หน้าเว็บ

หัวข้อย่อย

ยุคสมัยของอารยธรรม

16 เม.ย. 2563

เกาะฮาชิมะ: แหล่งมรดกโลกกับการปฏิวัติอุตสาหกรรมญี่ปุ่น

โดย คติพจน์ นนทบุตร

ประเทศญี่ปุ่นมีลักษณะทางภูมิศาสตร์เป็นเกาะที่แยกตัวออกมาจากแผ่นดินใหญ่  วางตัวตั้งแต่เหนือจรดใต้ด้วยความยาวกว่า 3,000 กิโลเมตร  ประกอบไปด้วยเกาะเล็กเกาะน้อยกว่า 6,800 เกาะ  ซึ่งถ้าสังเกตให้ดีก็จะมีรูปร่างหน้าตาคล้าย “ม้าน้ำ”  ซึ่งมีส่วนหัวของม้าน้ำเป็นเกาะฮอกไกโด และส่วนลำตัวยาว ๆ เป็นเกาะฮอนชู   มีส่วนหางและครีบเป็นเกาะชิโกกุและเกาะคิวชู และหนึ่งในนั้นก็มีเรื่องเล่าถึงความลี้ลับความน่ากลัวเกี่ยวกับอาถรรพ์  เหมือนต้องคำสาปแห่งท้องทะเล ให้เป็นเกาะร้างมาจนถึงปัจจุบันและกระทั่งเกาะนี้ ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกแห่งใหม่  เกาะแห่งนั้นมีชื่อว่า “เกาะฮาชิมะ はしま”


เกาะฮาชิมะ

เกาะฮาชิมะเป็นเกาะที่ตั้งอยู่นอกชายฝั่งห่างจากเมืองนางาซากิ ประมาณ 15 กิโลเมตร มีลักษณะทางภูมิศาสตร์เป็นเกาะที่แยกตัวออกมาจากแผ่นดินใหญ่  สมัยที่เกาะฮาชิมะรุ่งเรือง ถูกตั้งชื่อว่า เกาะเรือรบ เกาะแห่งนี้เป็นเกาะที่ไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่ถูกมนุษย์สร้างขึ้นใน ค.ศ.1887 และเสร็จใน ค.ศ.1890 ใช้ระยะเวลาในการสร้างในระยะเวลา 3 ปี โดยบริษัทมิตซูบิชิ เกาะนี้มีคุณสมบัติโดดเด่นในด้านอุตสาหกรรมถ่านหิน และจุดประสงค์ของการสร้างเกาะ ก็เพราะต้องการใช้ทรัพยากรทางธรรมชาติมาใช้ประโยชน์นั่นก็คือ “แร่ถ่านหินธรรมชาติ” เพื่อนำมาใช้งานและส่งออก ดังนั้นการทำแร่ถ่านหินจึงเกิดขึ้น แน่นอนว่าสิ่งสำคัญในการทำงานก็ต้องมีแรงงาน ผู้คนเริ่มเข้ามาอยู่ ตั้งถิ่นฐานอาศัยทำมาหากินเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งครอบครัวของคนงานจนเริ่มหนาแน่น ต่อมาในปี 1890 บริษัท Mitsubishi เห็นว่าเกาะนี้ น่าจะสร้างรายได้มหาศาล จึงตัดสินใจซื้อเกาะแห่งนี้ โดยมีโครงการว่าจะขุดถ่านหินจากทะเลขึ้นมา


ทางขวาของภาพ คือซากสะพานทางเชื่อมสู่ปากทางเข้าอุโมงค์ที่ 2 ของเหมือง 

ในช่วงปลายของสมัยเอโดะ มีการค้นพบถ่านหินคุณภาพดี หลังจากนั้นตั้งแต่ ค.ศ. 1890 เป็นต้นมา ทั่วพื้นที่ของเกาะแห่งนี้ก็กลายเป็นแหล่งวัตถุดิบสำหรับอุตสาหกรรมเหล็ก ในช่วงยุคทองของอุตสาหกรรมถ่านหินนั้นเป็นที่ภาคภูมิใจกันว่าเกาะแห่งนี้มีผู้คนอาศัยอยู่กันอย่างหนาแน่น เพราะว่าพื้นที่ครึ่งหนึ่งของเกาะเป็นเหมือง จึงมีการใช้ประโยชน์จากที่ว่างอันน้อยนิด สำหรับเป็นที่อยู่อาศัย และถือเป็นเกาะที่มีการก่อสร้างอาคารคอนกรีตเสริมเหล็กเป็นแห่งแรกของประเทศญี่ปุ่นเลยทีเดียว พร้อมกับที่เทคโนโลยีการขุดเจาะพัฒนาขึ้นพื้นที่โดยรอบเกาะก็ขยายขึ้นเช่นกัน

เกาะฮาชิมะ มีวัสดุที่ใช้สร้างที่อยู่อาศัย แบบคอนกรีตเสริมเหล็ก และยังเป็นที่แรกในประเทศญี่ปุ่น โดยโครงสร้าง การก่อสร้างในระยะแรกเป็นการสร้างอาคารเพียง 4 ชั้น แต่ต่อมาก็ต่อเติมจนเป็นอาคาร 7 ชั้น ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่มาก ๆ เมื่อเทียบกับตึกในสมัยนั้น และด้วยตัวอาคารที่ยังหลงเหลือซากมาให้พบเห็นจนตอนนี้นี่เองที่เป็นเหมือนตัวจุดประกายให้เห็นถึงภาพชีวิตความเป็นอยู่ของชาวเกาะเมื่อวันวานสำหรับผู้คนที่มองเข้ามา ซึ่งถ้ามองออกมาจากข้างนอกเกาะ จะพบว่า ลักษณะเด่นของเกาะ ฮาชิมะ เป็นเกาะกลางทะเลที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยว ถ้ามองจากด้านบนจะเห็นภาพเกาะ ที่มีการตกแต่ง คล้ายกับเรือรบลำใหญ่ลอยลำอยู่กลางทะเล เล่ากันว่า ในสมัยสงครามโลก ทางสหรัฐฯ ได้ส่งเรือดำนำมาเพื่อจะเข้าโจมตีญี่ปุ่น แต่ทางทหารอเมริกาได้เห็นเกาะฮาชิมะเป็นเรือรบขนาดใหญ่เลยไม่กล้าเข้าโจมตี และล่าถอยกลับไป ปัจจุบัน เกาะฮาชิมะ ได้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของญี่ปุ่นและเป็นสิ่งก่อสร้าง ที่ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมของญี่ปุ่น

เกาะฮาชิมะนี้เป็นเกาะที่มีทั้งเทคโนโลยีล้ำสมัยที่สุดของญี่ปุ่นในยุคนั้นและมีลักษณะเหมือนเมืองหลวง แต่เพราะการสั่งปิดเหมืองใน ค.ศ. 1974 ตามนโยบายจัดระบบเรื่องพลังงานของรัฐบาลทำให้เกาะนี้กลายเป็นเกาะร้าง อาคารบ้านเรือนก็เก่าทรุดโทรมลงและถูกสั่งห้ามเข้าใช้ อย่างไรก็ตามในปัจจุบันส่วนหนึ่งของเกาะกำลังได้รับการฟื้นฟูและมีความเป็นไปได้ที่จะเปิดให้เข้าไปอีกครั้ง จากความสำเร็จในการรณรงค์ให้อนุรักษ์กุนคังจิมะที่ถูกผลักดันมาตลอดจากกลุ่มชาวเกาะที่เคยอาศัยอยู่ในอดีตทำให้ในปี 2015 เกาะร้างแห่งนี้ก็ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลก


มรดกโลกแห่งใหม่ของญี่ปุ่น เกาะเรือรบฮาชิมะ
ที่มา: https://www.marumura.com/

โรงงานและเหมืองต่างๆ ที่ถูกปล่อยร้างมาช้านานในญี่ปุ่น รวมถึงเกาะร้างที่เสมือนป้อมปราการใกล้เมืองนางาซากิ ได้กลายเป็นความภาคภูมิใจของประชาชนทั้งประเทศ เพราะเขตอุตสาหกรรมนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ซึ่งเกาะฮาชิมะหรือเกาะเรือรบ เป็น 1 ใน 23 เขตอุตสาหกรรมเก่าแก่ที่ทาง องค์การยูเนสโกยอมรับและขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ซึ่งมรดกโลกแห่งใหม่นี้ มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า มรดกของการปฏิวัติอุตสาหกรรมในยุคเมจิ

เกาะฮาชิมะ จึงเป็นตัวอย่างของการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในญี่ปุ่นจากสังคมศักดินาเป็นสังคมอุตสาหกรรมสมัยใหม่  และเคยเป็นสถานที่ที่ชาวเกาหลีกับชาวจีนหลายหมื่นคน ถูกบังคับใช้แรงงานอย่างหนัก เพื่อผลประโยชน์ของรัฐบาลญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่ 2  อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการมรดกโลกได้รับรองสถานะของเกาะฮาชิมะเป็นมรดกโลก ด้วยเงื่อนไขที่ว่า ญี่ปุ่นยอมรับในการ กระทำอันโหดร้ายที่เคยก่อไว้กับแรงงานต่างชาตินับหมื่นคนในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2

สำหรับเกณฑ์การจดทะเบียนสิ่งก่อสร้างเพื่อเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมนั้น การที่สิ่งก่อสร้างสักอย่าง จะได้รับการจดทะเบียนนั้น มีหลากหลายเหตุผล มีสิ่งก่อสร้างต่างๆ มากมาย ที่มีคุณค่า ไม่ว่าจะเป็นด้านจิตใจ ด้านสังคมต่อผู้คนในประเทศญี่ปุ่น เป็นสิ่งก่อสร้างมรดกโลกทางวัฒนธรรม อย่างเช่น สะพานทางเชื่อมสู่ปากทางเข้าอุโมงค์ที่ 2 ของเหมือง ตอม่อของสายพานขนส่งถ่านหินที่ได้จากการขุดเจาะ โรงเรียน และโรงพยาบาล หรือแม้กระทั่งร้านค้าขายของ ที่สะท้อนถึงบริบทสังคมในยุคนั้น เกาะฮาชิมะได้รับการจดทะเบียนครั้งนี้ถือว่าเป็นสถานที่ที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ เนื่องจากเป็นหลักฐานอย่างดีที่แสดงให้เห็นถึงความพยายามและความสำเร็จของการปฏิวัติทางอุตสาหกรรมในสมัยเมจิของญี่ปุ่น และสามารถต่อยอดไปถึงเรื่องราวความสัมพันธ์ของญี่ปุ่นกับชาติตะวันตก ที่นำเทคโนโลยีเข้ามาญี่ปุ่นในยุคนั้นได้นั่นเอง

ถึงแม้ว่าเกาะฮาชิมะ จะเป็นเกาะร้าง และถูกทิ้งร้างไว้ จนเกิดความรู้สึกถึงความเฮี้ยน รวมทั้งมีเรื่องเล่าลือถึงอาถรรพ์ต่างๆ มากมาย อย่างไรก็ตามผู้คนหรือนักท่องเที่ยว ก็ยังอยากเข้ามาสัมผัสและเก็บภาพกับสถานที่สุดเฮี้ยนแห่งนี้ ทำให้เกาะฮาชิมะ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวของญี่ปุ่น ที่ต้องมาเยี่ยมชม ด้วยความที่โครงสร้างของเกาะ ถ้ามองจากด้านบนจะเห็นภาพเกาะ ที่มีการตกแต่ง คล้ายกับเรือรบลำใหญ่ลอยลำอยู่กลางทะเล ซึ่งลักษณะเด่นที่สำคัญ ด้วยความที่โครงสร้าง และวัสดุที่ใช้สร้างเป็นคอนกรีต บวกกับการตกแต่ง ที่มีความอลังการ มหึมา โดดเด่นออกมามากกว่า เกาะอื่นๆ ที่อยู่ใจกลางทะเล ทำให้ เกาะฮาชิมะ เป็นสถานที่สำคัญที่น่ามาเยือนอีกแห่งหนึ่งของโลก


อ้างอิง  

รัชวุฒิ www.marumura.com./(2015).มรดกโลกแห่งใหม่ของญี่ปุ่น เกาะเรือรบฮาชิมะ (ออนไลน์).สืบค้นเมื่อ 3 กุมภาพันธ์ 2563 , จาก : https://www.marumura.com/

Anngle.(2020). “กุนคังจิมะ” เกาะแห่งซากปรักหักพัง มรดกโลกของนางาซากิ (ออนไลน์).สืบค้นเมื่อ 5 กุมภาพันธ์ 2563 , จาก : https://anngle.org/th/j-culture/gunkanjimasekaiisan.html

Dailynews.(2558).เกาะฮาชิมะมรดกโลก (ออนไลน์).สืบค้นเมื่อ 3 กุมภาพันธ์ 2563 , จาก : https://www.dailynews.co.th/article/335746

Hashimaisland.เกาะผีสิง เมืองร้างสุดหลอน ฮะชิมะ หรือ กุงกันจิมะ (Ghost Island หรือ Battleship Island) (ออนไลน์).สืบค้นเมื่อ 7 กุมภาพันธ์ 2563 , จาก : https://hashimaisland.blogspot.com/2013/08/blog-post.html?m=1

The 29th Ronin www.marumura.com./(2012).เกาะฮาชิมะ..เกาะเรือรบ อาถรรพ์เมืองบนเกาะร้าง (ออนไลน์).สืบค้นเมื่อ 3 กุมภาพันธ์ 2563 , จาก : https://www.marumura.com/hashima-island

Travel.trueid.net.(2561).เกาะฮาชิมะ ตำนานเกาะร้าง อาถรรพ์ สุดเฮี้ยน ในญี่ปุ่น(ออนไลน์).สืบค้นเมื่อ 6 กุมภาพันธ์ 2563 , จาก : https://travel.trueid.net/detail/34a75nrEBQ6

