็นว่า เมื่อประเทศมหาอำนาจร่วมมือกันระบบความมั่นคงร่วมเกิดขึ้นได้ และมีผลเด็ดขาด

อ้างอิง

กนกรัตน์ ใบแสด และพันธ์ทิพย์ อะภัย. (2555). สงครามอ่าวเปอร์เซีย. ค้นเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2560, จาก https://www.slideshare.net/sm037/ss-14727188

กฤษฎา พิจิตรแสงเสรี. (2554). มหาสงครามอ่าวเปอร์เซีย. ค้นเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2560, จาก https://krissada93.wordpress.com/เปียงยาง/

กองวิจัยและพัฒนาการรบ กรมยุทธการทหารอากาศ. (ม.ป.ป.). วิเคราะห์สงครามอิรัก (Operation Iraqi Freedom). ค้นเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2560, จาก http://www.awfc.rtaf.mi.th/index.php?option=com_content&view=article&id=104&Itemid=79

DLIT Resources คลังสื่อการสอน. (2016). สงครามอ่าวเปอร์เซีย ตอน 1 สังคมศึกษาฯ ม.4-ม.6 (วิดีทัศน์). ค้นเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2560, จาก https://www.youtube.com/watch?v=thdOdQwo-ck

DLIT Resources คลังสื่อการสอน. (2016). สงครามอ่าวเปอร์เซีย ตอน 2 สังคมศึกษาฯ ม.4-ม.6 (วิดีทัศน์). ค้นเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2560, จาก https://www.youtube.com/watch?v=tHjrK_EeSr8


อ่านเพิ่มเติม »

หน้ากาล ทวารบาลในงานสถาปัตยกรรมชวา

โดย นลพรรณ พิมพ์ทิพย์

ในช่วงยุคประวัติศาสตร์ยุคหนึ่งของเอเชียตะวันออกเชียงใต้ได้มีความนิยมอย่างแพร่หลายของปราสาทหินที่สามารถพบเห็นได้ทั่วไปไม่ว่าจะเป็นที่อาณาจักรขอม จาม พม่า ไทย หรือแม้กระทั่งในเกาะชวาที่ตั้งอยู่ค่อนข้างห่างไกลจากทวีปหลักทั้งยังล้อมรอบด้วยทะเล   บนเกาะนี้จะพบสถาปัตยกรรมที่เป็นปราสาทหินกระจายตัวอยู่มากเนื่องจากได้รับอิทธิพลของศาสนาพุทธและพราหมณ์-ฮินดูจากอินเดียผ่านทางช่องแคบมะละกาเข้ามาผสมผสานกับรูปแบบท้องถิ่นก่อเกิดเป็นศิลปะที่มีรูปแบบเอกลักษณ์เฉพาะตัว

งานสถาปัตยกรรมและศิลปกรรมเป็นสิ่งที่ไม่สามารถแยกกออกจากกันได้  ปราสาทหินจึงถูกประดับตกแต่งด้วยรูปปั้นและลายแกะสลักมากมายไม่ว่าจะเป็นรูปปั้นราศกทวารบาล สิงห์ทวารบาล ลายมกร ลายต้นปาริชาติ รวมทั้งหน้ากาลหรืออีกชื่อหนึ่งคือเกียรติมุขที่อยู่เหนือกรอบประตู ซุ้มหลอก และหน้าต่าง ทำหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์ทางเข้าของสถานที่ศักดิ์สิทธิ์  มีลักษณะเป็นหน้าของอสูรหรือสิงห์ที่ดุร้าย ไม่มีลำตัวจะมีเพียงแต่แขนสองข้างเท่านั้น



เกียรติมุขหรือกีรติมุข มีความหมายว่า ใบหน้าอันทรงเกียรติ หรือหากแปลอีกนัยหนึ่งจะได้ความหมายว่า ทางเข้าของอาคารด้านหน้า  ส่วนคำว่าหน้ากาลนั้นย่อมมาจากคำว่า กาละ เทพอสูรที่ปรากฏอยู่ในตำนานความเชื่อของศาสนาฮินดู  มีผู้สันนิษฐานว่าหน้ากาลที่เก่าแก่ที่สุดอาจจะเกิดมาจากความเชื่อของชาวอารยันที่นับถือเทพเจ้าจากธรรมชาติทั้งยังยึดถือในศาสนาพราหมณ์เป็นอย่างมาก  และก็มีอีกความเชื่อหนึ่งที่เชื่อว่าหน้ากาลมีที่มากจากจีนหรือธิเบต เนื่องจากการพบหลักฐานสำคัญคือ หน้ากากเต้าเจ้หรือเทาเที่ยซึ่งหมายถึงเทพเจ้าผู้ตะกละ บนเครื่องสำริดของจีน

เทาเที่ย (饕餮)  เป็นมังกรลำดับที่ห้าในบรรดาลูกมังกรทั้งเก้าของจีน  มีรูปลักษณ์เหมือนหมาป่า นิสัยดุร้าย ชอบกินดื่มและตะกละ  มักถูกนำไปประดับบนภาชนะสำริดหรือบริเวณด้านข้างของสะพานเพื่อป้องกันน้ำท่วม

เทาเที่ย 

ส่วนตามตำนานของฮินดูนั้นเล่าว่ามียักษ์ตนหนึ่งนาม ชลันธร ได้รับพรจากพระศิวะให้ไม่มีผู้ใดสามารถต่อกรได้  ก่อเหตุระรานผู้อื่นไปทั่วจนกระทั้งได้ส่งราหูไปส่งสารท้ารบกับพระศิวะว่าหากตนชนะก็จะขอรับพระนางปารพตี ชายาพระศิวะมาเป็นมเหสีของตน เมื่อพระศิวะได้รับฟังก็เกิดความพิโรธจนดวงเนตรที่สามได้เบิกขึ้นและมีอสูรหน้าตาดุร้ายคล้ายสิงห์มีนิสัยตะกละกลืนกินกระทั้งกาลเวลาผุดออกมาไล่ล่าเพื่อกินราหู  ด้วยความหวาดกลัวพระราหูจึงขอขมาและขอให้พระศิวะช่วยตน  พระศิวะจึงสั่งมิให้ ‘กาละ’ ไล่ล่าราหูและให้กลืนกินตัวเองแทน  มันจึงกัดกินร่างกายของตนจนเหลือเพียงส่วนหัวและแขนเท่านั้น ซึ่งสร้างความเวทนาแก่พระศิวะ พระองค์จึงรับสั่งให้กาละไปเฝ้าอยู่หน้าประตูวิมารของพระองค์และให้นามใหม่ว่า กีรติมุข หากใครไม่เคารพก็จะไม่ได้รับพรจากพระองค์    บ้างก็เล่าว่า กาละถูกลงโทษจากความดื้อรั้นของตนให้คอยเฝ้าอารักขาหน้าประตูวิมารและไม่มีสิทธิกินอาหารใดๆจนต้องกัดกินร่างกายของตนทีล่ะส่วนแทน

หน้ากาลในศิลปะชวากลางและชวาตะวันออกมีความแตกต่างกันเล็กน้อย  ในยุคชวากลางหน้ากาลจะไม่มีริมฝีปากล่าง มีลวดลายเปลวไฟอยู่เหนือหน้าผากและมีรูปสิงห์อยู่สองข้าง  ส่วนในยุคชวาตะวันออกนั้นได้พัฒนาให้มีริฝีปากล่างตามคติอินเดียที่เลือนหายไป และมีหน้าตาดุร้ายมากขึ้น ชี้นิ้วขู่ในท่าดรรชนีมุทรา ลายเปลวไฟเหนือหน้าผากก็เปลี่ยนเป็นลายต้นปาริชาติหรือตรีศูล ส่วนลายมกรก็หายไปเหลือเพียงหน้ากาลโดดๆ เท่านั้น

