กระดาษปาปิรุส กระดาษแผ่นแรกของโลก (Papyrus)

โดย เกสรา ทำเนาว์

เมื่อกล่าวถึงการเขียนสิ่งที่เราจะนึกถึงเป็นอันดับแรกคือปากกา แต่หากในมือมีเพียงแค่ปากกาก็คงจะเขียนไม่ได้เลยถ้าขาดสิ่งๆ หนึ่งที่เรียกว่า “กระดาษ” ซึ่งในยุคแรกๆ โดยเฉพาะในยุคของชาวอียิปต์โบราณและชาวจีนโบราณได้มีการผลิตกระดาษขึ้นเพื่อใช้ในการจดบันทึกเท่านั้น จากนั้นก็มีพัฒนาการเรื่อยมา ปัจจุบันกระดาษได้ถูกนำไปใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ มากมาย เช่น ทำเป็นกระดาษชำระ กระดาษห่อของขวัญ เป็นต้น แต่เคยสงสัยกันไหมว่ากระดาษที่เราใช้กันอยู่มีต้นกำเนิดมาจากที่ใด ผลิตอย่างไร กว่าจะมาเป็นกระดาษให้เราใช้กันมาจนถึงปัจจุบันนี้

ในอารยธรรมอียิปต์มีการพัฒนาระบบตัวเขียนขึ้นซึ่ง ได้แก่ อักษรภาพจารึกในแผ่นศิลาหรือ ฝาผนังหินขนาดใหญ่ ที่เรียกว่า อักษรไฮโรกลิฟิก (Hieroglyphic)  และต่อมาได้พัฒนาตัวเขียนเพื่อให้เขียน ได้รวดเร็วขึ้นแต่ยังคงเป็นอักษรภาพอยู่  ที่เรียกว่า อักษรเฮียราติก (Hieratic) ซึ่งอักษรเฮียราติกนี้เองได้มีการเขียนลงกระดาษปาปิรุส (papyrus) ซึ่งทำจากต้นปาปิรุสที่มีขึ้นทั่วไปในแม่น้ำไนล์  ส่วนวัสดุที่ใช้เขียนจะใช้ปล้องหญ้ามาตัดเป็นปากกาจิ้มหมึกเขียนลงบนกระดาษ ชาวอียิปต์โบราณใช้กระดาษปาปิรุสเพื่อบันทึกข้อความสรรเสริญเทพเจ้า บทสวด คำสาบาน ตลอดจนเหตุการณ์ต่างๆ จากนั้นนำไปบรรจุไว้ในพีระมิดของอียิปต์ และนักประวัติศาสตร์เชื่อว่า เมื่อประมาณ 3,000 ปีก่อนคริสตกาล ตั้งแต่ต้นราชวงศ์ของอียิปต์เป็นต้นมาได้มีการใช้กระดาษปาปิรุสกันแล้ว


ที่มา : http://2.bp.blogspot.com/

กระดาษปาปิรุสจึงนับว่าเป็นกระดาษชนิดแรกของโลกที่ทำจากลำต้นกก ซึ่งก็คือต้นปาปิรุส เป็นกกชนิดหนึ่ง มีสีเขียว ลำต้นสูงประมาณ 15ฟุต (4.5เมตร) เป็นรูปสามเหลี่ยม ใบแหลม ออกดอกที่ปลายยอด และกลุ่มดอกมีความยาวประมาณ 10-20 นิ้ว (25-50 เซนติเมตร) ข้อดีของกระดาษปาปิรุส คือ มีความยืดหยุ่นและคงต่อสภาพอากาศแห้งแล้งได้ดี เหมาะสมกับสภาพอากาศของอียิปต์

