จักรพรรดิไททัส (Titus)

โดย ธีรวัฒน์ หงส์วงค์

จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่และมีชื่อเสียงในโลกมีหลายท่าน และต่างก็มีชื่อเสียงเรียงนามในเรื่องคุณงามความดีและความสามารถหลากหลายของตนเอง หนึ่งในนั้นคือ จักรพรรดิไททัส บุตรชายองค์ที่สองแห่งราชวงศ์เฟลเวีย  จักรพรรดิไททัสมีชื่อเสียงในการปกครอง และมีผลงานชิ้นเอกในการสร้างสถาปัตยกรรมในกรุงโรม  นั้นก็คือ สนามกีฬากลางแจ้งเฟลเวียน Flavian Amphitheatre หรือที่คุ้นชินในชื่อ สนามกีฬาโคลอสเซี่ยม (The Colosseum) ในปัจจุบันนั่นเอง

จักรพรรดิไททัส (Titus) หรือ ไททัส เฟลเวียส เวสปาซิอานัส (Titus Flavius Vespa) เป็นบุตรของจักรพรรดิเวสเปเซียนของจักรวรรดิโรมัน ไททัสเป็นจักรพรรดิองค์ที่สองและมีพระอนุชาชื่อโดมิเนียม ราชวงศ์เฟลเวียแห่งจักรวรรดิโรมันมีเพียงสามพระองค์เท่านั้น คือ แห่งราชวงศ์เฟลเวีย ที่ก่อตั้งโดยพระราชบิดาจักรพรรดิเวสเปเซียน ซึ่งเป็นราชวงศ์ที่มีจักรพรรดิเพียงสามพระองค์ ที่รวมทั้งจักรพรรดิโดมิเชียนพระอนุชาผู้ครองราชย์ต่อจากไททัส


             
ไททัสถือเป็นแม่ทัพที่ยิ่งใหญ่และรับราชการภายใต้การปกครองของพระบิดา ทำสงครามในจังหวัดยูเดีย  ซึ่งเกิดขึ้นระหว่างปี ค.ศ67-70 ในการทำทำสงครามครั้งนั้นต้องยุติการทำสงครามชั่วคราว เพราะจักรพรรดิเนโรเสด็จสวรรคตอย่างกะทันหัน เมื่อจักรพรรดิเนโรผู้มีฉายาเนโรจอมโหดเสด็จสวรรคต จักรดิพรรดิเวสเปเซียนผู้เป็นพระราชบิดาของไททัสจึงเข้าชิงอำนาจในการเป็นจักรพรรดิ  และในครั้งนี้เวสเปเซียนจึงได้รับการประกาศให้เป็นพระจักรพรรดิเมื่อวันที่1ก.ค. ค.ศ69  ไททัสได้รับมอบหมายให้ทำสงครามปราบปรามชาวยิวในจังหวัดยูเดียต่อให้เสร็จสิ้น และในครั้งนี้ไททัสสามารถนำชัยชนะกลับมาได้สำเร็จตามที่รับมอบหมาย ก็ได้นำทัพทำศึกสงครามชนะและทำสงครามสำเร็จตามที่ได้รับมอบหมายจากพระบิดาในค.ศ.70 โดยวิธีการล้อมกรุงเยรุซาเล็ม ในครั้งนี้ไททัสมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ตนเองได้ทำการรบสำเร็จลุล่วงเป็นอย่างดี และเพื่อเป็นเกียรติให้แก่ตนเองนั้น เขาจึงสร้างประตูชัยเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองในความสำเร็จครั้งนั้น        

ในระหว่างที่พระจักรพรรดิเวสเปเซียนครองราชย์  ไททัสในขณะนั้นมีตำแหน่งเป็นผู้บังคับบัญชากองทหารรักษาพระองค์แพรเทอเลียน ซึ่งมีหน้าที่อารักขาจักรพรรดิและกำจัดจักรพรรดิหรือราชวงศ์ที่ทำผิดกฎร้ายแรงหรือออกนอกลู่นอกทาง โดยจะรับคำสั่งจากสภาซีแนต แต่กลับกันไททัสกลับทำตัวเสื่อมเสียเสียเอง เขาได้แอบมีความสัมพันธ์กับพระราชินีชาวยิว แบแรนิชผู้เป็นลูกสาวของกริพาที่ 1 ซึ่งทำให้เขาถูกวิพากวิจารเป็นอย่างหากให้เขาขึ้นครองราชแทนพระบิดา แต่เมื่อไททัวขึ้นครองราชเขาก็พิสุจน์ให้ประชาชนเห็นว่าเขาสามารถทำหน้าที่ในการปกครองได้ดี ไม่แพ้พระบิดาของเขาเอง และสิ่งสาคัญที่ทำให้จักรพรรดิไททัสนั้นมีชื่อเสียงในการสร้างกรุงโรม คือในรัชสมัยของพระจักรพรรดิเวสเปเซียน ไททัสได้สร้างสนามกีฬากลางแจ้งเฟลเวียนหรือที่เรียกกัน โคลอสเซียม
         


ที่มา: http://www.telegraph.co.uk/
         
สนามกีฬาFlavian Amphitheatre หรือ สนามกีฬาโคลอสเซียม The Colosseum  ถือเป็นสนามกีฬากลางแจ้งขนาดใหญ่ตั้งอยู่ใจกลางกรุงโรม เริ่มสร้างเมื่อสมัยพระจักรพรรดิเวสเปเซียนแห้งจักรวรรดิโรมันและสร้างเสร็จในสมัยสมันจักรพรรดิไททัสประมาณปีค.ศ.80 อัฒจันทร์ป็นรูปวงกลมก่อด้วยอิฐและหินวัดโดยรอบได้ประมาณ 527 เมตร สูง 57 เมตร สามารถจุผู้ชมได้ประมาณ 50,000 คน ขึ้นชื่อในเรื่องการออกแบบโดยสร้างให้สนามกีฬามีลักษณะเป็นรูปวงรี เพื่อให้ผู้ชมรู้สึกเข้าใกล้นักกีฬา และมีการออกแบบทางระบายน้ำเพื่อไม่ให้น้ำท่วมขังในสนามขณะเกิดฝนตกอีกด้วย ซึ่งกลายเป็นต้นแบบของสนามกีฬาต่างๆในปัจจุบันนี้ ใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 10 ปีและที่สำคัญในปี 2550 ได้รับการคัดเลือกจากองค์กร New 7 Wanders ให้เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก
         
จักรพรรดิไททัส พระองค์ครองราชย์ได้ไม่ถึง2ปี  แต่ได้รับการยกย่องถึงขั้นที่ว่า เมื่อภายหลังพระองค์เสด็จสวรรคตลงด้วยไข้ ในวันที่ 13 กันยายน ค.ศ.81 พระองค์ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเทพ (Apotheosis )  โดยสภาซีเนตของโรมัน ซึ่งแน่นอนว่าบุคคลที่ได้รับการยกย่องให้เป็นเทพได้นั้นจะต้องมีผลงานที่น่ายกย่องเป็นอย่างมาก  ถึงแม้พระองค์จะครองราชย์ได้ไม่นานแต่ผลงานและคุณงามความดีของพระองค์ก็จารึกให้พวกเราได้เห็นผ่านสถาปัตยกรรมชิ้นเอกในปัจจุบันนี้นั้นเอง
                                                                       
อ้างอิง

bloggang.2015. จักรพรรดิไททัส. สืบค้นเมื่อ 30 เมษายน 2558,จาก  : http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=vinitsiri&month=01-2012&date=31&group=25&gblog=265

slideshare. จักรพรรดิไททัส. สืบค้นเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2558,
จาก: http://www.slideshare.net/sutasineekotayee1/ss-45455760

จักรพรรดิไททัส.(ออนไลน์).สืบค้นวันที่ 30 เมษายน 2558,
จาก: http://lv.termwiki.com/TH/Titus



อ่านเพิ่มเติม »

สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 1 แห่งอังกฤษ

โดย ปภาวี สุนทรมณีรัตน์

“เราเป็นราชินีไม่ใช่กษัตริย์ที่ลุ่มหลงแต่ในอิสริยศที่จะได้มาจากการชนะสงคราม เราเป็นแม่ของประชาชนพลเมือง เราก็หวังอย่างที่แม่พึงหวังให้ลูก นั่นคือการอยู่ดีมีความสุขตามอัตภาพ”  เป็นคำกล่าวและบทพิสูจน์ให้เห็นว่าพระองค์คือยุคทองอันรุ่งโรจน์สมัยหนึ่งของอังกฤษ ทรงได้รับพระฉายานามว่า “ราชินีผู้ทรงพรหมจรรย์” เพราะพระองค์ทรงเป็นราชินีที่ไม่มีการสมรสตลอดพระชนชีพ กว่าที่พระองค์จะทรงทำให้ประเทศอังกฤษเป็นประเทศมหาอำนาจนั้นต้องพบกับอุปสรรคบททดสอบอะไรบ้างนั้น เราจะมาทำความรู้จักกับพระองได้ต่อจากนี้กับ พระราชินีอลิซาเบธที่1แห่งอังกฤษ ได้เลยค่ะ

พระราชินีอลิซาเบธ ในสมัยที่ยังดำรงยศเจ้าหญิง พระองค์ทรงเป็นพระราชธิดาของสมเด็จพระเจ้าเฮนรีที่ 8 กับสมเด็จพระราชินีแอนน์ โบลีน พระมเหสีพระองค์ที่ 2 ซึ่งถูกประหารชีวิตโดยการบั่นพระเศียรเมื่อสมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธที่ 1 พระชนมายุได้เพียงเกือบ 3 พรรษา จากนั้นพระองค์ก็ทรงถูกประกาศว่าเป็นพระราชธิดานอกกฎหมายโชคชะตาเล่นตลกกับชีวิตชองพระองค์ ทำให้พระองค์ไม่ได้การยอมรับให้อยู่ในราชสมบัติ  ชีวิตในวัยเด็กของพระองค์ยากลำบากมากและเต็มไปด้วยอันตรายในทุกกทาง  พระองค์ ต้องทนทุกข์จากการถูกประหารชีวิตของพระมารดา และการไม่ชื่นชอบของพระบิดา แต่พระองค์ก็ได้รับการศึกษาเป็นอย่างดี และได้รับการเลี้ยงดูท่ามกลางศรัทธาในนิกายโปรแตสแตนท์

