โดย จิราภรณ์ พิริยะเสมวงษ์
หากจะกล่าวถึงอาณาจักรต่างๆในยุคโบราณที่อยู่ในทวีปอเมริกา ดินแดนที่กำเนิดของอารยธรรมที่เคยเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุดแห่งหนึ่งของโลก บางท่านอาจจะพอทราบได้ว่าอาณาจักรที่โด่งดังในสมัยนั้นก็จะได้แก่ อาณาจักรมายา (Maya) อินคา (Inca) และอีกหนึ่งแห่งที่ถือกำเนิดขึ้นมาในระยะเวลาต่อมา นั่นก็คือ แอชเทค (Aztec) เป็นอาณาจักรที่อยู่ในปลายยุคคลาสสิคตอนหลังและอาศัยอยู่ทางตอนกลางของแม็กซิโกในปัจจุบัน
กลุ่มชนที่อาศัยอยู่ในอาณาจักรแอชเทคนั้นเดิมทีเป็นกลุ่มชาติพันธุ์อินเดียนที่เป็นกลุ่มชนเร่ร่อนได้มีการอพยพหาแหล่งตั้งถิ่นฐานไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็มาเจอกับบริเวณตอนกลางของแม็กซิโกจึงเป็นจุดเริ่มต้นในการก่อร่างสร้างเมืองขึ้นมาทำให้ยุคของจักรวรรดิแอชเทคนั้นมีความเจริญรุ่งเรืองสืบต่อมา
ตามความเชื่อในการหาแหล่งที่ตั้งถิ่นฐานของชาวแอชเทค ชนเหล่านี้มีความเชื่อที่ว่าหากบริเวณใด หรือสถานที่ใดที่มองเห็นนกอินทรีย์เกาะอยู่บนต้นกระบองเพชรนั้น บริเวณที่ตรงนั้นจะถูกนำมาตั้งเป็นเมืองหลวงของอาณาจักร ซึ่งชาวแอชเทคก็ได้ค้นพบกับพื้นที่ที่เหมาะสมในการก่อตั้งเมืองหลวงโดยมีเมืองหลวงชื่อว่า เตนอชตีตลัน (Tenochtitlan) และต่อมาก็มีการก่อสร้างที่อยู่อาศัยของชนเผ่าแผ่ขยายออกไป แม้ว่าพื้นที่ที่ได้นั้นเป็นเกาะในทะเลสาบใหญ่ และพื้นที่ดังกล่าวนี้ไม่สามารถทำเกษตรกรรมได้ แต่ชาวแอชเทคถือเป็นกลุ่มอารยชนที่ฉลาดโดยสามารถพลิกแผ่นดินที่ไม่มีใครอยากจะเหลียวแลให้กลับกลายมาเป็นแผ่นดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ และมีความเจริญรุ่งเรืองในยุคนั้น ในการขยายอาณาเขตของชาวแอชเทคเพื่อทำการเกษตรและเพื่อขยายพื้นที่เมือง ชาวแอชเทคจะใช้วิธีการสร้างสวนลอยน้ำขึ้นมาให้ลอยอยู่บนทะเลสาบ ซึ่งก็นับว่าเป็นภูมิปัญญาอีกรูปแบบหนึ่งที่ใช้ในการปรับตัวในการดำรงชีวิตของชาวแอชเทค
นอกจากชาวแอชเทคจะมีมันสมองอันชาญฉลาดแล้วแต่ดูเหมือนว่าชาวแอชเทคก็ได้ชื่อว่าเป็นกลุ่มชนที่โหดร้ายด้วยเช่นกัน เพราะชาวแอชเทคนั้นมีความเชื่อและศรัทธาในเทพเจ้า พวกเขาจะมีพิธีบูชายัญซึ่งจะนิยมนำมนุษย์มาเป็นเครื่องสังเวยให้กับเทพเจ้า ชาวแอชเทคมีความเชื่อว่าดวงอาทิตย์จะดับสูญลงในทุกๆค่ำคืน จึงต้องมีการทำพิธีปลุกพระอาทิตย์ให้ตื่นขึ้นอีกครั้งในวันใหม่ ซึ่งจะเรียกพิธีกรรมนี้ว่า พิธีบูชายัญเพื่อบวงสรวงแก่พระอาทิตย์และพิธีกรรมนี้จะต้องใช้เลือดและวิญญาณของมนุษย์เท่านั้น และจากหลักฐานทางข้อมูลและโบราณคดีมีข้อบ่งชี้ได้ว่า เหตุการณ์สังเวยครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นในอาณาจักรแอชเทคนั่นก็คือ พิธีการเฉลิมฉลองปิรามิดแห่งเตนอชตีตลัน (Great Pyramid of Tenochtitlan) เกิดขึ้นในปีคริสต์ศักราช 1487 เพียงช่วงเวลาแค่สี่วันเท่านั้นเองที่ชาวแอชเทคได้นำมนุษย์มาสังเวยแก่เทพเจ้าถึง 84,400 ชีวิต ส่วนมนุษย์ที่นำมาบูชายัญนั้นส่วนใหญ่เป็นเชลยที่ชาวแอชเทคได้มาจากการรุกรานชนเผ่าอื่นที่อยู่ใกล้เคียง เช่น เผ่า Tlaxcalan (เป็นศัตรูคู่อาฆาตของชนเผ่าAztec)และมีชนเผ่าอื่นๆร่วมด้วย ในพิธีกรรมนี้นักบวชจะเป็นผู้คัดเลือกเครื่องสังเวย (เชลย ) ด้วยตนเอง มีอีกสิ่งหนึ่งที่จำเป็นและขาดไม่ได้เลยในการประกอบพิธีกรรมนั่นก็คือ พริก เพราะจะนำพริกมาเผาเพื่อทำให้เกิดควันในวันประกอบพิธี
ในส่วนขั้นตอนของพิธีกรรมมีดังนี้ เริ่มแรกต้องมีการทำความสะอาดเครื่องสังเวย โดยจะนำเชลยเหล่านี้ไปอาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาดจากนั้นก็นำเสื้อคลุมของเทพดวงอาทิตย์มาสวมให้เชลย หลังจากแต่งกายให้เชลยเรียบร้อยแล้วก็นำเชลยขึ้นไปบนหอคอยที่สูงถึง 30 เมตร เมื่อเชลยเดินทางไปถึงที่หมายแล้ว เหล่านักบวชก็จะจับตัวเชลยให้นอนแผ่แล้วตรึงไว้กับที่ จากนั้นนักบวชอีกท่านหนึ่งก็จะนำมีดที่ทำมาจากหินภูเขาไฟกรีดลงไปบนหน้าอกแล้วควักเอาหัวใจของเชลยออกมาพร้อมกับชูมือที่ถือหัวใจของเชลยขึ้นไปทางดวงอาทิตย์เพื่อเป็นการบวงสรวงต่อเทพเจ้า หลังจากหัวใจของเชลยดวงนี้ได้นำไปบวงสรวงต่อเทพเจ้าเรียบร้อยแล้วนักบวชก็จะกลิ้งศพของเชลยลงทางบันไดโดยมีกลุ่มคนข้างล่างที่คอยชำแหละศพเพื่อนำเครื่องในและร่างกายของเชลยมาเป็นอาหาร ที่ชาวแอชเทครอกินศพของเชลยนั้นเป็นเพราะเชื่อว่าจะได้รับพลังอำนาจจากเทพเจ้าที่ตนนับถือสูงสุด และก็ยังถือเป็นอีกวิธีการหนึ่งที่ตนเองจะได้สื่อสารกับเทพเจ้าอีกด้วย
อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าอาณาจักรแอชเทคจะมีความเจริญรุ่งเรืองในยุคนั้น แต่ผลสุดท้ายอาญาจักรนี้ก็มีอันต้องล่มสลายลงในปีคริสต์ศักราช 1521 จากการรุกรานของกองทัพสเปน แม้ว่ากองทัพสเปนนั้นจะมีทหารเพียงแค่ 500 นาย ซึ่งนับว่าน้อยกว่าชาวแอชเทค แต่เพราะว่ากองทัพสเปนนั้นได้มีอาวุธที่ทันสมัย บวกกับกองทัพสเปนก็ได้ผูกพันธมิตรกับชนเผ่าอื่นๆ ที่มีความแค้นกับอาณาจักรแอชเทคอยู่ก่อนแล้ว ทำให้อาณาจักรแอชเทคต้องต่อสู้อย่างโดดเดี่ยวไม่ว่าจะเป็นต่อสู้ด้านสงครามและต่อสู้กับโรคระบาด จนสุดท้ายก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้และล่มสลายไปในที่สุด
อ้างอิง
ห้าอารยธรรมโบราณที่น่าสะพรึงกลัวของโลก (ฉบับปรับปรุง). (27 พฤษภาคม,2555). ค้นเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2557, จาก http://writer.dek-d.com/cammy/story/viewlongc.php?id=486572&chapter=434 .