คนโบราณเชื่อว่าหน้ากาลเป็นสัญลักษณ์ของเวลาที่กลืนกินกระทั้งตนเองหรือเป็นสัญลักษณ์ของความโกรธที่สามารถทำลายทุกสิ่งรวมทั้งตนเองด้วย   นอกจากนี้หน้ากาลยังเหมือนใบหน้าของคนเวลาโมโหจึงเป็นเหมือนสิ่งเตือนสติให้ผู้ที่จะเข้าไปในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำรวมกาย วาจา  ใจ ของตนเอง


อ้างอิง

D-Mathhistory. (2559). กาลหรือเกียรติมุข ยลปราสาทศิลปะอินเดีย. ออนไลน์. ค้นเมื่อ 23 กุมภาพันธ์  2560, จาก : http://oknation.nationtv.tv/blog/MATHHISTORY/2016/04/11/entry-1

MRG Online. (2548). เส้นสายบนชายคากับลูกมังกรทั้งเก้า. ออนไลน์. ค้นเมื่อ 23 กุมภาพันธ์  2560, จาก : http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9480000076377

กิตติ. (2548). When the Kala’ catch you. ออนไลน์. ค้นเมื่อ 23 กุมภาพันธ์  2560, จาก : http://www.amulet2u.com/board/q_view.php?q_id=1648

ผศ.เบญจวรรณ กองสาสนะ. (มปป). ประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรมตะวันออก : ชวา. (มปพ).

อ่านเพิ่มเติม »

หุบเขาษัตริย์ สุสานฝังศพฟาร์โรแห่งอียิปต์

โดย ศรัณพร ไกยะโส

อารยธรรมแห่งลุ่มแม่น้ำไนล์เมื่อ 3000 ปีก่อนคริสตกาล  ชาวอียิปต์โบราณกลุ่มหนึ่งได้เริ่มต้นตั้งถิ่นฐานดินฝั่งแม่น้ำ ทำการเพาะปลูกเก็บเกี่ยว บูชาเทพเจ้าเพื่อให้พืชพันธุ์อุดมสมบูรณ์ เมื่อกษัตริย์แห่งอียิปต์บนผู้มีพระนามว่านาร์เมอร์ (Narmer) ทรงกรีฑาทัพมาตีอียิปต์ล่างเพื่อร่วมให้เป็นหนึ่งเดียวและสถาปนาราชวงศ์ที่ 1 ( บ้างก็ว่าราชวงศ์ที่ 0) แห่งอียิปต์โบราณขึ้น ประวัติศาสตร์แห่งดินแดนไอยคุปต์ก็เข้าสู่ยุคที่นักอียิปต์วิทยาให้ชื่อว่ายุคเริ่มราชวงศ์  (Early Dynastic Period) ซึ่งมีกษัตริย์หรือที่พวกเราเรียกกันว่า “ฟาโรห์”ปกครองดูแลบ้านเมืองสืบต่อกันมาเป็นระยะเวลาอีกกว่า 3000 ปี