ในเมืองอียิปต์โบราณ จะมีบึงขนาดใหญ่อยู่ด้านข้างของแม่น้ำไนล์ ซึ่งมีต้นปาปิรุสขึ้นอยู่เป็นจำนวนมาก โดยชาวอียิปต์จะเข้าไปตัดแล้วมัดเป็นฟ่อนๆ จากนั้นพวกเขาจะทำการลอกเปลือกของต้นปาปิรุสออก และฝานออกเป็นชิ้นบางๆ ยาวประมาณ 40 เซนติเมตร (16 นิ้ว) และนำไปวางไว้ ส่วนชั้นที่ 2 จะวางไว้ทางด้านบนมุมขวา เมื่อเสร็จแล้วก็จะนำเนื้อของต้นปาปิรุสที่ถูกฝานไปแช่ในน้ำและกดอยู่ภายใต้หินหนักเป็นเวลา 21 วัน จนกว่าเนื้อของต้นปาปิรุสนั้นจะมีความนุ่ม



เมื่อได้เนื้อของต้นปาปิรุสนุ่มตามที่พวกเค้าต้องการแล้ว พวกเค้าจะนำมาวางเรียงกันในตะแกรงรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า โดยจะวางเนื้อของต้นปาปิรุสนี้ด้วยกันสองชั้นในทิศทางสลับกัน คือชั้นแรกวางในแนวตั้ง และชั้นที่สองวางในแนวนอน ซึ่งน้ำหล่อเลี้ยงที่อยู่ในพืชจะทำหน้าที่เสมือนกาวช่วยยึดติดเนื้อของต้นปาปิรุสที่ถูกฝานทั้งสองชั้นเข้าด้วยกัน ในขณะที่เนื้อของต้นปาปิรุสทั้งสองชั้นยังชื้นพวกเขาจะใช้ค้อนไม้มาทุบเนื้อของต้นปาปิรุสที่ถูกวางเป็นชั้นๆ ให้กลืนเป็นเนื้อเดียวกัน จากนั้นนำไปตากแดดให้แห้งก็จะได้กระดาษปาปิรุสออกมาเป็นแผ่น



เมื่อกระดาษที่ได้แห้งสนิทแล้ว จะถูกนำมาขัดด้วยวัตถุที่มีลักษณะกลมเช่น หิน เปลือกหอย หรือไม้เนื้อแข็งที่มีลักษณะกลมเป็นต้น กระดาษปาปิรุสที่ผ่านการขัดแล้วจะมีผิวเรียบน่าเขียนมากขึ้น และเนื่องจากกระดาษปาปิรุสในยุคก่อนมีราคาที่แพงมาก ชาวอียิปต์จึงนำกระดาษที่ใช้แล้วกลับมาใช้ใหม่โดยนำกระดาษที่ถูกเขียนแล้วนำมาล้างคราบหมึกให้สะอาด

นอกจากนี้ต้นปาปิรุสยังถูกนำมาใช้เป็นวัสดุโครงสร้างของสิ่งของต่างๆ เช่น นำมาเป็นเชื้อเพลิง สร้างบ้าน ทำเชือก ทำรองเท้าชนิดสาน สานเป็นตะกร้า เป็นต้น ซึ่งงานศิลปหัตถกรรมที่ทำจากต้นปาปิรุสเหล่านี้องค์ฟาโรห์ทรงแต่งตั้งให้เป็นหน่วยงานที่อยู่ภายใต้การควบคุม การดูแลอย่างใกล้ชิดของเจ้าหน้าที่ ทำใหญ่โตเป็นลักษณะอุตสาหกรรม ชาวบ้านจึงเรียกว่า ปะ - ปี๋ - ร่า ( Pa - Pe - Raa) หมายถึง กิจการที่เป็นขององค์ฟาโรห์ แต่ชาวกรีกโบราณออกเสียงเพี้ยนเป็นปาปิรัส จึงแผลงมาเป็นที่มาของคำว่า "เปเปอร์ ( Paper)" ในภาษาอังกฤษซึ่งก็คือกระดาษในปัจจุบันนั่นเอง

ปาปิรุสจึงนับเป็นไม้ชนิดแรกๆ ที่ถูกนำมาใช้ประโยชน์ในด้านของการบันทึก และเป็นกระดาษชนิดแรกของโลกที่ทำให้เราได้เรียนรู้ถึงความเจริญรุ่งเรืองของอารยธรรมอียิปต์โบราณได้อย่างลึกซึ้ง


อ้างอิง

Papyrus.  Wikipedia. Retrieved 13 Sep 2014.  from: https://en.wikipedia.org/wiki/Papyrus.

