หน้าเว็บ

หัวข้อย่อย

ยุคสมัยของอารยธรรม

10 เม.ย. 2558

อุดมการณ์รัฐอิสลามบนความขัดแย้ง: กรณีไอเอส (Is)

โดย วสันต์ เสตสิทธิ์

เนื่องจากประเทศต่างๆในแถบตะวันออกกลาง  มีความแตกต่างกันทั้งเชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์ และศาสนา  อาศัยอยู่ร่วมกันอย่างมากมาย  เช่นศาสนาอิสลาม มีสองนิกายใหญ่ๆ คือ สุหนี่  กับ ซีอะห์  สองนิกายนี้แม้จะเป็นอิสลามเหมือนกันแต่มีวิธีคิดที่ต่างกัน  โดยนิกายสุหนี่คิดว่าหลังการสิ้นชีวิตของนบีมูฮัมหมัด  ผู้นำทางศาสนาไม่ต้องสืบเชื้อสายจากนบีมูฮัมหมัด  แต่ต้องได้มาด้วยการเลือกตั้ง  กล่าวคือ  เน้นความสามารถของคนมากกว่าสายเลือด  ซึ่งประชาชนมุสลิมส่วนใหญ่เป็นสุหนี่  ส่วนนิกายซีอะห์คิดว่าผู้นำทางศาสนาต้องมาจากสายเลือดของนบีมูฮัมหมัด  ส่วนใหญ่ในนิกายนี้ส่วนใหญ่เป็นชนชั้นนำหรือผู้ปกครอง

นอกจากความขัดแย้งประเด็นใหญ่ๆของสองนิกายแล้ว  ในนิกายยังแยกย่อยลงไปอีก  เช่น  นิกายสุหนี่ แยกออกอีกเป็นซาลาฟิสท์กับวาฮาบี  ซึ่งต่างฝ่ายต่างก็อ้างตัวเองว่าเคร่งครัดแท้จริงในคัมภีร์อัลกุรอานและกฎหมายอิสลามมากกว่าอีกนิกาย

การต่อสู้ในภาพรวมใหญ่ๆของมุสลิมทั้งสองนิกายก็คือ  มุสลิมสุหนี่ซึ่งถือเป็นประชาชนส่วนใหญ่ของอิสลามแต่ต้องอยู่ใต้การปกครองของมุสลิมซีอะห์  ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ที่เชื่อว่าตัวเองสืบเชื้อสายมาจากนบีมูฮัมหมัด  ขณะที่มุสลิมสุหนี่เชื่อมั่นในความสามารถของคนไม่ใช่สวรรค์เรียกร้องผู้นำที่มาจากการเลือกตั้งที่ชอบธรรม

นอกจากความขัดแย้งทางศาสนาดังกล่าวแล้ว  การแบ่งแยกดินดินแดนในตะวันออกกลางของอังกฤษและฝรั่งเศส  ก็เป็นส่วนสำคัญที่ทำเกิดความขัดแย้งและหล่อเลี้ยงความขัดแย้งให้ดำรงอยู่  กล่าวคือ  ในศตวรรตที่20 อังกฤษและฝรั่งเศสจับมือกับชนเผ่าต่างๆเพื่อโค่นล้มจักรวรรดิออตโตมัน (ตุรกีในปัจจุบัน)  ต่อมาเมื่อโค่นล้มลงได้อังกฤษและฝรั่งเศสได้ขีดเส้นดินแดนตะวันออกกลางเป็นประเทศต่างๆ  โดยไม่คำนึงถึงความหลากหลายทางเชื้อชาติและศาสนา  และทำให้ความขัดแย้งดำรงอยู่จนถึงปัจจุบันนี้