ถ้าดูตามลำดับราชวงศ์ของฟาโรห์แห่งอียิปต์โบราณ สุสานของฟาโรห์ในราชวงศ์แรกๆรวมทั้ง ฟาโรห์แห่งราชอาณาจักรเก่า (Old Kingdom) เดิมจะฝังร่างของพระองค์ไว้ใต้กองหินอันยิ่งใหญ่ที่เราเรียกกันว่า “พีระมิด” ต่อมาการสร้างพีระมิดฝังศพของฟาโรห์เดิมนั้นได้มีการเปลี่ยนแปลงไปจากพีระมิดที่มีความยิ่งใหญ่ตระการตา ได้กลายมาเป็นที่ฝังศพที่อยู่ตามหุบเขาโดยใช้วิธีการเจาะลึกเข้าไปในภูเขาเพื่อใช้เป็นที่ฝังศพแทนพีระมิดเรียกว่า “สุสานสกัดหน้าผา” เป็นที่ฝังศพโดยการเจาะหินหรือดินที่เป็นอุโมงค์ลึกลงไปเมื่อนำศพไปฝัง ศพที่ฝังส่วนใหญ่เป็นศพของฟาโรห์  การฝังศพใต้ดินแบบนี้จึงเรียกเรียกว่า ฮิโปเจียม (Hypogeum) และบริเวณที่ฝังศพนี้จึงถูกเรียกว่า “หุบเขากษัตริย์ (Vally of Kings)” เนื่องจากใช้เป็นที่ฝังศพของฟาโรห์และเชื้อพระวงศ์ ในยุคราชวงศ์ใหม่ของอียิปต์โบราณ (ราชวงศ์ที่ 18-20)



โดยหุบเขาแห่งนี้ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำไนล์ของเมืองลักซอร์ (Luxor)ในปัจจุบัน ในอดีตเมืองนี้มีชื่อว่าเมืองธีปส์ (Thebes) ชื่อที่พวกกรีกโบราณเรียกเมืองที่เคยเป็นนครหลวงทางศาสนาและจิตรวิญญาณของอียิปต์โบราณในยุคราชอาณาจักรใหม่ เป็นสถานที่ที่รายล้อมไปด้วยทะเลทรายอันร้อนระอุ หุบเขาที่ซับซ้อนทำให้เหมาะสำหรับการสร้างสุสานเพื่อให้รอดพ้นจากการถูกทำลาย

จากการค้นพบสุสานที่หุบเขากษัตริย์แห่งนี้ นักโบราณคดีขุดพบหลุมศพมากถึง 63 แห่ง ลึกลงไปในหลุมศพยังแบ่งออกเป็นห้องเล็กๆ บางสุสานมีห้องที่ซับซ้อนเป็นอย่างมาก แถมยังมีการสร้างหลุมพรางเพื่อป้องกันพวกโจรที่จะมาขโมยทรัพย์สมบัติภายในสุสาน ในบรรดาสุสานทั้งหมด มีห้องมากที่สุดถึง 120 ห้อง ซึ่งเป็นของฟาโรห์รามเซสที่ 2 (Ramses ll) ตอนที่นักโบราณคดีค้นพบสุสานแห่งนี้ภายในก็เหลือเพียงร่างอันไร้วิญญาณของรามเซสที่ 2 เท่านั้น ส่วนทรัพย์สมบัติอื่นๆไม่มีเหลือไว้แล้ว บางสุสานที่ค้นพบจะเหลือเพียงรูปปั้นขนาดเล็ก  ซึ่งแทบทุกสุสานของฟาโรห์จะต้องมี เพื่อเป็นตัวแทนของข้าทาสที่จะตามรับใช้ฟาโรห์ในโลกหน้า บางสุสานร่างมัมมี่ก็ถูกทำลายไปอย่างน่าเสียดาย และนอกจากจะถูกทำลายโดยมนุษย์แล้ว ภัยธรรมชาติ เช่น น้ำท่วม ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่มาทำลายสุสาน ซึ่งทำให้ยากมากขึ้นในการปะติดปะต่อเรื่องราวต่างๆ ทางประวัติศาสตร์  เมื่อมีการขุดค้นพบสุสานขึ้น เพื่อให้ง่ายในการจดจำนักโบราณคดีจะทำการตั้งชื่อสุสานว่า KV และตามด้วยลำดับในการขุดค้นพบ เช่น KV1, KV25 เป็นต้น

