แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ สิ่งประดิษฐ์ของจีน แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ สิ่งประดิษฐ์ของจีน แสดงบทความทั้งหมด

การฝังเข็ม ศาสตร์การแพทย์ของจีน

โดย กนิษฐา กางสี

หากกล่าวถึงสุดยอด ศาสตร์การรักษาที่มีความสำคัญ และมีชื่อเสียงนับตั้งแต่สมัยโบราณกาลของโลกแล้ว หนึ่งในนั้นเชื่อว่าหลายคนต้องนึกถึง ศาสตร์การฝังเข็มของจีน ด้วยประวัติศาสตร์และอารยธรรมนานกว่า 5000 ปี ก่อให้เกิดความก้าวหน้าทางด้านวิทยาการการรักษาโรคโดย การฝังเข็ม ซึ่งได้รับการยอมรับของโลกแล้ว ยังมีเอกลักษณ์ความรู้ ที่มีความสำคัญต่อศาสตร์การรักษาโรคของการแพทย์ในสมัยปัจจุบัน

ศาสตร์การฝังเข็ม (针灸) มีต้นกำเนิด มาจาก ลุ่มแม่น้ำหวงเหอ (黄河 ) ซึ่งมนุษย์ในสมัยดึกดำบรรพ์ของจีนได้รู้จักใช้มือหรือก้อนหิน กด ถูบนร่างกายในจุดที่เจ็บปวดเพื่อช่วยให้อาการทุเลาลง


เข็มที่พบในสุสานราชวงศ์หมิง

พัฒนาการฝังเข็มในยุคหิน พวกเขารู้จักนำเอาเศษหินมาใช้ทำเป็นเครื่องมือสำหรับกด นวด แทงหรือกรีดระบายหนอง ต่อมาในสมัยยุคหินใหม่ เครื่องมือจำพวกก้อนหินเหล่านี้ได้ถูกปรับปรุงให้มีรูปร่างบาง มีขนาดเล็กลง  ซึ่งเครื่องมือที่ใช้ในการรักษานี้ เรียกว่า “เปียนสือ”(หินชนิดหนึ่ง)

หลังจากที่เทคโนโลยีการหลอมเหล็กพัฒนาขี้นอย่างมาก ในยุคราชวงศ์ชางเมื่อประมาณ 2400 ปีก่อน ทำให้มีการสร้างเข็มที่สร้างจากโลหะชนิดต่าง ๆ ได้แก่ เข็มสำริด เข็มเหล็ก เข็มทองคำ และเข็มเงินตามลำดับใช้รักษาโรคแทน และทำให้วิชาการแพทย์โดยการฝังเข็มได้รับการพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในสมัยนี้เองที่การฝังเข็มของจีนได้แพร่ไปยังเกาหลี และญี่ปุ่น  จนกระทั่งในช่วง ศตวรรษที่ 16 การฝังเข็มก็ได้แพร่ความนิยมเข้าสู่แผ่นดินยุโรป นับตั้งแต่สาธารณรัฐประชาชนจีนได้สถาปนาขึ้นในปี ค.ศ.1949 รัฐได้ให้ความสำคัญกับศาสตร์การแพทย์นี้อย่างมากมาย จึงทำให้การฝังเข็มนี้ไม่ถูกลืมเลือน

ลักษณะของเข็มที่ใช้ในการรักษา

ในปัจจุบันเข็มที่ยังนิยมใช้มากที่สุดคือ “เข็มเส้นขน (Filiform needle)” เข็มสำหรับใช้ในการฝังเข็มจะมีส่วนประกอบอยู่ 5 ส่วน คือ ปลายเข็ม ตัวเข็ม โคนเข็ม ด้ามเข็มและหางเข็ม ดังภาพ มีลักษณะคล้ายคลึงกับเข็มฉีดยาแต่ทว่าก็ยังมีข้อแตกต่าง เช่น ส่วนเข็มที่ใช้สำหรับฝังเข็มเป็นเส้นลวดเนื้อตัน มีปลายแหลมมนหรือเหลี่ยมตัด และขนาดเล็กบางกว่ามาก ต่างกับเข็มฉีดยาที่ตัวมีลักษณะเป็นโลหะท่อกลวง ปลายแหลมบากตัด เมื่อปักเข็มลงในผิวหนัง ผู้ป่วยที่ถูกฉีดยาจึงรู้สึกเจ็บมากกว่าการฝังเข็ม