เมื่อพระชนมายุ 16 พรรษา ลอร์ดทอมัส ซีมัวร์ ผู้บัญชาการสูงสุดแห่งกองทัพเรือได้วางแผนขออภิเษกสมรสกับพระองค์เพื่อหลอกใช้พระองค์เป็นเครื่องมือหาทางล้มล้างรัฐบาล แต่พระองค์ทรงหลบเลี่ยงได้อย่างนุ่มนวลและต่อมาลอร์ดซีมัวร์ก็ได้ถูกประหารชีวิตในความผิดฐานกบฏ  ระหว่างรัชสมัยของสมเด็จพระราชินีนาถแมรี่ที่ 1 การแสดงตนเป็นโปรแตสแตนท์ของพระองค์ทำให้สมเด็จพระราชินีแมรีพี่สาว ซึ่งเป็นคาทอลิก รู้สึกหวั่นไหว เพราะสงสัยว่าพระองค์ทรงมีส่วนร่วมในการสนับสนุนฝ่ายก่อการโปรเตสแตนต์ พระนางเอลิซาเบทจึงถูกจองจำไว้ที่หอคอยแห่งลอนดอน

โชคชะตาชองพระองค์มาถึงจุดเปลี่ยนเมื่อสมเด็จพระราชินีนาถแมรีที่ 1  พระเชษฐภคินีต่างพระมารดาได้สวรรคตลง  พระองค์ทรงได้รับการยอมรับเป็นอย่างมากจากประชาชนที่หวังจะได้มีเสรีภาพทาง ศาสนามากขึ้น หลังจากที่พระองค์ได้ถูกกดขี่มาโดยตลอดในรัชกาลก่อนๆ พระองค์จึงได้ขึ้นครองราชย์ ท่ามกลางความขัดแย้งต่าง ๆ มากมายทั้งการเมืองและการศาสนา บรรดาอำมาตย์ ขุนนางต่างแตกแยกกัน


สมเด็จพระราชินีนาถแมรีที่ 1
ที่มา: http://th.wikipedia.org/

สิ่งแรกที่พระราชินีนาถเอลิซาเบธทรงทำหลังจากที่พระองค์ทรงได้ขึ้นครองราชคือการสนับสนุนการก่อตั้งสถาบันโปรเตสแตนต์อังกฤษ ซึ่งมีพระองค์เองเป็น “ประมุขสูงสุด” นโยบายทางศาสนาของพระองค์เป็นนโยบายที่ดำเนินตลอดมาในช่วงรัชสมัยการปกครอง ภายใต้การนำอย่างแข็งขันของ เซอร์วิลเลียม เซซิล ซึ่งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศ (ต่อมาเลื่อนเป็นลอร์ดเบอร์กเลย์) กฎหมายสนับสนุนคาทอลิกของพระนางแมรีที่ 1 จึงได้ถูกยกเลิกและนิกายเชิร์ชออฟอิงแลนด์ ก็ได้รับการสถาปนาขึ้น

เซอร์เซซิลยังได้ให้การสนับสนุนการปฏิรูปในสกอตแลนด์ ซึ่งทำให้พระราชินีแมรีแห่งสกอตแลนด์กลับคืนบัลลังก์ได้อีก ส่งผลให้เกิดความขัดแย้งกันขึ้นกับพวกลัทธิแคลวิน โดยจอห์น นอกซ์ หนึ่งในผู้ก่อตั้งนิกายโปรแตสแตนท์ ซึ่งได้จับพระองค์จองจำและบังคับให้สละราชบัลลังก์ ทำให้พระองค์ต้องหลบหนีไปประทับในอังกฤษแต่ก็ถูกจับกักบริเวณอีก ซึ่งต่อมาเหตุการณ์นี้ได้กลายเป็นจุดสนใจและเป็นศูนย์รวมชาวคาทอลิกที่รวมตัวกันต่อต้านนิกายโปรแตสแตนท์ ได้มีการประกาศให้พวกที่นับถือนิกายคาทอลิกเลิกนับถือพระองค์เป็นราชินี แผนการโค่นล้มสมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธที่ 1 ถูกเปิดเผยบ่อยครั้งขึ้น และอีกครั้งหนึ่งโดยการสนับสนุนลับๆ ของพระนางแมรี จึงทำให้พระนางถูกประหารชีวิต

พระองค์ได้เพิ่มและหาพันธมิตรเพื่อที่จะได้เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่นิกายโปรแตสแตนท์มากขึ้น และในขณะเดียวกันการแบ่งแยกศัตรูฝ่ายคาทอลิกรุนแรงมากขึ้นด้วย พระองค์ทรงแสร้งทำเป็นยอมให้เชื้อพระวงศ์ต่างประเทศหลายรายเจรจาขออภิเษกสมรสกับพระองค์ แต่พระองค์ก็ไม่ได้จริงจังและไม่ได้ทรงกำหนดให้มีการสืบรัชทายาทไว้แต่อย่างใด และด้วยการสิ้นพระชนม์ของพระราชินีแมรีแห่งสกอตแลนด์ ทำให้พระนางได้ทรงทราบข่าวด้วยความพอพระทัยว่า องค์รัชทายาท คือพระเจ้าเจมส์ที่ 1 ทรงเป็นโปรแตสแตนท์


สมเด็จพระราชินีนาถแมรีที่ 1
ที่มา: http://th.wikipedia.org/

ในด้านการปกครองพระราชินีอลิซาเบธพระองค์ทรงดำเนินนโยบายที่เป็นสายกลางมากกว่าพระราชบิดา พระอนุชา และ พระเชษฐภคินี คำขวัญที่ทรงถืออยู่คำหนึ่งคือ “video et taceo” (ไทย: ข้าพเจ้ารู้แต่ข้าพเจ้าไม่พูด)  นโยบายดังกล่าวสร้างความอึดอัดใจให้แก่บรรดาราชองคมนตรี แต่ก็เป็นนโยบายที่ทำให้ทรงรอดจากการสร้างความสัมพันธ์ทางการเมืองและทางการมีคู่ในทางที่ไม่ถูกไม่ควรมาหลายครั้ง แม้ว่าจะทรงดำเนินนโยบายการต่างประเทศอย่างระมัดระวัง และทรงสนับสนุนการสงครามในเนเธอร์แลนด์  ฝรั่งเศส และ ไอร์แลนด์อย่างครึ่งๆ กลางๆ แต่ชัยชนะที่ทรงมีต่อกองเรืออาร์มาดาของสเปน ทำให้ทรงมีชื่อว่าทรงมีส่วนเกี่ยวข้องกับชัยชนะอันสำคัญที่ถือกันว่าเป็นชัยชนะอันยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์อังกฤษ ได้ชื่อว่าเป็นยุคทองของอังกฤษ

กล่าวว่าพระองค์ทรงเป็นผู้มีอารมณ์หุนหันพลันแล่น และบางครั้งก็ทรงเป็นผู้นำผู้ที่ไม่มีความเด็ดขาด ทรงได้รับผลประโยชน์จากโชคมากกว่าที่จะทรงใช้พระปรีชาสามารถ ทำให้ในปลายรัชสมัยเกิด ปัญหาต่างๆ ทางเศรษฐกิจและทางการทหารทำให้บ้านเมืองอ่อนแอลง อย่างไรก็ดี พระองค์ทรงมีความสุนทรีย์ทางบทกวี  ดังเช่น พระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 พระบิดาของพระองค์ และพระองค์ทรงเขียนวรรณกรรมไว้หลายเรื่อง

สมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธที่ 1สวรรคต เมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2146 ราชวงศ์ทิวดอร์ก็ได้สิ้นสุดลง  และการสืบต่อราชบัลลังก์โดย พระเจ้าเจมส์ที่ 1 แห่งราชวงศ์สจวร์ตเป็นไปด้วยความเรียบร้อย การครองราชย์ที่ยาวนานของพระองค์ตรงกับช่วงที่อังกฤษเริ่มมีแสนยานุภาพทางทะเลของโลก

พระองค์แสดงให้เห็นถึงความเด็ดเดี่ยวและห้าวหาญ ทรงพระปรีชาสามารถบริหารราชการแผ่นดินได้อย่างดีเยี่ยมนำความรุ่งเรืองมาสู่ประเทศ ถึงจะแม้พระองค์จะเป็นอิสตรี แต่พระองค์ทรงมีหัวใจที่เป็นพระมหากษัตริย์ เพราะอังกฤษในทุกวันนี้ล้วนเกิดจากการวางรากฐานที่แข็งแรงจากพระราชินีอลิซาเบธที่1 แห่งอังกฤษ

อ้างอิง

“พระราชินีอลิซาเบธที่1แห่งอังกฤษ” สืบค้นเมื่อ25 เมษายนพ.ศ.2558,จาก
http://th.wikipedia.org/

“เรื่องน่าสนใจไม่น้อย เกี่ยวกับ สมเด็จพระราชินีอลิซาเบธที่ 1 เเห่งอังกฤษ” สืบค้นเมื่อ25 เมษายนพ.ศ.2558  แหล่งที่มา
http://www.t-pageant.com/

“สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 1 แห่งอังกฤษ” สืบค้นเมื่อ25 เมษายนพ.ศ.2558  แหล่งที่มา
http://flash-mini.com/history/


อ่านเพิ่มเติม »

เครื่องรางไอยคุปต์

โดย รัชฎาภรณ์ ลุนจันทา

ถ้าหากจะกล่าวถึงดินแดนอิยิปต์ ก็คงนึกถึงชาวไอยคุปต์ที่มีความเชื่อเกี่ยวกับเหล่าเทพและเทพี  ซึ่งถือว่าเป็นศูนย์รวมแห่งจิตใจ และสิ่งหนึ่งที่เป็นตัวแทนแห่งความเชื่อ ความศรัทธา และสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจที่อยู่กับชาวอิยิปต์มาตั้งแต่เกิดจนตาย ก็คือ เครื่องราง นั่นเอง

บรรดาเครื่องรางต่างๆ ของชาวอียิปต์จึงเปรียบเสมือนเครื่องประดับที่ต้องพกติดตัวอยู่ตลอด เพื่อใช้คุ้มครองอันตรายต่างๆ จากมนุษย์ด้วยกันเองรวมถึงภูตผีปีศาจ และด้วยความเชื่อของชาวยิอิปต์ที่เชื่อในชีวิตหลังความตาย ว่าสามารถฟื้นคืนชีพได้อีก ชาวอิยิปต์จึงเชื่อกันว่า เครื่องรางสามารถเป็นสิ่งที่คุ้มครองและปกป้องร่างกายไม่ให้ร่างกายนั้นเน่าเปื่อย

เครื่องรางของชาวอิยิปต์มีหลากหลายอย่าง และมีคุณลักษณะที่แตกต่างกันไป และสื่อความหมายที่แตกต่างกัน ดังต่อไปนี้

1.ซา คือเครื่องรางที่ป้องกันสิ่งชั่วร้ายและภูตผีปีศาจ จะใช้ในการปกป้องคุ้มครองกับเด็กทารกแรกเกิด

2. อัช มีลักษณะที่คล้ายคทา มีมงกุฎรูปดอกบัวกับขนนกสองอัน เป็นสัญลักษณ์แทนการค้ำเสาแห่งสวรรค์ ซึ่งหมายถึงความแข็งแกร่ง

3.  แหวน เป็นสัญลักษณ์แห่งความอมตะ ตามความเชื่อแหวนจะช่วยป้องกันโรคภัยไข้เจ็บและทำให้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง



4. อีจิส มีลักษณะเป็นรูปโล่ขนาดเล็ก ส่วนที่เป็นรูปครึ่งวงกลมทำด้วยทองคำ ด้านบนมีรูปเทพเจ้า ประดับด้วยงูเห่าแผ่พังพาน และเหยี่ยวคู่หนึ่งประกบด้านซ้ายและขวามือ เป็นเครื่องรางที่เชื่อว่าช่วยปกป้องคุ้มครองให้รอดพ้นจากวิญญาณชั่วร้าย

5. อังค์ เป็นเครื่องรางที่เก่าแก่ สัญลักษณ์ของอังค์ได้รวมเอาเครื่องหมายของมนุษย์ทั้งชายและหญิงเข้าด้วย เป็นสัญลักษณ์แห่งชีวิต เพื่อชีวิตอันยืนยาวและมั่นคง

6. เซ็คเฮ็ม เป็นไม้เท้า เซ็คเฮ็มหมายถึงอำนาจสูงสุด และยังเป็นสัญลักษณ์แทนดวงดาวต่าง ๆ บนท้องฟ้า

7. ว้าซเซปเตอร์ เป็นคทาซึ่งมีปลายเป็นง่ามและมีท่อนบนสุดเป็นรูปหัวสัตว์ชนิดหนึ่ง อาจเป็นหัวสุนัขจิ้งจอก หรือหัวหงส์ ถือว่าเป็นคทาที่มีศักดิ์สิทธิ์ที่เทพเจ้าและฟาโรห์ทรงใช้ เป็นสัญลักษณ์ความมีสุขภาพดี ความสงบสุขและความมั่งคั่ง

8.สแครับ คือแมลงปีกแข็ง มีลักษณะที่คล้ายแมงคาม(ด้วงกว่าง)ของบ้านเรา เป็นเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์ของสุริยเทพ  เป็นเครื่องรางที่ถือว่าใช้ป้องกันสิ่งชั่วร้ายต่าง ๆ นอกจากนั้นยังนิยมวางไว้ในหลุมฝังศพคนตาย ซึ่งเป็นสัญลักษณ์การเกิดใหม่ในชีวิตหลังความตาย

9.ต้นปาปิรุส เป็นสัญลักษณ์แทนจักรวาลที่เกิดจากอำนาจของเทพเจ้านัน จะเจริญเติบโตขึ้นมาจากเนินดิน ในยุคดึกดำบรรพ์ หรือยุคแรกเริ่มของโลก จึงหมายถึง ชัยชนะและความสนุกสนานรื่นเริง

10. ซีสทรัม คือ เครื่องดนตรีพื้นเมืองของชาวไอยคุปต์โบราณ ใช้มือเขย่าประกอบด้วยห่วงร้อยโลหะ แต่ละห่วงร้อยโลหะแผ่นบาง ๆ จำนวน 4 แผ่น หรือ 3 แผ่น เมื่อใช้มือเขย่าจะมีเสียงดัง ใช้ประกอบจังหวะของเพลงเร็วที่มีจังหวะเร่าร้อน กล่าวกันว่าเสียงเขย่าซีสทรัมขณะสวดมนต์สรรเสริญ เทวีโอซิส เทวีฮาเทอร์ และเทวีบาสต์ จะช่วยขับไล่อำนาจชั่วร้ายต่าง ๆและยังเป็นสัญลักษณ์แทนวงโคจรของดวงจันทร์รอบโลก

11.เน็คคีเบ็ต เป็นชื่อของเทวีแห่งอาณาจักรไอยคุปต์บน แต่ในที่นี้หมายถึงรูปสัญลักษณ์ที่มีรูปร่างเป็นหัวนกแร้ง ซึ่งประดับ อยู่ข้างงูเห่าบนมงกุฎของฟาโรห์ เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงการรวมดินแดนทั้งสองเข้าด้วยกัน

12.  ดวงตา ฮอรัส, อัตจัต,  เชื่อว่าผู้สวมใส่จะรอดพ้นจากภูตผีปิศาจและมีไว้ป้องกันภัยอำนาจของสิ่งชั่วร้ายต่าง ๆ



13. ดอกบัว เป็นดอกไม้ที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับสุริยเทพหลายพระองค์  มักจะนำลวดลายของดอกบัวมาประดับตกแต่งในทางศิลปะและสถาปัตยกรรม ภาพเขียนตามผนังกำแพงหลายแห่งจะพบว่ามีภาพดอกบัวปรากฎอยู่เสมอ

14.เมซ คือ คทาลูกตุ้ม เป็นสัญลักษณ์แทนพระเนตรที่ดุร้ายน่าสะพรึงกลัวของเทพเจ้าฮอรัส ภาพเขียนหรือภาพแกะสลักตามวิหารจะเห็นว่ามีฟาโรห์หลายยุคทรงถือเมซกำลังขับไล่ศัตรูและเชื่อว่าเมซมีอำนาจศักดิ์สิทธิ์ของฟาโรห์ในอดีตแฝงอยู่

15. ไม้นวดข้าวหรือแส้ ประกอบด้วยไม้ถือที่มีปลายติดด้วยเชือกร้อยลูกปัดสามเส้น เป็นของศักดิ์สิทธิ์ของสูง เทพเจ้าที่ทรงถือคือเทพเจ้าโอซิริสและเทพเจ้านัน รวมทั้งฟาโรห์หลายพระองค์ซึ่งถือกันว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจอันยิ่ง ใหญ่

16. เท๊ต  มีลักษณะที่คล้ายเครื่องรางอังค์และน็อต ประดับพระปั้นเหน่งของเทพเจ้า มักจะประดับคู่กับเจ็ด ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แทนสหภาพ (รวมดินแดนสองอาณาจักร) และยังเป็นสัญลักษณ์แทนความร่วมมือของเทวีไอซิ และเทพเจ้าโอซิริส

17. ยูเรอัส คือ มงกุฎรูปงูเห่ากำลังชูคอแผ่แม่เบี้ย ประดับอยู่บนมงกุฎตรงพระนลาฎของฟาโรห์มงกุฎประดับเป็นสัญลักษณ์แสดง ถึงการดำรงตำแหน่งฟาโรห์ที่ถูกต้องตามกฎมณเฑียรบาลและธรรมเนียมประเพณีที่สืบทอดกัน

18.ไม้เท้าด้ามงอ เป็นไม้เท้าที่ใช้กับฟาโรห์และขุนนางได้ ซึ่งหมายถึง ปกครอง ควบคุม มีอิทธิพลสูง

19. เจ๊ด เป็นเครื่องรางสัญลักษณ์ของเทพเจ้าโอซิริส มีลักษณะเป็นรูปกระดูกสันหลัง หมายถึง ความมั่นคงแข็งแกร่ง ในช่วงที่มีพิธีกรรมที่เกี่ยวกับคนตาย จึงนำเจ๊ดมาเป็นเครื่องรางใส่ในโรงศพหรือหลุมฝังศพเชื่อว่าจะให้ชีวิตใหม่ของคนตายได้มีชีวิตอมตะและมีความมั่นคง

จากที่กล่าวมานั้นจะเห็นได้ว่าชาวอิยิปต์มีความเชื่อและศรัทธาในเรื่องเทพและชีวิตหลังความตาย เครื่องรางจึงเป็นสิ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ หัวใจ และสื่อกลาง ของความเชื่อความศรัทธาและวิถึชีวิตของชาวอิยิปต์

อ้างอิง

บรรยง บุญฤทธิ์.  (2547).  เปิดตำนานมหาเทพและเทพีผู้เหนือจิตวิญญาณของชาวไอยคุปต์. กรุงเทพมหานคร:สร้างสรรค์บุ๊ค.

เทพเจ้ารา.  (ม.ป.ป.)  สืบค้นเมื่อ 5 มีนาคม 2558, จาก http://www.ounamilit.com/b37_tep.htm

เครื่องรางอิยิปต์โบราณ.  (ม.ป.ป.)  สืบค้นเมื่อ 5 มีนาคม 2558, จาก https://sites.google.com/site/arc213history/kheruxngrang-xi-yipt-boran

อ่านเพิ่มเติม »

มหาวิหารฟลอเรนซ์ (Florence Cathedral)

โดย ทิพยรัตน์ แสวงสาย

อิตาลี เมืองที่ใครหลายๆคนก็ฝันที่อยากจะไปท่องเที่ยวสักครั้งหนึ่งในชีวิต  เพราะอิตาลีนั้นมีดีตรงที่มีสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นและหลากหลาย   จึงดึงดูดนักท่องเที่ยวที่มีความสนใจทางด้านศิลปะและสถาปัตยกรรมได้อย่างมากมาย และ วิหารฟลอเลนซ์ก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจ สำหรับนักท่องเที่ยวเช่นกัน วิหารฟลอเรนซ์นั้นตั้งอยู่ในจตุรัสเปียซซ่า เดล ดูโอโม (Piazza del Duomo) ซึ้งเป็นศูนย์กลางของเมืองฟลอเรนซ์ เมืองที่ขึ้นชื่อแห่งศิลปะและสถาปัตยกรรมเกี่ยวกับ ในสมัยยุคกลาง หรือยุคสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา

มหาวิหารฟลอเรนซ์ (Florence Cathedral) หรือ อาสนวิหารแม่พระแห่งดอกไม้ (Cattedrale di Santa Maria del Fiore) เป็นอาสนวิหารประจำอัครมุขมณฑลฟลอเรนซ์ ตั้งอยู่ที่เมืองฟลอเรนซ์ มณฑลฟลอเรนซ์ แคว้นทัสกานี ประเทศอิตาลีเป็นมหาวิหารที่งดงามที่สุดแห่งหนึ่ง มีอายุกว่า 800 ปี ใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ในอิตาลี รองจากมหาวิหารเซ็นต์ปีเตอร์และที่วาติกัน และ ที่มีขนาดใหญ่เป็นลำดับที่ 4 ของทวีปยุโรป    สร้างขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่13 ออกแบบโดย ฟิลิปโป บรูเนลเลสกี



จุดเด่นของมหาวิหารแห่งนี้คือโดมสีส้มขนาดใหญ่  ตัวอาคารภายนอกเป็นลวดลายหินอ่อนสีขาว เขียว ชมพู และหินสลัก ด้านหน้าโบสถ์ประดับตกแต่งด้วยหินอ่อนสีขาว เขียว ชมพู  และหินแกะสลัก  มีความยาว 153 เมตร และฐานของโดมกว้างถึง 90 เมตร  โบสถ์นี้ได้รับการสร้างขึ้นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1296 ออกแบบโดย อาร์โนโฟ ดิ แกมบิโอ้(Arnolfo di Cambio) เป็นสถาปัตกรรมที่สร้างในแบบ นีโอโกธิค มี ภาพโมเสคเหนือซุ้มประตู มีหอระฆังสูง 85m อยู่ด้านข้างบริเวณภายนอกตกแต่งด้วยหินอ่อนสีแดง ขาว เขียว และ หินแกะสลัก ภายหลังจากที่ ดิแกมบิโอ้ เสียชีวิตลงแล้วนั้น