สำหรับนักโบราณคดีแล้วหุบเขาแห่งนี้ถือว่าเป็นที่น่าสนใจอย่างมาก เพราะหลังจากมีการขุดค้นพบสุสานไปแล้วมากมาย จนหลายๆคนคิดว่าคงไม่มีสุสานเหลือให้ค้นพบอีกแล้ว ก็มีข่าวโด่งดังไปทั่วโลกอีกครั้งช่วงที่มีการค้นพบสุสานของฟาโรห์ตุตันคามุน (Tutankhamun) ซึ่งถือเป็นสุสานที่มีความสมบูรณ์แบบมากๆ ทรัพย์สมบัติทุกชิ้นของพระองค์ยังคงวางอยู่ที่เดิม เป็นสุสานที่รอดพ้นจากสายตาโจรขโมยมาได้เป็นพันๆปี อย่างไม่น่าเชื่อทั้งๆที่สุสานของพระองค์ไม่ได้มีความซับซ้อนอะไรมากมาย สมบัติเกือบทุกชิ้นทำขึ้นจากทองคำแท้ๆ ในปีแรกของการขุดพบ เกิดเหตุการณ์ที่เรียกว่า “คำสาปมัมมี่” เพราะเอิร์ลแห่งคาร์นาวอนเสียชีวิตกะทันหัน “คาร์นาวอน” เป็นขุนนางอังกฤษที่ออกเงินทุนให้นักโบราณคดีชื่อโฮเวิร์ด คาร์เตอร์ (Howard Carter) ขุดหาจนพบสุสานตุตันคามุน หนังสือพิมพ์ทั่วโลกรายงานข่าวว่า การตายของคาร์นาวอนเกิดขึ้นเพราะไปลบหลู่สุสานตุตันคามุน รวมไปถึงผู้ที่มีส่วนในการขุดครั้งนั้นก็เสียชีวิตอย่างปริศนา


ที่มา: http://www.bloggang.com/

ส่วนสาเหตุที่ชาวอียิปต์ฝังศพฟาโรห์ไว้ที่หุบเขาแห่งนี้ อาจมาจากเดิมที่เคยมีการฝั่งศพไว้ในที่โล่งแจ้ง หรือฝังไว้ใต้พีระมิดนั้น ทำให้ง่ายต่อการโจรกรรมสมบัติ และการสร้างพีรามิดนั้นยังสิ้นเปลืองแรงงานและค่าใช้จ่ายมาก ซ้ำยังไม่สามารถจะป้องกันทรัพย์สินที่มีค่าภายในพีรามิดได้  จนในยุคของฟาโรห์ธุตโมซิสที่ 1 (Thutmose I) ฟาโรห์องค์ที่สามแห่งราชวงศ์ที่ 18 ได้สร้างสุสานของพระองค์ไว้ที่หุบเขากษัตริย์ และสั่งให้ย้ายมัมมี่ของฟาโรห์ยุคก่อนๆ ไปไว้ที่หุบเขาแห่งนี้ด้วย เพื่อให้รอดพ้นจากสายตาของพวกหัวขโมย ภายหลังจากนั้นที่แห่งนี้จึงกลายเป็นแหล่งรวมของสุสานของฟาโรห์และราชวงศ์มากมาย และด้วยความแออัดของสุสานในยุคแรกๆที่มีการฝังศพไว้ที่นี่ คนงานจะทำการขุดลึกลงไปในหุบเขา เป็นขันบันได ตรงๆ เข้าไป ไม่มีความซับซ้อนมากนัก จนเกิดปัญหาขึ้นเมื่อทำการสร้างสุสานใหม่ เพราะขุดไปทะลุกันบ้าง ขุดแล้วทำให้สุสานหล่นทับกันบ้าง วิศวกรยุคโบราณจึงได้มีการสร้างสุสานใหม่เป็นรูปตัว L เพื่อหลีกเลี้ยงปัญหาดังกล่าว แถมยังมีการสร้างสุสานให้มีหลายๆ ห้องซับซ้อนมากยิ่งขึ้นด้วย