กระดาษแผ่นแรกของโลก. [ออนไลน์]. ค้นเมื่อ 27 กันยายน 2557, จาก : https://docs.google.com/

การทำกระดาษปาปิรุสจากต้นกกโดยชาวอียิปต์ยุคโบราณ. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : http://www.thaigoodview.com/node/153727. (วันที่ค้นข้อมูล : 30 กันยายน 2557).

แมวเหมียว. ไปอียิปต์…กระดาษปาปิรุส. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : http://www.oknation.net/blog/print.php?id=43397. (วันที่ค้นข้อมูล : 28 กันยายน 2557).

อ่านเพิ่มเติม »

เมดูซ่า (Medusa) สาวงามที่กลายมาเป็นนางพญางู

โดย อรนรี ไพจิตรโยธี

หลายท่านคงเคยได้ยิน ได้ฟังตำนานปรัมปราที่กล่าวถึงเรื่องราวของวีรบุรุษ หรือวีรสตรีแห่งกรีก รวมถึงเทพเจ้ากรีกโบราณ กันมามากแล้ว แต่สิ่งที่น่าสนใจในตำนานกรีกโบราณ ไม่ใช่เพียงแค่ อัศวิน เทพเจ้า หรือวีรบุรุษ/สตรี แต่ในยุคกรีกโบราณยังมี อสุรกายต่างๆที่น่าสนใจและเป็นที่น่าจดจำของทุกคน โดยอสุรกายที่จะกล่าวต่อไปนี้เป็นถึง อสูรกายที่ร้ายที่สุดในยุคกรีกโบราณ ซึ่งนามของนางคือ “เมดูซ่า”

ตามตำนานกรีก เมดูซ่า (Medusa) เป็นหนึ่งในลูกสาวสามคนของเมทิส (Metis) เจ้าแห่งสติปัญญาและสามารถแปลงกายเป็นสิ่งต่างๆได้มากมาย เดิมที่ทั้งสามพี่น้องมีความงดงามทั้งใบหน้าและรูปร่าง โดยเฉพาะเมดูซ่าที่เส้นผมของนางเป็นที่เลื่องลือว่างดงามที่สุด งามยิ่งกว่าเทพใดๆ ในยุคนั้น แต่ต่อมาเมทิสมารดาของนางถูกเทพซุส ((Zeus) ทำมิดีมิร้าย และกลืนกินนางเข้าไป โดยหวังว่าจะได้ใช้สติปัญญาและความสามารถของเมทิสมาเพิ่มพลังอำนาจให้แก่ตน ซึ่งการเพิ่มพลังดังกล่าวย่อมทำให้เทพซุสกลายเป็นเทพผู้ยิ่งใหญ่และมีอำนาจเหนือเทพทั้งปวง และพลังที่ทรงอำนาจของเมทิส ทำให้ถือกำเนิด เทพธิดาอาเธน่า (Athena) อย่างน่าประหลาดขึ้นโดยมีการกำเนิดผ่านทางหน้าผากของเทพซุส และเมื่อเทพธิดาอาเธน่า กำเนิดขึ้น นางจึงมาพร้อมกับความสามารถทางสติปัญญาเหมือนอย่างเมทิสผู้เป็นมารดา


ภาพวาดของเมดูซ่า

ตั้งแต่เกิดมาอาเธน่าก็ถือว่าเมดูซ่าเป็นศัตรูคู่แค้นที่จะต้องฆ่าให้สูญสิ้น เพราะอาเธน่าเกลียดชาวกอร์กอนที่มีมารดาเดียวกับนาง และในบรรดาพี่น้อง มีแต่เมดูซ่าผู้เดียวที่เป็นมนุษย์ พี่สาวทั้งสองของนางเป็นชาวกอร์กอน (Gorgós เป็นอสูรกายน่าเกลียดน่ากลัวมีผมเป็นงู หางเป็นงู มีปีกสีทองเหลือง และผิวหนังเป็นเกล็ด อีกทั้งเมื่อถูกจ้องตาร่างกายจะกลายเป็นหิน) พี่สาวทั้งสองที่ร่วมท้องกับมารดาของนางจึงมีสถานะเป็นเทพ ทั้งยังเป็นอมตะไม่สามารถฆ่าให้ตายได้ ดังนั้นเป้าหมายของอาเธน่าจึงหันมาหาทางทำลายเมดูซ่า ในบรรดาพี่น้องร่วมสายเลือด

