หน้าเว็บ

หัวข้อย่อย

ยุคสมัยของอารยธรรม

23 เม.ย. 2558

อลิซาเบธ บาโธรี่ (Elizabeth Bathory)

โดย  อุบลพันธ์ เอี่ยมสม

ถ้าพูดถึงฆาตกรหญิงที่มีความโหดเหี้ยมมากที่สุดในประวัติศาสตร์ หลายคนจะต้องนึกถึง เคาท์เตส อลิซาเบธ  บาโธรี่ ผู้ที่ได้ฆ่าหญิงสาวผู้บริสุทธิ์มากมายเพื่อสนองต่อความเชื่อเรื่องความเป็นอมตะและถนอมความเยาว์วัยของตน กว่าทีเธอจะถูกจับกุมและนำไปคุมขังจนตาย เธอก็ได้คร่าชีวิตหญิงสาวไปแล้วมากกว่า 600 คนทีเดียว

เคาท์เตส อลิซาเบท บาโธรี่เกิดเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม ค.ศ.1560 ในปราสาทเชิงเขาคาร์เทียนใกล้ๆ กับแคว้นทรานซิลวาเนีย ประเทศฮังการี อลิซาเบธ เกิดในตะกูลบาโธรี่ ซึ่งเป็นตระกูลสูงศักดิ์และมีความเกี่ยวดองกับกษัตริย์ฮังการีในสมัยนั้น ตระกูลบาโธรี่เป็นตะกูลที่เก่าแก่ปกครองแคว้นทรานซิลวาเนียมาหลายต่อหลายยุคจึงมีอำนาจและเป็นที่ยำเกรงของประชาชน

อลิซาเบธ จึงมีความพร้อมทั้งรูปโฉมและชาติตระกูล จนจักรพรรดิมาร์คมิซิเลี่ยนที่2 เคยมาขอดูตัว แต่เธอกลับมีอาการบกพร่องทางจิตเนื่องมาจากลักษณะพันธุกรรมที่ตระกูลบาโธรี่มักมี ตระกูลเก่าแก่มักจะมีการแต่งงานกันเองภายในเครือญาติเพื่อรักษาสมบัติและอำนาจของตระกูลไว้

แต่แทนที่อลิซาเบธจะพอใจในชีวิตชาติตระกูลของตน เธอกลับเบื่อหน่ายและชอบหนีไปเที่ยวเล่นกับลูกหลานชาวไร่ชาวนา ลูกของทาสและชอบเล่นสัปดนจนเมื่ออายุได้13เธอจึงได้ตั้งครรค์ ทางตระกูลบาโธรี่จึงเกิดความอับอายเป็นอย่างมากและได้ส่งเธอไปยังปราสาทของตระกูลที่ห่างไกล

เมื่อโตขึ้น เอลิซาเบธเธอเริ่มมีอาการป่วยเป็นโรคปวดหัวเรื้อรัง มีหมอหลายคนมาทำการรักษาแต่ก็ไม่หายจนกระทั่ง มีเรื่องเล่ากันว่าในสมัยเด็กที่เธอเกิดอาการปวดหัวอย่างรุนแรง จนกัดเนื้อไหล่ของสาวใช้ที่เข้ามาพยาบาลหลุดออกมา เอลิซาเบธได้ยินเสียงกรีดร้องของสาวใช้นั่นเอง อาการปวดหัวของเธอกลับหายเป็นปลิดทิ้ง นับแต่นั้นมา เกิดอาการปวดหัว เธอก็จะทรมานสาวใช้เพื่อให้เสียงร้องเหล่านั้นเป็นยาระงับอาการของเธอ นี่คือการเริ่มต้นแห่งความวิปริตของเธอ