ในปี ค.ศ. 1334 ศิลปินนาม จิออตโต้ ได้เข้ามาทำการสร้างต่อหากแต่ว่าสร้างได้เพียงส่วนที่เป็นหอระฆังเท่านั้น จิออตโต้ก็เสียชีวิตลง จากนั้นเกิดความวุ่นวายทางการเมืองภายในยุโรปจึงทำให้การก่อสร้างโบสถ์หยุดชะงักลงไปถึง 27 ปี จนกระทั่ง ค.ศ. 1418 วิศวกรบรูนัสเลสกี้ ได้เข้ามาออกแบบตัวโดมของโบสถ์ที่เป็นมุมโค้งสูงพาดผ่านส่วนปีกของโบสถ์ ในที่สุดโบสถ์แห่งฟลอเรนซ์มีโครงสร้างพื้นฐานแล้วเสร็จปี ค.ศ. 1436 แต่ภายนอกของโบสถ์นั้นสมบูรณ์ในอีก 400 ปีต่อมา

ศิลปะภายในของโบสถ์จะประกอบด้วยหน้าต่างกระจกสีที่ออกแบบโดยศิลปินยุคเรอเนสซองที่มีชื่อเสียงอย่าง ลอเรนโซ กีแบร์ติ, โดนาเทลโล และภาพเขียนบนผนังแบบปูนเปียกหรือที่เรียกว่าfresco ศิลปะแบบเฟรสโก้ ของเปาโล อุซเซลโล ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นจุดเด่นของศิลปะบนฝาผนังของโบสถ์ฟลอเรนซ์นี้เลยก็ว่าได้ อีกส่วนสำคัญของโบสถ์คือห้องใต้ดิน หรือ เดอะคริสป์ (The Crypt )



ต่อมามารู้จักกับ “จอตโต คามปานีเล่ะ (Campanile di Giotto)” หรือ จอตโต เบล ทาวเวอร์ (Giotto’s bell Tower) หอระฆังที่เป็นส่วนหนึ่งของมหาวิหารฟลอเรนซ์ ถูกสร้างขึ้นในรูปแบบสถาปัตยกรรมโกธิค ด้วยความสูงประมาณ 84.7 เมตร (277.9 ฟุต) ตัวหอคอยถูกตกแต่งด้วยรูปปั้น รูปแกะสลักอย่างดงาม และไม่ไกลจากกันนักจะเป็นที่ตั้งของหอทำพิธีศีลจุ่ม (Florence Baptistery) เป็นอาคารทางศาสนาที่มีสถานะเป็นโบสถ์ขนาดเล็กเป็นหนึ่งในอาคารที่เก่าแก่ที่สุดในเมือง โดยหอแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในช่วงระหว่างปี 1059 – 1128 หากต้องการขึ้นชมบนหอคอยจะต้องเสียค่าเข้าชม และไม่มีลิฟต์บริการจะต้องเดินขึ้นบันไดอย่างเดียว ซึ่งมีทั้งหมด 414 ขั้นเลยทีเดียว  ซึ่งในปัจจุบันมหาวิหารอยู่ภายใต้การดูแลของสังฆมณฑลโรมันคาทอลิกแห่งฟลอเรนซ์(Roman Catholic Archdiocese of Florence) เปียสซ่า เดลลา ซินโยเลีย จัตุรัสรูปตัว Lที่อยู่ด้านหน้า ปาลาสโซ เวชชิโอ เป็นจุดท่องเที่ยวที่มีความเกี่ยวข้องกับศูนย์กลางศูนย์กลางทางการเมือง ทางการเมืองของเมืองฟลอเรนซ์ และบิรเวณด้านหน้าปาลาสโซ เวชชิโอยังเป็นที่ตั้งของน้ำพุรูปเนปจูน (Fountain of Neptune) ที่ถูกสร้างขึ้นในช่วงระหว่างปี 1563-1565 โดย แบร์โตโลมิโอ แอมแมนนาติ

เนื่องจากมหาวิหารแห่งนี้เป็นมหาวิหารเป็นสถานที่สำคัญและศักดิ์สิทธิ์ของเมืองฟลอเรนซ์และนับว่าว่าเป็นจุดที่สวยงามที่สุดของอิตาลี โดมแห่งนี้มีสัดส่วนที่ลงตัว สง่างาม มีขนาดใหญ่และสูงที่สุดในยุคเมื่อ 500 กว่าปีที่แล้ว โดยที่ไม่มีคานหรือเสาค้ำ ถือเป็นนวัตกรรมการออกแบบที่ยิ่งใหญ่สุดๆ ของยุคนั้น และกลายเป็นต้นแบบของโดมอื่นๆในยุคต่อมา เป็นความภาคภูมิใจของชาวเมืองฟลอเรนซ์ทุกวันนี้ทางการฟลอเรนซ์ ห้ามสร้างอาคารสูงกว่าโดมนี้โดยเด็ดขาด เพราะวิหารฟลอเรนซ์มีเสน่ห์อย่างนี้นี่เอง จึงดึงดูดให้นักนักท่องเที่ยวต่างๆ ในทั่วทุกมุมสนใจที่จะเข้ามาเยี่ยมชมความพิเศษต่างๆ และความสวยงามทางศิลปะและสถาปัตยกรรมที่สวยงามแห่งนี้สักครั้งหนึ่ง


อ้างอิง

วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี7 มีนาคม 2558. “วิหารฟลอเรนซ์.” สืบค้นเมื่อ 8 มีนาคม 2558, จาก http://th.wikipedia.org/wiki/

Newhostelflorence 1 มกราคม2556.“ฟลอเรนซ์ หรือ ฟิเรนเซ่.” สืบค้นเมื่อ 8 มีนาคม 2558, จาก http://www.newhostelflorence.com/about_tha.html

Bloggang 9 มกราคม 2556 . “เที่ยวอิตาลี เมืองFlorence –ชมความงามวิหารฟลอเรนซ์ เดินเที่ยวตลาดนัด แวะทานร้านSelf-service.” สืบค้นเมื่อ 8 มีนาคม 2558, จาก http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=maystyle&group=2&month=01-2013&date=09

Florencecathedralduomo 8 กันยายน 2555. “แหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนในยุโรปตะวันตก.” สืบค้นเมื่อ 8 มีนาคม 2558, จาก http://florencecathedralduomo.blogspot.com/2012/09/florence-cathedral.html

Travel in Italy. “ฟลอเรนซ์ (Firenze).” สืบค้นเมื่อ 8 มีนาคม 2558, จาก http://www.italysmile.com/travel-in-italy/firenze/

sprachcaffe-thai.com. “ชมมหาวิหารแห่งฟลอเรนซ์ จุดกำเนิดของยุคเรอเนซองส์.” สืบค้นเมื่อ 8 มีนาคม 2558, จาก https://www.ilovetogo.com/Article/29/2496/

อ่านเพิ่มเติม »

ฟาโรห์แรเมซีสที่สอง (Ramesses II)

โดย ณัฐณิชา เกษตรชล

ฟาโรห์แรเมซีสที่สอง  บุตรของฟาโรห์เซติที่หนึ่ง  ทรงได้รับขนานนามว่า  “บรรพบุรุษผู้ยิ่งใหญ่” พระองค์ทรงเป็นนักปกครองที่ทรงความสามารถและยังเป็นนักรบที่มีความเก่งกาจ อีกทั้งยังได้รับการยกย่องให้เป็นฟาโรห์ผู้มีชื่อเสียงและทรงอำนาจมากที่สุดของอาณาจักรอียิปต์

ในช่วงแรกฟาโรห์แรเมซีสได้เน้นไปที่การสร้างเมือง วัด นอกจากนี้ยังได้สร้างเมืองหลวงขึ้นใหม่ที่บริเวณสามเหลี่ยมแม่น้ำไนล์ เพื่อที่จะใช้เป็นฐานในการหาเสียง เมื่อฟาโรห์แรเมซีสครองราชย์ได้ครบ 30 ปี ก็ได้สถาปนาตนเองเป็นเสมือนเทพเจ้า  และสมรสกับพระนางเนเฟอร์ตารีที่เป็นมเหสีเอก และให้กำเนิดพระโอรสองค์แรก ชื่อว่า อามุนเฮอเคปิเชฟ ฟาโรห์แรเมซีสได้สร้างเทววิหารที่มีรูปสลักแทนพระองค์ที่ยิ่งใหญ่ คือ อาบู ซิมเบล ที่แกะสลักเป็นรูปของฟาโรห์แรเมซีสและพระราชินีเนเฟอร์ตารีมเหสี และยังมีอนุสาวรีย์มากมายเพื่อแสดงถึงความยิ่งใหญ่ของพระองค์เอง



นอกจากนี้ฟาโรห์แรเมซีสได้ขยายอำนาจการปกครองออกไปอย่างกว้างขวาง  โดยพระองค์ได้ปราบปรามเมืองของชาวนูเบีย และ ดินแดนรอบข้างแอฟริกาเหนือ ทำให้ อียิปต์ก็ได้ครอบครองดินแดนคานา ที่ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียนในเอเชียไมเนอร์ด้วย และยังได้ขยายอำนาจเข้าไปในเอเชียโดยการปราบปรามชนเผ่าต่างๆ ซึ่งจากการขยายอำนาจในครั้งนี้ ทำให้อียิปต์ได้มีปัญหากับจักรวรรดิฮิตไตท์ที่เป็นจักรวรรดิมหาอำนาจในทางตะวันออกกลางในช่วงเวลานั้น จักรวรรดินี้มีความสามารถในเรื่องของการหลอมโลหะและยังเป็นพวกแรกที่มีได้มีการนำเหล็กเข้ามาใช้

ในช่วงสมัยของฟาโรห์แรเมซีส ทั้งสองอาณาจักรนี้ได้เกิดการกระทบกระทั่งกันอยู่บ่อยครั้ง เป็นเพราะว่าทั้งสองฝ่ายได้พยายามเข้ามามีอิทธิพลในปาเลสไตน์และซีเรีย จนทำให้ในท้ายที่สุดฟาโรห์แรเมซีส ก็ได้ตัดสินใจที่จะทำสงครามกับทหารฮิตไตท์โดยยึดครองเมืองคาเดชเพื่อขับไล่ทหารชาวฮิตไตท์ออกจากปาเลสไตน์และซีเรีย ในปี 1286 ก่อนคริสต์ศักราช

