คำสอนของพระพุทธเจ้าก่อนปรินิพพาน

โดย มันตรา จำนงค์วงษ์

ท่านเป็นพุทธแท้หรือเปล่า? ท่านยึดถือในพระพุทธศาสนาจริงหรือไม่? หรือยึดถึอแค่เปลือกของพระพุทธศาสนา และสิ่งที่ท่านยึดถือนั้นถูกต้องจริงหรือ?

ปัจจุบันคำสอนพระพุทธเจ้าต่างๆ มีปะปนอยู่มาก และมิใช่คำสอนที่ออกจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้าทั้งหมด ซึ่งได้กลายมาเป็นปัญหาในปัจจุบัน กล่าวคือ เพราะเหตุว่าเราไม่ได้ใช้คำตถาคตโดยตรง ศาสนาจะเสื่อมลงไปเรื่อยๆ พระองค์ทรงกล่าวว่า คำสอนที่แต่งขึ้นใหม่ที่ไม่ใช่คำของตถาคต ไม่ควรฟัง มีพระสูตรคือ
"ภิกษุทั้งหลาย ! พวกภิกษุบริษัทในกรณีนี้ สุตตันตะเหล่าใด ที่กวีแต่งขึ้นใหม่เป็นคำร้อยกรองประเภทกาพย์กลอน มีอักษรสละสลวย มีพยัญชนะอันวิจิตร เป็นเรื่องนอกแนว เป็นคำกล่าวของสาวก เมื่อมีผู้นำสุตตันตะเหล่านั้นมากล่าวอยู่ เธอจักไม่ฟังด้วยดี ไม่เงี่ยหูฟัง ไม่ตั้งจิตเพื่อจะรู้ทั่วถึง และจักไม่สำคัญว่าเป็นสิ่งที่ตนควรศึกษาเล่าเรียน"



พระสูตรดังกล่าวมีความสำคัญมาก เนื่องจากพระองค์ได้ชี้ชัดว่าต้องฟังแต่คำของพระองค์เท่านั้น ด้วยเหตุว่าพระพุทธเจ้ามีความสามารถ 3 ประการ ด้านการพูดที่สาวกมิสามารถทำได้นั่นคือ
  1. พระองค์กำหนดสมาธิทุกครั้งด้านการพูด ไม่ให้พลาดแม้แต่คำเดียว
  2. คำของพระพุทธเจ้าสอดรับกันทั้งชีวิต ตั้งแต่ราตรีที่ตรัสรู้ถึงนิพพาน คำไม่มีการขัดแย้งกัน
  3. คำของพระพุทธเจ้าที่ออกจากพระโอษฐ์มาแล้วเป็น อกาลิโก คือเป็นจริงไม่จำกัดกาลเวลา ไม่ว่าเมื่อใดก็ตาม ไม่ว่าจะเมื่อ 2000 ปีที่แล้ว จนถึงปัจจุบัน และเป็นปัจจักตังคือรู้เฉพาะตน  เป็นพยานในตนเองได้ ไม่ต้องอาศัยการเชื่อหรือการฟังตามๆกันมา
พระอาจารย์คึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล ได้ให้ความเห็นว่า  เหตุที่ศาสนาพุทธถึงมีการแยกเป็นนิกายต่างๆ มีพิธีกรรมที่แตกต่างกัน จนกลายเป็นว่าชาวพุทธในปัจจุบันกราบไหว้พระพุทธเจ้าแต่กลับไม่รู้จักคำสอนของพระพุทธเจ้าเลย พระพุทธองค์เคยทรงตรัสไว้ว่า ในอนาคตการณ์ที่ภิกษุไม่สนใจคำตถาคต ไม่ศึกษาคำตถาคต จึงไม่มีภิกษุที่ไปถ่ายทอดคำตถาคตให้แก่อุบาสก อุบาสิกาฟัง จึงเป็นเหตุให้ศาสนาเสื่อม คำตถาคตจึงค่อยๆหมดไปจากโลก โดยพระองค์อุปมาเปรียบเหมือนกลองศึกของกษัตริย์ เมื่อตีไปในที่สุดก็แตก จึงเอาเนื้อไม้ใหม่ตีเสริมเข้าไป ทำแบบนี้ทุกคราวไปเนื้อไม้เดิมของตัวกลองก็หมดสิ้นไป ดังเช่นเดียวกัน คำพระพุทธเจ้าก็จะค่อยๆเสื่อมสูญหายไป ถ้าเรามัวแต่ไปสนใจคำสอนที่สาวกหรือใครก็ตามที่แต่งขึ้นมาใหม่
               
คำสอนของศาสนาพุทธเป็นคำสอนเพื่อการหลุดพ้น หลุดพ้นจากการเวียน ว่าย ตาย เกิด เพื่อให้เข้าถึงซึ่งนิพพาน เหตุใดเราถึงต้องเข้าสู่นิพพาน?
             