15 เม.ย. 2563

ดูลาฮาน (Dullahan) ยมทูตแห่งความตาย

โดย    ณัฏฐณิชา ประจวบกลาง

ตำนานต่างๆ มีที่มาที่ไป มาจากเรื่องเล่าบ้าง เรื่องจริงที่ถูกบิดเบือนบ้าง เฉกเช่นตำนานของ ดูลาฮาน (Dullahan) อัศวินไร้หัว หรือยมทูตแห่งความตาย ตามตำนานของชาวไอริส ซึ่งได้กล่าวไว้ว่า ดูลาฮานในชุดสีดำ ไม่มีหัว ใช้มือซ้ายบังคับม้าเทียม โดยมีม้าไม่มีหัวคอยลากรถม้าที่ทำจากกระดูกคนตาย ส่วนหัวนั้นถูกมือข้างขวาหิ้วเอาไว้ หรืออีกลักษณะหนึ่งก็คือ เป็นร่างไร้หัวขี่ม้าสีดำตัวใหญ่ เช่นเดียวกันมือซ้ายจับบังเหียน ส่วนมือขวาก็หิ้วหัวของตัวเอง ว่ากันว่า ดูลาฮาน นั้นเป็นเหมือนลางบอกเหตุของความตาย ซึ่งถ้าดูลาฮานไปที่บ้านใครแล้ว บ้านนั้นจะต้องมีคนตาย แต่คนตายในที่นี้หมายถึง หมดอายุขัยจริงๆ ไม่ได้ไปฆ่าคนแต่อย่างใด ส่วนการเดินทางไปรับวิญญาณนั้น เค้าก็จะควบม้าภายในความมืด โดยมีหัวที่ส่องแสงสีเขียวเป็นเหมือนกับตะเกียงยามค่ำคืน ดวงตาก็กลอกกลับไปมา ราวกับมองหาทุกสิ่งที่อยู่ละแวกนั้น


ภาพ  Dullahan 
ที่มา : https://www.cmxseed.com/

ต้นกำเนิดของดูลาฮาน ปรากฏบนตำนานพื้นเมืองของชาวไอริสหลายเรื่อง แต่เรื่องที่เป็นที่รู้จักกันมากที่สุดมาจากตำนานของเคลติก คือ เรื่อง  Sir Gavain and the Green Knight ซึ่งในเนื้องเรื่องได้กล่าวไว้ว่า อัศวินมรกตได้ทำการท้าเซอร์กาเวน หนึ่งในอัศวินโต๊ะกลมให้ต่อสู้กัน ด้วยเงื่อนไขที่ว่าใครก็ตามที่ตายในครั้งนี้ จะถือว่าเป็นการตายเอง ไม่มีผู้ใดสังหาร ด้วยกฎ “a year andone day” ซึ่งถ้าพ่ายแพ้จะหมายถึงการสูญเกียรติแห่งนักรบ แต่เซอร์กาเวนก็ยังรับคำท้านี้  เซอร์กาเวนรับขวานมาจากอัศวินมรกตและต่อสู้กัน ใช้เวลาไม่นาน เขาก็ฟันหัวอัศวินมรกตขาดในฉับเดียว! ด้วยเหตุนี้ เพื่อเป็นการรักษาสัญญาที่ว่าผู้แพ้ จะต้องตายด้วยกฎ “a year and one day” อัศวินมรกตจึงก้มลง หิ้วหัวตนเอง และควบทยานม้าออกไป เพื่อไม่ให้ใครรู้ว่าตนสิ้นใจด้วยคมดาบแห่งเซอร์กาเวน ทางด้านเซอร์กาเวนก็ถึงกับทึ่งในสัจจะของอัศวินมรกต จึงเล่าเรื่องของอัศวินมรกตให้กษัตริย์อาเธอร์ฟัง พอกษัตริย์อาเธอร์ได้ฟังจึงเล่าเรื่องนี้ต่อๆ ไป เพื่อยกย่องเซอร์กาเวนในความเก่งกาจและความซื่อสัตย์ของอัศวินมรกต


ภาพอัศวินเขียวจากตำนาน Sir Gavain and the Green Knight

อีกเรื่องเล่าหนึ่งของชาวเคลต์ ที่กล่าวถึงต้นกำเนิดของ ดูลาฮาน  เป็นเรื่องเล่าเก่าแก่ที่กล่าวถึง “ครอบ คับห์” (Crom Dubh) เทพแห่งความอุดมสมบูรณ์ การผสมพันธุ์ เทพผู้สร้าง เทพแห่งความมืด และอีกหลายๆ ชื่อที่เรียกขานเทพองค์นี้ ซึ่ง ครอบ ดีับห์ เป็นเทพที่ผู้คนให้การนับถือมากมายในแถบไอร์แลนด์ โดยเฉพาเหล่ากษัตริย์ เช่น คิงไทเคอร์มาส (King Tighermas) ในแต่ละปี คิงไทเคอร์มาสจะทำพิธีบูชายัญเพื่อให้ ครอม ดับห์ พอใจและมอบความอุดมสมบูรณ์แก่บ้านเมือง การบูชายัญนี้ดำเนินมาตลอดจนกระทั่ง ศตวรรษที่ 6 ชาวคริสต์เข้ามาที่ไอร์แลนด์ และยกเลิกการบูชายัญเพราะถือว่าเป็นสิ่งผิดมนุษยธรรม ทุกคนเชื่อและยกเลิกการบูชายัญตั้งแต่ปีนั้นเป็นต้นมา

จากวันนั้นหลายปีต่อมาเหตุการณ์ดูเหมือนจะปกติ ทว่า ครอม ดับห์ กลับเริ่มไม่พอใจที่พวกมนุษย์หยุดการสักการะตน ทั้งยังทำท่าที่ว่าจะหลงลืม ดรอม ดับห์ จึงเนรมิตตนให้อยู่ในร่างมนุษย์ไร้ศีรษะเพื่อเตือนมนุษย์ให้ตระหนักถึงความตาย และพร้อมจะลงไปเยื่ยมให้มนุษย์ได้เห็น ทำให้ ดรอม ดับห์ ตัดสินใจหิ้วศีรษะของตนเอง แล้วควบม้าทะยานไปหาเหล่ามนุษย์ พร้อมกับเรียกขานชื่อของตนใหม่ว่า “ดูลาฮาน ” ซึ่งจะมอบความตายให้ทุกๆ ที่ที่ตนไปเยือน โดยเมื่อดูลาฮาน หยุดพักม้าที่หมู่บ้านใด ดูลาฮานจะเข้าไปในหมู่บ้านนั้นและทำสัญลักษณ์ซึ่งไม่มีวันลบได้ให้แก่บุคคลนั้น และหากในครั้งต่อมา ดูลาฮานหยุดพักม้าที่หมู่บ้านนั้นอีก คนที่ดูลาฮานทำสัญลักษณ์เอาไว้จะต้องสังเวยชีวิตให้แก่ดูลาฮาน

ดูลลาฮานในความเชื่อของชาวไอริสก็คือยมทูตไร้หัวซึ่งถ้าหากโดนทำสัญลักษณ์ หรือได้เห็นดูลาฮานก็จะพบเจอกับความตาย เชื่อกันว่าเขามักจะกลับมาล่าวิญญาณมนุษย์ในช่วงเดือนสิงหาคม หรือ วันฮัลโลวีน (Halloween Day) ซึ่งดูลาฮานจะควบม้าไปตามทางและเมื่อหยุดที่บ้านใคร แล้วนำเลือดสดๆ สาดใส่คนๆ นั้น คนๆ นั้นจะมีอันเป็นไป หรือดูลาฮานจะเข้าไปในบ้านนั้นแล้วทำสัญลักษณ์บนใบหน้าคนๆ นั้นด้วยเลือดสดๆ เพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่า ครั้งต่อไป จะได้มาเอาชีวิตได้ไม่ผิดคน แต่มีวิธีป้องกันตนเองจาก ดูลาฮานก็คือ การพกทองคำบริสุทธิ์ติดตัวไว้ ดูลาฮานผู้เก่งกาจพ่ายแพ้เพียงอยางเดียวคือ ทองคำบริสุทธิ์

โดยในปัจจุบันยังมีการบูชาคลอม ดับห์ในประเทศสวิตเซอร์เเลนด์และไอร์แลนด์อยู่ ในวันฮัลโลวีนชาวไอร์แลนด์และสวิตเซอร์เเลนด์ จะพากันพกเหรียญทองคำติดตัวและวางแจ็คโอเเลนเทิร์ล (Jack O Lantern)ไว้หน้าบ้านเพื่อป้องกันภูติผีปีศาจ


อ้างอิง

BeelzeBufo. ( 2554) .  ดูลาฮาน. Dek-D.สืบค้นเมื่อ 10 กุมภาพันธ์ 2563, จาก : https://my.dek-d.com/0012/writer/viewlongc.php?id=446421&chapter=220

blogspot.com.(2559). ตำนานและเรื่อลึกลับสากล ดูลาฮาน (Dullahan). สืบค้นเมื่อ 10 กุมภาพันธ์ 2563, จาก : http://ghostnamping.blogspot.com/2016/12/blog-post.html

Prayad.  (2557).อิงเรื่องจริงสารคดี. thaipoem. สืบค้นเมื่อ 10 กุมภาพันธ์ 2563, จาก : http://www.thaipoem.com/เรื่องสั้น-นิยาย/อิงเรื่องจริง-สารคดี/44063

Prayad.  2557.  อิงเรื่องจริงสารคดี. thaipoem.สืบค้นเมื่อ 10 กุมภาพันธ์ 2563, จาก :  http://www.thaipoem.com/เรื่องสั้น-นิยาย/อิงเรื่องจริง-สารคดี/44064

ปอมเปอี (Pompeii) สุสานแห่งความเจริญรุ่งเรือง

โดย ฐาปนี รอดคำวงศ์

ก่อนที่เมืองปอมเปอีจะจมหายไปตลอดกาลจากเหตุการณ์ระเบิดของภูเขาไฟวิสุเวียส ในปี ค.ศ. 79 ซึ่งเป็นเวลา 1500 ปี กว่าที่เมืองปอมเปอีจะถูกค้นพบ ในอดีตเมืองนี้เคยเป็นเมืองท่าที่เจริญรุ่งเรืองเมืองหนึ่งของอาณาจักรโรมันและถือเป็นเมืองตากอากาศยอดนิยมของชาวโรมัน ตัวเมืองมีการวางผังเมืองเป็นระเบียบ มีสาธารณูปโภคที่ขึ้นชื่อและวิหารบูชาเทพเจ้ามากมาย อารยธรรมเหล่านี้ล้วนแสดงให้เห็นถึงความเจริญรุ่งเรืองของอาณาจักรโรมันในอดีตได้เป็นอย่างดี


House of the Faun ที่เมือง Pompeii – ที่พักที่ร่ำรวยที่สุดของปอมเปอี

ปอมเปอี (Pompeii) ตั้งอยู่ใกล้กับเมืองเนเปิลส์ ทางตอนใต้ของประเทศอิตาลี ตัวเมืองมีการสร้างกำแพงล้อมรอบและมีการวางผังเมืองอย่างดี ถือว่าเป็นเมืองที่สวยงามคล้ายภาพวาดเพราะตั้งอยู่ริมอ่าวเมเปิ้ลและเป็นเมืองที่มีภูเขาใหญ่ มีต้นไม้ซึ่งก็คือ ภูเขาไฟวิสุเวียส เอกลักษณ์ของเมืองนี้คือ ชาวโรมันที่มีฐานะร่ำรวยมักสร้างบ้านพักตากอากาศตามชายฝั่งทะเลและเชิงเขาวิซูเวียสเพื่อเข้ามาพักผ่อนในฤดูร้อนจนทำให้กลายเป็นเมืองตากอากาศยอดนิยมของชาวโรมัน นอกจากนี้ยังมีการลงทุนทำการค้าขาย ทำไร่องุ่นและผ้าขนสัตว์รวมทั้งสินค้าหัตถกรรมมากมาย ทำให้เมืองปอมเปอีกลายเป็นศูนย์กลางการค้าและเจริญรุ่งเรืองอย่างมาก เห็นได้จากในเมืองมีอาคารสาธารณะต่างๆ สถาปัตยกรรมที่สวยงาม เช่น โรงอาบน้ำ โรงละคร ฟอรัมเมืองปอมเปอี ที่นับว่าเป็นจุดศูนย์กลางของเมือง มีตลาด ที่ทำการของรัฐและเทวสถานหลายแห่ง เช่น เทวสถานจูปีเตอร์ เทวสถานอพอลโล ฟอรัมแห่งนี้นับว่ามีความใหญ่โตมากที่สุดแห่งหนึ่งของอาณาจักรโรมันโบราณ โดยเวลานั้นมีประชากรอาศัยอยู่ราว 20,000 คน


ร่างปูนปลาสเตอร์ที่อยู่ในท่าทางใช้มือปิดปากปิดจมูก

จนเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม ค.ศ.79 ขณะที่ชาวเมืองกำลังจัดงานเฉลิมฉลองเพื่อบูชาเทพเจ้าแห่งไฟอยู่นั้น ภูเขาไฟวิซูเวียสเกิดระเบิดขึ้นเมื่อเวลาประมาณ 13.30 น. เกิดฝุ่นควันและก๊าซพิษจำนวนมหาศาลถูกพ่นออกมาประกอบกับกระแสลมที่พัดพามันไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งอยู่ใกล้เมืองปอมเปอีพอดี เมืองจึงได้รับผลกระทบจากภูเขาไฟระเบิดอย่างมาก ภายในเวลาเพียงไม่กี่นาทีท้องฟ้าทั่วทั้งเมืองถูกปกคลุมด้วยฝุ่นควันและเกิดท้องฟ้ามืดไปทั้งเมือง ไม่นานนักเศษดินและหินที่ลอยออกมากับฝุ่นควันก็เริ่มจับตัวกันแล้วเริ่มร่วงลงมาสู่เมืองปอมเปอี มีชาวเมืองจำนวนมากที่พยายามหนีออกจากเมืองและบางส่วนไปหลบในบ้านหรือในสถานที่ส่วนรวมแต่มีไม่มากนักที่รอดชีวิต ชาวปอมเปอีจำนวนมากหายใจไม่ออกเพราะ สำลักก๊าซพิษที่ภูเขาไฟพ่นออกมาหรือหินพัมมิซตกลงใส่หัวจนล้มลงหมดสติและเสียชีวิตในที่สุด

เช้าของวันที่ 25 วิซูเวียสระเบิดแรงขึ้น แรงสั่นสะเทือนทำให้เกิดคลื่นแรงในทะเลซัดพังสร้างความเสียหายแก่บ้านพักตากอากาศหลายหลัง  วันต่อมาการระเบิดยังคงมีอยู่แต่เบาลงกว่าสองวันแรก แต่ก็เกิดฝนตกลงมาบริเวณลาดเขาซึ่งเต็มไปด้วยเถ้าถ่านที่ร้อนจัดทำให้น้ำฝนผสมกับเถ้าถ่านกลายเป็นโคลนเดือดไหลลงมากลบเมืองเฮอร์คิวเลเนียม ทำให้เมืองนี้ถูกฝังอยู่ใต้หินและมีชาวเมืองหลายร้อยคนเสียชีวิตแต่เป็นเพียงส่วนน้อยเพราะ ส่วนใหญ่ได้อพยพออกไปก่อนแล้ว  การระเบิดของภูเขาไฟวิสุเวียสไม่เหมือนกับการระเบิดของภูเขาไฟทั่วไปแต่เป็นการระเบิดครั้งนี้เป็นแบบพลิเนียนจึงมีหินภูเขาไฟตกลงมาราวกับฝนและก้อนหินที่ค่อยๆทับถมเมืองปอมเปอีกับผู้คนที่อยู่ภายในเมืองนับหมื่นให้จมลงพร้อมกัน