สงครามได้เกิดขึ้นอย่างดุเดือด ทหารของทั้งสองฝ่ายล้มตายเป็นจำนวนมาก แต่ไม่สามารถทราบได้เลยว่าที่แท้จริงแล้วฝ่ายใดเป็นฝ่ายที่ได้รับชัยชนะ เพราะหลังจากสนธิสัญญาสงบศึก ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นสนธิสัญญาฉบับแรกของโลก ที่สมัยก่อนได้บันทึกไว้ลงกระดาษปาปิรุส ได้มีการแลกตัวประกันของแต่ละฝ่าย ซึ่งปัจจุบันได้มีการค้นพบหลักฐานทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับสงครามครั้งนี้ก็คือ ฝ่ายอียิปต์ได้มีการจารึกลงบนกำแพงของวิหารคาร์นัค ว่าฝ่ายอียิปต์เป็นฝ่ายได้รับชนะ


ที่มา : http://jahsand.tumblr.com/

ฟาโรห์แรเมซีสเป็นกษัตริย์ที่ทำให้ชาวอียิปต์มีความเจริญรุ่งเรือง ร่ำรวยและมีสิ่งต่างๆเกิดขึ้นมากมาย แต่ในช่วงวาระสุดท้ายของฟาโรห์แรเมซีสนั้นมีปัญหาสุขภาพร้ายแรงเกี่ยวกับฟัน และติดเชื้อโรคระบาดรุนแรงเกี่ยวกับข้อต่อกระดูกรวมทั้งมีปัญหาเกี่ยวกับเส้นเลือดแดง หลังจากที่ฟาโรห์แรเมซีสสิ้นพระชนม์ อาณาจักรอียิปต์จึงได้ล่มสลายเพราะมีศัตรูมากมายเข้ามารุกราน ทั้งนี้ทั้งนั้นถึงฟาโรห์แรเมซีสจะจากไปแต่ฟาโรห์แรเมซีสก็สร้างความทรงจำที่ยิ่งใหญ่แก่ประชากรในอาณาจักรอียิปต์ ซึ่งในปัจจุบันร่างมัมมี่ของฟาโรห์แรเมซีสได้จัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ที่กรุงไคโร ประเทศอียิปต์

อ้างอิง

Wikipedia.2015. ฟาโรห์แรเมเซสที่2. สืบค้นเมื่อ 27 เมษายน 2558,
จาก  http://th.wikipedia.org/wiki/ฟาโรห์แรเมซีสที่_2

Oceansmile. ฟาโรห์รามเลสที่2. สืบค้นเมื่อ 27 เมษายน 2558,
จาก http://www.oceansmile.com/Egypt/RamsesKing.htm

Thaigoodview. ประวัติศาสตร์อียิปต์. สืบค้นเมื่อ 27 เมษายน 2558,
จาก http://www.thaigoodview.com/library/studentshow/2549/m3-9/no07-22/project/page020.html

อ่านเพิ่มเติม »

นักรบซามูไร

โดย เอกราช จันทา

หลากหลายคนอาจจะได้ยินหรือคุ้นเคยกับคำว่าซามูไรหรือนักรบซามูไรมาแล้ว ว่าคือนักรบที่มีความแข็งแกร่ง ดุดัน โหดเหี้ยม มีวินัย อ่อนน้อมถ่อมตน พอเพียง มีบุคลิกเป็นที่น่าเกรงขามแก่บุคคลทั่วไป อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้ซามูไรเป็นที่นับหน้าถือตา คงต้องย้อนถึงจุดกำเนิดของนับรบซามุไรเลยทีเดียว

อ่านเพิ่มเติม »

สมเด็จพระจักรพรรดินีฟาโรห์หญิงฮัตเชปซุต

โดย อนันตชัย ปรีชาชาญ

ฟาโรห์หญิงฮัตเชปซุตเป็นกษัตริย์ที่ห้าในราชวงศ์ที่สิบแปด ของอารยธรรมอียิปต์ นักไอคุปต์วิทยา กล่าวว่า พระนางเป็นที่รู้จักกันว่า “ เป็นอิสตรีผู้ยิ่งใหญ่พระองค์แรกในประวัติศาสตร์ “  พระนางมีพระบิดาและพระมารดาชื่อ ทุตโมสที่1 กับ พระราชินีอาโมซิส ชื่อของพระนางฮัตเชปซุต มีความหมายว่า “ยอดขันติยา” พระนางได้แต่งงานกับทุตโมสที่2 มีพระธิดาหนึ่งองค์ชื่อ เจ้าหญิงเนเฟอร์รูเร

ต่อมาพระนางได้ขึ้นครองราชย์นั่งบัลลังก์ เป็นฟาโรห์หญิง ในปี 1479-1458 ก่อนคริสตศักราช ซึ่งนั่งบัลลังก์คู่กับ ทุตโมสที่2 ทุตโมซิสขึ้นครองราชย์ได้ 14 ปี ก็สิ้นพระชนม์ จึงทำให้พระนางฮัตเชปซุตได้ครองราชย์เต็มตัว พระนางมีความสามารถด้านศิลปะ และ การพาณิช และมีความเฉลียวฉลาดและเก่งกว่าฟาโรห์ชายหลายๆองค์ พระนางถูกยกย่องและถูกยอมรับจากขุนนางและเหล่าทหาร ว่ามีความเก่งกาจกว่าผู้ชายหลายๆคนมาก สาเหตุที่พระนางมีความเก่ง เพราะ ตอนเด็กๆพระบิดาได้พาพระนางไปราชการด้วยทุกๆที่ จึงทำให้เกิดการปลูกฝังมาตั้งแต่เด็ก



ตลอดสมัยของพระนางฮัตเชปซุต แผ่นดินอียิปต์สงบร่มเย็นมีเพียงสงครามย่อยๆในนูเบียและคาบสมุทรไซนายอย่างละครั้งเท่านั้น ในยุคนี้ได้ชื่อว่าเป็นยุคแห่งความรุ่งเรืองทางการค้าและศิลปะ พระนางได้ส่งกองเรือไปสำรวจดินแดนพันต์  ซึ่งอยู่ตอนในของแอฟริกาและนำสินค้ามีค่าต่างๆกลับมาสู่อียิปต์ พระนางมีเสนาบดีคู่ใจชื่อ เซเนมุท เซเนมุทเป็นเสนาบดีคู่ใจ และยังเป็นสถาปนิกที่เก่งมากคนนึง เซเนมุทได้ออกแบบวิหาร และสิ่งก่อสร้างสถาปัตยกรรมต่างๆในสมัยของพระนางฮัตเชปซุต

หลังจากที่พระนางมีพระธิดา กับ ทุตโมสที่2 แล้ว ยังมีพระโอรสกับพระชายารอง ชื่อ ไอซิส พระโอรสมีชื่อว่า ทุตโมสที่3 พระนางได้ดูแลเลี้ยงดูทุตโมสที่3 เป็นอย่างดี และเมื่อทุตโมสที่3 โตขึ้น พระนางก็แต่งตั้งทุตโมสที่3 เป็นแม่ทัพอีกด้วย

หลังจากที่พระนางฮัตเชปซุตขึ้นครองราชย์ได้ 21 ปี ในปีที่ 22  ก็สิ้นสุดสุดลง และทุตโมสที่3 ก็ได้ขึ้นครองราชย์นั่งบัลลังก์แทน และฟาโรห์ฮัตเชปซุตก็หายสาปสูญไปจากหน้าประวัติศาสตร์อย่างลึกลับ รวมทั้งเซเนมุทเสนาบดีคู่ใจ โดยไม่มีใครทราบว่าเกิดอะไรขึ้น กับทั้งสอง บางทีทั้งคู่อาจถูกกำจัดไปโดยฝ่ายของทุตโมซิสที่3 ซึ่งกำลังเรืองอำนาจหรือไม่เช่นนั้นพระนางก็อาจสละราชสมบัติและหนีไปกับเซเนมุทก็เป็นได้ หลักฐานและบันทึกเกี่ยวกับพระนางถูกทำลาย จนแทบไม่มีอะไรเหลือ โดยฟาโรห์ทุตโมซิสที่3 ซึ่งไม่พอใจที่ต้องอยู่ในอำนาจของพระนางมาเป็นเวลานาน

พระนางครองราชย์รวมแล้ว 22 ปี และพระนางยังได้ชื่อว่า เป็นกษตริย์ที่ประสบความสำเร็จในการบริหารราชการแผ่นดินมากที่สุดพระองค์หนึ่ง ในอาณาจักรอียิปต์

ต่อมามีนักโบราณคดี ค้นพบหลุมฝังศพที่เชื่อว่าเป็น หลุมฝังศพของพระนางฮัตเชปซุต ชื่อว่าหลุม เควี 60 และได้ค้นพบรูปปั้น รูปสลักของฟาโรห์ฮัตเชปซุต มีลักษณะการแต่งกายคล้ายกับฟาโรห์ชาย ใบหน้ามีหนวดเครา ซึ่งทำให้นักโบราณคดีที่ค้นพบงงมาก สาเหตุที่ทำให้รูปปั้น รูปสลักของพระนางฮัตเชปซุตมีลักษณะเหมือนกับผู้ชาย เพราะเนื่องจากในสมัยนั้นพระนางได้แต่งกายเหมือนกับชาย และนำเครามาติดให้เหมือนผู้ชาย เพื่อปลอมตัวในการสงคราม และสู้รบกับศัตรู หากพระนางแต่งกายเป็นหญิงออกไปสู้รบก็จะทำให้ศัตรูไม่เกรงกลัวต่ออาณาจักรอียิปต์ เพราะมีผู้หญิงเป็นผู้ปกครองบ้านเมือง

ความยิ่งใหญ่ของฟาโรห์หญิงพระองค์นี้มีมากมาย พระนางเก่งกาจจน ฟาโรห์ทุสโมสที่ 3 สั่งทำลายชื่อของพระนางทุกแห่งและสลักชื่อของตนเองไปแทนบ้าง สลักชื่อฟาโรห์องค์อื่นแทนบ้าง แต่ถึงกระนั้น สิ่งที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดนี้ก็ยังบอกถึงความยิ่งใหญ่ของพระนางได้เป็นอย่างดี แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถลบล้างความจริงทั้งหมดได้ ชื่อของพระนางก็ยังคงมาปรากฏมาถึงยุคสมัยนี้

อ้างอิง

ตำนานอียิปต์ โอม... ตอนที่ 26 .ฟาโรห์หญิงฮัตเชปซุต. สืบค้นเมื่อ 28 เมษายน 2558 ,จาก:
 http://writer.dek-d.com/doraeko/story/viewlongc.php?id=211222&chapter=26

มหาคัมภีร์ ฮัทจั๊ต. สืบค้นเมื่อ 28 เมษายน 2558, จาก:
http://www.hatjut.com/articles/144999/ประวัติ.html

ประวัติศาสตร์อียิปต์. สืบค้นเมื่อ 28 เมษายน 2558, จาก:
http://www.thaigoodview.com/library/studentshow/2549/m3-9/no07-22/project/page014.html

อ่านเพิ่มเติม »

หลี่กวง (李廣)

