หน้าเว็บ

หัวข้อย่อย

ยุคสมัยของอารยธรรม

12 เม.ย. 2563

นครลึกลับใต้พิภพแห่งคัปปาโดเจีย (Cappadocia)

โดย มัลลิกา นาคเล็ก

หากพูดถึงประเทศ ๆ หนึ่งในตะวันออกกลางอย่าง “ตุรกี” ผู้คนส่วนใหญ่ก็อาจจะนึกถึงเทศกาลบอลลูน ซึ่งมีชื่อเสียงอย่างมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมือง คัปปาโดเจีย (Cappadocia) ซึ่งเป็นเมืองที่มีการปล่อยบอลลูนมากที่สุดในตุรกี คัปปาโดเจียมีความสำคัญมาแต่โบราณกาล เป็นบริเวณที่อยู่ระหว่าง ทะเลดำ กับ ภูเขาเทารุส เป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางสายไหม เมืองแห่งนี้ยังเป็นพื้นที่พิเศษที่เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟเมื่อประมาณ 3 ล้านปีมาแล้ว ทำให้ลาวาที่พ่นออกมาและเถ้าถ่านจำนวนมหาศาลกระจายไปทั่วบริเวณ ทับถมเป็นแผ่นดินชั้นใหม่ และสลับกับการถูกปกคลุมด้วยหิมะขึ้นมาอย่างยาวนาน ทำให้ดินแดนแห่งนี้มหัศจรรย์เป็นเอกลักษณ์งดงามดูแปลกตา โดยทั้งหมดถูกรังสรรค์โดยธรรมชาติ


เมืองคัปปาโดเจีย
ที่มา : http://www.pentorexchange.com/

คัปปาโดเจีย  (Cappadocia ) เป็นชื่อเก่าแก่ภาษาฮิตไตต์ (ชนเผ่ารุ่นแรกๆ ที่อาศัยอยู่ในดินแดนแถบนี้) แปลว่าดินแดนแห่งอาชาที่แสนงามสง่า (The Land of Beautiful Horses) ซึ่งเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ในเขตอนาโตเลียตอนกลางของประเทศตุรกี (ระหว่างทะเลดำกับภูเขาเทารุส) มีภูมิประเทศที่แปลกตา เต็มไปด้วยหินรูปแท่งกรวย ปล่อง กระโจม โดม และอีกสารพัดรูปทรง ดูเสมือนดินแดนในเทพนิยาย จนคนพื้นเมืองเรียกหินรูปทรงแปลกประหลาดนี้ว่า “ปล่องไฟนางฟ้า” (Fairy Chimneys)

และหากพูดถึงเมืองแห่งนี้อีกหนึ่งสถานที่ที่มิอาจมองข้ามได้นั่นคือ “นครลึกลับใต้พิภพ” เนื่องจากเมืองใต้ดินในคัปปาโดเจียและพื้นที่รอบ ๆ ว่ากันว่าอาจจะมีจำนวนมากกว่าห้างในกรุงเทพ ฯ ของเราด้วยซ้ำ เพราะปัจจุบันมีการค้นพบแล้วมากกว่า 30 แห่ง โดยเมืองใต้ดินขนาดใหญ่สามารถบรรจุคนได้หลายหมื่นคน มีการแบ่งสันปันส่วนที่พัก คอกสัตว์ ห้องเก็บไวน์ ห้องอาหาร ห้องครัว ห้องหมักเหล้า ศาสนสถาน รวมถึงพื้นที่ฝังศพ โดยมีระบบระบายอากาศครบครันถึงระดับความลึกกว่า 60 เมตร


