หน้าเว็บ

หัวข้อย่อย

ยุคสมัยของอารยธรรม

23 ธ.ค. 2558

ตำนานแดร็กคูล่า (Dracula)

โดย มณีรัตน์  วงษ์ลา

แดร็กคูล่า คือตำนานที่ถูกเล่าขานมานานจนถึงปัจจุบันของเจ้าชายผู้ซึ่งถูกกล่าวหาว่าเป็นแวมไพร์ หรือ ผีดูดเลือด แต่เมื่อไรที่กล่าวถึง แดร็กคูล่านั้น คนส่วนมากจะจินตนาการถึงเจ้าชาย ผู้ซึ่งใส่เสื้อคลุมยาวสีดำ มีเขี้ยวที่แหลมคม และตื่นขึ้นมาตอนกลางคืนซึ่งภาพเหล่านั้นคือจินตนาการจากภาพยนตร์ที่ถูกถ่ายทอดออกมา แต่ในความเป็นจริงแล้ว แดร็กคูล่ามีตัวตนอยู่จริงในยุคสมัยกลาง มีพระนามว่า เจ้าชายวล้าดที่ 3 มีต้นกำเนิดมาจากประเทศโรมาเนีย ที่ซึ่งผู้คนกล่าวครวญกันว่าเป็นประเทศแห่งตำนาน และความลี้ลับ

เจ้าชายวล้าดที่ 3 ( แดร็กคูล่า ) หรือที่รู้จักในนาม วล้าด เทเปส (Vlad Tepes) มีพระนามอื่นอีก คือ วลาดิสลาฟ ดรากูลา เกิดเมื่อปีค.ศ.1431 เป็นบุตรชายคนกลางของเจ้าชายวล้าดที่ 2 ดรากูล ถือกำเนิดในดินแดนวาลาเชียหรือโรมาเนียในปัจจุบัน ต้นตระกูลของเจ้าชายวล้าดที่ 3 คือเจ้าชายบาซาราบมหาราช ผู้กอบกู้เอกราชแคว้นวาลาเชียจากฮังการีในปีค.ศ.1310 และปกครองวาลาเชียในช่วงปี ค.ศ. 1310 - 1352

"แดร็กคูล่า" เป็นนามที่ได้มาจาก เจ้าชายวล้าดที่ 1 ซึ่งเป็นนักรบที่มีชื่อเสียงโด่งดังจากการสู้รบที่ไม่กลัวชนเผ่าเติร์ก จนได้รับการแต่งตั้งจากพระจักรพรรดิซิกิสมุนด์ แห่งนูเรมเบิร์ก ให้เป็น "อัศวินมังกร" (Knight of Dragon's Order) ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ตกทอดถึงทายาทด้วย และบุตรชายคนที่ 2 ของเจ้าชายวล้าดที่ 1 ได้รับฉายาว่า "แดร็กคูล่า" หมายถึง "บุตรของมังกร ( Son of Dragon )" ในขณะที่ฝ่ายเยอรมันแซ็กซอน ศัตรูอีกฝ่ายหนึ่งของวาลาเชีย เรียกว่า "บุตรของปีศาจ"


Vlad Tepes

ในวัย 13 พรรษา แดร็กคูล่าถูกส่งไปอยู่เอเดรียนโนเปิลนาน 4 ปีเพื่อเป็นตัวประกันภายใต้จักรวรรดิออตโตมันในฐานะประเทศราช ซึ่งการสืบราชบัลลังก์ของราชวงศ์วาลาเชียไม่ได้มีกฎตายตัวว่าต้องสืบราชบัลลังก์ตามสายเลือดหรือตามลำดับรัชทายาท แต่มาจากการเลือกตั้งโดยเหล่าขุนนางผู้เป็นเจ้าของที่ดินตระกูลต่างๆ ดังนั้นจึงเกิดศึกชิงบัลลังก์และลอบสังหารกันบ่อยครั้ง ต่อมาเมื่อพระราชบิดาของพระองค์คือ เจ้าชายวล้าดที่ 2 และพระเชษฐา เจ้าชายเมียร์ชาที่ 2 (Mircea II) ถูกพวกขุนนางภายใต้สังกัดฮังการีปลงพระชนม์ในค.ศ. 1447 จักรวรรดิออตโตมันจึงพยายามกำจัดอิทธิพลของฮังการีโดยการส่งกองทัพมายึดวาลาเชีย และตั้งแดร็กคูล่าในวัย 17 พรรษา เป็นเจ้าชายผู้ครองรัฐภายใต้อาณัติแห่งจักรวรรดิออตโตมัน แต่แดร็กคูล่าก็ต้องเสียบัลลังก์

ท่ามกลางความโหดร้ายของสงครามที่ญาติพี่น้องถูกสังหาร ประกอบกับการเติบโตมาในช่วงสงครามแดร็กคูล่าสะสมความกลัวและความแค้นแปรเปลี่ยนเป็นความโหดเหี้ยมและเลือดเย็น  ในปี ค.ศ.1456 แดร็กคูล่าก็กลับมาทวงบัลลังก์ได้อีกครั้ง และครองวาลาเชียในนามเจ้าชายวล้าดที่ 3 ตั้งเมืองหลวงชื่อทีร์โกวิสต์ สร้างปราสาทและรูปปั้นของตนเองไว้ในเมือง ซึ่งพระองค์ได้รับปรัชญาในการปกครองนี้มาในสมัยที่พระองค์ไปอยู่กับจักรวรรดิออตโตมัน ซึ่งเชื่อว่ากษัตริย์ที่ดีคือกษัตริย์ที่คนกลัว มิใช่กษัตริย์ที่คนรัก