วันหนึ่งในขณะที่เมดูซ่าเดินทางไปสักการะวิหารของเทพธิดาอาเธน่า ซึ่งวิหารนี้ชาวกรีกสร้างไว้บูชาสักการะเทพอาเธน่า ซึ่งเป็นเทพอุปถัมภ์ของสาวพรหมจารีที่สตรีพรหมจรรย์ ด้วยความที่เมดูซ่าเป็นสาวงามที่มีชายมากมายหมายปอง ก็ได้เข้าไปบูชาเทพอาเธน่ายังวิหาร และที่แห่งนี้ที่เมดูซ่าได้พบกับ เทพโพไซดอน (Poseidon) เมื่อเทพโพไซดอนพบเมดูซ่า ก็เกิดการหลงรักและต้องการจะครอบครองได้มาเป็นสมบัติของตน แต่เมดูซ่าไม่ยินยอม เทพโพไซดอนจึงใช้กำลังขืนใจนาง เทพอาเธน่าได้โอกาสจึงใส่ความเมดูซ่าว่า เมดูซ่าบังอาจลบหลู่นางด้วยการสู่สมในวิหารอันศักดิ์สิทธิ์ ไม่เพียงแค่นั้นเทพอาธีน่ายังสาปเมดูซ่าให้กลายเป็นอสูรร้ายที่น่าเกลียดน่ากลัว และสาปให้ผมอันสวยงามของนางกลายเป็นงูเต็มหัว จากสาวงามเลื่องชื่อ ต้องมากลายเป็นอสุรกายที่ร้ายกาจ น่าชิงชัง ขยะแขยง และไม่ว่าใครที่ได้เห็นสายตาอันโกรธแค้นของนางจะต้องกลายเป็นหินไปในทันที


เมดูซ่า เมื่อโดนสาปจากเทพอาเธน่า

เมดูซ่ารู้สึกอับอาย และโกรธแค้นอาเธน่าเป็นอย่างมาก ที่ทำให้นางเป็นเช่นนี้ นางจึงเปลี่ยนความเจ็บช้ำที่ได้รับให้กลายเป็นความเคียดแค้นชิงชัง ต้องการทำร้ายทุกชีวิตที่ขวางหน้า โดยใครก็ตามที่มองตานาง นางจะทำให้กลายเป็นหินไป เพื่อการตอบโต้ความไม่ยุติธรรมที่ทำให้นางต้องรับชะตากรรมอันโหดร้ายเช่นนี้ และด้วยเหตุผลทั้งปวง จึงทำให้ หญิงสาวที่งดงาม กลับกลายเป็นมารร้าย ผู้เป็นที่กล่าวขวัญถึงมากที่สุดในตำนานกรีก มีทั้งภาพสลัก รูปปั้นต่างๆ ตามวิหารต่างๆ มากมาย

ในที่สุด ความเลวร้ายและบาปกรรมที่เมดูซ่าได้กระทำลงไปนั่น นำมาซึ่งผลกรรมคือ เมดูซ่าถูกเพอร์ซีอุส (Perseus) ใช้ดาบฟันที่คอจนขาด โดยเทพอาเธน่าเป็นผู้สั่งให้เพอร์ซีอุสทำและยังคอยช่วยเหลือและคุ้มครองเพอร์ซีอุสอีกด้วย