เมื่อเอลิซาเบธ อายุ 15 ปี เธอก็แต่งงานกับท่านเคานท์ฟีเรนซ์ นาดาสดี้ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องที่อายุมากกว่า 11 ปี หลังจากแต่งงานแล้ว เอลิซาเบธ ก็ยังคงใช้ชื่อตระกูลเดิม ทั้งสองย้ายที่อยู่ไปยังปราสาทเซติซ ปราสาทกว้างใหญ่กลางป่าลึกบนภูเขาคาร์ลปาเชีย ในสโลวาเกีย เพื่อจะอบรมเตรียมรับตำแหน่งเคาน์เตส ท่านเคานท์ฟีเรนซ์ นาดาสดี้ ไม่ใช่คนดีนัก สองสามีภรรยามักตื่นเต้นและสนุกสนาน ไปกับการที่ได้ทรมานบ่าวไพร่ ซึ่งเคาน์ฟีเรนซ์ มักจะเล่าให้อลิซาเบธฟังถึงการที่เขาเคยทรมานเชลยชาวเติร์กอย่างโหดเหี้ยม และอลิซาเบธเองก็สนองคิดค้นหาวิธีสยดสยองต่างๆนาๆมาทดลองใช้กับคนของตัวบ้าง ทั้งสองมีความสุขและสนุกกับรสนิยมที่เหมือนกันอย่างมากล้นจนมีบุตรธิดาด้วยกันถึง 4 คนแต่ฟีเรนซ์มักจะไปออกรบตามที่ต่างๆจนไม่ค่อยอยู่ติดปราสาท อาการปวดหัวของเธอกำเริบถี่ขึ้นและการทรมานสาวใช้ก็ค่อยๆหนักข้อขึ้นทุกที เป็นต้นว่า การแทงเข็มเข้าที่ปลายนิ้วของสาวใช้ หรือจับสาวใช้มาทาน้ำผึ้งทั่วตัวแล้วโยนลงไปในห้องใต้ดินที่เต็มไปด้วยมด แต่นี่ก็ยังไม่นับเป็นการเปิดฉากตำนานเลือดของเธอเลยด้วยซ้ำ เมื่อชีวิตแต่งงานไม่ราบรื่นเพราะฟีเรนซ์มักออกรบบ่อยๆ  และในไม่ช้าเอลิซาเบธ ก็เริ่มมีชู้ ฟีเรนซ์รับรู้เรื่องนี้แต่ใจกว้างพอที่จะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น เธอเริ่มสนใจในเรื่องหมอผีมนดำและมักลงไปอยู่ที่ห้องใต้ดินบ่อยๆ ชีวิตฆาตกรของเธอเริ่มต้นขึ้นหลังจากการตายของสามีเสียมากกว่า ปี 1600 ในฤดูหนาว เอลิซาเบธอายุได้ 40 ปี ฟีเรนซ์สามีคู่ชีวิตซาดิสต์ได้เสียชีวิตลงในขณะอายุ เพียง 51 ปี ทิ้งสมบัติและอำนาจทุกอย่างไว้ในมือของภรรยา และแทบจะในวันเดียวกันนั้นเอง แม่ก็จากโลกนี้ตามลูกชายไปอีกคน มีข่าวลือภายหลังว่าเป็นการวางยาพิษ



เอลิซาเบธเธอภูมิใจในรูปโฉมของตัวเองมาก แต่ตัวเธอก็ไม่สามารถเอาชนะกาลเวลาได้ นับวันร่างกายเหี่ยวยานตามกาลเวลา เธอต้องการที่จะสวยเป็นอมตะตลอดกาล จึงมีการสั่งให้แม่มดหมอผีที่คุ้นเคยทำยาคืนความสาวมาใช้หลายขนาน แต่ไม่ว่าอันไหนก็ไม่ค่อยเห็นผลเท่าใดนัก จนกระทั่งเช้าวันหนึ่ง เธอตื่นขึ้นมาล้างหน้าล้างตาแต่งองค์ทรงเครื่อง ทันใดนั้นขณะที่เธอส่องดูเงาตัวเองในกระจกเธอนึกได้ว่า อายุเธอปาเข้าไปตั้ง 45 แล้ว เอลิซาเบธไม่อยากแก่และกลัวอย่างที่สุดขณะที่สาวใช้กำลังสางผมให้กับเอลิซาเบธ ดึงผมหลุดติดหวีมาหลายเส้น เอลิซาเบธระเบิดอารมณ์ทันที เธอใช้เชิงเทียนที่อยู่ใกล้มือทุบเด็กสาวอย่างไม่ยั้งมือ หยาดเลือดสาดกระเด็นมาติดตามตัวของเธอ เธอนั่งลงเห็นหยาดเลือดทาสที่กระเด็นมา จึงให้สาวใช้ต้นห้องเอาผ้าชุบน้ำมาเช็ดหน้า เมื่อเธอพบว่าใต้รอยเลือดนั้นผิวของเธอกลับนุ่มนวลผุดผ่องราวสาวแรกรุ่นอ่อนนุ่ม ผิดกับผิวเนื้อตรงอื่นอย่างเหลือเชื่อ เธอคิดได้ว่าเลือดสดๆ มีคุณสมบัติพิเศษที่จะบันดาลให้เธอเป็นสาวอมตะได้ตลอดกาล เลือดนั้นจะต้องเป็นของสาวแรกรุ่น มันถึงจะได้ผลอย่างเต็มที่

