หน้าเว็บ

หัวข้อย่อย

ยุคสมัยของอารยธรรม

31 ธ.ค. 2561

ตุนหวง (Dunhuang) มนต์เสน่ห์พุทธศิลป์กลางทะเลทราย

โดย พิชชาพร มงคลวงศ์โรจน์

ประเทศจีนเป็นประเทศหนึ่งที่มีเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่ยาวนานและน่าสนใจ และมีวัฒนธรรมที่โดดเด่นต่างจากที่อื่นๆ   นอกจากนี้ประเทศจีนในอดีต ยังเคยเป็นเส้นทางที่เชื่อมโลกตะวันตกกับตะวันออกเข้าด้วยกัน  เส้นทางประวัติศาสตร์นั้นก็คือ “เส้นทางสายไหม” โดยมี “ตุนหวง” เป็นเมืองสำคัญเมืองหนึ่งบนเส้นทางสายไหมแห่งนี้ ที่ตั้งอยู่ในทะเลทรายอันเวิ้งว้างและร้อนระอุ   แต่เป็นแหล่งอารายธรรมและประวัติศาสตร์อันมีค่ายิ่ง และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมของจีน และยังเป็นแหล่งพุทธศิลป์ที่มีความยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศจีนอีกด้วย

ตุนหวง  (敦煌)  มีความหมายว่า ดวงไฟที่เจิดจ้า เป็นเมืองเล็กๆ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของมณฑลกานซู   ห่างจากกรุงปักกิ่งราว 1,900 กิโลเมตร   ล้อมรอบด้วยทะเลทรายโกบี    ในอดีตที่แห่งนี้เคยเป็นสถานีสุดท้ายในการแวะพักการเดินทางในจีน เป็นศูนย์รวมเศรษฐกิจและวัฒนธรรมจากหลายๆ ชนชาติ รวมทั้งเป็นเส้นทางหนึ่งที่ทำให้พระพุทธศาสนาได้เข้ามาเผยแพร่ในประเทศจีน

ตามตำนานกล่าวว่า  มีพระธุดงค์องค์หนึ่งนามว่า “Le Zhun”  ได้เดินทางข้ามทะเลทรายโกบี และข้ามภูเขาไปเจอโอเอซิสที่เมืองตุนหวง  จึงได้พักผ่อนในที่แห่งนี้ ในช่วงเย็นขณะที่ท่านกำลังนั่งมองพระอาทิตย์อยู่  ก็เห็นรูปพระพุทธเจ้า 1,000 องค์บนท้องฟ้า  และรอบๆ มีนางฟ้าแสดงดนตรีที่ไพเราะ ต่อมา Le Zhun ได้ไปเรียนรู้การวาดภาพและการแกะสลัก และนำสิ่งที่ได้เรียนรู้มาสร้างผลงานไว้ หลังจากนั้นมีพระธุดงค์อีกท่านนามว่า “Fa Jiang” ได้เดินทางมาสถานที่แห่งนี้และเพิ่มเติมภาพวาดและรูปแกะสลักในถ้ำโม่เกา การสร้างวัดแห่งนี้เพื่อสักการะพระพุทธเจ้า และรวบรวมหลักฐานทางโบราณคดี โดยใช้เวลาสร้างนานมากตั้งแต่สมัยราชวงศ์ฉินถึงราชวงศ์หยวน

วัดถ้ำของตุนหวง ตั้งห่างจากเมืองตุนหวง ทางด้านตะวันออกเฉียงใต้ราว  25 กิโลเมตร ประกอบด้วยผาหินที่ถูกเจาะทั้งหมด 492 ถ้ำ โดยในบรรดาถ้ำทั้งหมด มีถ้ำที่ใหญ่ที่สุดคือ ถ้ำโม่เกา หรือที่รู้จักกันในนามว่า “ถ้ำพระพุทธรูปพันองค์” สร้างอยู่บนหน้าผาทางซีกตะวันออกของภูเขาหมิงซา ภายในถ้ำจะประกอบด้วย ภาพวาดและรูปสลักต่างๆที่ล้ำค่าทางพระพุทธศาสนาและประวัติศาสตร์  จนได้รับขนานนามว่า “ห้องสมุดบนผนัง” 

เนื่องจากวัดถ้ำโม่เกา เป็นสถานที่ที่สะสมพุทธศิลป์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นแหล่งรวบรวมหลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีที่สำคัญ จึงได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม จากองค์การยูเนสโก เมื่อ ค.ศ.1987 จากลักษณะที่สำคัญคือ มีศิลปะที่เป็นเอกลักษณ์และเป็นผลงานชิ้นเอกของศิลปะจีน  เป็นหลักฐานที่แสดงถึงการแลกเปลี่ยนศิลปะระหว่างจีนและอินเดีย มีภาพวาดในราชวงศ์ซ่งและสุย และต้นฉบับภาษาฮิบรู นอกจากนี้ ยังมีถ้ำพระพุทธรูปหนึ่งพันองค์ซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่โดดเด่นในพระพุทธศาสนา เป็นตัวอย่างในการสร้างวัดที่มีเอกลักษณ์  รวมทั้งมีความเชื่อมโยงประวัติศาสตร์ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา และยังแสดงให้เห็นว่าเส้นทางสายไหมไม่ได้เกี่ยวข้องในเรื่องการค้าเท่านั้น

