หน้าเว็บ

หัวข้อย่อย

ยุคสมัยของอารยธรรม

4 มิ.ย. 2561

ไล่ตงจิ้น (Lai Dong Jin) แห่ง “พรรคกระยาจก” ในโลกยุคปัจจุบัน

โดย ธนัชฌา  คำดำ

หากจะกล่าวถึงบุคคลที่เป็นตัวอย่างคงต้องหยิบยกเรื่องราวจากชีวิตจริงของ ไล่ตงจิ้น ขอทานที่เป็นแบบอย่างในการประสบความสำเร็จ ถ่ายทอดเรื่องราวต่าง ๆ ในชีวิต เพื่อสร้างกำลังใจและแรงบันดาลใจให้กับผู้ที่ท้อแท้และหมดหวังให้ได้ก้าวเดินต่อไป


ไล่ตงจิ้น

ไล่ตงจิ้น (Lai Dong Jin) เกิดวันที่ 20 มีนาคม 1959 ที่หมู่บ้านตงซื่อ จังหวัดไถจง ประเทศไต้หวัน ครอบครัวของเขามีพ่อเป็นขอทานตาบอด และมีแม่เป็นคนไอคิวต่ำ สติไม่สมประกอบ และมีโรคประจำตัวเป็นลมบ้าหมู เขาเรียกแทนตัวเองว่า “พรรคกระยาจก” เพราะทั้งครอบครัวเป็นขอทาน สมัยนั้นยังไม่มีความรู้เรื่องการคุมกำเนิดจึงทำให้เขามีพี่น้องร่วมท้องเดียวกันถึง 12 คน ไล่ตงจิ้นเป็นลูกคนที่สองต่อจากพี่สาวคนโต น้องชายคนโตของเขาก็มีอาการสติไม่สมประกอบเช่นเดียวกับแม่ ที่มาของชื่อไล่ตงจิ้น เพราะตอนหมอตำแยทำคลอดมีมังกรเขียวปรากฏตัวบนท้องฟ้า พ่อดีใจมากจึงตั้งชื่อว่าตงจิ้น ส่วนเรื่องที่พักอาศัยครอบครัวนี้ไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง เพราะต้องเร่ร่อนขอทานไปตามเมืองต่างๆ นอนกลางดินกินกลางทราย พักพิงตามสถานที่ทั่วไปนับไม่ถ้วนไม่ว่าจะเป็นใต้ต้นไม้ ใต้สะพาน ตลาดสด เล้าหมู โรงเรียน สวนสาธารณะ สถานีรถไฟ ป่าช้า ทุ่งนา ล้วนแปรผันไปตามสภาพอากาศและฤดูกาล แต่ที่ที่เข้าไปพักบ่อยที่สุดก็จะเป็นศาลเจ้าในสุสาน เพราะมีสาเหตุสำคัญว่าคนตายจะไม่ลุกขึ้นมาไล่ตะเพิดพวกเขาอย่างแน่นอน เรียกได้ว่าเป็นชีวิตที่ผ่านร้อน ผ่านหนาว ผ่านพายุโหมกระหน่ำมาแล้วทั้งสิ้น