การขุดซากเมืองปอมเปอี เริ่มขึ้นในปี ค.ศ. 1784 โดยตระกูลบูร์บง จนในปี 1860 กุยเซปเป ฟีโอเรลลี พบวิธีการสำรวจซากเมืองปอมเปอี คือ การเจาะรูเข้าไปในโพรงขี้เถ้าและเทปูนพลาสเตอร์ลงไป รอให้แห้งแล้วขุดขึ้นมาทำให้เห็นท่าทางสุดท้ายของชาวเมืองจำนวนมากที่เสียชีวิตภายใต้เศษเถ้าจากภูเขาไฟท่วมทับ มีบางคนอยู่ในท่าทางคล้ายกับกำลังสวดมนต์และมีหลายรายที่อยู่ในอาการใช้มือปิดปากปิดจมูก  นอกจากนี้ยังพบทรัพย์สินที่อยู่ข้างกายของผู้เสียชีวิตซึ่งบ่งบอกฐานะทางสังคมของแต่ละคน เช่น โครงกระดูกที่มีตุ้มหูหรือสร้อยทองคำ ส่วนทาสสามารถสังเกตได้จากโซ่ที่ล่ามข้อมือไว้ เป็นต้น เนื่องจากมีการขุดค้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปลายปี ค.ศ. 1760 ทำให้เปิดสิ่งที่ทับถมออก ทำให้เห็นสภาพเมืองทั้งถนนและอาคาร บ้านเรือนต่างๆ เช่น คฤหาสน์ วิหารเทพเจ้าจูปิเตอร์และอพอลโล ลานจัตุรัสฟอรัมที่เป็นศูนย์กลางของเมืองซึ่งแสดงให้เห็นถึงความรุ่งเรืองของเมืองปอมเปอี

บางแหล่งก็กล่าวไว้ว่า เหตุที่เมืองปอมเปอีต้องเจอกับเหตุการณ์น่าสลดใจเช่นนี้ นั่นเพราะเป็นเมืองคนบาปที่ถูกพระเจ้าลงโทษ แม้ว่าในเมืองจะเต็มไปด้วยวิหารบูชาเทพเจ้าแต่ก็น่าเศร้าที่เทพเจ้าไม่สามารถที่ช่วยให้พวกเขารอดพ้นจากเหตุการณ์นี้ได้เลยแม้แต่น้อย นี่เป็นที่สิ่งที่เตือนใจทุกคนในเรื่องความไม่เที่ยงแท้ของชีวิต เราไม่มีวันรู้ตัวล่วงหน้าว่าวันพรุ่งนี้จะเกิดเหตุการณ์อะไรกับเรา บางทีอาจประสบชะตากรรมเดียวกันกับเหตุการณ์ปอมเปอีในอดีตก็เป็นได้

ปัจจุบันเมืองปอมเปอีได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมของยูเนสโกตั้งแต่ปี 1997 และเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของอิตาลี นับได้ว่าเป็นเมืองโรมันโบราณแห่งหนึ่งของโลกที่แม้ว่าจะมีอายุเก่าแก่แต่สถาปัตยกรรมต่างๆ กลับคงอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์มาก


อ้างอิง

กระปุกดอทคอม.(2559). ปอมเปอี ประวัติ โศกนาฏกรรมแห่งเมืองภูเขาไฟ อิตาลี (ออนไลน์). สืบค้นเมื่อ 9 กุมภาพันธ์ 2563, จาก : https://hilight.kapook.com/view/

ไทยรัฐออนไลน์.(2557). มหาวิบัติปอมเปอี (ออนไลน์). สืบค้นเมื่อ 10 กุมภาพันธ์ 2563, จาก : https://www.thairath.co.th/content/403745

JINTANA.(2557). สุสานแห่งความเจริญรุ่งเรือง “ปอมเปอี” (Pompeii)1 (ออนไลน์). สืบค้นเมื่อ 9 กุมภาพันธ์   2563, จาก : https://bit.ly/38g4WJ5

Travel.trueid. (2559). ปอมเปอี นครแห่งความตาย เปิดกรุ สุสานใต้ลาวา (ออนไลน์). สืบค้นเมื่อ 9   กุมภาพันธ์ 2563, จาก : https://bit.ly/2tMpRob
     
                                                                   


อพอลโล (Apollo) เทพแห่งดวงอาทิตย์

โดย ชญานิน ลีลาศ

สมัยโบราณมนุษย์ยังไม่ทราบถึงปรากฏการณ์ทางธรรมชาติต่าง ๆ เช่น พายุฝนฟ้าคะนอง น้ำท่วม หรือแผ่นดินไหว เป็นต้น ปรากฏการณ์เหล่านี้ทำให้เกิดความกลัว และสร้างความเดือดร้อนเป็นอย่างมาก จึงมีความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องราวของเหล่าเทพเจ้าเกิดขึ้น เพื่อเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจของตน โดยเชื่อว่าเทพเจ้าควรได้รับการสักการะบูชา และเทพเจ้าจะเฝ้ามอง ปกป้อง และคอยช่วยเหลือพวกตน อีกทั้งยังคอยลงโทษผู้ที่พระพฤติตนไม่ดีอีกด้วย ชาวกรีกโบราณก็คิดเช่นกัน อีกทั้งพวกเขายังมีความเชื่อในของเรื่องเทพเจ้าเป็นอย่างมากเช่น การเกษตร การทำศึกสงคราม การแพทย์ หรือการดนตรี เป็นต้น ไม่ว่าสิ่งใดก็ล้วนเกี่ยวข้องกับเรื่องราวของเหล่าเทพเจ้าทั้งสิ้น


Apollo Belvedere

เทพอพอลโลเป็น 1 ใน 12 มหาเทพแห่งโอลิมปัส บุตรของซุส มหาเทพแห่งท้องฟ้าและนางเลโต
โดยอพอลโลเป็นเทพแห่งดวงอาทิตย์ แสงสว่าง การดนตรี สัจจะ และการแพทย์อีกด้วย อพอลโลถือได้ว่าเป็นเทพเจ้าหนุ่มรูปงาม มีน้องสาวฝาแฝดคือ เทพีอาร์เทมีส (โรมันคือไดอาน่า) ซึ่งเป็นเทพีแห่งดวงจันทร์และการล่าสัตว์อีกด้วย

เดิมสุริยเทพของกรีกคือ ฮีลิออส บุตรของไฮเพอร์เรียน ซึ่งเป็นเทพไทแทน เมื่อเหล่าเทพไทแทนสิ้นอำนาจ และเหล่าเทพเจ้าขึ้นปกครองแทน ชาวกรีกจึงหันมานับถือเทพอพอลโลแทนฮีลิออส

เมื่อนางเลโตมารดาของอพอลโลตั้งครรภ์ นางถูกทำร้ายโดยเทพีเฮร่า เหตุเพราะนางเป็นที่ต้องตาต้องใจของเทพซุส ทำให้นางเลโตต้องอุ้มครรถ์หนีงูไพธอน งูยักษ์ของเทพีเฮร่าที่ส่งมาทำร้ายนางและด้วยคำกล่าวของเทพีเฮร่าที่ว่า ห้ามทุกพื้นที่บนแผ่นดินนี้ให้พี่พักแก่เลโตในการคลอดบุตร ทำให้นางต้องเร่ร่อนไปมาเพื่อหนีงูไพธอน ทั้งยังไม่สามารถหาที่พักพิงในการคลอดบุตรได้ เมื่อนางเลโตได้เดินทางไปถึงเกาะดีลอส เทพโพไซดอนเกิดความสงสารจึงบันดาลให้เกิดเกาะน้องผุดขึ้นในทะเล ซึ่งไม่ได้อยู่ในพื้นที่คำกล่าวของเทพีเฮร่า นางเลโตจึงสามารถให้กำเนิดบุตรได้ เป็นคู่แฝดชายหญิงคือ เทพอพอลโลและเทพีอาร์เทมีสนั่นเอง

เมื่ออพอลโลถือกำเนิดได้ไม่นาน อพอลโลก็ได้ทำการฆ่างูไพธอน เพราะเหตุนี้บางครั้งเทพอพอลโลก็ถูกเรียกว่า ไพธูส แปลว่า ผู้ประหารไพธอน นอกจากนี้อพอลโลยังมีชื่อเรียกอื่น ๆ อีกมากมาย เช่น ชื่อตามสถาณที่เกิดว่า ดีเลียน หรือฟีบัส ที่แปลว่า แสงสว่าง โดยฟีบัสมักใช้รวมกันกับชื่อของเทพอพอลโล รวมเป็น ฟีบัส อพอลโล

อพอลโลเป็นเทพผู้เก่งกาจ และได้ทำการสังหารศัตรูและสัตว์ดุร้ายต่าง ๆ มากมาย เช่น งูยักษ์ไพธอน ,ยักษ์อโลอาดีและอีฟิอัลทิส ผู้สืบเชื้อสายจากราชวงศ์ไทแทน ที่หวังจะฟื้นคืนราชวงศ์ไทแทนกลับมา ก็ล้วนถูกจัดการด้วยฝีมือของเทพอพอลโลทั้งสิ้น

นอกจากสังหารเหล่าศัตรูและสัตว์ดุร้ายแล้ว เทพอพอลโลยังถือเป็นนักขับกล่อมดนตรีให้แก่เหล่าเทพโอลิมปัสอีกด้วย เทพอพอลโลมักจะถือพิณด้วยมือข้างหนึ่ง และอีกข้างหนึ่งถือคันธนู ซึ่งธนูของเทพอพอลโลนั้นสามารถยิงได้ไกลและแม่นยำเป็นอย่างมาก ทำให้ได้รับสมญานามว่า เทพแห่งธนู อีกทั้งอพอลโลยังเป็นเทพผู้ถ่ายทอดวิชาศิลป์ให้แก่เหล่ามนุษย์

เทพอพอลโลชื่นชอบการเล่นเล่นพิณเป็นอย่างมาก โดยอพอลได้รับพิณมาจากเฮอร์เมสเทพแห่งการสื่อสาร การเดินทาง และหัวขโมย สาเหตุมาจากเฮอร์เมสได้ทำการขโมยวัวของเทพอพอลโลไปซ่อน ทำให้อพอลโลโกรธเป็นอย่างมาก แต่เฮอร์เมสไถ่โทษด้วยการประดิษฐ์พิณชิ้นแรกของโลกให้แก่อพอลโล พิณนี้มีเสียงบรรเลงที่ไพเราะและถูกใจอพอลโลเป็นอย่างมาก จึงยอมคืนดีกับเฮอร์เมสเพื่อแลกกับพิณ

อพอลโลเป็นเทพหนุ่มที่มีรูปโฉมงดงามที่สุด เรียกได้ว่าเป็นตัวแทนของเพศชายชาวกรีกที่งดงามที่สุดเลยก็ว่าได้ โดยอพอลโลได้มีความรักมายมากไม่แพ้ซุสพ่อของตน ไม่ว่าจะทั้งเทพ เทพี มนุษย์ชายหรือหญิง อีกทั้งยังมีบุตรธิดาไม่น้อยกับความสัมพันธ์เหล่านี้

ตำนานของอพอลโลและสนมนางโคโรนิส ธิดาแห่งฟลีจีอัส ราชาแห่งเธสซาลี ในขณะที่นางตั้งครรภ์นางได้เล่นชู้กับชายนามว่าอิสคีส ซึ่งอพอลโลได้ให้อีกา (บางตำนานกล่าวว่าเป็นนกดุเหว่า) เฝ้านางเอาไว้ เมื่ออีกามาบอกข่าว อพอลโลโกรธเป็นอย่างมาก จึงได้ทำการสาปอีกาจากสีขาวเป็นสีดำ และทำการฆ่าโคโรนิส อีกทั้งยังเอาทารกออกมาก่อนเผาศพของนาง นั่นคือเอสคิวเลปิอัส โดยนำเขาไปให้ไครอน ซึ่งเป็นเซนทอร์ที่เชี่ยวชาญในเรื่องวิชาต่าง ๆ เลี้ยงดู

เอสคิวเลปิอัสเป็นคนฉลาด อีกทั้งยังเก่งเรื่องของการเยียวยารักษาโรคต่าง ๆ ไม่มีโรคใดที่เขารักษาไม่ได้ ทั้งยังสามารถทำให้คนตายกลับมามีชีวิตได้อีกครั้ง ชื่อเสียงของเขาแพร่กระจายไปอย่างกว้างใหญ่ไพศาล ฮาเดสเทพเจ้าแห่งความตายและใต้พิภพจึงได้ปรึกษาซุสว่า การฟื้นคืนชีพผู้คนของคิวเลปิอัสจะทำให้โลกรวน และมีผลกระทบกับจัดการเหล่าวิญญาณคนตาย ซุสได้ฟังดังนั้นจึงทำการฆ่าคิวเลปิอัส ด้วยสายฟ้าอาวุธของตน และได้ทำการเปลี่ยนคิวเลปิอัสเป็นกลุ่มดาว เมื่ออพอลโลรู้ถึงการตายของคิวเลปิอัสเขาโกรธเป็นอย่างมาก แต่เพราะไม่สามารถทำอะไรซุส ผู้เป็นพ่อได้ จึงทำการยิงธนูฆ่ายักษ์ไซคลอปส์ที่ประดิษฐ์สายฟ้าของซุสแทน ซุสได้ลงโทษอพอลโลด้วยการเนรเทศให้มาอยู่โลกมนุษย์และเป็นทาสรับใช้มนุษย์เป็นเวลา1ปี