จุดเด่นของวัดถ้ำโม่เกา เป็นถ้ำที่มีความเก่าแก่ มีพระพุทธรูป 1,000 พระองค์ประดิษฐานอยู่ ภายในถ้ำจะมีภาพวาดแกะสลักผนังถ้ำ และรูปปั้นดินที่เป็นจุดเด่นทำให้สถานที่แห่งนี้มีชื่อเสียง นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งเก็บรวบรวมหลักฐานต่างๆทางประวัติศาสตร์และตำราทางศานาพุทธจำนวนมาก


ประติมากรรมในถ้ำโม่เกาที่สร้างในสมัยราชวงศ์ถัง 

สิ่งก่อสร้างภายใน ใช้วัสดุที่ทำจากไม้ ในสมัยราชวงศ์ถังและราชวงศ์ซ้อง สร้างวัดจำนวน 5 หลัง คัมภีร์และหนังสือต่าง ๆ 50,000 ชิ้น และประติมากรรมเกือบ 2,500 ชิ้น  ใช้เวลาสร้างตั้งแต่ราชวงศ์ฉินถึงราชวงศ์หยวน แต่มีความรุ่งเรืองอย่างมากในยุคสมัยราชวงศ์ถัง มีหอคอย 9 ชั้นอยู่บริเวณด้านหน้าของถ้ำ สร้างในสมัยอู่ เจ๋อ เทียน เพื่อปกป้องพระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่ประดิษฐานอยู่ด้านใน ที่สร้างเพื่อทดแทนหอคอยเดิม 4 ชั้น  ซึ่งทนต่อสภาพอากาศและภัยธรรมชาติไม่ไหว

สถาปัตยกรรม ในยุคแรก เป็นถ้ำที่มีเจดีย์หนุนอยู่ตรงกลาง มีที่ประดิษฐานแท่นบูชาพระพุทธรูปแกะสลัก ยุคกลาง ได้สร้างหลังคาโค้งแบบพีระมิด มีแท่นบูชาใหญ่ชิดผนังถ้ำ และที่สำหรับประดิษฐานพระพุทธรูป และหลังคาที่เขียนด้วยภาพวาดสีสดใส ในยุคหลัง ได้สร้างเป็นถ้ำโถง ทำเป็นห้องเพื่อเก็บโบราณวัตถุและประติมากรรมต่างๆ

ประติมากรรม พบหลายรูปแบบอาทิ เช่น รูปปั้นกลม ปั้นนูน ปั้นเงา และอื่นๆ เนื้อหาในการปั้นมักเกี่ยวข้องกับพุทธองค์ พระโพธิสัตว์ นักปราชญ์ ราชาแห่งสรวงสวรรค์ ผู้พิทักษ์สวรรค์ จอมพลัง นักรบ เทพต่างๆ. มีทั้งรูปปั้นขนาดใหญ่และเล็ก  มีการใช้ดินเหนียวปั้นรูปประติมากรรมระบายหลากสี ทำให้ประติมากรรมของที่นี่มีความโดดเด่นเป็นอย่างมาก

จิตรกรรม มีภาพวาดฝาผนัง เป็นศิลปะในสมัยราชวงศ์ถัง   เป็นเรื่องราวของพุทธประวัติ  ทิวทัศน์  เก๋ง ศาลาชมวิว หอชมวิว    รูปแบบการใช้ชีวิตและวัฒนธรรม ความดี - ความชั่ว  เป็นต้น


ภาพจิตรกรรมในถ้ำโม่เกา 

เนินทรายหมิงซาซาน คำว่า “หมิงซา” มีความหมายว่า ทรายที่ก้องกังวาน ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมือง 6 กิโลเมตร เป็นทะเลทรายที่มีพื้นที่กว้างใหญ่  จากตำนานเล่าว่า พ่อค้าและนักเดินทางทั้งหลายจะได้ยินเสียงเพลงที่หลอกหลอนจากทะเลทรายแห่งนี้ ซึ่งเกิดจากเสียงลมที่พัดผ่านเนินทรายแล้วมีเสียงทรายนุ่มๆ จุดที่เป็นไฮไลท์คือ “ทะเลสาบรูปพระจันทร์เสี้ยว” ในทะเลทรายที่มีอายุมากว่า 2000 ปีอันสวยงาม


ทะเลสาบรูปพระจันทร์เสี้ยวในทะเลทรายหมิงซาซาน

สถานที่สำคัญที่ควรไปแวะชม คือ วัดถ้ำตุนหวงและเนินทรายหมิงซาซาน นอกจากนี้ ยังมีสถานที่เที่ยวอื่นๆ ที่น่าสนใจอีกในเมืองตุนหวง อาทิ วัดม้าขาว ด่านประตูหยก เป็นต้น

