โดย สุวนันท์ พงษ์ขาวน้อย
หากจะกล่าวถึงแหล่งอารยธรรมโบราณที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์และเก่าแก่ที่สุด ผู้คนส่วนใหญ่คงจะนึกถึง อารยธรรมเมโสโปเตเมีย ที่นักประวัติศาสตร์ต่างเชื่อว่า เป็นแหล่งอารยธรรมโบราณแห่งแรกของโลก แต่แหล่งอารยธรรมจะเกิดขึ้นได้นั้น จะต้องมีมนุษย์เป็นผู้ริเริ่มและสร้างสรรค์อารยธรรม แต่หลายๆ ท่านทราบกันหรือไม่ว่าชนชาติแรกที่เป็นผู้ริเริ่มและสร้างสรรค์อารยธรรมและเป็นผู้วางรากฐานทางอารยธรรมเมโสโปเตเมียนั้นคือชนชาติใด
ย้อนไปเมื่อ 3000 ปี ก่อนคริสตกาล อารยธรรมเมโสโปเตเมียได้เริ่มต้นขึ้นโดยชนชาติสุเมเรียน ชนชาติที่ผู้คนต่างเชื่อกันว่า ได้อพยพย้ายถิ่นฐานมาจากที่ราบสูงอิหร่าน มาสู่บริเวณตอนล่างสุดของลุ่มแม่น้ำไทกริสและยูเฟรติส และมีการเรียกดินแดนบริเวณนี้ว่า ซูเมอร์ (Sumer) ซึ่งเป็นบริเวณที่ถือได้ว่าเป็นแหล่งกำเนิดของนครรัฐ (city-state) แห่งแรกของโลกก็ว่าได้
ชาวสุเมเรียนมีชีวิตความเป็นอยู่จากหมู่บ้านเล็กๆ ชุมชนวัด แล้วจึงมีการเปลี่ยนมาเป็นชีวิตในเมือง ที่มีการปกครองในรูปแบบนครรัฐหลายๆ แห่ง เช่น เมืองเออร์ (Ur) เมืองอูรุก (Uruk) เมืองคิช (Kish) และเมืองนิปเปอร์ (Nippur) นครรัฐแต่ละเมืองไม่มีกษัตริย์หรือเจ้าผู้ครองนคร แต่จะมีพระเป็นผู้ดูแลและควบคุมกิจการต่างๆ พระจะมีอำนาจในการปกครองเป็นประมุขสูงสุด เปรียบเสมือนตัวแทนของพระเจ้า นครรัฐแต่ละเมืองมีฐานะเป็นอิสระต่อกันและเป็นศูนย์กลางของการปกครองที่ไม่ขึ้นตรงกันทำให้บางครั้งเกิดการรบกันเพื่อแย่งชิงอำนาจความเป็นใหญ่ จึงเป็นเหตุให้ชาวสุเมเรียนไม่สามารถรวบรวมอาณาจักรให้เป็นหนึ่งเดียวกันได้
ในสังคมของชาวสุเมเรียน ชาวสุเมเรียนมีการจัดระเบียบทางสังคมเพื่อให้ผู้คนภายในนครรัฐสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข โดยมีการแบ่งชนชั้นทางสังคมซึ่งแบ่งออกเป็นชนชั้นสูง ซึ่งจะประกอบด้วยกษัตริย์ เชื้อพระวงศ์ พระ ชนชั้นผู้ใหญ่และขุนนาง ถัดลงมาจะเป็นชนชั้นสามัญ เป็นบุคคลธรรมดาสามัญชน เสรีชนทั่วไป และเหล่าลูกจ้างของขุนนาง และชนชั้นสุดท้ายคือ ทาส ที่มีฐานะต่ำสุด ทำหน้าที่รับใช้บุคคลชนชั้นสูง ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นเฉลยสงคราม ชาวต่างประเทศ หรืออาชญกรที่ถูกลงโทษ