ถึงแม้ในว่าปัจจุบันจะมีการค้นพบมันมี่ของฟาโรห์องค์ต่างๆในหุบเข้ากษัตริย์แห่งนี้หลายพระองค์ แต่ก็ยังเชื่อว่ายังมีมัมมี่ของเหล่าฟาโรห์อีกหลายๆพระองค์ ที่ยังรอการค้นพบจากนักอียิปต์ และยังรอการกลับมามีชีวิตอีกครั้งในหุบเขาแห่งนี้ เพื่อเปิดประตูแห่งความยิ่งใหญ่และเป็นกุญแจสำคัญในการไขความลับของอารยธรรมอียิปต์ในอนาคตต่อไป


อ้างอิง

กำจร สุนพงษ์ศรี.(2524). ประวัตติศาสตร์ศิลปตะวันตก.กรุงเทพฯ: ศูนย์หนังสือมหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

ณัฐพล เดชขจร .(2553). ผ่าปมปริศนามหา ไอยคุปต์.กรุงเทพฯ: ฐานบุ๊คส์.

นิพนธ์  ทวีกาญจ์.(2529). ประวิติศาสตร์ศิลป์.กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์โอเดียนสโตร์.

ปรีดี บุญซื่อ .(2559). ความลับสุดท้ายของตุตันคามุน ประตูลับสู่สุสานเนเฟอร์ติติ. สืบค้น 19 มกราคม 2560, จาก http://thaipublica.org/2016/08/pridi5/

หุบเขากษัตริย์. (ม.ป.ป.) ). สืบค้น 19 มกราคม 2560, จาก http://www.oceansmile.com/Egypt/King.htm

อ่านเพิ่มเติม »

สคารับ (Scarab)

โดย กนกพล ภูมิพันธุ์

ในการค้นทางโบราณคดีที่เกี่ยวกับอารยธรรมอียิปต์พบว่ามีการค้นพบมากมายของสัญลักษณ์แมลงซแคแร็บหรือตราประทับต่างๆ ทั้งในพีรามิดและมัมมี่ ซึ่งการค้นพบนี้เชื่อโยงกับความเชื่อของคนอียิปต์ในอดีตเกี่ยวกับการนับถือสิ่งมีชีวิตอย่างไร สำคัญมากแค่ไหน และเหตุผลใดผู้คนในอดีตจึงนับถือแมลงซแคแร็บนี้ราวกับเทพเจ้า

Sacarab เป็นเครื่องรางอย่างหนึ่งของผู้คนอียิปต์ในสมัยโบราณโดยเป็นเครื่องหมายของเทพ Khepri ที่เป็นสัญลักษณ์ของพระอาทิตย์โดยมีความหมายถึงการเกิดใหม่ เนื่องจากแรกเริ่มเดิมทีชาวอียิปต์เชื่อว่าเทพราที่ข้ามผ่านในแต่ล่ะวันทำเกิดร่างกายและจิตวิญญาณ ซึ่งโดยธรรมชาติของแมลงซแคแร็บนี้จะปั้นก้อนดินที่ภายมีไข่ของมันอยู่ข้างไหนและกลิ้งไปข้างหลังเรื่อยๆเผื่อสะสมอาหารและเมื่อไข่ฝักออกมาก็จะมีอาหารเพื่อมันอยู่ทันที ชาวอียิปต์เชื่อว่าเทพ Khepri จะสร้างดวงอาทิตย์ใหม่ในแต่วันและจะนำมันไปโลกอื่นเมื่อหมดวัน ทำอย่างนี้อยู่เรื่อยๆเช่นเดียวกับแมล็งซแคแร็บ เราจึงสามารถพบเห็นสัญญาลักษณ์ของเทพ Khepri ได้โดยมีตัวเหมือนเทพราแต่มีหน้าเป็นscarab