ห้องภายในใต้ดิน

สาเหตุของการเกิดถ้ำใต้ดินนั่นเพราะในช่วงราวศตวรรษที่ 1 ก่อนคริสตกาล คัปปาโดเจียตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของอาณาจักรโรมัน ผู้คนแถบนี้ล้วนต่างเคารพบูชาในเทพเจ้าของกรีกและโรมัน กระทั่งประมาณกลางคริสต์ศตวรรษที่ 1 “เซนต์ปอล” ได้เดินทางมาเผยแผ่ศาสนาคริสต์ในแถบนี้ แต่ดูเหมือนว่าชาวโรมันผู้ปกครองในยุคนั้นจะปฏิเสธและไล่กำจัดทำลายล้าง ผู้ที่นับถือคริสต์ต้องหลบซ่อนการรังควานของพวกโรมันด้วยการเจาะถ้ำขุดพื้นดินลงไปเป็นอุโมงค์โถงห้อง เกิดเป็นเมืองใต้ดินขึ้นมา ที่สำคัญคือ พวกเขาได้ขุดเจาะบริเวณเกอเรเม่ทำเป็นโบสถ์ถ้ำขึ้นมาเป็นจำนวนมาก

ทางตอนใต้ของเมืองคัปปาโดเกียมีเมืองใต้พิภพที่มีชื่อเสียงเป็นอย่างมากเรียกว่าเมืองใต้พิภพไคมัคลี  (Kaymakli Underground City) ถือเป็นเมืองใต้ดินโบราณที่ใหญ่ที่สุดในโลกมีอายุราวๆ 4,000-5,000ปี ทั้งหมดของเมืองอยู่ใต้ดิน เมืองใต้ดินแห่งนี้ขุดลึกลงไปมากกว่า 10 ชั้น ห้องที่อยู่ลึกที่สุดมีความลึกประมาณ 85 เมตร และภายในเมืองใต้ดินยังแบ่งซอยเป็นห้องย่อย และยังมีการขุดเชื่อมกันระหว่างแต่ละเมืองอีกด้วย


แผนผังเมืองใต้ดิน

ซึ่งภายในเมืองใต้ดินมีห้องอำนวยความสะดวกครบทุกอย่างไม่ว่าจะเป็น ห้องนอน ห้องน้ำ ห้องอาหาร ห้องประชุม คอกสัตว์ โบสถ์  บ่อน้ำ บางห้องเป็นห้องโถงกว้าง ว่ากันว่าสามารถจุคนได้มากกว่า 30,000 คน รวมถึงมีโพรงระบายอากาศอย่างดี ทำให้ไม่ร้อนไม่หนาวจนเกินไป การขุดเจาะพื้นดินลึกลงไป 10 กว่าชั้น เพื่อใช้เป็นที่หลบภัยจากข้าศึกศัตรู ในยามสงครามซึ่งการลงไปอยู่ใต้ดินไม่ออกมาเห็นแสงตะวันเลยนั้นนานถึง 6 เดือนถึงหนึ่งปี นับเป็นสิ่งไม่ธรรมดาเลยทีเดียว บริเวณนี้มีเมืองใต้ดินอยู่หลายแห่ง บางแห่งมีอุโมงค์ลับเชื่อมถึงกัน หากศัตรูค้นพบเมืองใต้ดินแห่งนึง ผู้คนก็จะหลบหนีไปเมืองใต้ดินอีกเมืองหนึ่งด้วยอุโมงค์ลับนี้เองของชาว คัปปาโดเจียในอดีต โดยทั้งจากชาวอาหรับจากทางตะวันออกที่ต้องการเข้ามายึดครองดินแดนนี้ เพื่อหวังผลประโยชน์ทางการค้า และชาวโรมันจากทางตะวันตกด้วยเหตุผลเดียวกัน รวมทั้งต้องการที่จะหยุดยั้งการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ในดินแดนแถบนี้
       