ข้อแนะนำการเข้าชม ควรเตรียมร่างกายให้พร้อมก่อนการเข้าชม ควรพกหมวก แว่นกันแดด  ครีมกันแดด รวมทั้งผ้าปิดตา สำหรับในการเข้าชมวัดถ้ำโม่เกานั้น มีค่าเข้าชมคนละ 80 หยวน ปัจจุบันทางการจีนเปิดให้เข้าชมไม่กี่ถ้ำ และห้ามถ่ายรูปภายในถ้ำและไม่เปิดไฟภายในถ้ำ  เพื่อเป็นการรักษาสภาพถ้ำให้สมบูรณ์ที่สุด  ส่วนค่าเข้าชมเนินทรายหมิงซาซาน ราคาจะแบ่งออกเป็น 2 ช่วง  ได้แก่  ช่วงเดือน พ.ค - ต.ค อยู่ที่ 120 หยวน และเดือน พ.ย - เม.ย อยู่ที่ 80 หยวน เด็กที่สูงต่ำกว่า 120 เซนติเมตร เข้าชมฟรี สามารถใช้ตั๋วเข้าชมเนินทรายและทะเลสาบได้หลายครั้งภายใน 3 วัน

วิธีการเดินทาง สามรถเดินทางมายังเมืองตุนหวงโดยสะดวก ได้ทั้งทางรถไฟ รถประจำทาง และเครื่องบิน กิจกรรม ในช่วงฤดูร้อนเดือนมิถุนายน-ตุลาคม จะมีการแสดงร้องเพลงและเต้นรำในเทศกาลเส้นทางสายไหม และที่เนินทรายหมิงซาซาน มีบริการอูฐไว้สำหรับขี่ รถไฟฟ้า รถวิบาก เครื่องร่อน   เบาะนั่งสไลด์  สำหรับบริการนักท่องเที่ยว

“ตุนหวง” นอกจากจะเป็นเมืองตั้งต้นในเส้นทางสายไหม  ที่ทำหน้าที่เป็นศูนย์แลกเปลี่ยนสินค้าแล้ว  ยังเป็นจุดยุทธศาสตร์แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างโลกตะวันตกและตะวันออก สะท้อนให้เห็นถึงการเชื่อมโยงกันระหว่างเศรษฐกิจ และวัฒนธรรม รวมทั้งอิทธิพลของศาสนาพุทธที่เปี่ยมไปด้วยพลังศรัทธาก่อให้เกิดพุทธศิลป์ที่ยิ่งใหญ่ และโดดเด่นไม่เหมือนใคร เป็นร่องรอยหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่มีค่ายิ่ง ควรแก่การเข้าชม จีงอยากเชิญชวนผู้ที่สนใจให้มาเยี่ยมชม


อ้างอิง

ทริปเดินทาง.(2016).ถ้ำมั่วเกาแห่งตุนหวง (敦煌莫高窟) – มณฑลกานซู่.สืบค้นเมื่อ 10 กันยายน 2561, จาก: https://tripderntang.com/ถ้ำมั่วเกาแห่งตุนหวง/

Expedia TH. (2017) . ตามหาทะเลสาบพระจันทร์เสี้ยว เที่ยวทะเลทรายโกบี .สืบค้นเมื่อ 10 กันยายน2561, จาก: https://travelblog.expedia.co.th/travel-abroad/bd05_november17/

ktcworld .(มปป).ตุนหวง...เมืองอารยธรรมโบราณกลางทะเลทราย  THE ANCIENT CITY OF DUNHUANG .สืบค้นเมื่อ 10 กันยายน 2561, จาก: ttps://www.ktcworld.co.th/th/Service/TravelGuide/

oporshady .(2013).วัดถ้ำแห่งตุนหวง พุทธศิลป์สุดยิ่งใหญ่ กลางทะเลทรายของจีน.สืบค้นเมื่อ 10 กันยายน 2561 ,จาก: https://travel.mthai.com/world-travel/65224.html

ANNELISA STEPHAN .(2015). 14 Fascinating Facts about the Cave Temples of Dunhuang . Retrieved September 10, 2018, from: http://blogs.getty.edu/iris/14-facts-cave-temples-dunhuang/

BBC News.(2015). Dunhuang: a city on the old Silk Road - in pictures. Retrieved September 10, 2018, from: https://www.bbc.com/news/in-pictures-34276009

Shenyunperformingarts.(n.d.). The Mogao Caves of Dunhuang .Retrieved September 10, 2018, from: http://www.shenyunperformingarts.org/learn/article/read/item/zkEPlF7CSao/mogao-caves-dunhuang-chinese-stories-history.html

UNESCO.(n.d.).Mogao Caves. Retrieved September 10, 2018, from: https://whc.unesco.org/en/list/440

Wikitravel.(n.d.). Dunhuang . Retrieved September 10, 2018, from: https://wikitravel.org/en/Dunhuang

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น