จุดฝังเข็มแบ่งเป็น 3 ชนิดใหญ่ๆ คือ

1.จุดฝังเข็มในระบบเส้นลมปราณ จุดฝังเข็มที่มีตำแหน่งชื่อ และเส้นลมปราณที่สังกัดแน่นอน มีคุณสมบัติในการรักษาอาการหรือโรคที่เกี่ยวข้องกับเส้นลมปราณนั้นๆ

2.จุดฝังเข็มนอกระบบเส้นลมปราณ หรือ จุดฝังเข็มพิเศษ จุดฝังเข็มที่มีชื่อและตำแหน่งแน่นอน แต่ยังไม่จัดเข้าอยู่ในระบบเส้นลมปราณ มีคุณสมบัติในการรักษาอาการหรือโรคที่จำเพาะ

3.จุดอาซื่อ หรือ จุดกดเจ็บ จุดที่มีอาการกดเจ็บ คำว่า อาซื่อ มาจากเสียงร้องของผู้ป่วยเวลากดจุดนี้ ซึ่งจุดอาซื่อไม่มีชื่อและตำแหน่งแน่นอน อาจอยู่ใกล้เคียงกับบริเวณที่เกิดความผิดปกติหรือห่างไกลก็ได้

นอกจากนี้แต่ละจุดต่างมีชื่อเรียกของตัวเอง โดยทุกชื่อไม่เพียงแต่มีความหมายทางการแพทย์ แต่ยังแสดงถึงความรุ่งเรืองทางอารยธรรมสมัยโบราณ การทำความเข้าใจความหมายของชื่อจุด จะทำให้เรียนรู้และจดจำตำแหน่งของจุดและคุณสมบัติที่ใช้ในการรักษาได้เป็นอย่างดี
 

ที่มา: http://www.chatchawan.net/

การรักษาโรคโดยวิธีการฝังเข็ม

ศาสตร์การฝังเข็ม ได้รับการรับรองจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ว่าสามารถรักษาอาการเจ็บป่วยในร่างกายโดยการกระตุ้นก่อให้เกิดการหลั่งสารฮอร์โมนลดอาการปวด และอักเสบ การเกร็งของกล้ามเนื้อ กระตุ้นการไหลเวียนเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ทำให้เกิดการขจัดของเสียที่เป็นสาเหตุของอาการปวด  อีกทั้งยังปรับการทำงานของอวัยวะ และระบบต่าง ๆ ให้เกิดความสมดุลตามปกติ ดังอย่าง เช่น
1) รักษาอาการปวดต่างๆ เช่น ไมเกรน ตึงเครียด ปวดหลัง ปวดหัว
2) กลุ่มโรคเกี่ยวกับเส้นประสาท เช่น อัมพฤกษ์ อัมพาต กระดูกทับเส้น
3) โรคเกี่ยวกับกล้ามเนื้อและกระดูก เช่น ข้อเสื่อม ปวดกล้ามเนื้อเรื้อรัง
4) โรคเกี่ยวกับภูมิแพ้ เช่น แพ้อากาศ ลมพิษ หอบหืด ภูมิต้านทานไวเกิน (เอสแอลดี) รูมาตอยด์
5) โรคอื่นๆที่เกี่ยวกับอาการทางร่างกายที่เกิดจากจิตใจ ได้แก่ นอนไม่หลับ ใจเต้น ใจสั่น อาหารไม่ย่อย เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม การรักษาโดยการฝังเข็มก็ยังมีข้อจำกัดในการรักษาโรคที่อวัยวะภายในเสียหายมีอาการเรื้อรังมานาน โดยเฉพาะจากผู้สูงอายุ หรือ  สตรีที่มีภาวะตั้งครรภ์ โรคเลือดที่มีความผิดปกติของระบบแข็งตัวของเลือด โรคเร่งด่วนที่ต้องการการรักษาโดยการผ่าตัด หรือโรคที่ยังไม่ทราบการวินิจฉัยที่แน่นอน

แต่จากการกล่าวมาทั้งหมดนั้นเห็นได้ชัดว่าการรักษาโรคด้วยวิธีการฝังเข็มนั้น นับเป็นศาสตร์การรักษาที่ให้คุณประโยชน์สะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมของอารยธรรมจีน ที่ควรค่าแก่การศึกษาและอนุรักษ์สืบต่อไป

ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม การรักษาโดยการฝังเข็ม ไม่ใช่การรักษาที่ดีที่สุดที่สามารถรักษาได้ทุกโรค สุขภาพที่เจ็บปวดเรื้อรังคอยทำลายระบบอวัยวะภายในร่างกาย หากไม่ใส่ใจและขาดการดูแลรักษาที่ดีและถูกต้อง ไม่ว่าจะใช้การฝังเข็มหรือทานยาวิเศษ หรือแม้กระทั่งเทคโนโลยีความก้าวหน้าของการแพทย์มาช่วยในการรักษา ก็ช่วยไม่ได้ หากยังไม่เอาใจใส่และดูแลสุขภาพของตนเอง


อ้างอิง

การฝังเข็ม ..ว่าด้วยเข็ม. (ม.ป.ป). สืบค้นเมื่อ 26 ธันวาคม 2559, จาก: http://www.thaiacupuncture.net/web/index.php/2012-09-02-15-30-15/82-2012-08-28-03-58-30.html

การฝังเข็ม. (2559).  สืบค้นเมื่อ 23 กันยายน 2559, จาก: https://th.wikipedia.org/wiki/การฝังเข็ม

โกวิท คัมภีรภาพ. (2546).  ศาสตร์การฝังเข็ม. กรุงเทพฯ: การศาสนา.

ทวีศักดิ์ สิริรัตน์เรขา.(ม.ป.ป).  การฝังเข็ม ศาสตร์ที่ยั่งยืนAcupuncture. สืบค้นเมื่อ 26 ธันวาคม 2559, จาก: http://www.happyhomeclinic.com/alt08-acupuncture.htm

ศาสตร์การฝังเข็ม. (ม.ป.ป). สืบค้นเมื่อ 23 กันยายน 2559, จาก : http://www.acupuncturethai.com/13625114ศาสตร์การฝังเข็ม-

อ่านเพิ่มเติม »

จตุรประดิษฐ์ 4สุดยอดสิ่งประดิษฐ์แห่งอารยธรรมจีน

โดย ชลลาวัลย์ ธัญญศิรินนท์

นับตั้งแต่สมัยโบราณกาลมา ประเทศจีนก็เป็นที่รู้จักและขึ้นชื่อในเรื่องความสุดยอดไม่แพ้ชาติใดในโลก ด้วยประวัติศาสตร์และอารยธรรมกว่า 5000 ปี ทำให้เกิดเทคโนโลยีและสิ่งประดิษฐ์ทรงคุณค่ามากมายที่ส่งผลให้เกิดความก้าวหน้าด้านวิทยาการอย่างใหญ่หลวงต่อมวลมนุษยชาติ สี่สุดยอดสิ่งประดิษฐ์ของอารยธรรมจีน หรือที่รู้จักกันดีในชื่อว่า “จตุรประดิษฐ์” นับเป็นสี่สิ่งประดิษฐ์ที่ช่วยให้เกิดการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์ซึ่งนำไปสู่ความก้าวหน้าด้านอื่นๆในโลก



จตุรประดิษฐ์ หรือสิ่งประดิษฐ์ทั้ง 4 ของอารยธรรมจีน ได้แก่ เข็มทิศ กระดาษ ดินปืน และการพิมพ์ สิ่งประดิษฐ์เหล่านี้ต่อมาได้เผยแพร่ไปยังที่ต่างๆ ทั่วโลก และได้สร้างคุณูปการอันยิ่งใหญ่ต่อความเจริญก้าวหน้าทางอารยธรรมแห่งมวลมนุษยชาติ

เข็มทิศ



ในบรรดาสี่สิ่งประดิษฐ์ที่ยิ่งใหญ่ของชาวจีนนั้น เข็มทิศเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ค้นพบเป็นอันดับแรก เมื่อประมาณ 2000 กว่าปี ก่อนนั้นชาวจีนได้มีการนำแม่เหล็กมาทำเป็นเข็มทิศใช้กันแล้ว โดยเข็มทิศในสมัยนั้นมีไว้ใช้บ่งบอกทิศทาง และจะชี้ไปที่ทิศใต้เสมอ ถือว่าเป็นเข็มทิศแบบคร่าวๆ