โศกนาฏกรรมการฆ่าสังหารเด็กสาวกว่า 600 คนเพื่อประทังความงามของเอลิซาเบธ บาโธรี่จึงเริ่มต้นขึ้น เหยื่อของเอริซาเบทส่วนใหญ่จะเป็นคนเลือกเหยื่อด้วยตนเอง เธอต้องการเลือดของเด็กสาวบริสุทธิ์ โดยเฉพาะสาวแรกรุ่นเธอสั่งให้เชือดและชำแหละเพื่อรีดเลือดทุกหยดออกมาให้ได้มากที่สุด เด็กหญิงบริสุทธิ์คนแล้วคนเล่าต้องมาตายอย่างทุกทรมาน บางคนถูกกรีดร่างจนเป็นริ้วลึกถึงกระดูก ตัดเส้นเลือดทุกเส้นในร่างกายหลายคนถูกแหวะอก  ผ่าท้องกรีดหัวใจเลือดพุ่งไหลเป็นสายน้ำ แล้วให้เธออาบร่างนั้นอย่างมีความสุขเมื่อลูกทาสของคนรับใช้และทาสในที่ดินตายหมดแล้ว เอลิซาเบทก็ให้ลูกน้องบริวารไปล่อลวงหลอกเอาสาวชาวบ้านตามชนบทเข้ามา

เอลิซาเบทเริ่มทำการรวบรวมเด็กสาวจากที่ต่างๆในดินแดนของตน ชาวบ้านที่ยากจนต่างก็ยินดีที่จะส่งลูกสาวออกมาทำงานในปราสาทเพียงเพื่อแลกกับอาหารและเสื้อผ้าไม่กี่ชุด เหล่าเด็กสาวพากันลอดประตูปราสาทเข้ามาด้วยใบหน้าที่ร่าเริงโดยที่ไม่รู้ในชะตากรรมของตนว่าจะไม่สามารถมีชีวิตรอดออกมาจากปราสาทนี้ได้อีก พวกเธอถูกคั้นเลือดออกมาจนหยดสุดท้ายแล้วถูกฝังไว้ในสวนหลังปราสาทโดยที่พ่อ แม่พี่น้องก็ไม่มีโอกาสจะทราบข่าว วิธีการทรมานของเอลิซาเบธยิ่งยกระดับเสียยิ่งกว่าเก่า มีทั้งการใช้เหล็กร้อนเผาลำคอ ใช้เครื่องทรมานบีบหน้าอก บางครั้งเธอก็ใช้มือทั้งสองของตัวเองล้วงเข้าไปในปากและฉีกร่างของเหยื่อออก เป็นสองซีก เด็กสาวบางคนที่พยายามจะหนีก็ถูกตัดเท้าทิ้ง

