ในช่วงทศวรรษนี้ เราจะเห็นว่าสตรีได้เข้ามามีบทบาททางการเมืองระดับโลกจำนวนมาก แต่เชื่อเหลือเกินว่า มีอยู่คนหนึ่งที่เป็นผู้มีอิทธิพลและบทบาทอย่างมากต่อการเมืองโลก และหลายคนจะนึกถึงเธอเป็นลำดับแรก นั่นก็คือ “ฮิลลารี คลินตัน” หรือชื่อเต็มๆ ของเธอก็คือ “ฮิลลารี ไดแอน ร็อดแดม คลินตัน” สตรีผู้นี้กลายเป็นทั้งต้นแบบและแรงบันดาลใจในการทำงาน รวมถึงการใช้ชีวิตของผู้หญิงหลาย ๆ คนในปัจจุบัน แต่กว่าที่เธอจะมายืนอยู่จุดนี้ได้ ชีวิตของเธอก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ
ฮิลลารี คลินตัน เกิดเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม ค.ศ.1947 ที่โรงพยาบาลเอดจ์วอเตอร์ ในนครชิคาโก รัฐอิลลินอยส์ ก่อนจะย้ายไปที่เมืองปาร์ก ริดจ์ในรัฐเดียวกันเมื่อฮิลลารีมีอายุได้ 3 ขวบ ฮิลลารีเป็นบุตรสาวคนโตของฮิวจ์ เอลส์เวิร์ท ร็อดแดม และโดโรธี เอ็มม่า โฮเวลล์ บิดาของฮิลลารีเป็นเจ้าของธุรกิจสิ่งทอขนาดเล็ก ส่วนมารดาเป็นแม่บ้าน เธอมีน้องอีก 2 คน คือ ฮิวจ์และโทนี่
ในด้านการศึกษา ฮิลลารีสำเร็จการศึกษาด้านรัฐศาสตร์ จากวิทยาลัยสตรีเวลเลสลีย์ โดยเธอเรียนจบที่นี่ด้วยเกียรตินิยม จากนั้นได้ศึกษาต่อทางด้านกฎหมายในมหาวิทยาลัยเยล และที่แห่งนี้ก็ทำให้เธอได้รู้จักกับ บิล คลินตัน ซึ่งก็เรียนด้านกฎหมายอยู่ที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ หลังจากนั้นทั้งคู่ก็ได้รักกัน และแต่งงานกันในที่สุด เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม ค.ศ. 1975 โดยมีบุตรีด้วยกัน 1 คน คือ เชลซี คลินตัน
ภาพฮิลลารี คลินตัน ในระหว่างการปราศรัย
ที่มา : https://upload.wikimedia.org/
ครั้งหนึ่งของชีวิตฮิลลารี เธอได้ถูกเรียกว่าเป็น “สตรีหมายเลขหนึ่ง” ของสหรัฐฯ มาแล้ว ซึ่งก็เป็นช่วงเวลาที่บิล คลินตัน สามีของเธอได้รับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เข้ารับตำแหน่งในวันที่ 20 มกราคม ค.ศ. 1993 นั่นเอง ฮิลลารีนั้นเป็นคนฉลาดและมีความสามารถ เธอเป็นสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งคนแรกที่มีวุฒิการศึกษาระดับปริญญา พร้อมทั้งมีอาชีพเป็นทางการก่อนได้รับตำแหน่งที่สำคัญ เธอยังเป็นสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งคนแรกที่มีสำนักงานของตัวเองอยู่ในปีกฝั่งตะวันตกของทำเนียบขาว ซึ่งก่อนหน้า สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งคนอื่นๆ จะดูแลปีกฝั่งตะวันออกเท่านั้น จนทำให้เธอถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก ในการที่เธอเข้ามามีบทบาทในการทำงานของคณะรัฐบาลมากเกินไป ข้อวิพากษ์วิจารณ์นี้ดูเหมือนว่าจะรุนแรงเกินไป สำหรับผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างเธอ แต่แทนที่เธอจะปฏิเสธกับข้อวิพากษ์วิจารณ์ดังกล่าว เธอกลับตอบกลับให้ทุกคนเห็นว่า สิ่งที่เธอทำนั้นเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับประเทศแห่งนี้ เธอมองว่าการปฏิเสธหรือการบิดเบือนความจริงนั้น ถือว่าเป็นสิ่งที่ผิดอย่างร้ายแรง
ด้วยปัญหาเหล่านี้ ทำให้ฮิลลารีเห็นว่า หมดเวลาแล้วที่เธอจะต้องอยู่แต่หลังฉาก เธอจึงได้ตัดสินใจลงสมัครรับเลือกตั้งในตำแหน่งวุฒิสมาชิกรัฐนิวยอร์ก ในปีค.ศ. 2000 ซึ่งเธอก็ประสบความสำเร็จ ได้ดำรงตำแหน่งนี้ถึง 2 สมัย นับเป็นจุดเริ่มต้นบนเส้นทางการเมืองของสตรีที่มากไปด้วยความสามารถอย่างฮิลลารี