เข็มทิศนี้คิดค้นเพื่อส่งเสริม และพัฒนาอุตสาหกรรมทางการเดินเรือ ในสมัยก่อนที่จะมีเข็มทิศนั้น ชาวเรือจะใช้การดูตำแหน่งพระอาทิตย์ ดวงดาว และดวงจันทร์เพื่อบอกทิศทางในการเดินเรือ แต่ในวันที่ฟ้าปิด หรือมีพายุ  ก็จะไม่สามารถทำเช่นนั้นได้  ทำให้เป็นอุปสรรค์ต่อการเดินเรือเป็นอย่างมาก แต่หลังจากที่ค้นพบเข็มทิศแล้ว ชาวเรือก็สามารถวาดแผนที่ในการเดินเรือออกมาได้ ไม่ว่าจะเดินทางท่ามกลางมหาสมุทรกว้างใหญ่เพียงใดพวกเขาก็สามารถเดินทางไปได้โดยใช้เข็มทิศบอกทิศทาง เข็มทิศจึงมีส่วนช่วยในการบุกเบิกเส้นทางการเชื่อมต่อโลก และยังส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศต่างๆ ด้วย

เข็มทิศได้แพร่หลายไปยังอาหรับในศตวรรษที่ 12 และไปยังทวีปยุโรปในศตวรรษที่ 13 การค้นพบเข็มทิศถือเป็นการค้นพบสิ่งมหัศจรรย์อย่างหนึ่ง และถือเป็นคุณประโยชน์อย่างยิ่งแก่มวลมนุษย์

การผลิตกระดาษ




ในสมัยฮั่นตะวันตกได้มีการนำเชือก ป่าน ปอ เศษผ้าขาดๆ แห และอวนเก่าๆ มาทำเป็นวัสดุตั้งต้นของเส้นใยกระดาษ แต่กระดาษประเภทนี้เนื้อค่อนข้างหยาบ  จึงเขียนไม่ลื่นไหลทำให้ไม่เป็นที่นิยม กระทั่งสมัยฮั่นตะวันออก ได้มีขุนนางคนหนึ่งนามว่า “ไซ่หลุน”  ได้ปรับปรุงเทคนิคและกรรมวิธีการทำกระดาษ  เขารวบรวมเอาประสบการณ์ของบรรดาผู้ที่เคยผลิตกระดาษมาก่อนแล้วนำเอามาปรับปรุง จนในที่สุดก็สามารถผลิตกระดาษที่มีคุณภาพดี มีสีขาว และง่ายต่อการขีดเขียน ทำให้กระดาษของเขาได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก และถูกใช้กันอย่างแพร่หลาย

เทคนิคและกรรมวิธีการผลิตกระดาษของจีนได้เริ่มเผยแพร่เข้าสู่เกาหลีและเวียดนามในศตวรรษที่ 7  จากนั้นได้เผยแพร่ไปสู่ญี่ปุ่น และประเทศแถบอาหรับในศตวรรษที่ 7 และเผยแพร่ไปยังยุโรปและแอฟริกาในศตวรรษที่ 12

เทคนิคการพิมพ์



ศาสตร์การพิมพ์ของจีนแบ่งเป็น “การพิมพ์โดยตราประทับที่แกะสลักบนไม้” และ “การพิมพ์ด้วยแม่พิมพ์แบบตัวเรียงพิมพ์” ในสมัยซ่งเหนือช่วงปี ค.ศ.1041  ถึงปี 1048  “ปี้เซิง” ผู้เป็นนายช่างในโรงพิมพ์หนังสือที่เมืองหังโจวได้บุกเบิกตัวเรียงพิมพ์ขึ้นมา  เขาใช้ดินเหนียวมาปั้นเป็นแท่งสี่เหลี่ยม และแกะสลักตัวอักษรลงบนหัวของแท่งดินนั้น ในกระบวนการพิมพ์  เขาจะเรียงตัวอักษรตามหน้าเรียงพิมพ์ไปบนแท่นเหล็กและทาด้านอักษรด้วยหมึก จากนั้นจึงนำไปประทับลงบนกระดาษ เมื่อพิมพ์เสร็จแล้วแท่งอักษรเหล่านี้ยังสามารถนำไปเรียงพิมพ์กับหนังสืออื่นๆได้อีกโดยไม่ต้องแกะสลักแท่งตัวอักษรขึ้นใหม่   หากตัวไหนอักษรที่สลักแตกหักเสียหายก็แกะซ่อมเป็นตัวๆไป และถ้าหากพบว่ามีการพิมพ์ผิดตัวก็สามารถที่จะแก้ไขได้อีกในภายหลัง วิธีการเหล่านี้ช่วยลดเวลา ขั้นตอน และแรงงานด้านการพิมพ์ไปได้มาก จึงช่วยส่งเสริมและพิมพ์ความเร็วและคุณภาพในการพิมพ์ให้ดีขึ้นได้อย่างรวดเร็ว