จากความขัดแย้งทั้งด้านความคิด  ความเชื่อ  และอุดมการณ์ที่แตกต่างหลากหลาย  แต่ต้องมาอยู่รวมกันภายใต้ดินแดน  การปกครอง  เดียวกันซึ่งไม่อาจลบรอยขัดแย้งต่างๆนั้นได้  เปรียบเสมือนพรมแห่งสันติปูทับฝุ่นละอองสงคราม  ทำให้เกิดขบวนการต่อสู้ด้วยกองกำลังติดอาวุธเกิดขึ้นอย่างมากมาย  เช่นเดียวกับกลุ่มไอเอส (Is) หรือ Islamic State  ที่มีเป้าหมายคือ  การปลดปล่อยดินแดนของชาวมุสลิมนิกายซุนนีจากการกดขี่และการยึดครองของกลุ่มชีอะห์และชาวต่างชาติ  รวมทั้งเปลี่ยนแปลงโลกให้เป็นรัฐอิสลาม


ที่มา : www.corbettreport.com

กลุ่มไอเอส ส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลามนิกายสุหนี่นิกายย่อยคือ  ซาลาฟิสท์  มีความเชื่อเรื่องวันสิ้นโลก  ซึ่งจะเกิดขึ้นหลังสงครามครั้งใหญ่ระหว่างชาวคริสต์กับชาวมุสลิม  และต้องทำสงครามเพื่อกำจัดเพื่อต่างศาสนา เช่น คริสต์  รวมถึงศาสนาอิสลามด้วยกันแต่ต่างนิกาย คือซีอะห์  ซึ่งถือว่าพวกนี้คือพวกนอกรีต  เพื่อนำไปสู่เป้าหมายคือทำให้โลกทั้งหมดเป็น รัฐอิสลาม

รัฐอิสลาม ที่ว่านี้คือ  การอ้างอำนาจทางศาสนาเหนือชาวมุสลิมทั้งโลก (รวมทั้งศาสนาอื่นๆด้วย)  โดยปรารถนาที่จะนำภูมิภาคซึ่งมีชาวมุสลิมอยู่อาศัยส่วนใหญ่ของโลกมาอยู่ใต้การควบคุมทางการเมืองเดียวกัน มุ่งประสงค์ให้ศาสนาชี้นำการเมืองและต้องการจะกำหนดทิศทางของสังคมมุสลิมเสียใหม่ทั้งหมดเข้ามาอยู่ภายใต้อำนาจของรัฐอิสลาม ซึ่งปกครองโดยกฎหมายอิสลาม ที่เรียกว่า กฎชารีอะห์ (Sharia law) ที่ตราขึ้นจากบัญญัติศาสนาอิสลาม เพื่อใช้ควบคุมผู้คน

ชารีอะห์ถือเป็นกฎหมายที่เคร่งครัด มีบทลงโทษกันอย่างรุนแรง หนักที่สุด คือ ประหารชีวิต  รองลงมาคือ  ต้องขายตัวลงเป็นทาสไปจนชั่วลูกชั่วหลาน เบาที่สุด คือ ถูกขูดรีดให้เสียภาษีและใครที่ฝ่าฝืนกฎชารีอะห์ ถือว่าเป็นพวกนอกรีตนอกศาสนา  นอกจากนั้นกฎชารีอะห์ยังใช้ควบคุมครอบคลุมชีวิตในทุกๆด้านไม่ใช่เพียงมิติทางศาสนาเท่านั้น ไอเอส ใช้ข้ออ้างเรื่องรัฐอิสลามในการคุกคามคนต่างศาสนา มุ่งหวังให้ทุกคนในโลกต้องหันมานับถือศาสนาอิสลามเหมือนกัน

เดิมกลุ่มไอเอส เป็นกลุ่มเดียวกันกับ Al Queda ของ Usama Binladen แต่เนื่องจากกลุ่มไอเอส  ถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกหัวรุนแรงเกินไปจึงถูกกลุ่ม AI Queda ขับไล่ออกมา  และอาจเป็นเพราะความขัดแย้งทางศาสนาด้วยเพราะ  Usama Binladen นับถืออิสลามนิกายวาฮาบี  ต่างจากผู้นำกลุ่มไอเอส คือ  Abu Bakr al – Baghdadi  ซึ่งมีฐานะเป็นCaliph ผู้นำสูงสุดทั้งทางโลกและศาสนา

