“สงครามย่อมส่งผลกระทบต่อจิตใจ ความเจ็บปวดของผู้คนในยุคก่อนยังคงส่งผลต่อจิตใจของผู้คนในยุคหลัง…” (ปิยะโชค ถาวรมาศ, 2556)
เรื่องราวของการทำลายล้างมวลมนุษยชาติด้วยอาวุธครั้งแรกในประวัติศาสตร์นั้น เกิดขึ้นเมื่อ 6 สิงหาคม ค.ศ. 1945 ณ จักรวรรดิญี่ปุ่น หากย้อนกลับไปในปี ค.ศ.1920 จะพบว่าญี่ปุ่นเกิดปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำอย่างหนัก แนวคิดเรื่องการปกครองแบบเผด็จการมีอิทธิพลในหมู่ของทหารญี่ปุ่น อีกทั้งยังได้รับการสนับสนุนจากประชาชนที่ตกอยู่ในสภาวะอับจนทางเศรษฐกิจ เกิดการแยกตัวเป็นอิสระของกองทัพจากการบังคับของรัฐบาล ต่อมาในปี ค.ศ. 1931 กองทัพญี่ปุ่นได้เข้ายึดแมนจูเรียของจีน โดยที่รัฐบาลญี่ปุ่นไม่ทราบเรื่อง ถือว่ากองทัพไม่ยอมรับอำนาจของรัฐบาลได้อย่างชัดเจน
ประเทศญี่ปุ่นมีรูปแบบการบริหารจัดการประเทศเผด็จการแบบฟาสซิสต์เหมือนยุโรป นับตั้งแต่ นายพลฮิเดกิ โตโจ นายทหารคนสำคัญ ได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ในปี ค.ศ. 1941 ทางยุโรปเกิดสงครามรุกรานกัน ช่วงเริ่มสงครามแรกๆนั้น ญี่ปุ่นท่าทางจะไปได้สวยเลยทีเดียว ขณะที่ทูตญี่ปุ่นกำลังดำเนินการเจรจาทางการทูตเพื่อแก้ไขปัญหากับสหรัฐอเมริกาอยู่นั้น ได้เกิดเหตุการณ์หนึ่งขึ้นซึ่งกองทัพญี่ปุ่นได้บุกเข้าเพิร์ลฮาร์เบอร์ซึ่งเกาะเล็กๆ ของหมู่เกาะฮาวาย ตีฐานทัพของสหรัฐอเมริกาที่อยู่บนเกาะ ซึ่งถือเป็นฐานทัพใหญ่ของสหรัฐอเมริกาที่คุมกำลังด้านแปซิฟิก โดยที่อเมริกาทำอะไรไม่ได้เลย ขณะเดียวกันญี่ปุ่นเริ่มบุกรุกเพื่อนบ้านในแถบเอเชีย อาคเนย์ ไม่มีประเทศไหนสามารถต้านทานญี่ปุ่นได้ กองกำลังของญี่ปุ่นเข้มแข็งมาก และการเข้าโจมตีเกาะเพิร์ลฮาร์เบอร์ของญี่ปุ่นในครั้งนั้น สร้างความไม่พอใจให้แก่สหรัฐอเมริกา เป็นการดันให้ทั้ง ญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกา เข้าสู่สงครามโลกครั้งที่สอง
แต่เมื่อถึงช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้น ญี่ปุ่นเริ่มอ่อนแอ ไม่สามารถต้านประเทศมหาอำนาจอย่างอเมริกาได้ เรือบรรทุกนํ้ามันโดนโจมตี เรือที่ขนเสบียงก็โดนตี คนญี่ปุ่นที่ไปรบในแถบอาเซียนเสียชีวิต จากการขาดเสบียงอาหารและยารักษาโรคเป็นจำนวนมาก ในประเทศญี่ปุ่น เครื่องบินอเมริกาบินมาถล่มญี่ปุ่นทุกค่ำคืน เมืองใหญ่ๆ ไม่ว่าจะเป็นโตเกียว โอซาก้า นาโกย่า ตอนปลายสงครามโดนถล่มแทบจะเป็นเมืองร้าง ทั้งทหารและพลเรือนเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก
ย้อนกลับไปตั้งแต่เกาะเพิร์ลฮาร์เบอร์โดนญี่ปุ่นถล่มยับเยิน ได้มีโครงการหนึ่งเกิดขึ้น เป็นโครงการที่เร่งเครื่องไปข้างหน้า อย่างลับ ๆ ซึ่งโครงการนั้นก็คือ โครงการสร้างระเบิดนิวเคลียร์ การทดลองระเบิดนิวเคลียร์ลูกแรกของโลก ซึ่งนั่นคือว่าที่หายนะของเมืองฮิโรชิมาที่จะกล่าวต่อไป
สถานการณ์สงครามโลกเริ่มคลี่คลายไปมากถึงปี ค.ศ. 1944 และโครงการสร้างระเบิดนิวเคลียร์นี้ได้ประสบผลสำเร็จในกลางปี คศ. 1945 สหรัฐอเมริกาจึงเตรียมที่จะใช้อาวุธนี้จัดการกับประเทศญี่ปุ่น ได้ยื่นคำขาดให้ญี่ปุ่นยอมจำนน แต่ญี่ปุ่นหายอมจำนนไม่
และแล้วในวันที่ 6 สิงหาคม 1945 เครื่องบินบี-29 ลำหนึ่งได้บินอยู่เหนือเมืองฮิโรชิมา เพื่อตรวจสอบสภาพอากาศ ทำให้ประชาชนตื่นกลัวและหลบอยู่ในที่กำบัง เครื่องบินตรวจสอบสภาพอากาศรายงานผลไปยัง อีโนล่า เกย์ เมื่อเครื่องบินตรวจสอบอากาศบินเลยผ่านไปโดยไม่มีการโจมตี ช่วงนั้นดูเหมือนปลอดภัยแล้ว ต่อมา ในเวลา 8:15 นาฬิกา ระเบิดปรมาณู “Little Boy” ถูกจุดระเบิด ณ ตำแหน่งความสูง 580 เมตร เหนือเมืองฮิโรชิมา โดยทิ้งจากเครื่องบินของสหรัฐอเมริกาชื่อ “อีโนล่า เกย์” ที่เพดานบินสูง 9,500 เมตร
ภาพถ่ายทางอากาศของเมืองฮิโรชิมา ก่อนและหลังถูกระเบิดปรมณูทำลาย
หลังจากหล่นลงมา 43 วินาที กลไกที่ทำงานตามเวลาและแรงดันอากาศก็เริ่มกระบวนการจุดระเบิด เกิดเป็นควันขาวอมเขียวพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเป็นรูปดอกเห็ดสูงถึง 10 กิโลเมตร อันเป็นลักษณะเฉพาะของระเบิดนิวเคลียร์และเกิดแสงสว่างอันเจิดจ้า แรงระเบิดขนาด 15 กิโลตัน ระเบิดเหนือพื้นดิน 500 เมตร ปล่อยอานุภาพทำลายล้างออกมาทีละขั้น ประกายไฟที่ออกมาจากลูกไฟยักษ์ที่กว้างถึง 300 เมตร ทำให้อุณหภูมิที่อยู่ด้านล่างลูกไฟนั้นสูงถึง 4,000 องศาเซลเซียสและในอาณาบริเวณรัศมี 1 กิโลเมตร ความร้อนสูงขึ้นถึง 540 องศาเซลเซียส รังสีความร้อนหลอมละลายทุกอย่างที่อยู่ในที่โล่ง ถ้าไม่ระเหยกลายเป็นไอ ก็กลายเป็นเถ้าถ่านไปในทันที
ประชาชนที่โชคดีที่อยู่รัศมีเขตศูนย์กลางจะตายอย่างมีความสุขในทันทีโดยไม่รู้สึกตัว ร่างกายจะแปรสภาพเป็นเถ้าถ่านในชั่วพริบตาเดียว ผู้คนที่อยู่ห่างออกไป จะได้รับผลกระทบจากกระแสความร้อน ทำให้บาดเจ็บทรมานอย่างมาก ผิวไหม้และอิทธิฤทธิ์อีกประการของระเบิดตามมาคือ "แรงระเบิด" ซึ่งเป็น shock wave ความเร็วเบื้องต้นถึง 3.2 กิโลเมตรต่อวินาที แรงระเบิดทำให้เมืองฮิโรชิมาทลายราบเป็นหน้ากลองทั้งเมือง ยังคงเหลืออาคารก่อสร้างอยู่เพียง 10 เปอร์เซ็นต์ของที่มีเดิมเท่านั้น ปฏิบัติการของทหารอเมริกันครั้งนั้นคร่าชีวิตคนไปราว 240,000 คน ถึงกระนั้นญี่ปุ่นยังไม่ยอมจำนน สหรัฐอเมริกาจึงได้ทิ้งระเบิดปรมาณูลูกที่สองใส่ญี่ปุ่นที่นางาซากิอีก จึงเป็นการยุติสงครามโดยสิ้นเชิง รัฐบาลญี่ปุ่นจึงประกาศยอมจำนนอย่างไม่มีเงื่อนไข