ตำนานความรักของอพอลโลที่เป็นที่น่าจดจำอีกตำนานหนึ่งคือ เรื่องราวความรักของอพอลโลและนิมพ์ดาฟนี (นิมพ์คือสตรีที่เป็นตัวแทนสิ่งต่าง ๆ ในธรรมชาติ) เล่ากันว่าดาฟนีเป็นธิดาของเพอนีอัส เทพแห่งแม่น้ำ อพอลโลเมื่อได้เนนางก็ตกหลุมรักแต่แรกพบ อพอลโลได้เดินไปหาดาฟนีแต่นางหันมาพบเขาก่อน ดาฟนีรู้ทันจึงได้หนีอพอลโลขึ้นไปบนภูเขา อพอลโลได้ไล่ตามนางไปอย่างไม่ลดละ เมื่อเขาจวนจะขว้าตัวนาง ดาฟนีได้องขอให้เพอนีอัสพ่อของนางช่วย เพอนีอัสรับรู้คำขอของนางด้วยญาณ จึงได้ทำการเสกนางให้กลายเป็นต้นลอเรล เปลือกไม้เริ่มงอกปกคลุมผิวกาย แขนและมือกลายเป็นกิ่งและใบ นิ้วเท้ากลายเป็นราก ดวงหน้าอันงดงามของดาฟนีถูกฝังไว้กับยอดไม้ ทันทีที่อพอลโลคว้านาง เขาก็สัมผัสได้ถึงเปลือกไม้ นางกลายเป็นต้นไม้ไปต่อหน้าต่อตา เมื่อความรักของเขาไม่สมหวัง อพอลโลจึงได้ทำการรับต้นลอเรลเป็นต้นไม้ประจำตัวและเป็นสัญลักษณ์ของตน อีกทั้งมงกุฏลอเรลยังเป็นสัญลัษณ์แห่งชัยชนะอีกด้วย

อพอลโลรักไฮยาซินธัส เจ้าชายจากลาเคไดโมเนีย แต่เซฟีรัส เทพแห่งลมตะวันตกเกิดความอิจฉา ในขณะที่อพอลโลและไฮยาซินทัสเล่นขว้างจักรกัน เซฟีรัสจึงให้ให้จักรของอพอลโลไปโดนศรีษะของไฮยาซินทัสจนเสียชีวิต อพอลโลเสียใจมากจึงเปลี่ยนให้ไฮยาซินทัสเป็นดอกไม้ หรือดอกไฮยาซิน

อพอลโลเป็น1ใน 12 เทพแห่งโอลิมปัส โดยเป็นบุตรชายของมหาเทพซุส เทพแห่งท้องฟ้า และนางเลโต อพอลโลเป็นเทพแห่งดวงอาทิตย์ แสงสว่าง การดนตรี สัจจะ และการแพทย์ โดยทั่วไป รูปปั้นอะพอลโล จะถือเครื่องดนตรีคล้ายพิณและมีลูกบอลทองคำ ที่เป็นสัญลักษณ์ของดวงอาทิตย์ ปัจจุบัน อพอลโลเป็นชื่อที่ถูกอ้างอิงบ่อย ๆ ในทางที่เกี่ยวกับแสงสว่างหรือความสำเร็จ เช่น เป็นชื่อปฏิบัติการ ทางอวกาศ ของนาซาที่เรียกว่า โครงการอพอลโล เป็นต้น


อ้างอิง

12 เทวสภาเเห่งยอดเขาโอลิมปัส. (2557). อพอลโล (Apollo). สืบค้นเมื่อ 6 มกราคม 2562. จาก:  https://sites.google.com/site/12thewsphaehengyxdkheaxolimpas/12-the-wsph-aeheng-yxd-khea-xo-limpas/4-x-phxllo-apollo

ตำนานดีๆ. (2558). เทพอพอลโล (Apollo) แทพแห่งดวงอาทิตย์. สืบค้นเมื่อ 6 มกราคม 2562. จาก: https://www.tumnandd.com/

ADMIN. (2553). อพอลโล (Apollo) เทพแห่งแสงสว่าง หรือ เทพแห่งดวงอาทิตย์. สืบค้นเมื่อ 6 มกราคม 2562. จาก: http://variety.phuketindex.com/faith/

สำนักงานบริหาร สภากาชาดไทย. (2563)..เทพเจ้ากรีก. สืบค้นเมื่อ 13 เมษายน 2563. จาก: https://adminis.redcross.or.th/

ADMIN. (2562).ตำนานอพอลโล (Apollo) เทพแห่งแสงอาทิตย์ และดวงอาทิตย์ ตอนที่ 2. สืบค้นเมื่อ 13 เมยายน 2562. จาก: https://trvsdjam.com/2019/10/05/

12 เม.ย. 2563

นครลึกลับใต้พิภพแห่งคัปปาโดเจีย (Cappadocia)

โดย มัลลิกา นาคเล็ก

หากพูดถึงประเทศ ๆ หนึ่งในตะวันออกกลางอย่าง “ตุรกี” ผู้คนส่วนใหญ่ก็อาจจะนึกถึงเทศกาลบอลลูน ซึ่งมีชื่อเสียงอย่างมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมือง คัปปาโดเจีย (Cappadocia) ซึ่งเป็นเมืองที่มีการปล่อยบอลลูนมากที่สุดในตุรกี คัปปาโดเจียมีความสำคัญมาแต่โบราณกาล เป็นบริเวณที่อยู่ระหว่าง ทะเลดำ กับ ภูเขาเทารุส เป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางสายไหม เมืองแห่งนี้ยังเป็นพื้นที่พิเศษที่เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟเมื่อประมาณ 3 ล้านปีมาแล้ว ทำให้ลาวาที่พ่นออกมาและเถ้าถ่านจำนวนมหาศาลกระจายไปทั่วบริเวณ ทับถมเป็นแผ่นดินชั้นใหม่ และสลับกับการถูกปกคลุมด้วยหิมะขึ้นมาอย่างยาวนาน ทำให้ดินแดนแห่งนี้มหัศจรรย์เป็นเอกลักษณ์งดงามดูแปลกตา โดยทั้งหมดถูกรังสรรค์โดยธรรมชาติ


เมืองคัปปาโดเจีย
ที่มา : http://www.pentorexchange.com/

คัปปาโดเจีย  (Cappadocia ) เป็นชื่อเก่าแก่ภาษาฮิตไตต์ (ชนเผ่ารุ่นแรกๆ ที่อาศัยอยู่ในดินแดนแถบนี้) แปลว่าดินแดนแห่งอาชาที่แสนงามสง่า (The Land of Beautiful Horses) ซึ่งเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ในเขตอนาโตเลียตอนกลางของประเทศตุรกี (ระหว่างทะเลดำกับภูเขาเทารุส) มีภูมิประเทศที่แปลกตา เต็มไปด้วยหินรูปแท่งกรวย ปล่อง กระโจม โดม และอีกสารพัดรูปทรง ดูเสมือนดินแดนในเทพนิยาย จนคนพื้นเมืองเรียกหินรูปทรงแปลกประหลาดนี้ว่า “ปล่องไฟนางฟ้า” (Fairy Chimneys)

และหากพูดถึงเมืองแห่งนี้อีกหนึ่งสถานที่ที่มิอาจมองข้ามได้นั่นคือ “นครลึกลับใต้พิภพ” เนื่องจากเมืองใต้ดินในคัปปาโดเจียและพื้นที่รอบ ๆ ว่ากันว่าอาจจะมีจำนวนมากกว่าห้างในกรุงเทพ ฯ ของเราด้วยซ้ำ เพราะปัจจุบันมีการค้นพบแล้วมากกว่า 30 แห่ง โดยเมืองใต้ดินขนาดใหญ่สามารถบรรจุคนได้หลายหมื่นคน มีการแบ่งสันปันส่วนที่พัก คอกสัตว์ ห้องเก็บไวน์ ห้องอาหาร ห้องครัว ห้องหมักเหล้า ศาสนสถาน รวมถึงพื้นที่ฝังศพ โดยมีระบบระบายอากาศครบครันถึงระดับความลึกกว่า 60 เมตร


ห้องภายในใต้ดิน

สาเหตุของการเกิดถ้ำใต้ดินนั่นเพราะในช่วงราวศตวรรษที่ 1 ก่อนคริสตกาล คัปปาโดเจียตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของอาณาจักรโรมัน ผู้คนแถบนี้ล้วนต่างเคารพบูชาในเทพเจ้าของกรีกและโรมัน กระทั่งประมาณกลางคริสต์ศตวรรษที่ 1 “เซนต์ปอล” ได้เดินทางมาเผยแผ่ศาสนาคริสต์ในแถบนี้ แต่ดูเหมือนว่าชาวโรมันผู้ปกครองในยุคนั้นจะปฏิเสธและไล่กำจัดทำลายล้าง ผู้ที่นับถือคริสต์ต้องหลบซ่อนการรังควานของพวกโรมันด้วยการเจาะถ้ำขุดพื้นดินลงไปเป็นอุโมงค์โถงห้อง เกิดเป็นเมืองใต้ดินขึ้นมา ที่สำคัญคือ พวกเขาได้ขุดเจาะบริเวณเกอเรเม่ทำเป็นโบสถ์ถ้ำขึ้นมาเป็นจำนวนมาก

ทางตอนใต้ของเมืองคัปปาโดเกียมีเมืองใต้พิภพที่มีชื่อเสียงเป็นอย่างมากเรียกว่าเมืองใต้พิภพไคมัคลี  (Kaymakli Underground City) ถือเป็นเมืองใต้ดินโบราณที่ใหญ่ที่สุดในโลกมีอายุราวๆ 4,000-5,000ปี ทั้งหมดของเมืองอยู่ใต้ดิน เมืองใต้ดินแห่งนี้ขุดลึกลงไปมากกว่า 10 ชั้น ห้องที่อยู่ลึกที่สุดมีความลึกประมาณ 85 เมตร และภายในเมืองใต้ดินยังแบ่งซอยเป็นห้องย่อย และยังมีการขุดเชื่อมกันระหว่างแต่ละเมืองอีกด้วย


แผนผังเมืองใต้ดิน

ซึ่งภายในเมืองใต้ดินมีห้องอำนวยความสะดวกครบทุกอย่างไม่ว่าจะเป็น ห้องนอน ห้องน้ำ ห้องอาหาร ห้องประชุม คอกสัตว์ โบสถ์  บ่อน้ำ บางห้องเป็นห้องโถงกว้าง ว่ากันว่าสามารถจุคนได้มากกว่า 30,000 คน รวมถึงมีโพรงระบายอากาศอย่างดี ทำให้ไม่ร้อนไม่หนาวจนเกินไป การขุดเจาะพื้นดินลึกลงไป 10 กว่าชั้น เพื่อใช้เป็นที่หลบภัยจากข้าศึกศัตรู ในยามสงครามซึ่งการลงไปอยู่ใต้ดินไม่ออกมาเห็นแสงตะวันเลยนั้นนานถึง 6 เดือนถึงหนึ่งปี นับเป็นสิ่งไม่ธรรมดาเลยทีเดียว บริเวณนี้มีเมืองใต้ดินอยู่หลายแห่ง บางแห่งมีอุโมงค์ลับเชื่อมถึงกัน หากศัตรูค้นพบเมืองใต้ดินแห่งนึง ผู้คนก็จะหลบหนีไปเมืองใต้ดินอีกเมืองหนึ่งด้วยอุโมงค์ลับนี้เองของชาว คัปปาโดเจียในอดีต โดยทั้งจากชาวอาหรับจากทางตะวันออกที่ต้องการเข้ามายึดครองดินแดนนี้ เพื่อหวังผลประโยชน์ทางการค้า และชาวโรมันจากทางตะวันตกด้วยเหตุผลเดียวกัน รวมทั้งต้องการที่จะหยุดยั้งการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ในดินแดนแถบนี้
       

ห้องภายในใต้ดิน


โบสถ์คริสต์ ณ ห้องใต้ดิน

ผู้คนสมัยก่อนขุดสร้างนครใต้ดินนี้ได้อย่างไร จากข้อมูลพื้นดินรอบ ๆ จะมีสีที่แตกต่างมีทั้งดินที่ดูเหลือง และแดง เหตุเพราะว่ามีภูเขาไฟที่ยังระอุ 3 ลูกล้อมรอบคัปปาโดเจียเป็นพื้นที่สามเหลี่ยม ซึ่งการระอุเกิดขึ้นเมื่อ 3 ล้านปีก่อน ดังนั้นเมื่อเกิดการระเบิด เถ้าภูเขาไฟ (ทูฟา Tufa) จึงปกคลุมเมืองคัปปาโดเจีย เมื่อกาลเวลาผ่านไปเป็นล้านปี เถ้าเหล่านี้ปกคลุมเป็นชั้นที่หนา และแข็ง สถานะเป็นหินตะกอน ที่มีความไม่แข็งมาก ผู้คนจึงสามารถขุดเจาะลงไปสร้างเมืองได้โดยง่าย แต่หินนี้ก็แข็งแรงพอที่จะสร้างบ้านใต้ดิน จึงเห็นบ้านถ้ำเมืองถ้ำ ได้ในบริเวณนี้ เมื่อมีลมพัด ฝนตก หิมะตก ก็ได้เซาะหินเหล่านี้ทุกปีนับร้อย ๆ ปี จนรูปร่างหินเปลี่ยนไปตามกาลเวลา ทำให้บริเวณนี้เป็นดินแดนที่เป็นหนึ่งเดียวในโลกที่เราจะเห็นหินที่มีรูปร่างแตกต่างกันมากมาย


       
ในปัจจุบันเมืองคัปปาโดเจียได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติและวัฒนธรรม จากยูเนสโก (UNESCO) เมื่อปีค.ศ.1985 เนื่องด้วยสาเหตุที่เมืองแห่งนี้มีความสำคัญตั้งแต่โบราณกาล โดยในปัจจุบันยังมีคนอาศัยอยู่ในเมืองใต้ดิน  และทุกวันนี้บ้านหินเกือบทั้งหมดถูกทิ้งร้างเพื่อการอนุรักษ์ เพราะหินทูฟานั้นมีลักษณะเปราะบาง เพียงแค่สายลมพัดผ่านก็ทำให้บ้านเหล่านี้เสื่อมสภาพได้ แต่ถึงอย่างไรก็ยังมีโรงแรม ร้านอาหารที่รัฐบาลอนุญาติให้สร้างในภูเขาบางส่วน และก็ยังมีชุมชนโบราณบางส่วนที่ยังมีคนอาศัยอยู่จริงในหิน

ถือได้ว่าเมืองคัปปาโดเจียเป็นอีกแหล่งท่องเที่ยวหนึ่งที่สำคัญและไม่ควรพลาดที่จะมาเยี่ยมชมหากเดินทางมาเที่ยวที่ตุรกี เพราะเป็นสถานที่ที่น่าสนใจ น่ามาชมและศึกษามากมาย ไม่ว่าจะเป็นเกี่ยวกับความมหัศจรรย์ของธรรมชาติ วัฒนธรรมและวิถีชีวิตของผู้คนเมืองคัปปาโดเจียและที่เมืองใต้ดินแห่งนี้ และมากไปกว่านั้นเมืองใต้ดินแห่งนี้ยังสะท้อนให้เห็นถึงอารธรรมของมนุษย์ที่ย้อนไปหลายพันปี แสดงถึงความรู้และความเชี่ยวชาญในการสร้างผังเมืองและความรู้ทางวิศวกรรมของผู้คนสมัยโบราณว่าไม่ธรรมดา และน่าค้นหาเป็นอย่างยิ่ง