ชาวสุเมเรียนมีความเชื่อในเรื่องหลักของเหตุผล เชื่อในโลกปัจจุบันมากกว่าโลกหน้า และมีความเชื่อในเรื่องเทพเจ้า จึงทำให้ชาวสุเมเรียนนิยมสร้างศาสนสถานขนาดใหญ่เรียกว่า “ซิกกูแรต” ซึ่งถูกสร้างขึ้นจากอิฐตากแห้ง มีรูปร่างแบบสถาปัตยกรรมคล้ายภูเขาขนาดใหญ่ คล้ายปิระมิดแต่เป็นแบบขั้นบันได สร้างบนฐานที่ยกระดับจากพื้นดิน ข้างบนทำเป็นวิหารเทพเจ้า ถัดลงมาเป็นที่ตั้งของวัดวาอาราม พระราชวังของกษัตริย์ สุสานหลวง ซิกกูแรตจึงเป็นสัญลักษณ์ที่ประทับของเทพเจ้าต่างๆ และเป็นสถาปัตยกรรมชิ้นสำคัญของชาวสุเมเรียน
วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวสุเมเรียนมีการประกอบอาชีพเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์เป็นหลัก แต่เนื่องจากดินแดนเมโสโปเตเมียนั้นเป็นดินแดนที่มีอากาศร้อนและกันดารฝน สภาพอากาศในดินแดนแถบนี้จะแปรปรวนไม่จนสามารถคาดเดาได้ จึงเป็นเหตุทำให้ชาวสุเมเรียนมีการคิดค้น ประดิษฐ์สิ่งต่างๆ ด้วยภูมิปัญญาของตนเองขึ้น ชาวสุเมเรียนมีการใช้ระบบชลประทานที่มีประสิทธิภาพสูง ขุดคลองระบายน้ำขึ้น อีกทั้งยังมีประดิษฐ์คันไถ เครื่องหยอดเมล็ด เครื่องปั้นดินเผา การทอผ้าและการย้อมผ้าเพื่อใช้นุ่งห่ม
ชาวสุเมเรียนเป็นชนกลุ่มแรกที่รู้จักประดิษฐ์อักษร อักษรที่ชาวสุเมเรียนประดิษฐ์ขึ้นนี้เรียกว่า “อักษรลิ่ม” หรือ “คูนิฟอร์ม” ซึ่งถือได้ว่าเป็นหลักฐานลายลักษณ์อักษรที่เก่าแก่ที่สุดในทางประวัติศาสตร์ เป็นมรดกชิ้นสำคัญของชาวสุเมเรียน และด้วยความสำเร็จจากระบบการเขียนทำให้ชาวสุเมเรียนสามารถสร้างวรรณกรรมที่สำคัญขึ้นนั่นก็คือ มหากาพย์ กิลกาเมช เป็นเรื่องเกี่ยวกับการผจญภัยของวีรบุรุษที่แสวงหาชีวิตอันเป็นอมตะ นับว่าเป็นวรรณกรรมเรื่องแรกของโลกและเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางมาจนถึงปัจจุบัน
นอกจากนี้ชาวสุเมเรียนยังมีความสามารถในด้านคณิตศาสตร์ มีการคิดค้นวิธีการคิดเลข บวก ลบ คูณ หาร การใช้หลัก 60 ซึ่งมีการนำมาใช้ในเรื่องการนับเวลาต่อมาจนถึงปัจจุบัน รวมทั้งการแบ่งวงกลมออกเป็น 360 องศา อีกทั้งชาวสุเมเรียนยังมีการประดิษฐ์คิดค้นในเรื่องของระบบชั่งตวงวัดและปฏิทิน ชาวสุเมเรียนได้สร้างปฏิทินขึ้นเป็นครั้งแรก โดยอาศัยการเฝ้าสังเกตการโคจรของดวงจันทร์ ปฏิทินของชาวสุเมเรียนจึงเป็นปฏิทินแบบจันทรคติ โดยมีจำนวนวันในหนึ่งปีแค่ 354 วัน
อารยธรรมของชาวสุเมเรียนมีอำนาจปกครองมาเกือบหนึ่งพันปี แต่สุดท้ายได้สิ้นสุดเมื่อมีพวกชนเผ่าเซมิติกแทรกซึมมาทางตะวันตก ผู้นำชนเผ่าคือพระเจ้าซาร์กอนแห่งแอกแคดได้มียกกำลังกองทัพลงมาในเชตซูเมอร์และเข้ายึดครองอำนาจการปกครอง ทำให้นครรัฐซูเมอร์ยอมแพ้และล่มสลายลงไปในที่สุด
ชาวสุเมเรียนจึงนับว่าเป็นชนชาติแรกที่เป็นผู้สร้างพื้นฐานที่สำคัญของอารยธรรมเมโสโปเตเมีย ทั้งในด้านสถาปัตยกรรม ตัวอักษร วรรณกรรม และศิลปกรรม ตลอดจนความเชื่อทัศคติต่างๆ ในการดำรงชีวิตอยู่ เป็นบ่อเกิดแหล่งอารยธรรมโบราณที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ที่มีสืบทอดให้เห็นมาจนถึงยุคปัจจุบัน