ต่อมาเมื่อวันที่ 20 มกราคม ค.ศ.2007 ฮิลลารีได้ตัดสินใจลงสมัครเป็นตัวแทนพรรคเดโมแครต ในการชิงตำแหน่งประธานาธิบดี แต่ก็ต้องพ่ายแพ้แก่นายบารัค โอบามา ไปอย่างสูสี ความพ่ายแพ้ในครั้งนั้น ไม่ใช่จุดสิ้นสุดของผู้หญิงเก่ง และแกร่งอย่างเธอ เพราะเมื่อบารัค โอบามา ขึ้นเป็นประธานาธิบดีคนที่ 44 ของสหรัฐฯ ทางฮิลลารีก็ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ว่าการกระทรวงการต่างประเทศ โดยดำรงตำแหน่งตั้งแต่วันที่ 21 มกราคม ค.ศ. 2009 – 1 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2013
ภาพบารัค โอบามา และ ฮิลลารี คลินตัน
ที่มา: http://cdn2.thr.com/
ช่วงที่ฮิลลารีได้ดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรี กระทรวงการต่างประเทศนี้ ถือว่าเป็นบททดสอบครั้งสำคัญในชีวิตของเธอ เพราะเป็นตำแหน่งที่เป็นตัวแทนของคนอเมริกาในเวทีระดับโลก ซึ่งในขณะนั้นสถานการณ์ของสหรัฐฯ อยู่ในภาวะตึงเครียดทุก ๆ ด้าน โดยเฉพาะเรื่องของการก่อการร้ายที่มีข่าวออกมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เหตุการณ์ 9/11 ทั้งในและนอกประเทศ เป็นสิ่งที่ทำให้ชาวอเมริกานอนหลับไม่สนิท ภาวะตึงเครียดดังกล่าวได้ถูกคลี่คลายลง หลังจากการสังหารนายอุซามะห์ บิน ลาเดน โดยฮิลลารีก็เป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนปฏิบัติการครั้งนี้ด้วย ซึ่งอาจจะถือว่าเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงของรัฐบาลโอบามาเลยก็ว่าได้
อีกเหตุการณ์สำคัญเหตุการณ์หนึ่ง ที่ฮิลลารีได้แสดงถึงศักยภาพของความเป็นผู้นำในหน้าที่ที่ตนได้รับผิดชอบอยู่ นั่นคือ การที่เธอต้องเป็นตัวแทนของสหรัฐฯ คอยเป็นกันชน ทั้งปะทะและประนีประนอมกับเหตุการณ์การเผาโจมตีสถานทูตสหรัฐ ประจำเมืองเบงกาซี ประเทศลิเบีย ในเหตุการณ์นี้เอกอัครราชทูตพร้อมกับเจ้าหน้าที่ชาวอเมริกันเสียชีวิต 3 คน บริเวณสถานกงสุล โดยในการปฏิบัติหน้าที่นั้น เธอก็ได้แสดงให้เห็นถึงการแก้ปัญหาอย่างเยือกเย็นและตรงไปตรงมา จนสามารถผ่านพ้นปัญหาเหล่านี้ไปได้
เมื่อปี 2016 ที่ผ่านมาฮิลลารี กลายเป็นตัวแทนพรรคเดโมแครตในการเลือกตั้งประธานาธิบดี ซึ่งเธอเป็นสตรีคนแรกที่ได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนของพรรคการเมืองขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ และเข้าช่วงชิงตำแหน่งกับ นายดอนัลด์ ทรัมป์ ตัวแทนจากพรรครีพับลิกัน ซึ่งมีการเลือกตั้งขึ้นในวันที่ 8 พฤศจิกายน ค.ศ. 2016 ผลปรากฏว่านายดอนัลด์ ทรัมป์ เป็นผู้ชนะ หลังจากผลการเลือกตั้งประกาศออกมา เธอได้โทรศัพท์ไปแสดงความยินดีกับนายทรัมป์ ประธานาธิบดีคนใหม่ และนายทรัมป์ ก็ได้กล่าวชื่นชมฮิลลารีว่า "ทำงานหนักอย่างยิ่งเพื่อสหัฐฯ"
จะเห็นได้ว่าตั้งแต่ที่เธอได้ก้าวเข้ามาสู่เส้นทางสายการเมือง ตลอดระยะเวลาที่เธอได้ปฏิบัติหน้าที่ เธอก็ได้ทุ่มเททั้งแรงกาย แรงใจ ให้กับหน้าที่ของเธอ ฮิลลารีได้แสดงให้ผู้หญิงและคนทั่วโลกเห็นว่า สตรีก็สามารถที่จะเป็นผู้นำได้ทัดเทียมกับบุรุษ เพียงแค่มีความสามารถ ความคิด และการลงมือทำอย่างจริงจัง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากการพัฒนาตนเองทั้งสิ้น คนอเมริการวมถึงคนทั่วโลก จึงให้คำจำกัดความเกี่ยวกับตัวเธอว่า “ผู้หญิงแถวหน้า” ไปโดยปริยาย
อ้างอิง
ธีระวุฒิ ปัญญา. (2556). ผู้หญิงที่เกิดมาเพื่อเป็นยอดคน ยอดหญิงหัวใจเพชร. กรุงเทพมหานคร : บริษัท รุ่งแสง การพิมพ์ จำกัด
ฮิลลารี คลินตัน. (2546). บันทึก ฮิลลารี คลินตัน. กรุงเทพมหานคร : บริษัท เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป จำกัด
ฮิลลารี คลินตัน. (2557). ชีวิต และทางเลือก. สมุทรปราการ : บริษัท ดับบลิวพีเอส จำกัด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น