อ้างอิง

Oporshady. (2556). คัปปาโดเจีย อัศจรรย์ นครใต้พิภพ! .ค้นเมื่อ 5 กุมภาพันธ์ 2563,  จาก:
https://travel.mthai.com/world-travel/46251.html

Manasya. (2551). เยือนเมืองคัปปาโดเกีย .ค้นเมื่อ 5 กุมภาพันธ์  2563, จาก:
https://www.angelstartravel.com

Sakulrat Preedaphol. (ม.ป.ป.). CAPPADOCIA ประติมากรรมธรรมชาติโลกตะลึง .ค้นเมื่อ 5 กุมภาพันธ์  2563, จาก:  https://travel.mthai.com/world-travel/46251.html

บริษัท โอเชี่ยนสไมล์ทัวร์ จำกัด. (ม.ป.ป.). เมืองคัปปาโดเจีย มหานครใต้ดิน .ค้นเมื่อ 5 กุมภาพันธ์  2563,  จาก: http://www.oceansmile.com/Turkey/Cappadocia.shtml



10 เม.ย. 2563

รัฐในอุดมคติของเพลโต

โดย วชิระ ศรีรัตนพาณิชย์

บนโลกของเราทุกอย่างมีที่มาที่ไปกันทั้งนั้น กฎหมายก็เช่นกัน โดยเฉพาะกฎหมายมหาชนซึ่งถือเป็นกฎหมายที่มีมายาวนาน กว่าจะได้รับอนุญาตให้นำมาใช้ได้ต้องมีการคิดแล้วคิดอีก คิดไตร่ตรองหลายรอบว่าดีแล้วหรือยัง จึงสามารถนำมาประกาศใช้ได้ ดังนั้นกฎหมายจึงยากที่จะเข้าใจ การที่จะเข้าใจถึงความหมายของกฎหมายได้นั้น จึงมีความจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้ถึงความเป็นมา ซึ่งในบทความรัฐในอุดมคติของเพลโตที่จะกล่าวต่อไปนี้ จะเป็นการอธิบายเกี่ยวกับแนวคิดของเขาที่มีต่อรัฐและระบบการปกครอง ซึ่งแนวคิดของเขานั้น ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการนำหลักกฎหมายมาใช้ในยุคอารยธรรมกรีก

กรีกในสมัยโบราณเป็นยุคที่แนวคิดเกี่ยวกับกฎหมายได้ถือกำเนิดขึ้น การปกครองของกรีกนั้นจะเป็นรูปแบบของการปกครองแบบนครรัฐ เช่น นครรัฐเอเธนส์ นครรัฐสปาร์ตา ในแต่ละนครรัฐมีรูปแบบการปกครองที่แตกต่างกันออกไป และเปลี่ยนรูปแบบไปเรื่อยๆ ตามกาลเวลา เริ่มต้นจากการที่ปกครองโดยกษัตริย์องค์เดียว ถัดมาเป็นการปกครองโดยอภิสิทธิ์ชน ต่อมาเป็นการปกครองในรูปของเผด็จการ และไปสู่การปกครองในรูปแบบประชาธิปไตย

การปกครองในรูปแบบที่หลากหลายของกรีก ทำให้เห็นความแตกต่างของแนวคิดทางการปกครอง ซึ่งส่งผลให้นักปราชญ์ในยุคนี้มีหน่อความคิดเกี่ยวกับแนวคิดทางกฎหมาย และหน่อความคิดนั้นก็ได้พัฒนาการจนกลายเป็นรากฐานและต้นกำเนิดของกฎหมาย ยุคอารยธรรมกรีกนั้นกฎหมายจะถูกเขียนในรูปของปรัชญามากกว่าในรูปของกฎหมาย ผู้ก่อตั้งแนวคิดเกี่ยวกับกฎหมายก็คือเหล่านักคิดนักปราชญ์ทั้งหลาย และหนึ่งในนั้นที่วางรากฐานเกี่ยวกับ “หลักนิติรัฐ” มีชื่อว่า เพลโต ลูกศิษย์ของโสเครติส


Plato

เพลโต (Plato) เป็นนักอุดมคติในยุคอารยธรรมกรีก หนังสือที่ได้รับการกล่าวถึงอย่างมากของเขา คือ Republic, Statesman และ Laws ทั้งสามเล่มเป็นแนวคิดทางการเมือง ซึ่งเขาได้ถ่ายทอดแนวคิดผ่านบทสนทนาของตัวละครที่อยู่ในหนังสือ

หนังสือเล่มแรก คือ The Republic เป็นหนังสือเกี่ยวกับแนวคิดของรัฐในอุดมคติ เป็นรัฐที่ผู้ปกครองจะต้องมีปัญญา มีความรู้ รู้จักว่าสิ่งไหนดีสิ่งไหนไม่ดี มีความสามารถในการชักชวนผู้คนให้ทำความดี ดังนั้น ผู้ที่ปกครองรัฐในอุดมคตินั้นจะต้องเป็นคนที่มีคุณธรรม มีศีลธรรมอันดี เพลโตเรียกมันว่า “ราชาปราชญ์” และผู้ปกครองจะต้องไม่มีครอบครัวและทรัพย์สิน เพื่อที่จะได้ตั้งตนในการทำสิ่งต่างๆ ให้แก่รัฐอย่างเต็มที่ ดังนั้นรัฐในอุดมคติของเพลโต จึงเป็นรัฐที่ไม่จำเป็นต้องมีกฎหมายใดๆ ทั้งสิ้น ใช้เพียงแค่ปัญญาและความสามารถของราชาปราชญ์ก็เพียงพอ ในด้านของการปกครองนั้น เขาได้กล่าวว่าการปกครองแบบประชาธิปไตยเป็นระบบการปกครองที่แย่ การปกครองที่ดีที่สุดคือ การปกครองแบบราชาธิปไตย เป็นการปกครองที่มีกษัตริย์ที่เป็นนักปราชญ์และมีคุณธรรมเป็นผู้ครองรัฐ


The Republic

หนังสือเล่มที่สอง คือ The Statesman ในหนังสือเล่มนี้ เพลโตกล่าวว่าระบบการปกครองแบบราชาธิปไตย ในหนังสือเรื่อง The Republic นั้นเป็นไปได้ยากมาก จึงเปลี่ยนแนวคิดจากระบบราชาธิปไตยมาเป็นแบบประชาธิปไตยแทน ในหนังสือเล่มนี้ เขาได้เปลี่ยนความคิดที่ว่าการปกครองแบบประชาธิปไตยที่เขาเคยมองว่ามันแย่นั้น แท้จริงแล้วมันเป็นระบบการปกครองที่เหมาะสมในการปกครองรัฐ


The Statesman
ที่มา: https://www.amazon.com/

หนังสือเล่มที่สาม คือ The Laws ในหนังสือเล่มนี้ แนวคิดของระบบการปกครองแบบราชาธิปไตย และประชาธิปไตย ของเพลโตในหนังสือเล่มแรก และเล่มที่สองนั้น มันเป็นระบบที่แย่ทั้งคู่ กล่าวคือ ระบบการปกครองแบบราชาธิปไตย อำนาจจะอยู่ที่กษัตริย์เพียงคนเดียว ถ้ากษัตริย์ไร้คุณธรรม จรรยา ประชาชนก็จะเดือดร้อน ในขณะที่ระบบการปกครองแบบประชาธิปไตยนั้น เป็นระบบการปกครองที่มอบสิทธิและมอบอำนาจให้แก่ประชาชน ซึ่งประชาชนอาจจะใช้สิทธ์นั้นในทางที่ผิด เนื่องจากมีความรู้น้อย ดังนั้นในหนังสือเล่มที่สาม The Laws เขาจึงเสนอการปกครองรูปแบบใหม่ คือการเอาทั้งระบบการปกครองแบบราชาธิปไตย และประชาธิปไตย มาผสมกัน ดังนั้น จึงมีการสร้างหลักกฎหมายขึ้นมา ทั้งกษัตริย์และประชาชนจะต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย ทุกคนจะต้องเคารพและปฏิบัติตาม หลักกฎหมายที่เขานำมาใช้ เรียกว่า “หลักนิติรัฐ”


The Laws
ที่มา: https://www.amazon.com/

หนังสือทั้งสามเล่มของเพลโต ได้แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการทางแนวคิดของตัวเขาเองเกี่ยวกับรัฐในอุดมคติ ที่มีความแตกต่างกันออกไปในแต่ละช่วงชีวิต ซึ่งแนวคิดเหล่านั้นได้รับมาจากการตกผลึกทางความคิดของเขาเอง ในปัจจุบัน มีหลายประเทศที่นำแนวคิดของเพลโตไปปรับใช้ เช่น ประเทศไทยได้นำหลักนิติรัฐมาปรับใช้ในระบบการปกครอง ดังนั้นแล้ว เพลโตถือว่าเป็นคนที่วางรากฐานหลักนิติรัฐและระบบการปกครองไว้ให้แก่คนรุ่นหลังจนถึงปัจจุบันนี้


อ้างอิง

Teerayaut. (2012). แนวคิดและต้นกำเนินกฎหมายมหาชน. สืบค้นเมื่อวันที่ 9/2/2020. จาก  https://teerayaut.wordpress.com/2012/07/31/

ศาสตราจารย์ ดร.นันทวัฒน์ บรมานันท์. (2551). แนวคิดและปรัชญาของกฎหมายปกครอง. สืบค้นเมื่อวันที่ 9/2/2020. จาก http://public-law.net/publaw/view.aspx?id=1228

พระนิติกร จิตฺตคุตฺโต. (2015). การศึกษาเปรียบเทียบปรัชญาการเมืองของเพลโต กับแนวคิดทางการเมืองของพุทธทาสภิกขุ. สืบค้นเมื่อวันที่ 9/2/2020. จาก http://www.ojs.mcu.ac.th/index.php/jmcukk/article/view/2136

Bubeeja. (2556). เพลโต. สืบค้นเมื่อวันที่ 9/2/2020. จาก http://bubeeja.blogspot.com/2013/01/blog-post_20.html

The Beatles ตำนานวงดนตรีแห่งศตวรรษที่ 20

โดย ชลิตา  สัพโส

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าพลังแห่งเสียงเพลงนั้นเป็นพลังยิ่งใหญ่ที่สามารถสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ในสังคมได้ ไม่ว่าจะเป็นแรงบันดาลให้ผู้คน ให้กำลังใจหรือความเพลิดเพลินในยามที่เรารู้สึกท้อแท้และเหนื่อยล้า และยังเป็นขุมพลังที่ซ่อนความมหัศจรรย์เอาไว้ เวลาที่เราเศร้าก็ฟังเพลง มีความสุขก็ฟังเพลง วง The Beatles เองก็เป็นหนึ่งในความมหัศจรรย์ของโลกดนตรีเช่นกัน ในโลกที่ผู้คนไม่ได้ถูกเชื่อมต่อกันด้วยเครือข่ายออนไลน์อย่างทุกวันนี้ การก้าวขึ้นมาเป็นตำนานแห่งโลกดนตรีในศตวรรษที่ 20 ถือเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย และในวันนี้ที่เราก้าวเข้าสู่ศตวรรษ 21 จึงขอถือโอกาสนี้พาทุกคนมาทำความรู้จักกับวงร็อกแอนด์โรลในตำนานอย่าง The Beatles ที่กำลังจะมีอายุวงครบ 60 ปีในปี 2563 นี้


ภาพวง The Beatles (เดอะ บีทเทิลส์) จากอัลบั้ม Abbey Road

The Beatles (เดอะบีเทิลส์)  เป็นวงร็อกแอนด์โรลจากเมืองลิเวอร์พูล ประเทศอังกฤษ ในปี 1960 ประกอบด้วยสมาชิก จอห์น เลนนอน (John Winston Ono Lennon) นักร้องนำและมือกีตาร์  พอล แม็กคาร์ตนีย์ (Sir James Paul McCartney) ร้องนำและมือเบส  จอร์จ แฮร์ริสัน (George Harrison) มือกีตาร์  และ  ริงโก สตาร์ ( Sir Richard Starkey, Jr) มือกลอง  The Beatles ได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวางให้เป็นวงร็อกที่มีอิทธิพลที่สุดแห่งยุคและเป็นหนึ่งในวงที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด พวกเขาเริ่มต้นวงด้วยแนวดนตรีแบบสกิฟเฟิลและร็อกแอนด์โรล แต่ในเวลาต่อมา The Beatles ก็ได้สรรค์สร้างแนวเพลงอีกมากมาย และด้วยกระแสนิยมอย่างสูงของ The Beatles  เกิดเป็นกระแส "บีเทิลมาเนีย" (Beatlemania) ขึ้นมา โดยเฉพาะในช่วงยุค 60 – 70


กระแสคลั่งสี่เต่าทอง "Beatlemania"

จุดเริ่มต้นของ The Beatles มาจาก จอห์น เลนนอน ในวัย 16 ปี ได้มีการก่อตั้งกลุ่มวงดนตรีแนวสกิฟเฟิลชื่อว่า The Quarrymen ซึ่งตอนนั้นเขามีอายุแค่ 16 ปี โดยเป็นการรวมตัวกับกลุ่มเพื่อนๆ ในเมืองลิเวอร์พูลเมื่อปี 1957 มีพอล แม็กคาร์ตนีย์ ในวัย 15 ปี เข้าร่วมในตำแหน่งกีตาร์ ซึ่งได้ชวน จอร์จ แฮร์ริสัน ที่อายุแค่ 14 ปี มาชมการแสดงกระทั่งจอร์จได้เข้าร่วมวงในตำแหน่งกีตาร์เมื่อปี 1960 ต่อมาเพื่อนๆ คนอื่นได้เริ่มทยอยออกจากวงขณะที่เลนนอนเองก็ต้องเรียนในระดับสูงขึ้นแต่พวกเขาทั้ง 3 ก็ยังคงเล่นดนตรีแนวร็อกแอนด์โรลอยู่และหวังว่าจะได้พบกับมือกลองดีๆ สักคน กระทั่ง สจ๊วต ซัดคลิฟ (อดีตสมาชิก) ที่เล่นเบสได้เสนอให้เปลี่ยนชื่อวงเป็น The Beetles เพื่อเป็นเกียรติให้กับบัดดี้ ฮอลลี่ และวงเดอะ คริกเกตส์ ก่อนจะเปลี่ยนเป็น The Beatles ในเวลาต่อมา จนในที่สุดพวกเขาก็ได้พบกับ ริงโก สตาร์ มือกลองของวงและรวมตัวกันเป็น The Beatles ในที่สุด