วิธีการพิมพ์ด้วยตัวเรียงพิมพ์นี้ได้เผยแพร่ไปยังเกาหลี ญี่ปุ่น เวียดนาม และนานาประเทศแถบตะวันตกในช่วงศตวรรษที่ 13 ส่วนยุโรปนั้นเพิ่งค้นพบตัวเรียงพิมพ์ในศตวรรษที่ 15 ซึ่งช้ากว่าประเทศจีนไปถึง 400 ปี

ดินปืน



ดินปืนผลิตมาจากการผสมกันระหว่าง ซัลเฟอร์ สารซอลปีเตอร์ และถ่าน เดิมทีแล้ว ซัลเฟอร์ (กำมะถัน)  สารซอลปีเตอร์ (ดินประสิว) และถ่าน ล้วนเป็นยาสมุนไพรของจีน กลุ่มนักผสมยาอายุวัฒนะมักจะผสมยาเหล่านี้ลงในสูตรของยาอายุวัฒนะ และการค้นพบดินปืนก็เกิดขึ้นจากการทดลองหายาอายุวัฒนะของกลุ่มนักผสมยาเหล่านี้นี่เอง

หลังจากค้นพบดินปืนแล้วมันได้ถูกนำมาใช้ในวงการทหาร โดยผลิตเป็นอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นพลุ ปืนใหญ่ และทุ่นระเบิดก็ล้วนแต่ค้นพบ และคิดค้นขึ้นที่ประเทศจีนเป็นที่แรก ดินปืนยังนำมาผลิตเป็นประทัด  ดอกไม้ไฟได้อีก พอถึงหน้าเทศกาลหรืองานรื่นเริง ชาวจีนนิยมจุดประทัดและดอกไม้ไฟเพื่อเพิ่มบรรยากาศที่สนุกสนาน ในช่วงศตวรรษที่ 8-9 ดินปืนเผยแพร่ไปยังอาหรับ หลังจากนั้นยุโรปได้ทำสงครามกับชาวอาหรับ ชาวยุโรปจึงได้เรียนรู้ถึงวิธีการทำดินปืน นับเป็นการค้นพบที่ส่งเสริมความก้าวหน้าด้านอาวุธยุทโธปกรณ์สำหรับชาวยุโรปได้เป็นอย่างมาก

การคิดค้นสิ่งประดิษฐ์ทั้งสี่ในจีนก่อให้เกิดความก้าวหน้าทางด้านวิทยาการในวงกว้างทั้งในโลกตะวันออกและโลกตะวันตก เข็มทิศช่วยให้เกิดการสำรวจทางทะเล การผลิตกระดาษและเทคนิคการพิมพ์ช่วยให้เกิดการปฏิวัติวิทยาศาสตร์ และดินปืนช่วยให้เกิดความก้าวหน้าด้านอาวุธยุทโธปกรณ์ หากไม่มีสิ่งประดิษฐ์ทั้งสี่ของอารยธรรมจีนแล้วนั้น โลกของเราอาจจะไม่มีทางก้าวหน้ามาจนถึงทุกวันนี้ได้อย่างแน่นอน


อ้างอิง

คัลเชอร์, มอนเทจ. ประตูสู่วัฒนธรรมจีน. กรุงเทพ: สุขภาพใจ, 2551.

เอเชียแพ็ค. ต้นกำเนิดวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจีน. กรุงเทพ: สุขภาพใจ, 2554.

สิ่งประดิษฐ์ทั้ง4ของจีน. สืบค้นเมื่อ 28 กันยายน 2558, จาก http://www.thongkasem.com/knowledge.php?kid=68

4 สิ่งประดิษฐ์ของจีน. สืบค้นเมื่อ 28 กันยายน 2558, จาก http://chinese2u.blogspot.com/2015/04/4.html


อ่านเพิ่มเติม »