ชาวอียิปต์ในสมัยโบราณนั้นมีความเชื่อเกี่ยวกับโลกหลังความตายว่าเมื่อตายไปแล้วสักวันหนึ่งวิญญาณจะกลับมาสู่ร่างจึงมีการทำมัมมี่ไว้อย่างมากมาย และscarabนี้ที่เป็นสัญลักษณ์ของการเกิดใหม่จึงถือว่าเป็นสัญลักษณ์ที่สามารถพบได้มากมายในพีรามิดและมัมมี่ซึ่งในการค้นพบทางโบราณคดีเราสามารถจัดรูปแบบของscarabได้ 3ประเภทด้วยกันคือ hearth scarab, pectoral scarab และ naturalistic scarab

1. Hearth scarab เป็นที่นิยมมากในช่วงอาณาจักรใหม่ตอนต้นจนถึงก่อนสมัยหลังราชวงศ์โดยทั่วไปแล้วมีขนาดใหญ่ 4-12 cm ทำจากหินสีเขียวหรือสีดำ โดยด้านหลังสลักไว้ด้วยอักษรภาพที่เป็นชื่อของผู้ล่วงลับหรือคาถาบางอย่าง hearth scarab มักจะถูกแขวนรอบๆคอมัมมี่ด้วยสายทองคำและตัว scarabด้วยกรอบทองคำ



2. Pectoral scarab พบเมื่อราชวงศ์ที่ 25 มีขนาดประมาณ3-8cm โดยจะมีรูที่ขอบของ scarab ในหน้าอกของมัมมี่พร้อมกับปีกที่แผ่ออกทั้ง 2 ข้างโดยสิ่งที่มักจะปรากฏคู่กันคือสัญลักษณ์ของเทพ Khepri



3. Naturalistic scarab มีขนาดเล็กประมาณ2-3 cm ทำจากหินหลากชนิดโดยการสลักเป็น3มิติ scarab ชนิดนี้มักจะถูกทำเพื่อปกป้องมัมมี่



นอกจากนี้ยังมีการค้นพบว่า scarab มักจะจารึกไว้พร้อมกับชื่อของกษัตริย์ ราชินี หรือ ราชวงศ์ ในทางอื่นๆ scarab จะถูกพบว่าแบกชื่อของฟาโรห์ในสมัยอาณาจักรเก่าโดยเฉพาะฟาโรห์ที่เป็นที่รู้จักดี ฟาโรห์คูฟู ในการค้นพบที่ใกล้เคียงกันคือการที่ scarab แบกบัลลังของกษัตริย์อาณาจักรใหม่ ฟาโรห์ Thuthmosis ที่ 3 ในตอนนี้ความสำคัญของscarabที่แบกชื่อของราชวงศ์ยังไม่เป็นที่กระจ่าง อาจจะเป็นการสรรเสริญผู้ปกครองในช่วงที่ยังมีชีวิตหรือหลังจากนั้น หรือบางทีอาจหมายถึงของขวัญเฉพาะราชวงศ์

ท้ายที่สุดนี้ scarab  ถือเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของอียิปต์โบราณที่ผู้คนล้วนรู้จักเป็นอย่างดี ด้วยความเชื่ออย่างแรงกล้า ศรัทธาอย่างล้นลาม ทำให้ชาวอียิปต์โบราณสร้างสรรค์สิ่งล้ำค่าและตกทอดมาสู่ชนรุ่นหลังอย่างมาย

อ้างอิง

Antonia Antoniou. (22 febgruary 2015). Scarab amulets bless or curse . เรียกใช้เมื่อ 26 february 2017 จาก scarabmyth.wordpress.com: https://scarabmyth.wordpress.com/2015/02/22/hello-world/

Elaine A. Evans. (17 April 1996). McClung Museam. เรียกใช้เมื่อ 26 February 2017 จาก http://museum.unl.edu/research/entomology/Egyptian_Sacred_Scarab/egs-text.htm

wikipedia. (20 january 2017). wikipedia the free encyclopedia. เรียกใช้เมื่อ 26 february 2017 จาก https://en.wikipedia.org/wiki/Scarab_(artifact)


อ่านเพิ่มเติม »