The Beatles เริ่มสร้างชื่อเสียงจากเล่นคอนเสิร์ตในคลับที่ลิวเวอร์พูลและฮัมบวร์คในช่วง 3 ปีของ 1960 โดยมีเพลงฮิตที่ประสบความสำเร็จครั้งแรกอย่าง " Love Me Do "  ในช่วงปลายปี 1962 พวกเขาได้ฉายา "เดอะแฟปโฟร์" (the Fab Four) ในขณะที่กระแสบีเทิลมาเนียก็เริ่มเกิดขึ้นมาและในช่วงก่อนปี 1964 ชื่อเสียงของพวกเขาก็กระจายไปไกลจนถึงตลาดเพลงป๊อปของสหรัฐอเมริกา ในปี 1965 The Beatles ได้สร้างงานดนตรีที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นงานชิ้นเอกของนวัตกรรมดนตรีและอิทธิพลทางดนตรีสมัยใหม่ เช่น Rubber Soul (1965), Revolver (1966), Sgt. Pepper's Lonely Hearts Club Band (1967), The Beatles (หรือที่รู้กันในชื่อ White Album, ปี 1968) และ Abbey Road (1969)


The Beatles กับอัลบั้ม Sgt. Pepper's Lonely Hearts Club Band

ภายหลังวง The Beatles ได้แยกวงในปี 1970 ด้วยความขัดแย้งภายในวง และทำให้พวกเขาจบความสัมพันธ์กันได้ไม่ค่อยดีนัก สมาชิกที่ยังคงมีชีวิตและใช้ชีวิตที่เหลือกับงานเดี่ยวทางดนตรีอย่างต่อเนื่องคือ พอล แม็กคาร์ตนีย์ และ ริงโก สตาร์ ส่วนจอห์น เลนนอนได้ถูกยิงในเดือนธันวาคม 1980 ที่หน้าอพาร์ตเม้นท์ของเขาเอง และแฮร์ริสันเสียชีวิตจากมะเร็งปอดในเดือนพฤศจิกายน ปี 2001

อ้างอิงจากสมาคมอุตสาหกรรมบันทึกเสียงแห่งสหรัฐอเมริกา (RIAA) The Beatles ได้รับการยืนยันว่าเป็นศิลปินที่มียอดจำหน่ายสูงที่สุดในสหรัฐอเมริกา ด้วยยอดจำหน่ายราว 178 ล้านก็อปปี้ และยังมีซิงเกิลฮิตอันดับ 1 บนบิลบอร์ดชาร์ทอังกฤษและทำยอดจำหน่ายซิงเกิลที่สูงสุดตลอดกาล ในปี 2008 The Beatles ได้รับการจัดอันดับจากนิตยสารบิลบอร์ดให้เป็นวงที่ประสบความสำเร็จสูงสุดตลอดกาล ต่อเนื่องกันในปี 2015 และได้รับการบันทึกสถิติซิงเกิลฮิตอันดับ 1 บนบิลบอร์ดฮอต 100 กว่า 20 ซิงเกิล พวกเขาได้รับรางวัลแกรมมีถึง 10 รางวัล รางวัลออสการ์สาขา "คะแนนเพลงดั้งเดิมที่ดีที่สุด" (Best Original Song Score) รางวัลอิวอร์โนเวลโลกว่า 15 รางวัล นิตยสารไทม์ยังได้ทำการใส่ชื่อพวกเขาในหัวข้อ "100 บุคคลที่มีอิทธิพลแห่งศตวรรษที่ 20"

ปัจจุบัน The Beatles ถือเป็น "วงที่มียอดจำหน่ายสูงที่สุดในประวัติศาสตร์" ด้วยยอดจำหน่ายกว่า 600 ล้านก็อปปี้ทั่วโลก พวกเขายังได้ถูกบรรจุเข้าสู่หอเกียรติยศร็อกแอนด์โรล ในปี 1988 ร่วมกับสมาชิกทั้ง 4 คน ซึ่งได้รับต่างหาก จากช่วงปี 1994 ถึง 2015 และในปี 1968 พวกเขาได้ก่อตั้งบริษัทแผ่นเสียงของตนเองโดยใช้ชื่อว่า Apple Records

และถึงแม้ปัจจุบันมีมีวงดนตรีน้องใหม่เกิดขึ้นมากมายทั่วทุกพื้นที่ในมุมโลก พร้อมกับก่อเกิดกระแสดนตรีใหม่ๆ แต่ตำนานแห่งโลกดนตรีอย่าง The Beatles ก็ยังคงถูกกล่าวถึงอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน พวกเขาเปรียบเสมือนคลื่นลูกหน้าสุด ที่ไม่ว่าจะมีคลื่นลูกใหม่เกิดขึ้นมากมายเท่าไหร่พวกเขาก็ยืดหยัดอยู่บนจุดสูงสุดของคลื่นตลอดไป และถึงแม้ The Beatles จะแยกวงกันไป แต่บทเพลงของพวกเขายังคงอยู่ เป็นขุมพลังมหัศจรรย์ที่ยังขับกล่อมชาวโลก พวกเขาได้สร้างเพลงที่มีคุณค่าเอาไว้มากมาย นับเป็นมรดกสำคัญในวงการดนตรีเลยทีเดียว เพลงของพวกเขามีเสน่ห์ สามารถสะกดใจทุกคนที่ได้ฟัง มีความลงตัวทั้งในด้าน เนื้อร้อง ทำนอง เสียงประสาน การเล่น และเรียบเรียงดนตรี ดังนั้น บทเพลงของ The Beatles จึงเป็นอมตะเหนือกาลเวลา จนทำให้ The Beatles ถูกจัดว่าเป็นวงดนตรียอดนิยมอันดับ 1 ตลอดกาลของโลก

และก่อนจากกันไปเราเองก็อยากแบ่งปันขุมพลังดีๆ ให้เรากับทุกคน จึงรวบรวมบทเพลงประทับใจของ The Beatles มาแบ่งปันให้ทุกคนฟัง ไม่ว่าตอนนี้คุณจะกำลังเผชิญกับอะไรอยู่ แต่ตอนที่คุณอ่านบทความนี้เราหวังว่าคุณจะยิ้มได้ ‘ May The Beatles Be With You’ ค่ะ https://open.spotify.com/playlist/5


อ้างอิง

มป. (2551).  ความเป็นมาของ The Beatles (สี่เต่าทอง).  ค้นเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2563,  จาก
https://bahbalie.wordpress.com/2012/07/19/

วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี.  (2562).  เดอะบีเทิลส์.  ค้นเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2563,  จาก
https://th.wikipedia.org/wiki

Bim Dudeplace. (2562).  เทปเปลี่ยนประวัติศาสตร์ เมื่อ The Beatles ไม่ได้ตั้งใจให้ ‘Abbey Road’ เป็น
อัลบั้มสุดท้ายและ John Lennon ไม่ได้อยากแยกวง.  ค้นเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2563,  จาก https://dudeplace.co/2019/09/12/

VERAWONG LEWCHALERMWONG. (2562).  9 อย่างที่จะเปลี่ยนไป ถ้าโลกนี้ไม่มี The Beatles.  ค้นเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2563,  จาก https://www.facebook.com/notes/verawong-lewchalermwong/

30 มี.ค. 2563

พระเจ้าเซจงมหาราช (Sejong the Great)

โดย สุประวีณ์ ขวาธิจักร

หากจะกล่าวถึงพระมหากษัตริย์ที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รักของประชาชนเกาหลี หนึ่งในนั้น คือ พระเจ้าเซจงมหาราช พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์เกาหลีองค์ที่สี่แห่งราชวงศ์โชซ็อน ทรงเป็นที่รู้จักในนามผู้ประดิษฐ์อักษรเกาหลีฮันกึล อีกทั้งยังทรงเป็นหนึ่งในสองกษัตริย์แห่งเกาหลีที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นมหาราช (อีกพระองค์ คือพระเจ้ากวางแกโตมหาราชแห่งราชวงศ์โกคูรยอ)


ที่มา: https://writer.dek-d.com/

พระราชประวัติ

พระเจ้าเซจง (Sejong) เกิดเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม ค.ศ. 1397 เป็นพระราชโอรสองค์ที่สามของพระเจ้าแทจงกับพระนางว็อนกย็อง เมื่อครั้งยังทรงพระเยาว์ได้รับสถาปนาให้เป็นเจ้าชายชุงนยอง และทรงอภิเษกกับพระชายาชิม ซึ่งภายหลังได้รับสถาปนาเป็นพระนางโชฮ็อน พระเชษฐาทั้งสองเห็นว่าเจ้าชายชุงนยองมีความรู้ความสามารถ จึงคิดจะยกบัลลังก์ให้โดยการประพฤติตนเหลวแหลกในราชสำนัก ทำให้เจ้าชายทั้งสองถูกไล่ออกจากวัง หลังจากนั้นพระเจ้าแทจงก็สละราชบัลลังก์ให้แก่เจ้าชายชุงนยองได้ขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้าเซจง

พระราชกรณียกิจ

พระเจ้าเซจง ได้รับการขนานนามว่าเป็น “มหาราช”  เนื่องจากความสำเร็จในการสร้างความก้าวหน้าทางวัฒนธรรมให้กับราชอาณาจักรเกาหลี โดยในรัชสมัยของพระองค์ได้มีการส่งเสริมลัทธิขงจื๊อและวัฒนธรรมจีนให้แพร่หลาย ทรงก่อตั้งชิบฮย็อนจอนเป็นสำนักปราชญ์ขงจื๊อ พระองค์มีพระราชโองการให้ปรับเปลี่ยนขนบธรรมเนียมประเพณีดั้งเดิมของเกาหลีให้สอดคล้องกับลัทธิขงจื๊อ เช่น ประเพณีการแต่งงาน ประเพณีการไว้ทุกข์ ส่งผลให้ลัทธิขงจื๊อกลายเป็นบรรทัดฐานทางสังคมเกาหลีในสมัยนั้น นอกจากนี้พระองค์ยังใช้อำนาจลดบทบาทของสำนักสงฆ์ในศาสนาพุทธอย่างหนัก ลดจำนวนนิกายศาสนาพุทธจากเจ็ดสำนักเหลือแค่สองสำนัก และยังมีคำสั่งให้จำกัดจำนวนวัดและจำนวนพระสงฆ์อีกด้วย

พระเจ้าเซจงทรงได้ชื่อว่าเป็นกษัตริย์ที่มีความห่วงใยราษฎรเป็นอย่างมาก ทรงเล็งเห็นปัญหาของราษฎรทั่วไปที่อ่านหนังสือไม่ออกและเขียนไม่ได้ เนื่องจากประวัติศาสตร์เกาหลีอันยาวนานนั้น ชาวเกาหลีไม่มีอักษรเป็นของตนเอง ส่วนใหญ่ใช้อักษรของจีนที่เรียกว่า ฮันจา แต่ตัวอักษรจีนนั้นมีจำนวนมากและยากลำบากในการเรียนรู้ มีเพียงชนชั้นขุนนางชาย (ยังบัน) เท่านั้นที่มีสิทธิเรียนและเขียนอักษรฮันจาได้ พระเจ้าเซจงจึงทรงประกาศใช้อักษรฮันกึลขึ้นใน ค.ศ. 1446 ซึ่งเป็นอักษรที่ง่ายต่อการเรียนรู้ ผ่านทางวรรณกรรมเรื่องฮุนมินจ็องอึม เพื่อให้ราษฎรทุกชนชั้นสามารถอ่านออกเขียนได้โดยไม่จำเป็นต้องเรียนรู้อักษรจีน ในรัชสมัยของพระเจ้าเซจงขุนนางชื่อว่าชังย็องชิล ซึ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์ผู้ประดิษฐ์มาตรวัดน้ำฝนอันแรกของโลก

นอกจากนี้พระเจ้าเซจงยังทรงเห็นถึงปัญหาของชาวนาที่ทำเกษตรกรรมแล้วไม่เกิดผลิตผล เนื่องจากความแห้งแล้งและน้ำท่วม จึงทรงให้มีการแต่งหนังสือนงซาจิกซอล ซึ่งหนังสือนี้เกี่ยวกับความรู้และประสบการณ์ในการทำเกษตรกรรมจากเกษตรกรอาวุโสทั่วราชอาณาจักร อีกทั้งยังทรงลดภาษีเพื่อให้เกษตรกรต้องลำบากและมีกินมีใช้ มีทรัพย์ในการทำเกษตรกรรมมากขึ้น

พระเจ้าเซจงเสด็จสวรรคตในปี 1450 เนื่องจากภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวานและเศร้าโศกเสียพระทัยจากการสิ้นพระชนม์ของพระมเหสีโชฮ็อน พระบรมศพของทั้งคู่ถูกฝังไว้ที่พระราชสุสานยองนึง หลังจากนั้นพระเจ้ามุนจง ซึ่งเป็นพระราชโอรสพระองค์แรกของพระเจ้าเซจงมหาราช ทรงขึ้นครองราชย์ในเวลาต่อมา แต่ทรงครองราชย์ได้เพียง 2 ปีก็สวรรคต


ที่มา : http://popp1412.blogspot.com/2

จากที่กล่าวมาข้างต้นแสดงให้เห็นว่า พระเจ้าเซจงมหาราชทำคุณความดีต่อาณาจักโชซ็อนเป็นอย่างมาก รวมไปถึงประเทศเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ในปัจจุบันด้วย ทั้งในด้านปกครองและวัฒนธรรม ไม่ว่าจะเป็นการก่อตั้งสำนักปราชญ์ขงจื๊อ การประดิษฐ์อักษรฮันกึล การแต่งหนังสือเกี่ยวกับการทำเกษตรกรรม นอกจากนี้รูปของพระองค์ยังคงปรากฏอยู่ในธนบัตร 10,000 วอนของเกาหลีใต้มาจนถึงปัจจุบัน สิ่งเหล่านี้ยิ่งทำให้ชาวเกาหลีภาคภูมิใจในวัฒนธรรมของตนเองมาจนถึงทุกวันนี้


อ้างอิง

จินตนา. (2556). พระเจ้าเซจงมหาราช (세종대왕,世宗大王). ค้นเมื่อ 6 กุมภาพันธ์ 2563, จาก https://www.modernpublishing.co.th

วิกิพีเดีย. (2562). พระเจ้าเซจงมหาราช. ค้นเมื่อ 6 กุมภาพันธ์ 2563, จาก  https://th.wikipedia.org/wiki/

วิกิพีเดีย. (2562). ราชวงศ์โชซ็อน. ค้นเมื่อ 6 กุมภาพันธ์ 2563, จาก https://th.wikipedia.org/wiki/