อีกสิ่งหนึ่งที่เอลิซาเบธทิ้งไว้ในประวัติศาสตร์โลกก็คือ เครื่องมือทรมานที่มีชื่อเสียงที่สุดชิ้นหนึ่ง Iron Maiden นั่นเอง ช่างทำนาฬิกาถูกเรียกตัวมาจากเยอรมันเพื่อการนี้โดยเฉพาะ มีการบรรยายเกี่ยวกับสุภาพสตรีเหล็กตัวแรกสุดไว้ดังนี้ "ตุ๊กตาเหล็กนี้มีรูปร่างเป็นร่างเปลือยทาสีเนื้อ ส่วนใบหน้ามีการแต้มเครื่องสำอาง เมื่อกลไกขยับปาก ก็จะปรากฏรอยยิ้มอันเลื่อนลอยและเหี้ยมโหดขึ้นบนใบหน้า ที่อกมีพลอยประดับอยู่เป็นปุ่ม เมื่อกดปุ่ม ตุ๊กตาก็จะค่อยๆยกแขนขึ้น จากนั้นแขนก็จะเคลื่อนมาเป็นกอดอกซึ่งคนที่อยู่ในระยะรัศมีก็จะถูกแขนของ ตุ๊กตากอดไว้ พร้อมกันนั้น ส่วนตัวด้านหน้าก็จะเปิดออกเป็นบานประตู ภายในเป็นช่องกลวงและด้านหลังบานประตูมีเข็มแหลมยาวงอกอยู่ 5 เล่ม ผู้ที่ถูกตุ๊กตากอดไว้จะถูกขังอยู่ภายในตัวตุ๊กตาและถูกเข็มเหล่านี้แทง คั้นเลือดออกมาจนเสียชีวิต"


Iron Maiden 

ต่อมาไม่นานชาวบ้านเริ่มสงสัยและเกิดมีข่าวลือต่างๆนาๆ ชาวบ้านก็เริ่มร้องเรียนเรื่องไปยังราชสำนักถึงเรื่องคนหาย และมีญาติของเด็กหลายรายยืนยันว่าเด็กสาวที่ตายกันเป็นกองๆใกล้ปราสาทของ
อลิซาเบธอยู่นั้นล้วนแล้วแต่ถูกล่อลวงให้มาที่ปราสาทเธอ

ในที่สุดพระเจ้าแมทเทียสที่ 2 ก็ทรงเข้ามาจัดการกับคดีนี้ด้วยพระองค์เอง เดือนธันวาคมปี 1610 เมื่อมาร์ควิสเธอร์โซซึ่งเป็นญาติของเอลิซาเบธ ไปยังห้องใต้ดินของปราสาทเซติช เขาก็ต้องผงะกับสิ่งที่ตัวเองพบ เครื่องทรมานจำนวนนับไม่ถ้วน รอยเลือดที่ชโลมอยู่แทบทุกที่และศพที่กองเป็นภูเขา

อลิซาเบธถูกสอบสวนในปี ค.ศ.1610 ชาวบ้านต่างโกรธอาฆาตแค้นเธอมากเนื่องจากฆ่าลูกหลานของตน เนื่องจากอลิซาเบทเป็นคนในตระกูลสูงศักดิ์จึงไม่ทำการประหารต่อหน้าประชาชนและได้โอนอำนาจการตัดสินโทษของ อลิซาเบธไปยังตระกูลบาโธรี่  และโดยผลการประชุมของตระกูล เอลิซาเบธ ก็ถูกตัดสินให้ถูกจองจำอยู่ในปราสาทเซติชไปจนตลอดชีวิตในห้องขังอันมืดมิด ซึ่งประตูถูกโบกปูนปิดตายตลอดชิวิต ไม่ให้หลุดมาทำอันตรายใครได้อีก อลิซาเบธ ได้เสียชีวิตเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม ค.ศ. 1614 อายุรวม54ปี ภายในห้องขังที่เปลี่ยวและมืดมิด

อ้างอิง

ประวัติอลิซาเบธ บาโธรี. สืบค้นเมื่อ 23 เมษายน 2558, จาก http://th.wikipedia.org/wiki/

รูปเครื่องทรมานและประวัติชีวิตของอลิซาเบธ บาโธรี่. สืบค้นเมื่อ 23 เมษายน 2558, จาก http://www.gun.in.th/2012/index.php?topic=97800.0

อลิซาเบธ บาโธรี่ ฆาตกรหญิงอันดับ 2 ของโลก. สืบค้นเมื่อ 23 เมษายน 2558, จาก http://kranking666.blogspot.com/2013/05/2.html


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น