อ้างอิง
กิตติคุณ ศรีพระจันทร์.(2556), อารยธรรมสุเมเรียน สืบค้นเมื่อ 13 กันยายน 2557 จาก http://ruj5555.wordpress.com
วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี.(2557), ซูเมอร์ สืบค้นเมื่อ 13 กันยายน 2557 จาก http://th.wikipedia.org/wiki/ซูเมอร์
Dek-D.( 2554), ชาวสุเมเรียน สืบค้นเมื่อ 13 กันยายน 2557 จาก http://writer.dek-d.com/abjmp-social/story/viewlongc.php?id=773121&chapter=3
ประวัตศาสตร์ และ พระพุทธศาสนา.(2555), แหล่งกำเนิดอารยธรรมโบราณของโลก สืบค้นเมื่อ 13 กันยายน 2557 จาก http://arayatum007.blogspot.com/2012/09/blog-post.html
ว.วณิพก .( 2556 ), กำเนิดอารยธรรมโลก สืบค้นเมื่อ 16 กันยายน 2557 จาก http://www.oknation.net/blog/print.php?id=889591
แหล่งอารยธรรมเมโสโปเตเมีย สืบค้นเมื่อ 16 กันยายน 2557 จาก http://mpav48.wikispaces.com/3-1task1meso
นายพิษณุ เดชใด. ( 2552), อารยธรรมเมโสโปเตเมีย สืบค้นเมื่อ 16 กันยายน 2557 จาก http://www.sahavicha.com/?name=knowledge&file=readknowledge&id=454
หากจะกล่าวถึงแหล่งอารยธรรมโบราณที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์และเก่าแก่ที่สุด ผู้คนส่วนใหญ่คงจะนึกถึง อารยธรรมเมโสโปเตเมีย ที่นักประวัติศาสตร์ต่างเชื่อว่า เป็นแหล่งอารยธรรมโบราณแห่งแรกของโลก แต่แหล่งอารยธรรมจะเกิดขึ้นได้นั้น จะต้องมีมนุษย์เป็นผู้ริเริ่มและสร้างสรรค์อารยธรรม แต่หลายๆ ท่านทราบกันหรือไม่ว่าชนชาติแรกที่เป็นผู้ริเริ่มและสร้างสรรค์อารยธรรมและเป็นผู้วางรากฐานทางอารยธรรมเมโสโปเตเมียนั้นคือชนชาติใด
ย้อนไปเมื่อ 3000 ปี ก่อนคริสตกาล อารยธรรมเมโสโปเตเมียได้เริ่มต้นขึ้นโดยชนชาติสุเมเรียน ชนชาติที่ผู้คนต่างเชื่อกันว่า ได้อพยพย้ายถิ่นฐานมาจากที่ราบสูงอิหร่าน มาสู่บริเวณตอนล่างสุดของลุ่มแม่น้ำไทกริสและยูเฟรติส และมีการเรียกดินแดนบริเวณนี้ว่า ซูเมอร์ (Sumer) ซึ่งเป็นบริเวณที่ถือได้ว่าเป็นแหล่งกำเนิดของนครรัฐ (city-state) แห่งแรกของโลกก็ว่าได้
ชาวสุเมเรียนมีชีวิตความเป็นอยู่จากหมู่บ้านเล็กๆ ชุมชนวัด แล้วจึงมีการเปลี่ยนมาเป็นชีวิตในเมือง ที่มีการปกครองในรูปแบบนครรัฐหลายๆ แห่ง เช่น เมืองเออร์ (Ur) เมืองอูรุก (Uruk) เมืองคิช (Kish) และเมืองนิปเปอร์ (Nippur) นครรัฐแต่ละเมืองไม่มีกษัตริย์หรือเจ้าผู้ครองนคร แต่จะมีพระเป็นผู้ดูแลและควบคุมกิจการต่างๆ พระจะมีอำนาจในการปกครองเป็นประมุขสูงสุด เปรียบเสมือนตัวแทนของพระเจ้า นครรัฐแต่ละเมืองมีฐานะเป็นอิสระต่อกันและเป็นศูนย์กลางของการปกครองที่ไม่ขึ้นตรงกันทำให้บางครั้งเกิดการรบกันเพื่อแย่งชิงอำนาจความเป็นใหญ่ จึงเป็นเหตุให้ชาวสุเมเรียนไม่สามารถรวบรวมอาณาจักรให้เป็นหนึ่งเดียวกันได้