แต่การตายของเมดูซ่าทำให้เกิดสิ่งมีชีวิตที่สวยงามอย่างหนึ่ง นั่นคือ ม้าเปกาซัส (Pegasus) ที่กำเนิดจากเลือดของนาง และแล้วเมดูซ่าก็จบชีวิตที่แสนทุกข์ทรมานของนาง อีกทั้งการตายของนางยังส่งผลให้เพอร์ซีอุสกลายไปเป็นวีรบุรุษผู้ปราบอสูรร้าย และเป็นที่นับถือกันอย่างมากอีกด้วย


อ้างอิง 

ตำนานสัตว์ในเทพนิยาย เมดูซ่า ( Medusa) (ออนไลน์) สืบค้นเมื่อ 22 สิงหาคม 2558, จาก http://www.tumnandd.com/เมดูซ่า-medusa/

เปิดตำนานเทพเจ้ากรีก ตอน เมดูซ่า (ออนไลน์) สืบค้นเมื่อ 22 สิงหาคม 2558, จาก https://sites.google.com/site/soweena1/tanan-theph-krik-txn-me-du-sa

สัตว์ในเทพนิยายและตำนาน (ออนไลน์) สืบค้นเมื่อ 22 สิงหาคม 2558, จาก http://writer.dek-d.com/0012/story/viewlongc.php?id=446421&chapter=74

อ่านเพิ่มเติม »

แฟรงค์ อบาเนล ยอดนักต้มตุ๋นระดับโลก

โดย ณัฏฐา โชครวมชัย

ในโลกนี้มีการก่ออาชญากรรมหลายรูปแบบ ทั้งการเข่นฆ่า ขู่กรรโชก โจรกรรมต่างๆ ซึ่งล้วนแล้วแต่ก่อให้เกิดความเสียหายทั้งทางกายและทางทรัพย์สิน ในที่นี้จะขอกล่าวถึงอาชญากรคนหนึ่งที่ก่ออาชญากรรมโดยไม่ใช้ความรุนแรง ไม่มีใครต้องได้รับบาดเจ็บหรือนองเลือดแม้แต่คนเดียว เป็นอาชญากรคนสำคัญที่ทำให้ประเทศสหรัฐอเมริกาต้องจดจำไปตลอดกาล “แฟรงค์ อบาเนล” อาชญากรหนุ่มที่อายุไม่ถึง 20 ปีแต่มีความสามารถต้มตุ๋นและปลอมแปลงขั้นสุดยอด การกระทำของเขาในตอนนั้นทำให้มากกว่า 26 ประเทศถึงกับต้องจับตามองกันเลยทีเดียว

แฟรงค์ วิลเลี่ยม อบาเนล จูเนียร์ (Frank William Abagnale Jr.) เกิดที่นิวยอร์ค เมื่อวันที่ 27 เมษายน 1948 เมื่อเขาอายุได้ 16 ปี พ่อแม่ของเขาก็หย่ากัน แฟรงค์ตัดสินใจหนีออกจากบ้านในวันที่พ่อแม่เซ็นใบหย่า ในมือเขามีเงินเพียง 200 ดอลล่าร์เท่านั้น เขาจึงเริ่มหาเงินโดยการทำเช็คปลอมขึ้นมา ในสมัยนั้นเทคโนโลยีการตรวจจับเอกสารปลอมยังไม่มีศักยภาพมากเหมือนในสมัยนี้ ความสามารถในการปลอมแปลงเช็คของแฟรงค์ทำให้เขาโกยเงินเข้ากระเป๋าตัวเองได้กว่า 4 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ

ในเวลาต่อมาเมื่อเช็คปลอมเหล่านั้นเด้ง ตำรวจจึงเริ่มหันมาจับตามองมากขึ้น แฟรงค์จึงไม่สามารถอยู่นิวยอร์คได้อีกต่อไป เขาตัดสินใจปลอมเป็นนักบินแล้วเริ่มแผนการโกงครั้งใหม่ด้วยการโทรไปยังแพนแอมซึ่งเป็นสายการบินอเมริกาที่ใหญ่ที่สุด เขาหลอกว่าตัวเองเป็นนักบินของบริษัทและเครื่องแบบนักบินของเขาหายไปกับแผนกซักรีดของโรงแรม บริษัทจึงติดต่อไปยังผู้รับผิดชอบเรื่องเครื่องแบบ และให้เครื่องแบบเขามาง่ายๆ โดยที่เขาไม่ต้องเสียเงินเลย