โดย ธนัท มูลเจริญพร

ในประเทศจีนสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันตก (西漢) (ก่อนคริสต์กาล 206 – หลังคริสต์ศักราช 25) เป็นช่วงยุคสมัยต่อจากราชวงศ์ฉิน (秦朝)  (ก่อนคริสตกาล 221 – 206) ในช่วงสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันตกมีขุนพลชาวจีนท่านหนึ่ง มีฝีมือการรบ มีความสามารถในการนำทัพ และนำชัยชนะมาสู่ประเทศจีนในยุคนั้น และที่สำคัญเขามีฝีมือในการยิงธนูได้แม่นที่สุดในประวัติศาสตร์จีน เขามีนามว่า หลี่กวง (李廣)   และมีเหตุการณ์ที่สำคัญ อย่างเช่น การสู้รบระหว่างชาวซ้งหนู (匈奴) กับชาวฮั่น เป็นต้น

หลี่กวง เกิดที่หลงซีเฉิงจี้ ปัจจุบันคือ มณฑลกานซูเมืองเทียนสุ่ย อำเภอฉินอัน (甘肅省,天水市,秦安縣) มีความสามารถโดดเด่นในทักษะด้านการยิงธนูและเขาได้เข้ารับราชกาลทหารในปีที่ 14 ในรัชกาลของพระเจ้าหลิวเหิง (漢文帝十四年) (ก่อนคริสตกาล 165) ในตำแหน่งนายพลในช่วงชีวิตของเขา ได้สู้รบกับชาวซ้งหนูกว่า 40 ปี และผ่านศึกสงครามน้อยใหญ่กว่า 70 ครั้ง จนศัตรูให้ฉายาเขาว่า ขุนพลเฟย (飛將軍)  และด้วยความกล้าหาญเด็ดเดียวของหลี่กวงนั้นจึงได้รับการยกย่องจากศัตรูเป็นอย่างมาก เมื่อศัตรูแค่ได้ยินชื่อ หลี่กวง หรือ ขุนพลเฟย  ศัตรูก็เกิดความกลัว และขวัญหนีไม่อยากทำการสู้รบด้วย




ฉายชี่อู่ชวง (才氣無雙) เป็นเหตุการณ์ในตอนที่ 7 ก๊กกำลังระส่ำระส่าย ซึ่งมีขุนนางกล่าวกลับจักรพรรดิหลิวฉี่ (漢景帝) กษัตริย์ฮั่น ว่าหลี่กวงมีฝีมือเป็นอันดับหนึ่ง ไม่มีใครจะสามารถมาเทียบเคียงเขา ทุกครั้งที่หลี่กวงออกรบนั้นเขาสามารถจับเชลยศึกได้มากโดยมือเปล่า ข้าศึกต่างหวาดหลัวการที่ถูก หลี่กวงจับไปเป็นเชลยศึก ชื่อเสียงของหลีกวงดังขจรไปทั่วสารทิศ ไม่มีที่ใดที่จะไม่รู้จักชื่อเสียงของหลี่กวง

เวลานั้นชาวซ้งหนูได้ยกทัพใหญ่เข้าประชิดชายแดน ขันทีคนสนิทของจักรพรรดิหลิวฉี่ได้ให้  หลี่กวงทำการฝึกทหารเตรียมพร้อมรบกับชาวซ้งหนู ครั้งหนึ่งขันทีคนสนิทของจักรพรรดิได้นำเหล่าทหารม้า 10 กว่านาย ควบม้าอย่างรวดเร็วไปจับทหารซ้งหนู 3 คน และพวกเขาก็ทำการสู้รบกัน ทหารซ้งหนู 3 คนนั้น ได้กลับตัวยิงธนู ทำให้ขันทีนั้นได้รับบาดเจ็บ และทหารม้า 10 กว่านายตายเพราะถูกธนูยิงใส่  ขันทีคนนั้นได้หนีและเข้าไปพบกับหลี่กวง หลี่กวงได้พูดกับขันทีว่า “พวกนั้นเป็นนักแม่นธนู”  จากนั้นหลี่กวงจึงนำกองร้อยทหารม้าร้อยนาย  จะไปสู้รบกับทหารซ้งหนู 3 คน โดยทหารซ้งหนูนั้นไม่มีม้า  พึ่งจะเดินทัพไปประมาณ 10 ลี้ หลี่กวงสั่งการให้กองร้อยทหารม้ากระจายกำลัง  แบ่งเป็นทางซ้ายขวาออกเป็น 2 รูปขบวนรบ  เพื่อทำการค้นนักแม่นธนูของซ้งหนูทั้ง 3 คนนั้น ในที่สุดทหารซ้งหนูถูกยิงไปตาย  2 คน และอีก 1 คนยังมีชีวิตอยู่  ทหารได้จับทหารซ้งหนูคนนั้นมาเป็นเชลย เชลยผู้นั้นได้ปั่นป่วนกองทหารของหลี่กวงตื่นตระหนกและหวาดกลัว  จากนั้นหลี่กวงบอกกองทหารว่าที่ที่เราอยู่นี้มันห่างจากทัพใหญ่กว่า 10 ลี้ ในขณะนั้นทหารซ้งหนูกำลังยกกองทัพเข้าประชิด สถาการณ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่

แน่นอนว่าซ้งหนูต้องยกทัพใหญ่เข้าโจมตีแน่นอน หลี่กวงบอกทหารม้าของเขาว่าต้อง “เดินหน้า” ซึ่งกองทัพของซ้งหนูห่างจากกองทหารของหลี่กวงเพียง 2 ลี้เท่านั้น หลี่กวงสั่งให้ทหารลงจากม้ามาเดินเท้า และมีทหารของหลี่กวงคนหนึ่งพูดว่า “กองทัพของศัตรูอยู่ใกล้มาก ถ้าเกิดสถานการณ์ฉุกเฉินจะทำยังไงกันดี”  หลี่กวงจึงตอบว่า “ในขณะที่เราลงเดินเท้านั้น จะทำให้พวกนั้นเข้าใจผิดว่าเรากำลังอยู่ในทัพใหญ่  และพวกนั้นก็จะได้ไม่ทำการเข้าโจมตีเรา” ในขณะมีนายพลชาวซ้งหนูควบม้าเข้าไปปกป้องเหล่าทหารของเขา หลี่กวงจึงนำกำลังทหารม้ากว่า 10 นายเข้าโจมตีและฆ่านายพลชาวซ้งหนูคนนั้น จากนั้นทหารม้าก็กลับเข้ากลุ่มและลงเดินเท้าต่อไป ขณะที่ฟ้าเริ่มมืดทหารซ้องหนูไม่คุ้นชินกับสภาพแวดล้อม พวกเขาจึงไม่กล้าเดินทัพหรือทำการใดๆ ในช่วงกลางดึก ทหารซ้งหนูเขาใจว่ากองร้อยทหารม้าของหลี่กวงจะต้องเข้าโจมตีเป็นแน่แท้ ทำให้พวกเขไม่กล้าเดินทัพในเวลากลางคืน ฟ้าสางหลี่กวงได้กลับมาสู้ทัพใหญ่ ทั้งที่ๆ กองทัพใหญ่ก็ไม่รู้ว่า  หลี่กวงไปไหน และเกิดอะไรขึ้น ดังนั้นกองทัพใหญ่จึงไม่ได้ส่งทหารไปลาดตระเวน หลี่กวงนั้นได้ช่วยไล่ข้าศึกเป็นกองทัพ ทั้งๆมีทหารเพียงแค่ กองร้อย และที่ไม่ได้เสียทหารแม้แต่คนเดียว



ส่วนยิงหิน (射石搏虎)  เห็นว่าเป็นเสือ ขณะที่หลี่กวงเดินอยู่ป่าตอนกลางคืน หลี่กวงได้ยินเสียงเสือ หลี่กวง กวาดสายตามองหาเสือตัวนั้นในพงหญ้าระหว่างซอกหินตรงนั้น หลี่กวงจึงคาดการณ์ว่าตรงซอกหินตรงนั้นต้องเสืออย่างแน่นอน เขาจึงหยิบธนูและลูกธนูหนึ่งลูกยิงไปหินตรงนั้น  ด้วยความกลัว เขาต้องการยิงเสือให้ตาย  เช้าวันรุ่งขึ้นเขาเห็นว่าลูกธนูได้ทะลุหินออกเป็นเสี่ยงๆ เขาจึงลองยิงซ้ำอีกที แต่ลูกธนูไม่ทะลุหินและลูกธนูนั้นก็หักเป็นเสี่ยงๆ เขาจึงครุ่นคิดเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มันเป็นเพราะสมาธิและความกลัวที่ทำให้เขาได้จดจ่อกับสิ่งนั้นๆทำให้ลูกธนูทะลุหินจนแตกออกเป็นเสี่ยงๆได้ เวลาผ่านไปเข้าได้ขึ้นไปพื้นที่ภาคเหนือ  ซึ่งเป็นครั้งแรกที่เขาได้ยิงเสือ เพราะเสือตัวนั้นได้เข้ามาทำร้ายเขา แม้ว่าหลี่กวงจะได้รับบาดเจ็บจากการที่เสือทำร้ายเข้าในครั้งนั้น แต่เขาก็สามารถยิงเสือนั้นตายได้

วีรกรรมมากมายของหลีกวงที่ปรากฏในประวัติศาสตร์ของราชวงศ์ฮั่นตะวันตก แสดงถึงความเป็นผู้นำ ความกล้าหาญ ความเด็ดเดียว  อย่าง  才氣無雙 ( ฉายชี่อู่ชวง ) หรือ 射石搏虎  ยิงหินคิดว่าเป็นเสือ และอื่นๆอีกมากมายตลอดการเข้ารับราชกาลทหารของหลี่กวง เขาได้เสียชีวิตอย่างสงบปีที่ 4 ในรัชกาล พระเจ้าหยวนโซ่ว (元狩四年) (ก่อนคริสกต์กาล 119)  คุณงามความดีและวีรกรรมต่างๆ ยังคงถูกยกย่องมาถึงปัจจุบัน ในฐานะนักธนูที่ยิงแม่นที่สุดของประวัติศาสตร์จีน

อ้างอิง

Wikipedia.2015. 李广. สืบค้นเมื่อ 28 เมษายน 2558, จาก: http://zh.wikipedia.org/wiki/%E6%9D%8E%E5%B9%BF

Baike.2015. 李广. สืบค้นเมื่อ 28 เมษายน 2558, จาก: http://baike.baidu.com/subview/27015/5000528.htm

Baidu.2015.李广. สืบค้นเมื่อ 28 เมษายน 2558, จาก:  http://www.baike.com/wiki/%E6%9D%8E%E5%B9%BF














อ่านเพิ่มเติม »