ตั้งแต่เริ่มจำความได้ชีวิตก็เร่ร่อนพเนจรไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ไล่ตงจิ้นเริ่มออกเร่ร่อนขอทานตั้งแต่อายุขวบกว่า สิ่งที่พ่อภูมิใจและชื่นชมในตัวเขาคือตอนที่เขาอายุเพียง 2 ขวบ แต่สามารถเดินเท้าไปขอทานได้ระยะทางไกลถึง 40 กิโลเมตร ทุกครั้งที่เหล่าพรรคกระยาจกเดินเข้าไปถึงหมู่บ้านก็จะกลายเป็นที่ดึงดูดความสนใจและเป็นที่น่ารังเกียจของชาวบ้านที่พบเห็นเสมอ พวกเขาเดินทางไปที่ต่าง ๆ ด้วยเท้าเปล่า เดินทุกวัน ๆ เข้าก็กลายเป็นทำให้เท้าด้านจนเป็นชั้นหนา บางครั้งหากพลาดไปเหยียบตะปูหรือเศษกระจก พ่อของเขาก็จะมีวิธีรักษาแบบแปลก ๆ และมีความพิเศษเฉพาะตัว คือจะใช้ดินทรายปิดปากแผลไว้ ชีวิตของพวกเขาห่างไกลจากความอนามัยเป็นอย่างมาก ระหว่างเดินทางพ่อก็ได้สอนหลาย ๆ สิ่ง หลาย ๆ อย่างให้แก่เขา ถึงแม้พ่อจะเป็นคนที่ไม่มีการศึกษาแต่สิ่งที่พ่อสอนนั้นล้วนเป็นเรื่องที่ออกมาจากใจทั้งสิ้น

ความกดดันในชีวิตสอนให้ไล่ตงจิ้นโตเร็วกว่าเด็กปกติทั่วไป เพราะเขาต้องเป็นเสาหลักของครอบครัวเลี้ยงดูพรรคกระยาจกทั้ง 14 ชีวิต ตั้งแต่อายุ 4 ขวบด้วยตนเอง บางครั้งต้องออกไปรับจ้างตามงานศพ ขอเศษอาหารที่เหลือจากงานเพื่อมาประทังชีวิตคนในครอบครัว ขอเสื้อผ้าของคนตายที่ไม่ใช้แล้วมาใส่ ซึ่งเขาเรียกว่าชุด “ท่านชายตกยาก”  ออกเดินขอทานตามบ้านเพื่อขอข้าวขอน้ำ ได้มากบ้างน้อยบ้างตามยถากรรม แต่เขาจะนึกถึงคนในครอบครัวก่อนเสมอแม้ตัวเองจะต้องอดก็ตาม พร้อมจะเสียสละทุกอย่าง ทำได้ทุกอย่างเพื่อความอยู่รอดของทั้งชีวิตและครอบครัว แต่นอกจากอุปสรรคของการออกไปขอทานจะเป็นการฝ่าฝนตก ฝ่าพายุออกไปขอทานแล้ว ยังมีสิ่งที่เลวร้ายกว่านั้นอีกก็คือโจร กว่าจะขอทานได้เงินมาแต่ละบาทไม่ใช่ง่าย ๆ ยังต้องมาถูกพวกโจรเอาเงินที่มีอยู่ทั้งหมดไปอีก แต่อย่างไรก็ตามอุปสรรคเหล่านี้ก็ไม่สามารถทำให้เขาล้มลงได้ มีแต่จะทำให้เขายิ่งแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมเท่านั้น

สุดท้ายก็มาถึงวันที่หยุดพเนจร พวกเขามีบ้านอยู่จากการที่ไปขอลงทะเบียนชื่อในบ้านเกิด โชคดีที่ได้สิทธิ์เพราะพ่อมีหลักฐานแสดงตนจากใบเกิดที่เขียนโดยหมอตำแย และเจ้าหน้าที่เมตตาสงสารจึงให้ความช่วยเหลือ และสิ่งนี้ก็เป็นจุดเริ่มต้นชีวิตใหม่ เพราะทำให้เขาได้มีโอกาสไปเรียนหนังสือ ระหว่างเรียนเขาก็ต้องขอทานไปด้วย ทั้งนั่งขอทานทั้งทำการบ้านทั้งอ่านหนังสือ ต้องพยายามใช้เวลาที่ผ่านไปทุกนาทีให้คุ้มค่าที่สุดเท่าที่จะทำได้  จึงทำให้เขาเรียนเก่งและมีผลการเรียนดีจนได้รับใบประกาศอยู่เป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นด้านการเรียน ด้านศิลปะ ด้านกีฬา และด้านความประพฤติ โรงเรียนทำให้เขาได้รักความรักและความอบอุ่นเพราะได้พบเจอคุณครูและเพื่อนที่ใจดีต่อเขามาก เมื่อเรียนจบชั้นมัธยมจึงได้ไปเรียนต่อสายอาชีวะ เนื่องจากฐานะทางบ้านไม่สามารถทำให้เรียนต่อในมหาวิทยาลัยได้