แฟรงค์อายุ 16 ถ่ายคู่แอร์โฮสเตสสาวสายการบินแพนแอม

นอกจากบทบาทนักบินแล้ว แฟรงค์ยังหาใบประกอบวิชาชีพอื่นๆ ให้ตัวเอง เขาเข้ารับหน้าที่ดูแลแผนกกุมารเวชทั้งแผนกของศูนย์การแพทย์ใกล้เมืองแอตแลนต้า ทั้งๆ ที่ไม่เคยเรียนแพทย์มาก่อน และต่อมาเขายังปลอมเป็นทนายที่มีใบอนุญาตว่าความจนได้รับการว่าจ้างจากสำนักงานอัยการของรัฐทางใต้รัฐหนึ่งของสหรัฐอเมริกา ท้ายที่สุดเขาผ่านการสอบเป็นเนติบัณทิตได้สำเร็จ โดยไม่เคยเรียนกฎหมายเสียด้วยซ้ำ และยังมีอีกหลายๆ อาชีพที่เขาเคยหลอกลวงผู้คน เพียงแต่ถ้าเขาต้องการ เขาก็สามารถเป็นได้ในทุกสิ่งที่ต้องการ

การก่ออาชญากรรมของแฟรงค์ อบาเนล ได้สิ้นสุดลงเมื่อแอร์โฮสเตสสายการบินแอร์ฟรานซ์เกิดจำหน้าเขาขึ้นมาได้จากหมายประกาศจับของทางการ โดยตำรวจฝรั่งเศสเป็นผู้รวบตัวเขาไว้ได้ แฟรงค์ถูกลงโทษจำคุกเป็นเวลา 12 ปี ต่อมาปี 1974 เขาได้รับโอกาสให้ทำคุณไถ่โทษ เขาจึงกลายมาเป็นที่ปรึกษาของเอฟบีไอในการจัดการกับพวกอาชญากรที่ทำผิดในแบบที่เขาเคยทำ และกลายมาเป็นผู้บรรยายให้แก่บริษัทประกันและธนาคารต่างๆ เกี่ยวกับการป้องกันการปลอมเช็คในปัจจุบัน

จากปัญหาภายในครอบครัว เป็นสาเหตุที่ทำให้แฟรงค์ก่อปัญหาระดับชาติตั้งแต่อายุไม่ถึงยี่สิบปี แต่จุดจบของแฟรงค์ไม่ได้จบลงด้วยความตายเหมือนอาชญากรระดับโลกหลายคน เพียงแต่สิ้นอิสรภาพในคุก แม้ตัวเขาจะเป็นที่ต้องการของหลายประเทศที่ถูกเขาต้มตุ๋นในการนำตัวเขามาขึ้นศาลในประเทศของตน แต่เรื่องราวของเขากลับเป็นที่โจทย์ขาน ถูกนำมาเขียนเป็นหนังสือ รวมทั้งนำมาทำเป็นภาพยนตร์ที่ทำให้ทั่วโลกรูัจักเขาดีในชื่อเรื่อง "Catch me if you can"

อ้างอิง

Frank W. Abagnale. Catch me if you can. แปลโดย โรจนา นาเจริญ. พิมพ์ครั้งที่ 29. กรุงเทพฯ. มติชน

(ม.ป.ป.). เรื่องจริงของนักต้มตุ๋น. เข้าถึงเมื่อ 13 สิงหาคม 2558, จาก http://ohx3.exteen.com/20061220/frank-abagnale-jr

ลูกเสือหมายเลข 9. (2007). แฟรงก์ อบาเนล ยอดนักตุ๋น. เข้าถึงเมื่อ 13 สิงหาคม 2558, http://www.oknation.net/blog/chai/2008/06/05/entry-1

อ่านเพิ่มเติม »