"ออกัสตัส (Augustus)" มหาจักรพรรดิแห่งกรุงโรม

โดย พุฒิพงศ์ แสงหอย

หากกล่าวถึงจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิโรมันที่สร้างคุณูปการต่อบ้านเมืองอย่างมากมายนั้น"ออกัสตัส"หรือ จักรพรรดิกายุส ยูลิอุส ไกซาร์ ออกัสตัส นับเป็นหนึ่งในมหาจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ที่คงจะไม่พูดถึงไม่ได้ พระองค์ทรงเป็นจักรพรรดิพระองค์แรกของจักรวรรดิโรมัน พระนามเมื่อประสูติ คือ กายุส ยูลิอุส ทูรีนุส ทรงเป็นบุตรบุญธรรมของพระมาตุลา กายุส ยูลิอุส ไกซาร์ และในปีที่ 27 ก่อนคริสตกาล วุฒิสภาโรมันได้ถวายพระนามเฉลิมพระเกียรติแด่พระองค์ว่า ออกัสตัส ซึ่งมีความหมายว่า "ผู้ได้รับความเคารพนับถือ"

อ่านเพิ่มเติม »

จักรพรรดิคาลิกูล่า

โดย พงศ์ศิริ สันติภาษิต

เมื่อนึกถึงผู้นำของโรมันองค์ต่างๆ ชื่อแรกที่เราจะนึกถึงก็คือจูเรียส ซีซาร์ หรือจักรพรรดิคอนสแตนตินมหาราช แต่ที่เราจะกล่าวถึงวันนี้เป็นเรื่องราวของจักรพรรดิพระองค์หนึ่งในยุคแรกๆ ของจักรวรรดิโรมัน

หลังจากที่จูเลียส ซีซาร์ ได้ถูกกลุ่มสมาชิกสภาแห่งกรุงโรมรุมสังหารจนเสียชีวิตไปด้วยมีด จึงถือเป็นจุดสิ้นสุดของสาธารณรัฐโรมัน เนื่องด้วยผู้ปกครองคนใหม่ที่ปกครองอาณาจักรโรมัน คือ ออกัสตัสได้สถาปนาตนขึ้นเป็นจักรพรรดิองค์แรกของกรุงโรม โรมันจึงถือเริ่มเป็นยุคจักรวรรดิโรมัน โดยมีจักพรรดิองค์ถัดมา คือ จักรพรรดิไทเบอรีอัส เป็นองค์ที่ 2 และตามมาด้วยจักรพรรดิคาลิกูล่า เป็นจักรพรรดิองค์ที่ 3 แห่งจักรวรรดิโรมัน

คาลิกูล่า จักรพรรดิโรมองค์ที่ 3 ทรงเป็นบุตรชายของวีรบุรุษสงครามเจอมันนิคัส กับ อกริพพีน่า ซึ่งมีศักดิ์เป็นหลานสาวของจักพรรดิออกัสตัส ทรงประสูติเมื่อเดือน สิงหาคม ค.ศ.31 ณ ยอดเขาอันตินัม

เมื่อบิดาตายไป มารดาของพระองค์ก็อภิเษกสมรสกับจักรพรรดิไทเบอรีอัส คาลิกูล่าจึงเป็นโอรสบุญธรรม แต่  คาลิกูล่าเกือบถูกไทเบอรีอัสประหารเหมือนกับพี่น้องผู้ชาย ที่ไทเบอรีอัสต้องการกำจัดไม่ให้เป็นศัตรูของโอรสที่แท้จริงของพระองค์ ซึ่งมีศักดิ์เป็นอนุชาบุญธรรมของคาลิกูล่า โชคดีที่มารดาของคาลิกูล่าขอร้องไว้ชีวิตจึงรอดมาได้


Roman Emperor Caligula

เมื่อจักรพรรดิไทเบอรีอัสสิ้นพระชนม์  คาลิกูล่าก็ชิงประกาศตนว่า ตนเองคือรัชทายาทผู้ชอบธรรมของไทเบอรีอัส เพราะได้ทรงแต่งตั้งให้พระองค์เป็นองค์รัชทายาทก่อนสวรรคตแล้ว ดังนั้น รัฐสภาจึงประกาศยอมรับให้คาลิกูล่าขึ้นเป็นจักรพรรดิองค์ที่ 3 แห่งจักรวรรดิโรมันในที่สุด

แรกเริ่มครองราชย์นั้น คาลิกูล่าจัดว่าเป็นจักรพรรดิผู้ปรีชาพระองค์หนึ่ง เพราะพระองค์ทรงบริหารราชกิจด้วยความขยันขันแข็ง ทรงบริหารราชการแผ่นดินร่วมกับรัฐสภาด้วยกันเป็นอย่างดีเหมือนสมัยออกกัสตัสซีซาร์ และนอกจากนั้นพระองค์ก็ทรงประกาศลดภาษี แต่เพิ่มงบประมาณให้กับกรมท่าและกลาโหม เพื่อกระตุ้นการค้าระหว่างประเทศและพัฒนากองทัพให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

เพียงหกเดือนแรกจากการขึ้นครองราชย์ จักรพรรดิคาลิกูล่าได้รับความยอมรับจากทุกฝ่ายอย่างสมบูรณ์ สภาแห่งโรมได้ถวายเกียรติสูงสุดเท่าที่จะถวายได้แด่พระองค์ ด้วยการเสนอพระสมญานานว่า "pater patriae" แปลว่า "บิดาแห่งแผ่นดิน"

แต่หลังจากที่เจ้าหญิงเดียซิร่ามาสิ้นพระชนม์ ทำให้พระองค์โศกเศร้าจนเริ่มเสียพระสติ นับตั้งแต่นั้นมา คาลิกูล่าก็ทรงประกาศขึ้นภาษี ทั้งที่เพิ่งสั่งลดไป และก็ไม่ยอมออกว่าราชการอีก โดยประทับอยู่แต่ในตำหนักฝ่ายใน โดยไม่สนใจบ้านเมืองอีกต่อไป และแม้จะมีเหล่าวุฒิสภาพยายามกราบทูลให้ทรงกลับมาบริหารราชกิจตามเดิมก็ตาม


Death Of Caligura

เมื่อคาลิกูล่าไม่สนใจดูแลปกครองบ้านเมืองส่งผลให้บ้านเมืองย่ำแย่ จึงได้มีองครักษ์ผู้หนึ่งซึ่งหมดความอดทนต่อการปกครองบ้านเมืองเช่นนี้  ได้ฉวยโอกาสที่พระองค์ทรงเสด็จไปดูละครเข้าฟันองค์จักรพรรดิจนสิ้นพระชนม์ โดยที่ไม่มีใครเข้ามาช่วยเหลือแม้แต่น้อย  จักรพรรดิคาลิกูล่า จึงสวรรคตลงด้วยพระชนมายุเพียง 28 ชันษาเมื่อปี ค.ศ.41 หลังจากทรงครองราชย์ได้เพียงสี่ปีเท่านั้น

อ้างอิง

ไอแสค อาศิระ.(2556).ต่วยตู่นพิเศษ ฉบับที่459,461

วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี.2558.คาลิกูล่า.[ออนไลน์].  สืบค้นเมื่อ 5 มีนาคม 2558,  จาก: http://th.wikipedia.org/wiki/คาลิกูล่า

Timelines of World History (ย้อนรอยประวัติศาสตร์โลก), ตอนที่ 1 : คาลิกูลา (CALIGULA) กษัตริย์วิปริตเเห่งโรมัน. สืบค้นเมื่อ 25 เมษายน 2558, จาก http://writer.dek-d.com/daoprincess/story/viewlongc.php?id=708443

รูปปั้นจักพรรดิคาลิกูล่า สืบค้นเมื่อ 5 มีนาคม 2558, จาก http://www.history.com/news/history-lists/7-things-you-may-not-know-about-caligula

รูปความตายของคาลิกูล่า สืบค้นเมื่อ 5 มีนาคม 2558, จาก www.posterlounge.co.uk/death-of-caligula-pr175715.html



อ่านเพิ่มเติม »

ซากประตูโบสถ์เซนต์ปอล (Ruins of St.Pauls)

โดย  นนทวิทย์ ม่วงน้อย

โบสถ์มาแตเดอีหรือโบสถ์เซนต์ปอลเริ่มสร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1602 เสร็จในปี ค.ศ.1637 ที่เมืองมาเก๊า โดยพระนิกายเยซูอิตชาวอิตาเลียน ซึ่งโบสถ์เซนต์ปอลเป็นโบสถ์คาทอลิกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชียในขณะนั้น ตั้งอยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัยเซนต์ปอล ซึ่งเป็นสถานศึกษาแห่งแรกของชาวตะวันตกในพื้นที่ของชาวตะวันออกใช้ในการเผยแพร่ศาสนาและเรียนภาษาและตั้งใจสร้างให้เป็นอะโครโปลิสแห่งมาเก๊า

อ่านเพิ่มเติม »

มหาวิหารแพนธีออน (PANTHEON)

โดย สุกัญญา  ผันอากาศ

มหาวิหารแพนธีออน  หมายถึง  The temple to “all of God” Pantheon  สร้างมาก่อน 27 ปี คริสตศักราช โดยจักรพรรดิมารคุส อากริปปา แต่โดนไฟไหม้ไปในปี ค.ศ. 80 ต่อมากษัตริย์ฮาดริอานได้ปฎิสังขรณ์ขึ้นมาใหม่ในปี ค.ศ.118 มีวัตถุประสงค์เพื่อบวงสรวงแด่เหล่าทวงเทพเทวาหรือให้เหล่าเทพเทวามาชุมนุมกัน จนปี ค.ศ.606 เข้าสู่ยุคคริสตจักรเรืองอำนาจก็เปลี่ยนรูปแบบการใช้งานมาเป็นโบสถ์คริสต์จนถึงทุกวันนี้  โดยมหาวิหารแพนธีออนแห่งนี้ มีอายุกว่า 2,000 ปี แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งทนทานและอัจฉริยะแห่งการสร้างสรรค์ของสถาปนิกสมัยโบราณกับเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใครในสมัยนั้น

อ่านเพิ่มเติม »

สมเด็จพระจักรพรรดิถังไท่จง

โดย อาชวิน   นิสสัยกล้า

สมเด็จพระจักรพรรดิถังไท่จง (唐太宗) หรืออีกชื่อหนึ่ง หลี่ซื่อหมิน (李世民)จักรพรรดิองค์ที่สองแห่งราชวงศ์ถังของประเทศจีน (ราว 1,600 ปี) ต่อจากจักรพรรดิถังเกาจู่ฮ่องเต้  พระองค์ทรงทำให้ประเทศจีนเป็นยุคที่รุ่งเรืองที่สุดยุคหนึ่งในประวัติศาสตร์ เป็นประเทศมหาอำนาจของโลกในยุคสมัยของพระองค์ ด้วยพระปรีชาสามารถของพระองค์ ทั้งด้านการเมืองการปกครอง และการทหาร เป็นต้น ฉะนั้นราชวงศ์ถังในการปกครองของพระองค์นั้นจึงมีความยิ่งใหญ่เกรียงไกร