สังสารวัฏนั้น เป็นเหตุให้สัตว์ทั้งหลายต้องท่องเที่ยวอยู่ในทะเลแห่งทุกข์ ทุกข์จากการเกิด แก่ เจ็บ ตาย มิรู้จบ เมื่อเวียนไปเกิดแล้ว อาจเกิดเป็น เทวดา มนุษย์ กำเนิดเดรัจฉาน เปรตวิสัย ซึ่งเวียนว่ายไปสู่ภพภูมิต่างๆ ตามกรรม ดังนั้นการเกิดใหม่เรื่อยๆจึงเป็นทุกข์ เราจึงต้องสู่สภาวะนิพพานคือการไม่เกิดอีก  ซึ่งมนุษย์นั่นโดยส่วนมากไม่รู้ว่าเมื่อตนเองตายไปแล้วนั้น จะต้องไปเกิดใน นรก กำเนิดเดรัจฉาน เปรตวิสัย หรือไปเกิดในภพภูมิเทวดา ซึ่งการไปเกิดในภพภูมิเทวดานั้นเป็นส่วนน้อย  เกือบทั้งหมดลงอบาย คือ นรก กำเนิดเดรัจฉาน เปรตวิสัย และเมื่อพ้นจากการเทวดาแล้ว ก็ยังจะต้องไปเกิดในอบายอีก พระพุทธองค์ทรงบอกทางที่จะพ้นอบายอย่างถาวร คือไม่ไปเกิดใน นรก กำเนิด เดรัจฉาน เปรตวิสัย อีก  การหลุดพ้นถาวรจากอบายพ้นจากปุถุชนภูมิสู่อริยะ อย่างน้อยที่สุดคือการได้โสดาบัน ดังนั้นจึงควรศึกษาว่าโสดาบันมีคุณสมบัติอย่างไร

โสดาบัน มีจริงหรือไม่ ?
             
โดยพระองค์ได้ตรัสอยู่ในคุณธรรมประเภทโสดาปฏิมรรค ก็คือศรัทธานุสารี คือ คุณธรรมของพระโสดาบันที่พระองค์ตรัสเอาไว้ คือ มีความเชื่อ น้อมไป ว่า ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นของไม่เที่ยงบุคคลเหล่านี้ได้ชื่อว่า บุคคลนั้นเข้าสู่สัมมัตตนิยาม (ระบบแห่งความถูกต้อง) คือก้าวล่วงพ้นปุถุชนภูมิ โดยไม่อาจกระทำกรรมที่เข้าสู่ นรก กำเนิดเดรัจฉานและเปรตวิสัย และไม่ควรจะทำการละ (ความตาย) ก่อนที่จะรู้ให้แจ้งซึ่งปฏิผล

คุณสมบัติของพระโสดาบัน

โดยสามารถพยากรณ์ตนเองได้ตามหลักธรรมที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติเอาไว้
1. ความเลื่อมใสอันหยั่งลงมั่นในพระพุทธ
2. ความเลื่อมใสอันหยั่งลงมั่นในพระธรรม
3. ความเลื่อมใสอันหยั่งลงมั่นในพระสงฆ์
4. มีศีลที่ไม่ทะลุไม่ด่างพร้อย
ถ้าได้ธรรมเหล่านี้ทั้งสี่ประการแล้ว ก็สามารถพยากรณ์ตนว่าเป็นโสดาบันได้
             
สุดท้ายแล้วทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นเพียงธาตุตามธรรมชาติเป็นเพียงสิ่งที่อาศัยกันและกันในการเกิดขึ้น นามรูป ตัวธาตุเป็นเหตุให้ปรุงแต่งมาเป็น อายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มาจาก ธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ  มารวมกันเท่านั้น ซึ่งศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ปฏิเสธการมีอยู่ของพระผู้เป็นเจ้าซึ่งต่างจากศาสนาอื่น โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อสอนให้มนุษย์หลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง และการอยู่กับความทุกข์โดยการรู้เท่าทันตามความเป็นจริง โดยมีจุดสูงสุดของศาสนาพุทธคือ การหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวงและการเวียน ว่าย ตาย เกิด ในสังสารวัฏ


อ้างอิง

นายโกศล ศรีพงษ์พิจิตร. 2559. ดับทุกข์...ด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า.(ออนไลน์).
สืบค้นเมื่อ 25 กุมภาพันธ์ 2559, จาก : http://www.doisai.com/707116/.ดับทุกข์ด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า.

พระอาจารย์ คึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล. 2559. พุทธวจน คืออะไร ทำไมต้องศึกษาแต่พุทธวจน.(ออนไลน์). สืบค้นเมื่อ 25 กุมภาพันธ์ 255, จาก : http://faq.watnapp.com/all/89-history-of-buddhawajana/147-05-03-0001.

พระอาจารย์ คึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล. 2558. พุทธวจน จะพ้นจากกำเนิด เดรัจฉาน เปรตวิสัยได้อย่างไร.(ออนไลน์). สืบค้นเมื่อ 20 พฤษภาคม 2559, จาก : https://www.youtube.com/watch?v=0G9wnmfVAiI.

พระอาจารย์ คึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล. 2557. คุณสมบัติโสดาบันและเหตุปัจจัยเพื่อความเป็นโสดาบัน.(ออนไลน์). สืบค้นเมื่อ 20 พฤษภาคม 2559, จาก : https://www.youtube.com/watch?v=Nmvb9aADh38.

พระอาจารย์ คึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล. 2559. พุทธวจน สรุปหลักธรรมสำคัญที่ควรรู้ ทาน ,ศีล, ภาวนา, คุณธรรมโสดาบัน.(ออนไลน์). สืบคืนเมื่อ 23 กุมภาพันธ์ 2559, จาก: https://www.youtube.com/watch?v=gk9oZ5BmiMs.

Watchara Makawan2559คำสอนจากปากพระพุทธเจ้าโดยตรง.(ออนไลน์). สืบคืนเมื่อ 23 กุมภาพันธ์ 2559, จาก:  https://www.youtube.com/watch?v=TEQjzp1Th0E.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น