การล่มสลายของอาณาจักรแอชเทค. (24 กรกฎาคม,2557). ค้นเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2557, จาก http://mysteryforu.com/fall-of-aztec/.
อารยชนที่ฉลาดและโหดร้ายม,ความเป็นมาของอาณาจักรแอชเทค. (1 มิถุนายน,2554). ค้นเมื่อวันที่ 29
สิงหาคม 2557, จาก http://www.oknation.net/blog/talkwithMetha/2011/06/01/entry-2.
ประวัติศาสตร์โลก. ค้นเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม,2557, จาก http://worldrecordhistory.blogspot.com/p/isthmus-rockymountains-andes-5500.html.
ชาวแอชเทค.ค้นเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม2557, จาก http://www.myfirstbrain.com/student_view.aspx?ID=1449
หากจะกล่าวถึงอาณาจักรต่างๆในยุคโบราณที่อยู่ในทวีปอเมริกา ดินแดนที่กำเนิดของอารยธรรมที่เคยเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุดแห่งหนึ่งของโลก บางท่านอาจจะพอทราบได้ว่าอาณาจักรที่โด่งดังในสมัยนั้นก็จะได้แก่ อาณาจักรมายา (Maya) อินคา (Inca) และอีกหนึ่งแห่งที่ถือกำเนิดขึ้นมาในระยะเวลาต่อมา นั่นก็คือ แอชเทค (Aztec) เป็นอาณาจักรที่อยู่ในปลายยุคคลาสสิคตอนหลังและอาศัยอยู่ทางตอนกลางของแม็กซิโกในปัจจุบัน
กลุ่มชนที่อาศัยอยู่ในอาณาจักรแอชเทคนั้นเดิมทีเป็นกลุ่มชาติพันธุ์อินเดียนที่เป็นกลุ่มชนเร่ร่อนได้มีการอพยพหาแหล่งตั้งถิ่นฐานไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็มาเจอกับบริเวณตอนกลางของแม็กซิโกจึงเป็นจุดเริ่มต้นในการก่อร่างสร้างเมืองขึ้นมาทำให้ยุคของจักรวรรดิแอชเทคนั้นมีความเจริญรุ่งเรืองสืบต่อมา
ตามความเชื่อในการหาแหล่งที่ตั้งถิ่นฐานของชาวแอชเทค ชนเหล่านี้มีความเชื่อที่ว่าหากบริเวณใด หรือสถานที่ใดที่มองเห็นนกอินทรีย์เกาะอยู่บนต้นกระบองเพชรนั้น บริเวณที่ตรงนั้นจะถูกนำมาตั้งเป็นเมืองหลวงของอาณาจักร ซึ่งชาวแอชเทคก็ได้ค้นพบกับพื้นที่ที่เหมาะสมในการก่อตั้งเมืองหลวงโดยมีเมืองหลวงชื่อว่า เตนอชตีตลัน (Tenochtitlan) และต่อมาก็มีการก่อสร้างที่อยู่อาศัยของชนเผ่าแผ่ขยายออกไป แม้ว่าพื้นที่ที่ได้นั้นเป็นเกาะในทะเลสาบใหญ่ และพื้นที่ดังกล่าวนี้ไม่สามารถทำเกษตรกรรมได้ แต่ชาวแอชเทคถือเป็นกลุ่มอารยชนที่ฉลาดโดยสามารถพลิกแผ่นดินที่ไม่มีใครอยากจะเหลียวแลให้กลับกลายมาเป็นแผ่นดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ และมีความเจริญรุ่งเรืองในยุคนั้น ในการขยายอาณาเขตของชาวแอชเทคเพื่อทำการเกษตรและเพื่อขยายพื้นที่เมือง ชาวแอชเทคจะใช้วิธีการสร้างสวนลอยน้ำขึ้นมาให้ลอยอยู่บนทะเลสาบ ซึ่งก็นับว่าเป็นภูมิปัญญาอีกรูปแบบหนึ่งที่ใช้ในการปรับตัวในการดำรงชีวิตของชาวแอชเทค
นอกจากชาวแอชเทคจะมีมันสมองอันชาญฉลาดแล้วแต่ดูเหมือนว่าชาวแอชเทคก็ได้ชื่อว่าเป็นกลุ่มชนที่โหดร้ายด้วยเช่นกัน เพราะชาวแอชเทคนั้นมีความเชื่อและศรัทธาในเทพเจ้า พวกเขาจะมีพิธีบูชายัญซึ่งจะนิยมนำมนุษย์มาเป็นเครื่องสังเวยให้กับเทพเจ้า ชาวแอชเทคมีความเชื่อว่าดวงอาทิตย์จะดับสูญลงในทุกๆค่ำคืน จึงต้องมีการทำพิธีปลุกพระอาทิตย์ให้ตื่นขึ้นอีกครั้งในวันใหม่ ซึ่งจะเรียกพิธีกรรมนี้ว่า พิธีบูชายัญเพื่อบวงสรวงแก่พระอาทิตย์และพิธีกรรมนี้จะต้องใช้เลือดและวิญญาณของมนุษย์เท่านั้น และจากหลักฐานทางข้อมูลและโบราณคดีมีข้อบ่งชี้ได้ว่า เหตุการณ์สังเวยครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นในอาณาจักรแอชเทคนั่นก็คือ พิธีการเฉลิมฉลองปิรามิดแห่งเตนอชตีตลัน (Great Pyramid of Tenochtitlan) เกิดขึ้นในปีคริสต์ศักราช 1487 เพียงช่วงเวลาแค่สี่วันเท่านั้นเองที่ชาวแอชเทคได้นำมนุษย์มาสังเวยแก่เทพเจ้าถึง 84,400 ชีวิต ส่วนมนุษย์ที่นำมาบูชายัญนั้นส่วนใหญ่เป็นเชลยที่ชาวแอชเทคได้มาจากการรุกรานชนเผ่าอื่นที่อยู่ใกล้เคียง เช่น เผ่า Tlaxcalan (เป็นศัตรูคู่อาฆาตของชนเผ่าAztec)และมีชนเผ่าอื่นๆร่วมด้วย ในพิธีกรรมนี้นักบวชจะเป็นผู้คัดเลือกเครื่องสังเวย (เชลย ) ด้วยตนเอง มีอีกสิ่งหนึ่งที่จำเป็นและขาดไม่ได้เลยในการประกอบพิธีกรรมนั่นก็คือ พริก เพราะจะนำพริกมาเผาเพื่อทำให้เกิดควันในวันประกอบพิธี
ภาพจำลองเมืองหลวงอาณาจักร Aztec
ในส่วนขั้นตอนของพิธีกรรมมีดังนี้ เริ่มแรกต้องมีการทำความสะอาดเครื่องสังเวย โดยจะนำเชลยเหล่านี้ไปอาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาดจากนั้นก็นำเสื้อคลุมของเทพดวงอาทิตย์มาสวมให้เชลย หลังจากแต่งกายให้เชลยเรียบร้อยแล้วก็นำเชลยขึ้นไปบนหอคอยที่สูงถึง 30 เมตร เมื่อเชลยเดินทางไปถึงที่หมายแล้ว เหล่านักบวชก็จะจับตัวเชลยให้นอนแผ่แล้วตรึงไว้กับที่ จากนั้นนักบวชอีกท่านหนึ่งก็จะนำมีดที่ทำมาจากหินภูเขาไฟกรีดลงไปบนหน้าอกแล้วควักเอาหัวใจของเชลยออกมาพร้อมกับชูมือที่ถือหัวใจของเชลยขึ้นไปทางดวงอาทิตย์เพื่อเป็นการบวงสรวงต่อเทพเจ้า หลังจากหัวใจของเชลยดวงนี้ได้นำไปบวงสรวงต่อเทพเจ้าเรียบร้อยแล้วนักบวชก็จะกลิ้งศพของเชลยลงทางบันไดโดยมีกลุ่มคนข้างล่างที่คอยชำแหละศพเพื่อนำเครื่องในและร่างกายของเชลยมาเป็นอาหาร ที่ชาวแอชเทครอกินศพของเชลยนั้นเป็นเพราะเชื่อว่าจะได้รับพลังอำนาจจากเทพเจ้าที่ตนนับถือสูงสุด และก็ยังถือเป็นอีกวิธีการหนึ่งที่ตนเองจะได้สื่อสารกับเทพเจ้าอีกด้วย
อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าอาณาจักรแอชเทคจะมีความเจริญรุ่งเรืองในยุคนั้น แต่ผลสุดท้ายอาญาจักรนี้ก็มีอันต้องล่มสลายลงในปีคริสต์ศักราช 1521 จากการรุกรานของกองทัพสเปน แม้ว่ากองทัพสเปนนั้นจะมีทหารเพียงแค่ 500 นาย ซึ่งนับว่าน้อยกว่าชาวแอชเทค แต่เพราะว่ากองทัพสเปนนั้นได้มีอาวุธที่ทันสมัย บวกกับกองทัพสเปนก็ได้ผูกพันธมิตรกับชนเผ่าอื่นๆ ที่มีความแค้นกับอาณาจักรแอชเทคอยู่ก่อนแล้ว ทำให้อาณาจักรแอชเทคต้องต่อสู้อย่างโดดเดี่ยวไม่ว่าจะเป็นต่อสู้ด้านสงครามและต่อสู้กับโรคระบาด จนสุดท้ายก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้และล่มสลายไปในที่สุด
อ้างอิง
ห้าอารยธรรมโบราณที่น่าสะพรึงกลัวของโลก (ฉบับปรับปรุง). (27 พฤษภาคม,2555). ค้นเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2557, จาก http://writer.dek-d.com/cammy/story/viewlongc.php?id=486572&chapter=434 .
การล่มสลายของอาณาจักรแอชเทค. (24 กรกฎาคม,2557). ค้นเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2557, จาก http://mysteryforu.com/fall-of-aztec/.
อารยชนที่ฉลาดและโหดร้ายม,ความเป็นมาของอาณาจักรแอชเทค. (1 มิถุนายน,2554). ค้นเมื่อวันที่ 29
สิงหาคม 2557, จาก http://www.oknation.net/blog/talkwithMetha/2011/06/01/entry-2.
ประวัติศาสตร์โลก. ค้นเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม,2557, จาก http://worldrecordhistory.blogspot.com/p/isthmus-rockymountains-andes-5500.html.
ชาวแอชเทค.ค้นเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม2557, จาก http://www.myfirstbrain.com/student_view.aspx?ID=1449
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น