อ่านเพิ่มเติม »

เปา บุ้น จิ้น ขุนนางผู้ไม่รอมชอมต่อความอยุติธรรม

โดย  ปุณยวัจน์ ศุภวุฒิ

หากจะกล่าวถึงข้าราชการผู้ที่มีชื่อเสียงด้านความซื่อสัตย์สุจริตในประวัติศาสตร์ประเทศจีน  ชื่อของ  เปา บุ้น จิ้น  ต้องเป็นขุนนางที่ทุกคนจะนึกถึงในลำดับแรกๆ

อ่านเพิ่มเติม »

อลิซาเบธ บาโธรี่ (Elizabeth Bathory)

โดย  อุบลพันธ์ เอี่ยมสม

ถ้าพูดถึงฆาตกรหญิงที่มีความโหดเหี้ยมมากที่สุดในประวัติศาสตร์ หลายคนจะต้องนึกถึง เคาท์เตส อลิซาเบธ  บาโธรี่ ผู้ที่ได้ฆ่าหญิงสาวผู้บริสุทธิ์มากมายเพื่อสนองต่อความเชื่อเรื่องความเป็นอมตะและถนอมความเยาว์วัยของตน กว่าทีเธอจะถูกจับกุมและนำไปคุมขังจนตาย เธอก็ได้คร่าชีวิตหญิงสาวไปแล้วมากกว่า 600 คนทีเดียว

อ่านเพิ่มเติม »

เทพอโฟรไดท์ (Aphrodite)

โดย นนทิชา ชัชวาล

ชาวกรีกโบราณมีความเชื่อเรื่องเทพเจ้าอยู่หลายองค์ โดยที่มาของความเชื่ออาจเป็นเพราะความกลัวปรากฏการณ์ธรรมชาติ จึงพยายามหาเหตุผลและด้วยความที่ชาวกรีกโบราณชอบฟังนิทานเรื่องเล่า นับถือธรรมชาติ เชื่อในพลังลึกลับที่ให้คุณให้โทษนั้นว่าเกิดขึ้นเพราะมีเทพเจ้าบันดาล เทพเจ้านั้นตามความเชื่อจะมีหน้าตา อารมณ์ ความรู้สึกเช่นเดียวกับมนุษย์ แต่จะมีพลังอำนาจที่วิเศษกว่าและต่างมีความสามารถที่แตกต่างกันออกไป

อ่านเพิ่มเติม »

การปฎิวัติอเมริกา ค.ศ. 1776

โดย กชกานต์  แก่นจันทร์

การปฎิวัติอเมริกาเกิดขึ้นเนื่องจาก เดิมอเมริกาเป็นอาณานิคมที่ขึ้นตรงต่ออังกฤษ โดยยอมรับการปกครองปกครองของกษัติริย์ แต่เนื่องจากอังกฤษปกครองโดยการกดขี่ข่มเหงประชาชนมากเกินไปทำให้ประชาชนบางส่วนในขณะนั้นไม่พอใจ และต่อมาภายหลังจึงได้มีการรวมตัวกันปฎิวัติเกิดขึ้น  

อ่านเพิ่มเติม »

พระถังซัมจั้ง

โดย อธิพันธ์  ไชยพันธุ์

พระถังซัมจั้ง เป็นชื่อที่คนไทยคุ้นเคยจากวรรณกรรมเรื่องดังของจีน "ไซอิ๋ว" ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงตัวละครที่ถูกสร้างขึ้นเท่านั้น แต่เป็นบุคคลที่มีตัวตนอยู่จริงในพงศาวดารจีน ที่มีอายุอยู่ในช่วงประมาณ ค.ศ. 602-664  ตรงกับรัชสมัยของพระเจ้าถังไท่จง ฮ่องเต้องค์ที่ 2 ของราชวงศ์ถัง

อ่านเพิ่มเติม »

เทพเจ้าของไวกิ้ง (Norse Gods And Goddesses)

โดย กฤษณะ   ช่างเรือง

เมื่อพูดถึงชนเผ่าไวกิ้ง ทุกคนก็ต้องคุ้นหูกับคำว่าโจรสลัด ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการเดินเรือในทะเลเป็นอย่างมากและคิดว่าชาวไวกิ้งจะปล้นสะดมหัวเมืองต่างๆในยุโรปและคนส่วนใหญ่คิดว่าชาวไวกิ้งชอบสวมหมวกที่มีเขา มีเครายาว ดุร้ายและโหดเหี้ยม แต่จริงๆ แล้วชนเผ่าไวกิ้งมีความเป็นมาที่ยิ่งใหญ่มากกว่านั้น เมื่อย้อนกลับไปในหน้าประวัติศาสตร์ ชนเผ่าไวกิ้งเป็นชนเผ่าที่มีความสามารถที่ยอมเยี่ยมในการเดินเรือและเป็นชนเผ่าที่น่าทึ่งอีกชนเผ่าหนึ่งเลยก็ว่าได้

อ่านเพิ่มเติม »

เหตุระเบิด ฮิโรชิม่า ค.ศ. 1945

โดย ศรราม ไพศาลพงษ์

สงคราม ตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ให้ความหมายไว้ว่า การรบใหญ่ที่มีคนจำนวนมากต่อสู้ฆ่าฟันกัน และไม่ว่าจะเป็นสงครามประเภทใดก็ตาม ก็ไม่มีสิ่งที่ดี น่าภูมิใจ หรือน่าชื่นชมเกิดขึ้น ไม่ว่าใครหรือประเทศใดที่จะต้องพบเจอกับสงครามเมื่อเกิดสงครามย่อมต้องมีการสูญเสียในสิ่งต่างๆไม่มากก็น้อย ประเทศญี่ปุ่นก็เช่นกันที่ต้องประสบเหตุการณ์สูญเสียอย่างหนัก จากเหตุการณ์การทิ้งระเบิดปรมณู ที่เมืองฮิโรชิม่า ในสงครามโลกครั้งที่สอง

อ่านเพิ่มเติม »

อุดมการณ์รัฐอิสลามบนความขัดแย้ง: กรณีไอเอส (Is)

โดย วสันต์ เสตสิทธิ์

เนื่องจากประเทศต่างๆในแถบตะวันออกกลาง  มีความแตกต่างกันทั้งเชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์ และศาสนา  อาศัยอยู่ร่วมกันอย่างมากมาย  เช่นศาสนาอิสลาม มีสองนิกายใหญ่ๆ คือ สุหนี่  กับ ซีอะห์  สองนิกายนี้แม้จะเป็นอิสลามเหมือนกันแต่มีวิธีคิดที่ต่างกัน  โดยนิกายสุหนี่คิดว่าหลังการสิ้นชีวิตของนบีมูฮัมหมัด  ผู้นำทางศาสนาไม่ต้องสืบเชื้อสายจากนบีมูฮัมหมัด  แต่ต้องได้มาด้วยการเลือกตั้ง  กล่าวคือ  เน้นความสามารถของคนมากกว่าสายเลือด  ซึ่งประชาชนมุสลิมส่วนใหญ่เป็นสุหนี่  ส่วนนิกายซีอะห์คิดว่าผู้นำทางศาสนาต้องมาจากสายเลือดของนบีมูฮัมหมัด  ส่วนใหญ่ในนิกายนี้ส่วนใหญ่เป็นชนชั้นนำหรือผู้ปกครอง

อ่านเพิ่มเติม »

โจรสลัด "เคราดำ" (Blackbeard)

โดย ปริวัฏ เฉลยจิตร์

“โจรสลัด” คือ กลุ่มคนไม่ว่าจะผู้ชายหรือผู้หญิงที่ใช้ชีวิตอยู่บนท้องทะเล โดยอาศัยการปล้นเงิน ปล้นอาหารจากผู้คนในท้องทะเล ทำการสู้รบกับทหารเรือ เพื่อสร้างชื่อเสียงให้ตนเองด้วยวิธีการต่างๆ เช่น โจมตีทหารเรือ ขยายอาณาเขตของตนเอง ปล้นเรือสินค้าต่างๆ และโจรสลัดทุกกลุ่มต้องมี “กัปตัน”  ซึ่งกัปตันโจรสลัดผู้มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์โลกที่มีการบันทึกไว้นั้นมีหลายคนที่คุ้นหูเป็นอย่างดีและหนึ่งในนั้นคือ “เคราดำ” (Blackbeard) หรือชื่อที่แท้จริงของเขาก็คือ Edward Thatch

อ่านเพิ่มเติม »

จักรวรรดิออตโตมัน (Ottoman Empire)

โดย ศุภกิตติ์ นามอาษา

ในอดีตเมื่อปี ค.ศ1453 ชาติต่างๆในยุโรปต่างตกตะลึงและตกอยู่ในความหวาดกลัวของภัยคุกคาม  รอบใหม่จากเอเชีย นั้นก็คือการเสียคอนสแตนติโนเปิลและการล่มสลายของจักรวรรดิไบแซนไทน์หรือโรมันตะวันออก ที่ยืนหยัดอยู่คู่ยุโรปมานานกว่า 1000 ปีให้กับจักรวรรดิออตโตมันของมุสลิม ที่ต้องการรุนรานยุโรปและทำสงครามศาสนากับอาณาจักรคริสต์เตียนอีกครั้ง เพื่อเป็นการประกาศศักดาความยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิออตโตมัน

อ่านเพิ่มเติม »

ผลงานของมหาบุรุษ “จูเลียส ซีซาร์” (Julius Ceasar)

โดย พิมพ์ชนก ชมชื่นดี

หากจะกล่าวถึงบุคคลสำคัญของโรมัน ซึ่งถือเป็นรัฐบุรุษผู้ที่ทำให้อาณาจักรวรรดิโรมัน ยิ่งใหญ่และมีชื่อเสียง กลายเป็นเป็นที่รู้จักและน่าจดจำของพวกเราทุกคนจนถึงทุกวันนี้   คงไม่พ้น “จูเลียส ซีซาร์”  (Julius Ceasar) ผู้นำกองทัพโรมันซึ่งสามารถตีชนะและยึดเมืองมากกว่า 800 เมือง จูเลียส ซีซาร์เข้ากวาดล้อมเมืองต่างๆเข้ามาเป็นอาณัติของกรุงโรมทั้งหมด ตั้งแต่ตอนเหนือของยุโรปจนถึงทางตอนใต้ของยุโรป จากประเทศสเปนไปถึงอียิปต์ รวมไปถึงแถบเอเชียด้วยและอีกหลายๆที่ ซึ่งเขามีความภูมิใจในความแกร่งกล้า และหึกเหิมในความสำเร็จของตนเป็นอย่างมาก ถึงขนาดที่เคยเกล่าไว้ว่า "ข้ามา ข้าเห็น ข้าพิชิต" หรือ Vini Vidi Vici ในภาษาลาติน

อ่านเพิ่มเติม »