หลังจากที่แยกตัวออกมาจากกลุ่ม Al Queda พวกเขาจึงก่อตั้งกลุ่มไอเอส เมื่อปี 2549  ขบวนการของพวกเขาเติบโตและเข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆอย่างรวดเร็วด้วยการสนับสนุนจากแหล่งทุนใหญ่ๆ  ประกอบกับความสามรถในการใช้ Socail media ทำให้สามารถระดมทุนและระดมคนเข้าร่วมอุดมการณ์เดียวกันได้จำนวนมาก


ที่มา : www.nbcnews.com

กลุ่มไอเอส  มีความโหดเหี้ยมและน่ากลัวกว่ากลุ่มก่อการร้ายที่ผ่านๆมาด้วยกำลังคนและอาวุธมากมาย  รวมถึงแหล่งเงินทุนมหาศาลจากการยึดธนาคารใหญ่ในอีรักและซีเรีย  ควบคุมเศรษฐกิจบริเวณชายแดนของอีรักและซีเรีย  รวมถึงบริษัทน้ำมัน  ก๊าซ  ไฟฟ้า  ที่ต้องการล้มประธานาธิบดีอัสซาดแห่งซีเรีย  ซึ่งเป็นมุสลิมซีอะห์

ด้วยปัจจัยต่างๆที่เกื้อหนุนเหล่ากลุ่มไอเอส  แสดงความโหดเหี้ยมออกมาอย่างต่อเนื่อง  ไม่ว่าจะเป็น  การจับตัวประกันชาวอีรัก 43 คนเผาทั้งเป็น  การลักพาตัวชาวคริสเตียนในซีเรียน 150 คน ฆ่าตัวคอ รปภ. บ่อน้ำมันในลิเบีย 8 คน และจับชาวต่างชาติไปอีก 9 คน  การฆ่าตัดคอชาวคริสต์อีในยิปต์ 21 คน การตรึงไม้กางเขนและประจานไปในซีเรีย  รวมถึงคลิปตัดหัวตัวประกันชาวญี่ปุ่นและเผานักบินจอร์แดนทั้งเป็น เป็นต้น

การเกิดขึ้นของอุดมการณ์ รัฐอิสลามกำลังกลายเป็นภัยคุกคามใหม่ของโลก นี่คือความโหดร้าย  ป่าเถื่อน  ที่เกิดขึ้นในศตวรรตที่โลกกำลังหันหน้ามาสู่ความปรองดอง หลังจากเห็นพิษภัยของสงครามในหลายๆ ครั้งที่ผ่านมา แต่สงครามที่เกิดขึ้นบนโลกส่วนใหญ่ตั้งอยู่บนพื้นฐานความเชื่อของตัวเอง  สิ่งที่ตัวเองเชื่อนั้นยิ่งใหญ่ที่สุดและแท้จริงที่สุด  ทำให้ต้องเข่นฆ่าฝ่ายที่คิดต่างให้หมดไป  แต่เมื่อฆ่ากันตายหมดไม่เหลือคนแม้แต่คนเดียวเราก็จะไม่เจอกับความเชื่อที่ว่านั้น


อ้างอิง 

ISIS คือใคร เจาะลึกจุดกำเนิดกลุ่มก่อการร้ายผู้เหี้ยมโหด .  สืบค้นเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2558 , จากเว็บไซต์  http://hilight.kapook.com/view/115379

กลุ่ม Isis คือใคร . สืบค้นเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2558 ,  จากเว็บไซต์ http://news.kapook.com/

เจาะข่าวตื้นตอนที่ 148 : เจาะกลุ่ม IS ผู้ก่อการร้ายสุดโต่ง . สืบค้นเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2558 , จากเว็บไซต์  http://jorkawteun.spokedark.tv/20150313/jorkawteun-148/

ขบวนการรัฐอิสลาม(IS) กับสงครามครั้งใหม่ . สืบค้นเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2558 , จากเว็บไซต์ http://www.siamintelligence.com/islamic-state/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น