จักรวรรดิอินคา (Inca) เป็นจักรวรรดิโบราณที่ใหญ่ที่สุดในทวีปอเมริกาใต้ และชาวอินคาได้ชื่อว่าเป็นชนเผ่าที่มีอารยธรรมสูงส่งและเป็นแบบอย่างแก่ชนเผ่าอื่นในแถบอเมริกาใต้มานานนับพันปี ยุคสมัยที่ชาวอินคาปกครองอาณาจักรอันกว้างใหญ่ไพศาลนั้น นับว่ามีความเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก มีผลงานด้านสถาปัตยกรรมและประติมากรรมตลอดจนสิ่งก่อสร้างต่างๆ ที่กลายเป็นแบบอย่างแก่ชนเผ่าอื่นๆ อีกทั้งยังเป็นแหล่งกำเนิดอารยธรรมต่างๆ ในช่วงระยะเวลายาวนานกว่า 500 ปี และอินคามีตำนานความเชื่อต่างๆ มากมาย รวมทั้งและมีพิธีกรรมบูชายัญนั่นก็คือ การทำมัมมี่ของชาวอินคา
ในปี ค.ศ.1999 นักโบราณคดีที่ขึ้นไปสำรวจภูเขาไฟ Llullaillaco (ยูเย่ยาโก้) เทือกเขาแอนดิส ในประเทศอาร์เจนตินา ได้พบกับร่างของมัมมี่เด็ก 3 ราย อยู่บนยอดเขาที่หนาวเหน็บ และ 1 ใน 3 ของมัมมี่ที่ค้นพบมีความสมบูรณ์มาก คล้ายกับเพิ่งเสียชีวิตได้ไม่นาน แม้หลักฐานทางวิทยาศาสตร์จะระบุว่า เสียชีวิตมานานกว่า 500 ปีแล้วก็ตาม โดยมัมมี่ทั้ง 3 ร่าง แบ่งเป็นหญิง 2 คน และชายอีก 1 คน ทั้ง 3 คน มีอายุที่ต่างกันไม่มาก โดยมัมมี่ที่มีอายุมากที่สุด (ลา ดอลเซลญา) เป็นเพศหญิงอายุ 13 ปี ส่วนเพศชายอายุ 7 ปี และเพศหญิงที่อายุน้อยสุดคือ 6 ปี ทั้งหมดเป็น “ชาวอินคา” ที่เสียชีวิตขณะทำพิธีบูชายัญ
ร่างของลา ดอลเซลญา พบอยู่ในสภาพสมบูรณ์มาก แม้แต่เหาก็ยังคงติดอยู่บนเส้นผมของเธอ เธออยู่ในท่านั่งขัดสมาธิและมือวางอยู่บริเวณหน้าตัก แต่งกายด้วยผ้าคลุมไหล่และเครื่องประดับที่ทำจากกระดูกและหิน ใบหน้าของเธอยังถูกแต้มด้วยสีแดง และพบร่องรอยของเศษใบโคคาซึ่งเป็นที่นิยมเคี้ยวกันในกลุ่มชนเผ่าอินคาบนที่ราบสูง เพื่อให้ช่วยลดแรงกดดันที่เกิดจากการอยู่บนที่สูง มัมมี่ของเผ่าอินคาจะแตกต่างจากมัมมี่ของชาวอียิปต์ ชาวอินคาจะทิ้งร่างบูชายัญไว้กลางธรรมชาติอันหนาวเหน็บ จนค่อยๆ กลายเป็นน้ำแข็งไปในที่สุดและชาวอินคาใช้เด็กเพื่อบูชายัญ เป็นสัญญลักษณ์ของความบริสุทธิ์ เป็นการตายที่เชื่อว่าจะได้ไปอยู่กับเทพเจ้าบนสวรรค์ หิมะอันขาวโพลนบนเทือกเขา ก็เปรียบเหมือนสวรรค์ที่เด็กๆ จะได้ไปอยู่อย่างมีความสุข
ที่มา : ที่มา : http://talk.mthai.com/inbox/372211.html
ซึ่งหากอ้างอิงจากหลักฐานในอดีตจะพบว่า ชาวอินคามีความเชื่อเกี่ยวกับพิธีบูชายัญ ด้วยการฆ่าเด็กเพื่อเซ่นสังเวยให้กับพระเจ้า เด็กที่ถูกเลือกส่วนใหญ่มักจะไม่ทราบมาก่อนว่า ตนเองถูกเลือกให้เข้ารับพิธีบูชายัญ แต่จะทราบก็ต่อเมื่อโตแล้วเท่านั้น โดยเด็กพวกนี้จะได้รับการเลี้ยงดูเป็นอย่างดี ตลอดปีก่อนการบูชายันต์ เด็กๆ จะได้กินอาหารชั้นดีด้วยเนื้อสัตว์ คือเนื้อลามะตากแห้งและข้าวโพด จนอ้วนท้วนสมบูรณ์ ซึ่งแตกต่างจากอาหารปกติที่กินทั่วไปคือ มันฝรั่งและผักต่างๆ เท่านั้น และเมื่อถึงอาทิตย์สุดท้ายก่อนพิธีบูชายันต์ จะให้เด็กกินเหล้าหมักและใบโคคาให้มึนเมา นักโบราณคดีสันนิษฐานว่า เนื่องจากระยะทางหลายร้อยไมล์ในการเดินทางขึ้นไปบนภูเขาสูง จึงต้องให้เด็กๆ กินเหล้าและใบโคคา เพื่อเป็นการกระตุ้นประสาท จะได้มีเรี่ยวแรงเดินไปสู่ความตายของตัวเองในที่สุด
อย่างไรก็ตามการค้นพบมัมมี่ในครั้งนี้ นับเป็นอีกหนึ่งการค้นพบครั้งสำคัญ ที่แม้อายุของมัมมี่จะมีเพียง 500 กว่าปี ซึ่งไม่มากเทียบเท่ามัมมี่ในวัตนธรรมอื่นๆ เช่น อียิปต์ แต่รูปแบบของการทำมัมมี่ ที่เรียกได้ว่าจัดเตรียมทุกอย่างล่วงหน้าเป็นเวลานาน อีกทั้งยังได้ความหนาวเย็นจากธรรมชาติช่วยรักษาสภาพศพไว้อย่างดีเยี่ยม จึงทำให้มัมมี่แห่งอาณาจักรอินคา กลายเป็นมัมมี่ที่มีความสมบูรณ์แบบมากเป็นอันดับต้นๆ ของโลก นอกจากนี้ยังทำให้มนุษย์ในยุคปัจจุบันได้ทราบถึงเรื่องราวทั้งทางด้านประวัติศาสตร์และด้านอารยธรรมของชาวอินคา ซึ่งถือว่าเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง
อ้างอิง
บรรยง บุญฤทธิ์. (2542). อาณาจักรลับอินคา แผ่นดินแห่งเลือดและทองคำ. กรุงเทพฯ: สร้างสรรค์บุ๊คส์ จำกัด.
มัมมี่น้ำแข็งเด็กอินคา ชีวิตที่ต้องเสียสละบูชายัญ. สืบค้นเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2560, จาก http://talk.mthai.com/inbox/372211.html
เรื่องราวของ ‘มัมมี่น้ำแข็งแห่งอินคา’ ที่ยังมีสภาพสมบูรณ์อย่างน่าเหลือเชื่อแม้จะผ่านมาแล้วกว่า 500 ปี. สืบค้นเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2560, จาก https://www.spokedark.tv/posts/inca-mummies/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น