ฮิโรชิมา เป็นเมืองเป้าหมายที่ถูกเลือกเป็นแห่งแรกเนื่องมาจาก 1.พื้นที่ของเป้าหมายต้องมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 3 ไมล์และเป็นเขตชุมชุนที่สำคัญขนาดใหญ่ เมื่อปล่อยระเบิด ต้องสามารถทำลายล้างและสร้างความเสียหายได้อย่างมีประสิทธิภาพ 2.เป้าหมายมียุทโธปกรณ์ โรงผลิตอาวุธมากมายและที่ตั้งของกองทัพทหารต้องได้รับการระบุที่ตั้งแน่นอน เพื่อป้องกันหากการทิ้งระเบิดเกิดข้อผิดพลาด เมื่อมีการเลือกแบบนี้ทำให้ฮิโรชิมาเหมาะแก่การทิ้งระเบิดเป็นอย่างยิ่ง
ในสงครามโลกครั้งที่สอง ถือเป็นสงครามแห่งการสูญเสียของทุกประเทศทั้งเข้าร่วมและไม่เข้าร่วมแต่ได้รับความสูญเสียด้วยในสงครามโลกครั้งนี้ ซึ่งมีหลายเมืองที่ประสบกับการสูญเสียที่ไม่อาจลบเลือน แค่เพียงไม่สามารถเทียบเคียงกับเหตุระเบิดของเมือง ฮิโรชิมา แห่งนี้ได้เท่านั้น
อ้างอิง :
เคยสงสัยหรือไม่?? ทำไมต้องเป็นฮิโรชิมา และนางาซากิ ค้นเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2559 จาก http://www.unigang.com/Article/4310
เหตุการณ์ทิ้งระเบิดปรมณูที่ฮิโรชิม่า ค้นเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2559 จาก http://pantip.com/topic/30392023
ระเบิดปรมาณูนิวเคลียร์ ถล่มเมืองฮิโรชิมากับนางาซากิ. ค้นเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2559, จาก http://www.neutron.rmutphysics.com/science-news/index.php?option=com_content&task=view&id=836&Itemid=4
รำลึกถึงการทิ้งระเบิดปรมาณู. ค้นเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2559, จาก http://www.baanjomyut.com/library_2/atom/04.html
6 สิงหาคม ย้อนรอยประวัติศาสตร์ เมืองฮิโรชิมา. ค้นเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2559, จาก http://www.vcharkarn.com/varticle/44012
รำลึกถึงโศกนาฏกรรมครั้งร้ายแรงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของโลก. ค้นเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2559, จาก http://www.unigang.com/Article/3286
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น