ในสังคมของชาวสุเมเรียน ชาวสุเมเรียนมีการจัดระเบียบทางสังคมเพื่อให้ผู้คนภายในนครรัฐสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข โดยมีการแบ่งชนชั้นทางสังคมซึ่งแบ่งออกเป็นชนชั้นสูง ซึ่งจะประกอบด้วยกษัตริย์ เชื้อพระวงศ์ พระ ชนชั้นผู้ใหญ่และขุนนาง ถัดลงมาจะเป็นชนชั้นสามัญ เป็นบุคคลธรรมดาสามัญชน เสรีชนทั่วไป และเหล่าลูกจ้างของขุนนาง และชนชั้นสุดท้ายคือ ทาส ที่มีฐานะต่ำสุด ทำหน้าที่รับใช้บุคคลชนชั้นสูง ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นเฉลยสงคราม ชาวต่างประเทศ หรืออาชญกรที่ถูกลงโทษ
ชาวสุเมเรียนมีความเชื่อในเรื่องหลักของเหตุผล เชื่อในโลกปัจจุบันมากกว่าโลกหน้า และมีความเชื่อในเรื่องเทพเจ้า จึงทำให้ชาวสุเมเรียนนิยมสร้างศาสนสถานขนาดใหญ่เรียกว่า “ซิกกูแรต” ซึ่งถูกสร้างขึ้นจากอิฐตากแห้ง มีรูปร่างแบบสถาปัตยกรรมคล้ายภูเขาขนาดใหญ่ คล้ายปิระมิดแต่เป็นแบบขั้นบันได สร้างบนฐานที่ยกระดับจากพื้นดิน ข้างบนทำเป็นวิหารเทพเจ้า ถัดลงมาเป็นที่ตั้งของวัดวาอาราม พระราชวังของกษัตริย์ สุสานหลวง ซิกกูแรตจึงเป็นสัญลักษณ์ที่ประทับของเทพเจ้าต่างๆ และเป็นสถาปัตยกรรมชิ้นสำคัญของชาวสุเมเรียน
วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวสุเมเรียนมีการประกอบอาชีพเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์เป็นหลัก แต่เนื่องจากดินแดนเมโสโปเตเมียนั้นเป็นดินแดนที่มีอากาศร้อนและกันดารฝน สภาพอากาศในดินแดนแถบนี้จะแปรปรวนไม่จนสามารถคาดเดาได้ จึงเป็นเหตุทำให้ชาวสุเมเรียนมีการคิดค้น ประดิษฐ์สิ่งต่างๆ ด้วยภูมิปัญญาของตนเองขึ้น ชาวสุเมเรียนมีการใช้ระบบชลประทานที่มีประสิทธิภาพสูง ขุดคลองระบายน้ำขึ้น อีกทั้งยังมีประดิษฐ์คันไถ เครื่องหยอดเมล็ด เครื่องปั้นดินเผา การทอผ้าและการย้อมผ้าเพื่อใช้นุ่งห่ม
ชาวสุเมเรียนเป็นชนกลุ่มแรกที่รู้จักประดิษฐ์อักษร อักษรที่ชาวสุเมเรียนประดิษฐ์ขึ้นนี้เรียกว่า “อักษรลิ่ม” หรือ “คูนิฟอร์ม” ซึ่งถือได้ว่าเป็นหลักฐานลายลักษณ์อักษรที่เก่าแก่ที่สุดในทางประวัติศาสตร์ เป็นมรดกชิ้นสำคัญของชาวสุเมเรียน และด้วยความสำเร็จจากระบบการเขียนทำให้ชาวสุเมเรียนสามารถสร้างวรรณกรรมที่สำคัญขึ้นนั่นก็คือ มหากาพย์ กิลกาเมช เป็นเรื่องเกี่ยวกับการผจญภัยของวีรบุรุษที่แสวงหาชีวิตอันเป็นอมตะ นับว่าเป็นวรรณกรรมเรื่องแรกของโลกและเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางมาจนถึงปัจจุบัน
นอกจากนี้ชาวสุเมเรียนยังมีความสามารถในด้านคณิตศาสตร์ มีการคิดค้นวิธีการคิดเลข บวก ลบ คูณ หาร การใช้หลัก 60 ซึ่งมีการนำมาใช้ในเรื่องการนับเวลาต่อมาจนถึงปัจจุบัน รวมทั้งการแบ่งวงกลมออกเป็น 360 องศา อีกทั้งชาวสุเมเรียนยังมีการประดิษฐ์คิดค้นในเรื่องของระบบชั่งตวงวัดและปฏิทิน ชาวสุเมเรียนได้สร้างปฏิทินขึ้นเป็นครั้งแรก โดยอาศัยการเฝ้าสังเกตการโคจรของดวงจันทร์ ปฏิทินของชาวสุเมเรียนจึงเป็นปฏิทินแบบจันทรคติ โดยมีจำนวนวันในหนึ่งปีแค่ 354 วัน
อารยธรรมของชาวสุเมเรียนมีอำนาจปกครองมาเกือบหนึ่งพันปี แต่สุดท้ายได้สิ้นสุดเมื่อมีพวกชนเผ่าเซมิติกแทรกซึมมาทางตะวันตก ผู้นำชนเผ่าคือพระเจ้าซาร์กอนแห่งแอกแคดได้มียกกำลังกองทัพลงมาในเชตซูเมอร์และเข้ายึดครองอำนาจการปกครอง ทำให้นครรัฐซูเมอร์ยอมแพ้และล่มสลายลงไปในที่สุด
ชาวสุเมเรียนจึงนับว่าเป็นชนชาติแรกที่เป็นผู้สร้างพื้นฐานที่สำคัญของอารยธรรมเมโสโปเตเมีย ทั้งในด้านสถาปัตยกรรม ตัวอักษร วรรณกรรม และศิลปกรรม ตลอดจนความเชื่อทัศคติต่างๆ ในการดำรงชีวิตอยู่ เป็นบ่อเกิดแหล่งอารยธรรมโบราณที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ที่มีสืบทอดให้เห็นมาจนถึงยุคปัจจุบัน
อ้างอิง
กิตติคุณ ศรีพระจันทร์.(2556), อารยธรรมสุเมเรียน สืบค้นเมื่อ 13 กันยายน 2557 จาก http://ruj5555.wordpress.com
วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี.(2557), ซูเมอร์ สืบค้นเมื่อ 13 กันยายน 2557 จาก http://th.wikipedia.org/wiki/ซูเมอร์
Dek-D.( 2554), ชาวสุเมเรียน สืบค้นเมื่อ 13 กันยายน 2557 จาก http://writer.dek-d.com/abjmp-social/story/viewlongc.php?id=773121&chapter=3
ประวัตศาสตร์ และ พระพุทธศาสนา.(2555), แหล่งกำเนิดอารยธรรมโบราณของโลก สืบค้นเมื่อ 13 กันยายน 2557 จาก http://arayatum007.blogspot.com/2012/09/blog-post.html
ว.วณิพก .( 2556 ), กำเนิดอารยธรรมโลก สืบค้นเมื่อ 16 กันยายน 2557 จาก http://www.oknation.net/blog/print.php?id=889591
แหล่งอารยธรรมเมโสโปเตเมีย สืบค้นเมื่อ 16 กันยายน 2557 จาก http://mpav48.wikispaces.com/3-1task1meso
นายพิษณุ เดชใด. ( 2552), อารยธรรมเมโสโปเตเมีย สืบค้นเมื่อ 16 กันยายน 2557 จาก http://www.sahavicha.com/?name=knowledge&file=readknowledge&id=454
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น