ห้องภายในใต้ดิน


โบสถ์คริสต์ ณ ห้องใต้ดิน

ผู้คนสมัยก่อนขุดสร้างนครใต้ดินนี้ได้อย่างไร จากข้อมูลพื้นดินรอบ ๆ จะมีสีที่แตกต่างมีทั้งดินที่ดูเหลือง และแดง เหตุเพราะว่ามีภูเขาไฟที่ยังระอุ 3 ลูกล้อมรอบคัปปาโดเจียเป็นพื้นที่สามเหลี่ยม ซึ่งการระอุเกิดขึ้นเมื่อ 3 ล้านปีก่อน ดังนั้นเมื่อเกิดการระเบิด เถ้าภูเขาไฟ (ทูฟา Tufa) จึงปกคลุมเมืองคัปปาโดเจีย เมื่อกาลเวลาผ่านไปเป็นล้านปี เถ้าเหล่านี้ปกคลุมเป็นชั้นที่หนา และแข็ง สถานะเป็นหินตะกอน ที่มีความไม่แข็งมาก ผู้คนจึงสามารถขุดเจาะลงไปสร้างเมืองได้โดยง่าย แต่หินนี้ก็แข็งแรงพอที่จะสร้างบ้านใต้ดิน จึงเห็นบ้านถ้ำเมืองถ้ำ ได้ในบริเวณนี้ เมื่อมีลมพัด ฝนตก หิมะตก ก็ได้เซาะหินเหล่านี้ทุกปีนับร้อย ๆ ปี จนรูปร่างหินเปลี่ยนไปตามกาลเวลา ทำให้บริเวณนี้เป็นดินแดนที่เป็นหนึ่งเดียวในโลกที่เราจะเห็นหินที่มีรูปร่างแตกต่างกันมากมาย


       
ในปัจจุบันเมืองคัปปาโดเจียได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติและวัฒนธรรม จากยูเนสโก (UNESCO) เมื่อปีค.ศ.1985 เนื่องด้วยสาเหตุที่เมืองแห่งนี้มีความสำคัญตั้งแต่โบราณกาล โดยในปัจจุบันยังมีคนอาศัยอยู่ในเมืองใต้ดิน  และทุกวันนี้บ้านหินเกือบทั้งหมดถูกทิ้งร้างเพื่อการอนุรักษ์ เพราะหินทูฟานั้นมีลักษณะเปราะบาง เพียงแค่สายลมพัดผ่านก็ทำให้บ้านเหล่านี้เสื่อมสภาพได้ แต่ถึงอย่างไรก็ยังมีโรงแรม ร้านอาหารที่รัฐบาลอนุญาติให้สร้างในภูเขาบางส่วน และก็ยังมีชุมชนโบราณบางส่วนที่ยังมีคนอาศัยอยู่จริงในหิน

ถือได้ว่าเมืองคัปปาโดเจียเป็นอีกแหล่งท่องเที่ยวหนึ่งที่สำคัญและไม่ควรพลาดที่จะมาเยี่ยมชมหากเดินทางมาเที่ยวที่ตุรกี เพราะเป็นสถานที่ที่น่าสนใจ น่ามาชมและศึกษามากมาย ไม่ว่าจะเป็นเกี่ยวกับความมหัศจรรย์ของธรรมชาติ วัฒนธรรมและวิถีชีวิตของผู้คนเมืองคัปปาโดเจียและที่เมืองใต้ดินแห่งนี้ และมากไปกว่านั้นเมืองใต้ดินแห่งนี้ยังสะท้อนให้เห็นถึงอารธรรมของมนุษย์ที่ย้อนไปหลายพันปี แสดงถึงความรู้และความเชี่ยวชาญในการสร้างผังเมืองและความรู้ทางวิศวกรรมของผู้คนสมัยโบราณว่าไม่ธรรมดา และน่าค้นหาเป็นอย่างยิ่ง


อ้างอิง

Oporshady. (2556). คัปปาโดเจีย อัศจรรย์ นครใต้พิภพ! .ค้นเมื่อ 5 กุมภาพันธ์ 2563,  จาก:
https://travel.mthai.com/world-travel/46251.html

Manasya. (2551). เยือนเมืองคัปปาโดเกีย .ค้นเมื่อ 5 กุมภาพันธ์  2563, จาก:
https://www.angelstartravel.com

Sakulrat Preedaphol. (ม.ป.ป.). CAPPADOCIA ประติมากรรมธรรมชาติโลกตะลึง .ค้นเมื่อ 5 กุมภาพันธ์  2563, จาก:  https://travel.mthai.com/world-travel/46251.html

บริษัท โอเชี่ยนสไมล์ทัวร์ จำกัด. (ม.ป.ป.). เมืองคัปปาโดเจีย มหานครใต้ดิน .ค้นเมื่อ 5 กุมภาพันธ์  2563,  จาก: http://www.oceansmile.com/Turkey/Cappadocia.shtml



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น