ไม่มีอะไรที่ได้มาง่าย ๆ ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตล้วนมาจากความมานะพยายามของตนเอง นี่เป็นประโยคที่เขาระลึกไว้อยู่เสมอ จึงทำให้เขามุ่งมั่นและพยายามจนสำเร็จ ในที่สุดเขาก็มีบริษัทเป็นของตนเอง เขามีการวางแผนการใช้เงิน ทำให้มีรายได้จำนวนมาก และได้ฝ่าฟันอุปสรรคต่าง ๆ มากมายจนได้แต่งงานและมีลูกจนกลายเป็นครอบครัวที่อบอุ่น เขาได้ต่อสู้กับเรื่องราวในชีวิตมามากมายนับไม่ถ้วน จนได้เป็น “บุคคลดีเด่น” ของไต้หวัน เพราะเขามีหัวใจที่ไม่ยอมแพ้ มีความอดทน และมุมานะพยายามเป็นที่ตั้ง ทำให้เขาประสบความสำเร็จในชีวิต ทั้งหน้าที่การงานและชีวิตครอบครัวที่แสนจะอบอุ่น


รับรางวัล 10 เยาวชนยอดเยี่ยมแห่งปี 1999

ขอเพียงแค่เรามีความอดทนความสำเร็จก็สามารถเกิดขึ้นได้เสมอ เรื่องราวของไล่ตงจิ้นเป็นตัวอย่างและแรงบันดาลให้กับบุคคลต่าง ๆ ได้อย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความอดทน ความพากเพียร ความกตัญญู และการมุ่งมั่นพัฒนาตนเองโดยไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคปัญหาใด ๆ สามารถศึกษาเพื่อเป็นความรู้ ประสบการณ์และแบบแผนการดำเนินชีวิตที่มีคุณค่าอย่างยิ่ง นอกจากนี้เขายังได้เป็น 1 ใน 10 เยาวชนยอดเยี่ยมแห่งปี 1999  และได้รับรางวัลนักเขียนยอดเยี่ยมปี 2000 อีกด้วย

คุณไม่ได้พังเกินกว่าที่จะซ่อมแซม เมื่อคุณล้มคุณสามารถลุกขึ้นยืนใหม่ได้อีกครั้ง จงเรียนรู้จากสิ่งที่เกิดขึ้น ภูมิใจกับบาดแผลของตัวเอง และพึงระลึกไว้เสมอว่ากว่าจะมาถึงวันนี้เราต้องผ่านอะไรมาบ้าง ต้องเผชิญอะไรมาบ้าง และนำสิ่งเหล่านั้นมาเป็นแรงผลักดันให้แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม


อ้างอิง : 

ไล่ตงจิ้น. (2557). ไล่ตงจิ้น ลูกขอทานผู้ไม่ยอมแพ้ต่อชะตาชีวิต. แปลจาก Beggar  Child. แปลโดย วิลาวัลย์  สกุลบริรักษ์. กรุงเทพฯ: อินสปายร์.

วัชรีย์  เพชรรัตน์. (2559). ไล่ตงจิ้น ลูกขอทานผู้ไม่ยอมแพ้ต่อชะตาชีวิต. มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์,
12(2), 230-233.

ศรีวรรณ  มีคุณ. (2550). ไล่ตงจิ้น ลูกขอทานผู้ไม่ยอมแพ้ต่อชะตาชีวิต. การศึกษาและการพัฒนาสังคม,
3(1), 131-133.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น