จากการออกนโยบายปกครองแบบปิดประเทศ บวกกับรสนิยมส่วนตัวที่ชอบความรุนแรง ทำให้แดร็กคูล่าบริหารความโหดเหี้ยมของตนได้เต็มที่ มีเรื่องเล่าว่าเจ้าชายองค์นี้เชิญขอทาน คนแก่ และคนที่เจ็บป่วยเข้าวังแล้วตั้งคำถามว่า "ท่านอยากเป็นคนที่ถูกละเลยและทอดทิ้งหรือไม่" เมื่อชาวบ้านตอบว่า “ไม่ ” แดร็กคูล่าจึงเผาคนกลุ่มนี้ให้ตายทั้งเป็น ด้วยเหตุผลว่าจะได้ไม่มีคนแก่ คนจนหรือคนมีปัญหาในประเทศอีก และว่ากันว่าในช่วงรัชสมัยของพระองค์จนถึงปี ค.ศ.1462 พระองค์ได้สังหารประชาชนที่ไร้ทางสู้ไปราว 40,000 - 100,000 คน ในจำนวนนี้หลายครั้งที่พระองค์เสวยพระกระยาหารและชมการประหารชีวิตแบบโหดร้าย โดยนำร่างของนักโทษหรือศัตรูไปเสียบเหล็กแหลมจนร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดและดิ้นทุรนทุรายจนขาดใจตายในที่สุด และฟังเสียงร้องขอชีวิตของเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายราวกับฟังเสียงดนตรีกล่อมประสาท ด้วยเหตุนี้เองทำให้พระองค์ได้รับฉายาว่า "วล้าด นักเสียบ" ( Vlad the Impaler )


ปราสาทของแดร็กคูล่า

ในปี ค.ศ.1476 ระหว่างที่ถูกทัพเติร์กโจมตี แดร็กคิวล่าเสียชีวิตที่บูคาเรสต์ เชื่อว่าผู้สังหารคือคนของพระองค์เอง กษัตริย์ของเติร์กสั่งให้ตัดศีรษะของแดร็กคูล่าแขวนไว้ที่กรุงคอนสแตนติโนเปิล ส่วนร่างแยกไปฝังที่เกาะของตระกูลสนากอฟ ที่แดร็กคูล่าเคยอุปถัมภ์ แต่ภายหลังที่มีการขุดค้นอุโมงค์ในปี ค.ศ.1931 กลับไม่พบโลงศพของแดร็กคูล่า จึงทำให้เกิดเรื่องราวเล่าขานที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งขึ้น

ต่อมาได้มีนักเขียนชาวไอริชนามว่า บราม สโตเกอร์ ได้รับแรงบันดาลใจในการเขียนเรื่องแดร็กคูล่า ซึ่งเป็นนวนิยายเรื่องที่ 5ของเขานี้มาจากประวัติศาสตร์ของเจ้าชายนักรบชื่อ วล้าด เทเปส และความเหี้ยมโหดของพระองค์ มาผูกเรื่องกับ "ท่านเคาท์แดร็กคูล่า" ซึ่งเป็นตัวละครที่ถูกสร้างขึ้นมา โดยลักษณะที่กลางวันนอนในโลงศพ และกลางคืนลุกขึ้นมาดูดเลือดเหยื่อที่มักเป็นสาวสวย จากนิยายสยองขวัญก็ได้กลายมาเป็นภาพยนตร์ที่ทำให้ผู้คนได้จดจำ วล้าด นักเสียบในฐานะแดร็กคิวล่า ผู้กระหายเลือด

อย่างไรก็ตามแดร็กคูล่า หรือ เจ้าชายวล้าดที่ 3 ผู้ที่ถูกขนานนามว่าเป็นซาตานกลับชาติมาเกิด ก็มิได้เป็นแวมไพร์หรือผีดูดเลือดตามที่ได้เห็นได้อ่านกันในภาพยนตร์หรือนวนิยาย แต่พระองค์กลับเป็นเจ้าชายที่เป็นนักรบและนักปกครองที่กระหายเลือดเป็นอย่างมาก เพราะตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ได้ประหารประชาชนไปอย่างมากมาย แม้ว่าแดร็กคูล่าจะมีด้านที่โหดร้าย แต่เขาก็เป็นกษัตริย์ที่เด็ดขาดและมีระเบียบวินัยเป็นอย่างยิ่ง แต่ในที่สุดผลกรรมที่เจ้าชายทำไว้ก็คืนสนอง เพราะเมื่อพระองค์ออกไปสู้รบกับข้าศึก ก็ถูกข้าศึกสังหารและตายในสนามรบในที่สุด


อ้างอิง

เคาท์แดร๊คคูล่า (Dracula). (ม.ป.ป.). สืบค้นเมื่อ 8 กันยายน 2558, จาก:  http://www.tumnandd.com/

แดรกคูลา. (2557). สืบค้นเมื่อ 23 ธันวาคม 2558, จาก:  https://th.wikipedia.org/wiki/แดรกคูลา

ตำนานแดร็กคิวล่า (เรื่องจริงนะ).(2550). สืบค้นเมื่อ 8 กันยายน 2558, จาก: http://variety.thaiza.com/detail_262.html

วล้าดที่ 3 นักเสียบ. (2558). สืบค้นเมื่อ 8 กันยายน 2558, จาก: https://th.wikipedia.org/

kartoon-discovery.com .(2551). ตำนานแห่งผีดูดเลือด "แวมไพร์-แดรกคูล่า" สืบค้นเมื่อ 8 กันยายน 2558, จาก: http://www.kartoon-discovery.com/topic/topic200808.html


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น