วิกิพีเดีย. (2562). Sejong The Great. ค้นเมื่อ 24 มีนาคม 2563, จาก https://en.wikipedia.org/wiki/Sejong_the_Great

ศิลปวัฒนธรรม. (2562). สรงน้ำ พระเจ้าเซจง. ค้นเมื่อ 6 กุมภาพันธ์ 2563, จาก https://www.silpa-mag.com/


หลาง ผิง (Lang Ping)

โดย นันธิดา กระสี

กีฬาวอลเล่ย์บอลเป็นกีฬาที่นิยมกันอย่างแพร่หลายตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน และมีหลายประเทศที่สามารถพัฒนากีฬาวอลเล่ย์บอลขึ้นมาเป็นแถวหน้าของโลกโดยเฉพาะประเทศจีน ที่สามารถขึ้นมาเป็นอับดับที่ 1 ของโลกได้  ซึ่งนอกจากทักษะของนักกีฬาแล้วก็ต้องมีความเชี่ยวชาญของโค้ชผู้ฝึกสอนในการที่จะปรับเกมหรือให้คำแนะนำสำหรับนักกีฬาในการแข่งขัน และการจัดตารางการฝึกซ้อมย่อมต้องมีโค้ชดูแลเรื่องเหล่านี้ด้วย และโค้ชวอลเล่ย์บอลคนสำคัญที่จะนำมาเล่าสู่กันฟังในที่นี้คือ หลาง ผิง


ที่มา :  http://thai.cri.cn/20190227/

หลาง ผิง (Lang Ping) โค้ชวอลเล่ย์บอลหญิงทีมชาติจีน เกิดเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม ค.ศ. 1960 ที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน มีเชื้อสายชาวแมนจู ส่วนสูง 1.84 เมตร น้ำหนัก 71 กก. จบการศึกษาปริญญาโท The sports management department ที่มหาวิทยาลัยนิวเม็กซิโก ประเทศอเมริกา เธอเป็นอดีตนักกีฬาวอลเล่ย์บอลชาวจีน ตำแหน่ง ตัวตีด้านนอก และเป็นอดีตหัวหน้าผู้ฝึกสอนวอลเล่ย์บอลหญิงทีมชาติสหรัฐอเมริกา เธอมีฉายาที่รู้จักกันดี คือ “ค้อนเหล็ก”

อุปนิสัยของ หลาง ผิง เป็นคนที่มีนิสัยดี เป็นกันเองกับผู้อื่น เข้ากับผู้อื่นได้ง่าย เก่งในเรื่องของการวางแผน  เป็นบุคคลที่ภายนอกอาจจะดูเท่ห์ดูโหดแต่ที่จริงเธอเป็นคนอ่อนโยน และเป็นคนที่จริงจังกับการทำงานเนื่องจาก หลาง ผิง เป็นผู้ฝึกสอนวอลเล่ย์บอลทีมชาติ แต่เธอจะเป็นคนที่ไม่เครียดกับเกมการแข่งขัน จะไม่กดดันลูกทีมจะค่อยๆ ใช้ความรู้มากกว่าอารมณ์ในการควบคุมผู้อื่น ทำให้บุคคลภายนอกที่ได้อยู่ใกล้หรือได้รู้จักเธอนับถือเธอและรักเธอเป็นอย่างมาก

จุดเริ่มต้นของการเล่นกีฬา หลาง ผิง มีความสนใจในกีฬาวอลเล่ย์บอลมาตั้งแต่สมัยหลาง ผิง ยังเด็กเพราะมีคนรอบข้างของเธออย่างเช่น ครอบครัว ที่เล่นวอลเลย์บอล หลาง ผิง มีต้นแบบนักกีฬามากมายจึงเป็นแรงจูงใจให้ หลาง ผิง มีความสนใจกีฬาวอลเล่ย์บอลอย่างมาก เธอจึงมีความสนใจที่จะเล่นกีฬาวอลเล่ย์บอล หลาง ผิง เธอมีความพยายามที่จะพัฒนาฝีมือของเธออยู่เรื่อยๆ จนเธอติดทีมชาติวอลเล่ย์บอลจีน


ที่มา :  http://thai.cri.cn/20190227/

ผลงานในระดับอาชีพ หลาง ผิง เคยเป็นสมาชิกคนหนึ่งของวอลเล่ย์บอลหญิงทีมชาติจีน และได้รับรางวัลเหรียญทองเมื่อครั้งที่เป็นฝ่ายชนะทีมชาติสหรัฐอเมริกาในการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อนในปี 1984 ที่ลอสแอนเจลิสรัฐแคลิฟอร์เนีย รวมถึงเธอเป็นสมาชิกคนหนึ่งของทีมที่ชนะการแข่งขันชิงแชมป์โลกในปี ค.ศ.1982 ที่ประเทศเปรู รวมถึงรายการเวิลด์คัพ เมื่อ ค.ศ 1981 และ 1985

ในปี 1986 หลาง ผิง ก็ได้ถอนตัวออกจากการเป็นนักกีฬาทีมชาติจีนเพราะตัวเธอเองต้องการผันตัวไปเป็นโค้ชและก็ย้ายไปอเมริกาในเดือนเมษายน 1987 เพื่อเรียนต่อในมหาวิทยาลัยนิวเม็กซิโก ประเทศอเมริกาในระหว่างที่หลางผิงเรียนปริญญาโททางด้าน The sports management department ในช่วงปี 1987-1989 หลาง ผิง ก็ได้เป็นผู้ช่วยผู้ฝึกสอนให้กับมหาวิทยาลัยนิวเม็กซิโกที่ หลาง ผิง เรียนอยู่ และนี่คือช่วงเวลาที่อาจเรียกได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการเป็นโค้ชของหลางผิงก็เป็นได้

ต่อมาในปี 1989 หลาง ผิง ก็ได้ไปเป็นโค้ชให้กับทีม Modena ในลีคอิตาลีและพาทีมคว้าแชมป์อิตาลีคัพในปีนั้นด้วย และต่อมาในปี ค.ศ.1990 หลางผิงก็ถูกเรียกตัวให้กลับไปเล่นทีมชาติจีนอีกครั้ง แล้วก็สามารถพาทีมได้เหรียญเงินแชมป์โลกในปีนั้นด้วย และหลางผิงก็ได้ลาออกจากทีมชาติจีนอีกครั้งเพื่อผันตัวไปเป็นโค้ชอย่างจริงจังในปี 1991 ก็เป็นโค้ชให้กับทีมมหาวิทยาลัยนิวเม็กซิโกและก็สามารถพาทีมได้ที่ 1 ของ Eastern US Women’s Volleyball Tournament และระหว่างนั้นหลาง ผิง ก็ได้รับเชิญให้ไปเป็นโค้ช ในญี่ปุ่นและอเมริกาและได้พาทีมได้ลำดับที่ดีๆ ไม่ว่าจะเป็นที่ 1 2 3

ในปี ค.ศ.1995 หลาง ผิงได้เข้ามาเป็นหัวหน้าผู้ฝึกสอนวอลเล่ย์บอลหญิงทีมชาติจีน หลาง ผิง สามารถนำทีมคว้าเหรียญเงินจากการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อนในปี 1996 ที่แอตแลนตา รัฐจอร์เจีย และอันดับสองในรายการชิงแชมป์โลกในปี 1998 ที่ประเทศ ญี่ปุ่น

ในปี ค.ศ. 1998 หลาง ผิง ได้ลาออกจากทีมชาติจีนเนื่องจากปัญหาสุขภาพเพราะหลาง ผิง ต้องเข้าผ่าตัดหัวเข่า และต่อมา หลาง ผิง ได้ไปเป็นหัวหน้าผู้ฝึกสอนในการแข่งขันหลีกอาชีพของประเทศอิตาลีและประสบความสำเร็จอย่างยอดเยี่ยมและ หลาง ผิง ยังได้รับรางวัลผู้ฝึกสอนยอดเยี่ยมแห่งปีอยู่หลายสมัย



อิทธิพลในประเทศจีน เนื่องจากบทบาทสำคัญของเธอในความสำเร็จของวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติจีนในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1980 หลาง ผิง ได้รับการมองว่าเป็นสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม และเป็นหนึ่งในบุคคลที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดในประวัติศาสตร์กีฬาสมัยใหม่ของประเทศจีน โดยในตอนท้ายของการปฏิวัติทางวัฒนธรรม ค.ศ. 1976 ประเทศจีนได้เข้าร่วมแข่งขันกีฬาในระดับโลกอีกครั้ง แม้ว่าทีมปิงปองของจีนจะชนะการแข่งขันในระดับนานาชาติ ซึ่งกีฬานี้มักได้รับการพิจารณาว่าชาวจีนมีความเชี่ยวชาญ แต่ หลาง ผิง กับทีมวอลเลย์บอลหญิงของเธอก็ได้รับการจัดเป็นกีฬาประเภททีมที่ชนะการแข่งขันชิงแชมป์โลกหลายสมัย โดยการแข่งขันครั้งสุดท้ายของเธอคือกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 1984 โดย หลาง ผิง ได้เป็นดาวในตำแหน่งตัวตีด้านนอกของทีม เธอมักได้รับการจดจำเป็นอย่างมาก ว่าเป็นหนึ่งในนักกีฬาแชมป์โลกสมัยแรกของวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติจีน

ในปีค.ศ. 2002 เธอได้รับเกียรติในการจารึกชื่อไว้ในวอลเล่ย์บอลฮอลล์ออฟเฟมที่ฮอลโยค รัฐแมสซาซูเซตส์เธอเป็นผู้ฝึกสอนวอลเล่ย์บอลหญิงทีมชาติสหรัฐอเมริกาและพาทีมเข้ารับรางวัลเหรียญเงินในการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อน 2008 ที่ประเทศบ้านเกิดของเธอเอง ปัจจุบัน เธอทำหน้าที่เป็นผู้ฝึกสอน ให้แก่วอลเล่ย์บอลทีมชาติหญิงจีน

ชัยชนะครั้งสำคัญ

* เวิลด์คัพ 1981 (แชมป์โลก)
* ชิงแชมป์โลก 1982 (แชมป์โลก)
* โอลิมปิกฤดูร้อน 1984 ที่ลอสแอนเจลิส (แชมป์โลก)
* เวิลด์คัพ 1985 (แชมป์โลก)
* โอลิมปิก 2016 (เหรียญทอง)

เกียรติประวัติ

* หนึ่งในสิบนักกีฬาจีนยอดเยี่ยมแห่งปี ค.ศ. 1981-1986
* ผู้ฝึกสอนวอลเล่ย์บอลยอดเยี่ยมแห่งปี สหพันธ์วอลเล่ย์บอลนานาชาติ ค.ศ. 1996
* ผู้ฝึกสอนวอลเล่ย์บอลหญิงในประเทศอิตาลียอดเยี่ยมแห่งปี ค.ศ. 1999-2000

โค้ชหลาง ผิง เป็นบุคคลที่มีความสามารถในการเล่นกีฬาอย่างมากทั้งเป็นผู้เล่นหรือเป็นคนที่คอยสนับสนุนทีม ควบคุมทีมในการแข่งขันและแก้เกมอย่างฉลาด ทั้งยังเป็นบุคคลในวงการกีฬาวอลเล่ย์บอลที่น่าเคารพนับถืออย่างมากทั้งในประเทศจีนและประเทศอื่นๆ เธอเป็นบุคคลต้นแบบที่น่ายกย่องเป็นอย่างยิ่งทั้งในการใช้ชีวิตประจำวัน และการทำงาน


อ้างอิง 

Sitemap.(2559).รู้จัก หลางผิงเท่ากับรู้จักนักกีฬา โค้ชที่ยอมเยี่ยมที่สุดคนหนึ่งของโลกวอลเล่ย์บอล. สืบค้นเมื่อ 6 มกราคม 2563 จาก : https://pantip.com/topic/35145298

Unknow. (2008). Iron Hammer still pounding. Retrieved January 07, 2020, from : http://en.people.cn/90001/90779/90867/6342656.html

Lassen, D. (2008). “U.S. women’s volleyball coach an icon back in Beijing”.Retrieved January 07, 2020, from : http://www.venturacountystar.com/

O’Halloran, R. (2008). “Lang Ping goes home”.Retrieved January 07, 2020, from : https://m.washingtontimes.com/news/2008/

Townsend, B.(2008). “Lang Ping left china for normal life”. Retrieved January 07, 2020, from : http://www.dallasnews.com/sharedcontent/

Tabuchi, H.(2008). “Return of the iron Hammer”.Retrieved January 07, 2020, from : http://blogs.wsj.com/chinajournal/2008/08/09/

Wong, E.(2008). “Ex-Chinese Star Guides U.S. to win in Volleyball”. Retrieved January 07, 2020, from : http://www.nytimes.com/2008/08/16/s

เทศกาลหน้ากากไม้แห่งสคิญ๊าโน๊ะ (Carnival of Schignano)

โดย วิษราภรณ์  จตุเทน

นอกเหนือจากทะเลสาบโคโม แหล่งท่องเที่ยวสำคัญของแคว้นลอมบาร์เดีย ทางตอนเหนือของประเทศอิตาลี คุณรู้หรือไม่ว่าท่ามกลางหุบเขาที่เขียวขจีมีหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งมีชื่อว่า สคิญ๊าโน๊ะ (Schignano) มีเทศกาลที่น่าสนใจและสื่อไปถึงวัฒนธรรมของคนในหมู่บ้านนั้นๆ ด้วยการที่คนในหมู่บ้านจะมีการเดินขบวนหน้ากากไม้ และการแสดงต่างๆ โดยชื่อของเทศกาลนี้ถูกเรียกว่า เทศกาลหน้ากากไม้แห่งสคิญ๊าโน๊ะ หรือ Carnival of Schignano


ที่มา : https://www.pinterest.com/p

สคิญ๊าโน๊ะ เป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ระหว่าง บริเอนโน และ อาร์เจโญ ในจังหวัด โคโม และมีชื่อเสียงไปทั่วอิตาลีในงานคาร์นิวัลที่จัดขึ้นตามพิธีกรรมโรมัน ซึ่งตรงกับวันเสาร์และวันอังคารของสัปดาห์แรกในเดือนมีนาคม

ความพิเศษที่ทำให้เทศกาลนี้มีความน่าสนใจคือ หน้ากากไม้ (ไม้วอลนัท) ที่ทำขึ้นด้วยฝีมือของช่างท้องถิ่น ดังนั้นหน้ากากจึงดูไม่มีความทันสมัยหรือปราณีตมากนัก แต่ตัวหน้ากากกลับสะท้อนเอกลักษณ์ของตัวละครที่แตกต่างกันออกไป


ที่มา: www.carnevaledischignano.it
เทศกาลหน้ากากไม้  (Carnival of Schignano) 

เทศกาลหน้ากากไม้คือเทศกาลที่ชาวบ้านในท้องถิ่นร่วมกันจัดขบวนตัวละครสวมหน้ากากต่าง ๆ เดินผ่านถนนรอบ ๆ หมู่บ้าน เพื่อไปแสดงที่จัตุรัสกลาง โดยการแสดงจะเล่าถึงวิถีชีวิตและสถานการณ์ทั้งในอดีตและปัจจุบันของคนในหมู่บ้าน

โดยเทศกาลนี้เป็นเทศกาลพื้นบ้านที่เล่าถึงความคิดถึงและความคาดหวังของหญิงในหมู่บ้านที่มีให้ชายที่ต้องออกไปทำงานต่างเมือง และแสดงถึงความเหลื่อมล้ำของคนในหมู่บ้าน สืบเนื่องจากสถานการณ์ของทั่วไปในปัจจุบัน ในสมัยก่อนจนถึงปัจจุบันหมู่บ้านแห่งนี้เป็นหมู่บ้านที่ทำหน้ากากไม้ แต่รายได้จากการทำหน้ากากไม้ไม่พอต่อการดำรงชีวิต ซึ่งทำให้ผู้ชายในหมู่บ้านต้องออกไปทำงานนอกเมือง

และในทุกๆ ปีในช่วงของเทศกาล เหล่าผู้ชายที่ออกไปทำงานจะต่างพากันกลับบ้านแต่ทุกคนใช่ว่าจะสมหวังในเรื่องการงาน บางคนกลับมาพร้อมด้วยกระเป๋าเดินทางที่ว่างเปล่า แต่บางคนก็กลับมาพร้อมกับเสื้อผ้าที่มีความสวยงาม ร่างกายอุดมสมบูรณ์ซึ่งหมายถึงการที่ไปทำงานต่างเมืองประสบความสำเร็จ และในตัวของเทศกาลก็จะมีการเดินขบวนไปรอบหมู่บ้านและการแสดงต่างๆ

ที่เป็นจุดโดนเด่นในเทศกาลนี้คือตรงกลางจัตุรัสของหมู่บ้านจะมีการละเล่น หรือ การหยอกล้อนักท่องเที่ยวที่เข้าชมเทศกาล และภาพต่าง ๆ ที่ถ่ายทอดออกมาสื่อถึงความเหลื่อมล้ำต่างๆ ชายและหญิงแต่งตัวจะเป็นอาชีพต่างๆ เช่นชาวนา แม่ค้าพ่อค้า หลังจากการเดินขบวนของเทศกาลนี้ก็จะมีการเลี้ยงสังสรรค์กันในหมู่บ้านและในเวลา 23:30 น. จะมีการรอบกองไฟเพื่อแสดงถึงการจบลงของเทศกาล

ความเป็นเอกลักษณ์ของเทศกาลหน้ากากนั้นก็คือความแตกต่างระหว่าหน้ากากสองแบบคือ  1.หน้ากากสวยงาม ในภาษาท้องถิ่น“ i bei” ในภาษาอังกฤษ The beautiful และ 2. หน้ากากอัปลักษณ์ ในภาษาท้องถิ่น  (i“ brut”) ในภาษาอังกฤษ The ugly และสำหรับตัวผู้เล่น หรือ ผู้ที่สวมใส่หน้ากากจะรับบทเป็นตัวแทนของสองชนชั้นที่สุดคลาสสิกในสังคมทั่วไปคือ คนรวยและคนจน



หน้ากากสวยงาม 

ความสวยงามหรือที่เรียกว่า“ Mascarun” เป็นตัวละครที่น่าสนใจ ด้วยความต้องการของเทศกาลที่จะทำให้ตัวละครนี้เก่ง และแสดงถึงความมั่งคั่ง ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพียงเพื่อเน้นถึงสถานะทางสังคมของพวกเขา พวกเขาจึงสวมสูทราคาแพงที่เย็บปักอย่างปราณีต มีลักษณะท้องที่โตเพื่อแสดงถึงความร่ำรวยมีอาหารการกินที่ดี ตกแต่งด้วยหมวกที่มีดอกไม้สีสันสดใส มีริบบิ้นที่ด้านหลัง มักจะถือร่มและพัดที่มีสีสันสดใส การมาถึงของพวกเขาจะมีเสียงเป็นตัวนำขบวนโดยการที่จะนำระฆังขนาดเล็ก 4 อันติดกับเข็มขัดด้วยเสียงที่ไพเราะและน่าฟัง


ที่มา: www.carnevaledischignano.it

หน้ากากอัปลักษณ์ 

เห็นได้ชัดว่าความน่าเกลียดตรงข้ามกับความสวยงามเสมอซึ่งตัวละครตัวนี้ก็มีความน่าสนใจและมีจุดเด่นที่เป็นเอกลักษณ์ไม่น้อยนั้นคือ คนจนจะสวมใส่เสื้อผ้าสีโทนมืดและเก่า เพื่อแสดงให้เห็นถึงความยากจนของคนในหมู่บ้าน โดยมักเป็นคนผิวดำซึ่งจะใส่หน้ากากสีดำแทนสีผิว เนื่องจากการที่ทำงานหนักท่ามกลางแสงแดด โดยหน้ากากมีลักษณะที่มีปากคดเคี้ยว ฟันที่หายไป จมูกที่บิดเบี้ยวและริ้วรอยตามใบหน้า พวกเขาจะมาพร้อมกับไม้กวาด ตะกร้าหรือกระเป๋าเดินทางใบเก่าของเหล่าผู้ชายที่ออกไปทำงานหาเงินต่างเมือง ซึ่งกลับมาพร้อมกับความว่างเปล่า


ที่มา: www.carnevaledischignano.it

เทศกาลหน้ากากพื้นบ้านนี้เป็นเทศกาลที่จัดขึ้นเฉพาะในหมู่บ้านสคิญ๊าโน๊ะ ในแคว้นลอมบาร์เดีย ทางตอนเหนือของประเทศอิตาลี ที่แสดงถึงทักษะของคนในหมู่บ้านซึ่งมีฝีมือในการทำหน้ากากไม้ที่เป็นเอกลักษณ์ และเล่าถึงวิถีชีวิตในท้องถิ่นตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันที่มีทั้งคนจนถึงคนรวยและความเหลื่อมล้ำทางสังคม โดยเรื่องราวของอาชีพต่าง ๆ ที่ใช้ในการดำรงชีวิตนั้นถูกแสดงออกผ่านตัวละคร  The beautiful และ The ugly ซึ่งการออกไปทำงานต่างเมืองแต่ล่ะอาชีพย่อมได้ผลตอบแทนที่แตกต่างกัน และผู้คนเหล่านี้มักจะถูกคาดหวังจากคนที่บ้านที่เฝ้ารอการกลับมาของพวกเขาในทุก ๆ ปี


อ้างอิง

Silvia./(2019)./carnival of Schignano. Retrieved 8 January 2020, from: https://mylakecomo.co/en/local-festivals/

Patrizia Gilardony./(2019)./ RETURNS THE HISTORICAL SCHIGNANO’S CARNIVAL. Retrieved 8 January 2020, from: https://blog.hotel-posta.it/en/

Agostina Lavagnino./(2013)./ WOODEN MASK SCULPTORS OF SCHIGNANO. Retrieved 8 January 2020, from: http://www.intangiblesearch.eu/s



เครื่องสำอางยุคอียิปต์โบราณ

โดย วิภาวี ภูมิคอนสาร

อียิปต์อาณาจักรโบราณที่ตั้งอยู่ในบริเวณลุ่มแม่น้ำไนล์ เกิดขึ้นราว 3,200 ปีก่อนคริสตกาล มีการปกครองโดยกษัตริย์ คือ ฟาโรห์ ซึ่งผู้คนจะให้ความเคารพนับถือดังเทพเจ้า ผู้คนส่วนใหญ่จะประกอบอาชีพทางด้านเกษตรกรรมเพื่อเป็นอาหารหลัก และส่งออกไปขายยังดินแดนอื่น ทั้งยังเลี้ยงสัตว์ไว้เพื่อทำการเกษตรอีกด้วย ผู้คนจะมีความเชื่อเกี่ยวกับพระเจ้า และชีวิตหลังความตายเป็นอย่างมาก จึงเกิดการเก็บรักษาศพ ที่เรียกกันว่า มัมมี่ (Mummy) และมีสถานที่ที่ใช้ในการเก็บมัมมี่ของฟาโรห์ ที่มีความสวยงามและยิ่งใหญ่ คือ ปิรามิด (Pyramid) ซึ่งทำให้คนในปัจจุบันรู้สึกอัศจรรย์ใจกับความสามารถในการสร้างสิ่งที่มีความยิ่งใหญ่และสวยงามในยุคโบราณเป็นอย่างมาก


ราโฮเทปและโนเฟรต
ที่มา : http://www.gypzyworld.com/

อีกหนึ่งสิ่งที่มีความโดดเด่นของอียิปต์โบราณก็คือ การตกแต่งใบหน้าให้สวยงามโดยใช้เครื่องสำอาง ถือเป็นสิ่งที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก เพราะจากจิตรกรรม หรือประติมากรรม จะเห็นได้ว่าทั้งผู้หญิงและผู้ชายมีการใช้เครื่องสำอางตกแต่งใบหน้า ซึ่งการแต่งหน้าของชาวอียิปต์นั้นไม่ใช่เพราะความสวยงามเพียงเท่านั้น แต่ชาวอียิปต์เชื่อว่าจะช่วยในการป้องกันและรักษาโรคภัยต่าง ๆ ได้


ตัวอย่างดินเทศหรือดินสีแดง ที่ชาวอียิปต์ใช้เป็นเครื่องสำอาง

ลักษณะโดดเด่นในการแต่งหน้าของชาวอียิปต์โบราณคือ การทาขอบตาเป็นสีดำและสีเขียว ซึ่งจะใช้แร่มาลาไคท์ (Malachite) ที่ให้สีเขียว และใช้คาร์บอน (Carbon) และโคล (Kohl) ที่ให้สีดำ เนื่องจากมีความเชื่อว่าการทาขอบตาจะช่วยในการรักษาพลังเวทมนตร์ในการรักษาโรคภัยต่าง ๆ และการทาขอบตานั้นจะช่วยในการดักฝุ่น หรือป้องกันแสงแดดที่จะสามารถทำร้ายดวงตาได้ ชาวอียิปต์โบราณจะรองพื้นใบหน้าด้วยคาร์บอเนตของตะกั่ว (Cerussite) ที่เป็นสารสีขาวเพื่อให้ใบหน้ามีความเนียน ผ่องใส ยังใช้ดินเทศสีแดง (Red Ochre) ผสมกับน้ำ เพื่อใช้ในการทาริมฝีปาก และอาจจะใช้ทาบริเวณแก้มอีกด้วย ส่วนเล็บจะใช้สีเหลืองและสีแดงในการทา สีที่นำมาทาจะได้จากต้นเฮนนา (Henna)


ต้นเฮนนา ในภาษาไทยเรียก ต้นเทียนกิ่ง

ในการดูแลผิวพรรณ ชาวอียิปต์โบราณจะใช้น้ำมัน ไขมัน ขี้ผึ้ง ที่สกัดจากพืชและสัตว์มาใช้ทาผิว เมื่อมีการแต่งหน้าแล้ว ก็มีครีมที่ใช้ทำความสะอาดเครื่องสำอางออกจากผิวอีกด้วย โดยทำมาจากน้ำมันและปูนขาว นอกจากนั้นยังมีสิ่งที่ใช้บำรุงผิวหน้าเพื่อช่วยในการลดรอยเหี่ยวย่น คือการใช้ยางเหนียวของไม้หอม ขี้ผึ้ง น้ำมะรุมสด และหญ้าแห้วหมูมาบดและผสมกับน้ำโดยให้ส่วนผสมทั้งหมดเป็นเนื้อเดียวกัน แล้วนำมาทาที่ผิวเป็นประจำทุกวัน


ที่มา : http://www.sakurabag.net/

เครื่องสำอางชนิดต่าง ๆ ที่ชาวอียิปต์โบราณนำมาใช้นั้นเป็นสิ่งที่ได้มาจากธรรมชาติ เช่น ต้นไม้ สัตว์ และแร่ต่าง ๆ ซึ่งในแร่ที่นำมาใช้กับผิวนั้นมีสารตะกั่วผสมอยู่ หากใช้ในปริมาณที่พอเหมาะสารตะกั่วมีประโยชน์ในการช่วยป้องกันเชื้อโรค แบคทีเรียต่าง ๆ ไม่ให้เข้ามาสู่ดวงตา ได้ แต่หากใช้ในปริมาณที่มากเกินไป หรือร่างกายได้รับสารตะกั่วมาเป็นเวลานานและมีการสะสมก็จะส่งผลเสียต่อสุขภาพได้ เช่น เกิดอาการปวดท้อง ท้องผูก โลหิตจาง หรือทำให้เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ชีวิตได้เช่นเดียวกัน

ปัจจุบันนี้ที่มีเครื่องสำอางมากมายหลายประเภทให้ทุกคนได้เลือกสรร ดังนั้นควรเลือกผลิตภัณฑ์หรือเครื่องสำอางที่จะไม่ก่อให้เกิดอันตรายหรือผลเสียต่อร่างกาย และควรใช้ในปริมาณที่เหมาะสม อีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญคือการรักษาความสะอาด เพื่อที่จะเป็นการแต่งใบหน้าให้เกิดความสวยไม่ใช่ความสยอง


อ้างอิง 

ม.ป.ผ. (2553). เครื่องสำอางค์ของชาวอียิปต์สมัยโบราณ มีประโยชน์อย่างไรบ้าง. ค้นเมื่อ 6 กุมภาพันธ์ 2563, จาก  https://www.voathai.com/

ณัฐพล เดชขจร. (2561). เครื่องสำอางดึกดำบรรพ์ในอียิปต์โบราณ. ค้นเมื่อ 2 กุมภาพันธ์ 2563, จาก http://www.gypzyworld.com/article/view/1143

NGThai. (2561). อาณาจักรโบราณ: อาณาจักรอียิปต์. ค้นเมื่อ 2 กุมภาพันธ์ 2563, จาก https://ngthai.com/history/

Worldwide. (2562). อารยธรรมไอยคุปต์ ยุคทองของเครื่องสำอางความงามของชนชาติอียิปต์. ค้นเมื่อ 6 กุมภาพันธ์ 2563, จาก https://www.blockdit.com/